ถ้าเอ่ยถึงจังหวัดเชียงใหม่ หลาย ๆ คนคงนึกถึงภาพสถานที่ท่องเที่ยวทั้งที่เป็นธรรมชาติ ป่าเขา หรือแม้แต่แหล่งท่องเที่ยวเก๋ ๆ ชิค ๆ ที่มีอยู่มากมาย แต่วันนี้กระปุกท่องเที่ยวจะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจ นั่นก็คือ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ ชื่อที่หลาย ๆ คนอาจไม่คุ้นเคยเท่าไหร่นัก อ๊ะ ๆ แต่ก่อนที่เราจะตามบันทึกการเดินทางและภาพถ่ายสวย ๆ ของ คุณตัวเรา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ไปเที่ยวศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ ก็ไปทำความรู้จักกับที่นี่กันก่อนจ้า
ความเป็นมา
เนื่องจากพื้นที่บ้านแม่โถมีชาวเขาเผ่าม้งและกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ ยึดอาชีพปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอย ขาดความรู้และความเอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อม ต้องต่อสู้กับความลำบากยากจนเรื่อยมา จนกระทั่งปี พ.ศ. 2539 ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถได้ก่อตั้งขึ้น ตามแนวนโยบายส่งเสริมอาชีพการเกษตรแผนใหม่เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น และการลดใช้สารเคมีในกะหล่ำปลี โดยลักษณะที่ตั้งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ เป็นภูเขาสลับซับซ้อนทอดยาวตามแนวเหนือ-ใต้ สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 800-1,200 เมตร มีพื้นที่รับผิดชอบ 85.49 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุม 4 หมู่บ้าน ในอำเภอฮอดและอำเภอแม่แจ่ม
นอกจากนี้ ที่นี่มีกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรมากมาย เช่น ชมแปลงส่งเสริมผลผลิตของเกษตรกร, ชมการปลูกผักในโรงเรือนไม้ไผ่, ชมแปลงส่งเสริมไม้ผล และชมแปลงดอกอัสสโตรมีเรีย ฯลฯ (อ่านเรื่องราวดี ๆ ได้ที่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ) เอาเป็นว่ารู้จักและทักทายกันพอสมควรแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาไปเที่ยวกันแล้วจ้า ^^
ก่อนการเดินทางไม่กี่วันจากข้อมูลที่ได้รับว่าจะได้ไปบ้านห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งที่นั่นมีการผลิตกาแฟรสชาติชั้นเลิศถึงขนาดส่งออกร้านกาแฟยอดฮิตตราสีเขียวในบ้านเราแล้ว ยังจะได้พบกับน้อง ๆ หนู ๆ ผมจึงคิดว่าไหน ๆ ก็จะเดินทางไปในถิ่นที่ไกลโพ้นขนาดนี้ เราควรซื้อข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ในกำลังแรงที่เราพอจะซื้อได้ไปให้พวกเขาด้วยจะดีกว่า หัวหน้าของผมพอทราบข่าวก็ช่วยสมทบมาอีกส่วนหนึ่ง
ของที่ผมนำไปก็มีทั้งสมุดวาดภาพระบายสี ขนม เชือกกระโดด ฯลฯ ไม่ได้เรียกว่าเป็นการบริจาค แต่ขอเรียกว่า “ปันกัน” จะดีกว่า และเมื่อเห็นรอยยิ้มของคนรับ คนให้ก็มีความสุข
เราออกเดินจาก กทม. เวลาราว ๆ 2 ทุ่มในค่ำคืนของวันพฤหัส ก่อนที่จะไปรุ่งสางที่ "ออบหลวง" เพื่อพักกินข้าวระหว่างทาง พักรถ ล้างหน้าล้างตาแปรงฟัน จุดแรกที่จะเดินทางไป คือ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ชื่อไม่คุ้นกันเลยใช่ไหมครับ ไม่เป็นไร จากนี้ไปผมจะทำให้ทุกคนได้คุ้นเคยกับชื่อนี้กันมากขึ้น
และเส้นทางไปเราต้องผ่าน "สวนสนบ่อแก้ว" ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนเลย หากมีเวลาก็สามารถแวะลงไปถ่ายภาพได้ ผมขอใช้เวลาตรงนี้สักนิด เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์กับธรรมชาติสีเขียว
เส้นทางไป โครงการหลวงแม่โถ เราต้องผ่านพบอะไรอีกมากมาย
ไม่นานเราก็เดินทางต่อไปถึงโครงการหลวงแม่โถ ราวเที่ยงนิด ๆ ท้องเริ่มร้องแล้วสิ เหนือสิ่งอื่นใด กองทัพต้องเดินด้วยท้องก็ไม่น่าจะผิดคำพูดนี้นัก
พวกเราจัดการอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย อร่อยที่ว่าคือไม่ต้องมาจากเมนูภัตตาคารหรูที่ไหน แต่มาจากฝีมือแม่ครัวบนดอยของเรานี่เอง
มาพร้อมกับผักสด ๆ จากแปลงปลูก ที่รับรองได้เลยว่ากัดลงไปจะรับรู้ได้ถึงความกรอบและสดจริง ๆ
ว่ากันว่าแหล่งท่องเที่ยวของที่นี่จะเด่นในเรื่องของการปลูกผักปลอดสารพิษเพื่อการส่งออก การท่องเที่ยวเชิงเกษตร เน้นป่าเขาลำเนาไพรท่องไปในทุ่งข้าว
พวกเราพร้อมแล้วล่ะครับกับการท่องเที่ยวเชิงเกษตร แต่ขอบอกก่อนว่ารถที่ควรจะนำออกไปลุยนั้น ควรเป็นรถโฟร์วีลเท่านั้น ถ้าไม่มีสามารถติดต่อขอใช้บริการรถของโครงการหลวงได้ ซึ่งเราอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายตอบแทนตามความเหมาะสม เพราะรถดังกล่าวเขามีไว้ใช้เพื่องานของโครงการ ไม่ได้มีเอาไว้ใช้บริการนักท่องเที่ยวโดยตรง
จากข้อมูลที่ผมได้หามาพบว่า ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ จัดตั้งขึ้นตามแนวนโยบายส่งเสริมอาชีพเกษตรกรแผนใหม่ ทดแทนการปลูกฝิ่นและการลดใช้สารเคมีกะหล่ำปลี
ลักษณะภูมิประเทศทั่วไป เป็นภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน ทอดยาวตามแนวเหนือใต้ อยู่ในแนวเดียวกันกับเทือกเขาอินทนนท์ ที่มีความสูงตั้งแต่ 400-1,699 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง มียอดที่สูงที่สุด คือ ยอดดอยกิ่วไร่ม้ง อยู่ในพื้นที่บ้านปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม โดยมีความสูง 1,699 เมตร ส่วนที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่โถ ตั้งอยู่ที่ความสูงประมาณ 1,200 เมตร
ฤดูที่เหมาะแก่การมาท่องเที่ยวที่นี่ คือ ฤดูหนาวในช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีสูงสุดประมาณ 27 องศา และต่ำสุดประมาณ 8 องศา และช่วงที่ผมไป คือ วันที่ 18 ตุลาคม 2556 ณ เวลานั้น ค่ำคืนนั้น อุณหภูมิอยู่ที่ราว ๆ 18 องศา ก็เย็นพอตัว น้ำจากขันพอราดลงบนร่างกายความหนาวสั่นก็เข้ามาแทนที่
รุ่งเช้าเราเริ่มต้นกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยการขึ้นรถโฟร์วีลออกเดินทางไปตามเส้นทางเขา ชมวิวทิวทัศน์ระหว่างทางไปเรื่อย ๆ
พวกเราต่างมีความสุขกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะมันหาได้ยากนัก หรือแทบจะหาไม่ได้เลยในเมืองกรุง ที่ที่พวกเราเดินทางจากมา
สิ่งที่พบเห็นระหว่างการเดินทาง
เอาล่ะครับ มาถึงที่แรกกันแล้ว เรือนปลูกผักของโครงการหลวงฯ ซึ่งมีหลากหลายพันธุ์พืช ไม่ว่าจะเป็น เบบี้ฮ่องเต้ เบบี้คอส ผักกาดหวาน เรดโครอล โอ๊คลีฟแดง ผักโขมแดง ฯลฯ
ภายใต้การพามาชมโดย "น้องเมย์" สาวแม่โจ้ นักพัฒนาสังคม เจ้าหน้าที่ประจำโครงการหลวงแม่โถ แถมยังโชว์ฝีมือเป็นหนึ่งในแม่ครัวในหลาย ๆ มื้อของเราตลอดการอยู่ที่นั่นด้วย
ผมได้มีโอกาสสอบถามเธอว่าเบื่อไหมกับการต้องมาอยู่บนป่า บนดอยแบบนี้ เธอตอบแบบไม่คิดว่านี่คือความสุขของเธอที่ได้ทำงานแบบนี้ และสนุกดี ไม่ต้องไปทำงานเอกสารให้เครียดเปล่า ๆ ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะรอยยิ้มของเธอบ่งบอกถึงความยินดี ถึงมิตรภาพที่พร้อมจะเสนอให้ผู้ที่มาเยี่ยมชม
น้องเมย์ พาเราไปเยี่ยมชมโรงเรือนปลูกผักต่าง ๆ ถ่ายรูปกันสนุกสนาน พวกเราต่างเพลินเพลินกับผักสีเขียวเบื้องหน้า มันละลานตาไปหมด บางครั้งก็ให้ น้องเมย์ มาเป็นนางแบบเฉพาะกิจ อาจจะดูเขิน ๆ ไปบ้าง แต่ด้วยความเป็นกันเองของพวกเรา ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี
เห็นภาพเขียวสดสวยแบบนี้ ใครจะรู้ว่าพวกเราต้องลงไปย่ำกับดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน ดินติดรองเท้าหนักเป็นกิโล ๆ กว่าจะได้แต่ละภาพมา กว่าจะได้ชื่นชม ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแต่ก็เป็นสิ่งที่พวกเรายินดีที่จะพบเจอ
ผักสีเขียวสดกรอบเหล่านี้ เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ได้ที่ก็จะถูกส่งออกไปยังสถานที่ ร้านค้าต่าง ๆ หรือตามร้านใหญ่ในห้างก็ได้ผักมาจากที่นี่แหละ
หลายคนบอกอยากดูว่าอาหารที่พวกเรากินกัน อย่างที่บอกไม่ได้ดูหรูหรา แต่รับรองกินแล้วจะติดใจ (ตามที่ได้รีวิวไปแล้วข้างบน) เมนูที่นี่ส่วนใหญ่เน้นผัก เราสามารถแจ้งล่วงหน้าให้ทางโครงการจัดเตรียมอาหารให้เราได้ คิดราคามื้อละประมาณ 75 บาทต่อคน จุดที่เรากินข้าวจะอยู่ในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการฯ สามารถโทรศัพท์ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ บ้านแม่โถ โทรศัพท์ 08 5623 3295 เพื่อให้อำนวยความสะดวกตรงนี้ให้ครับ
โรงเรือนปลูกผักอันกว้างขวางครับ
ยังมีโรงเลี้ยงหมูด้วยนะครับ ^^
เมื่อตะวันเริ่มคล้อยนกน้อยบินกลับรัง พวกเราก็ได้เวลาต้องหาที่พักร่างกันบ้างแล้ว เราเลือกใช้บริการที่พักของอุทยานแห่งชาติแม่โถ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลมากนักจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงฯ ที่พักมีหลายหลัง พวกเราไปกันถึง 10 คน จึงเลือกใช้บ้านหลังใหญ่ ภายในจะมีทั้งหมด 3 ห้องเล็ก (ขนาด 2 เตียงเดี่ยว) และ 1 ห้องใหญ่ (ห้องนี้นอนได้ราว 10 คน) ทุกห้องมีห้องน้ำในตัว สามารถจองได้ที่โครงการหลวงแม่โถ ราคา 150 บาท/คน ครับ ราคา ณ วันที่เดินทางไป คือ เดือนตุลาคม 2556
เข้าสู่วันที่ 3 ของการท่องเที่ยว พวกผมตื่นกันแต่เช้า หลังจากที่พวกเราให้ผักสีเขียวที่กินเข้าไปได้ทำการซ่อมและประกอบร่างให้เราทั้งคืน ก็ได้เวลาตะลุยท่องเที่ยวกัน
ครั้งนี้เราได้ "น้องนะ" นักพัฒนาสังคม เจ้าหน้าที่จากโครงการหลวงอีกคนหนึ่ง พาพวกเราไปชมวิว ณ จุดชมวิวที่สวยที่สุดของแม่โถ แว่วว่าเป็นจุดชมวิว 360 องศากันเลยทีเดียว สุดแสนจะตื่นเต้น โดยรถที่พาพวกเราไปก็เป็นรถโฟร์วีลเช่นเคย เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
ทุกพื้นที่ของโครงการหลวงแม่โถ มันคือพื้นที่สีเขียวจริง ๆ ชมภาพผ่านสายตาแล้วนึกย้อนไปถึงพระราชดำริของในหลวง ที่พระองค์ทรงคิดการณ์ไกลในการสอนให้ชาวเขาได้ปลูกพื้นสีเขียวแทนการปลูกฝิ่นที่ผิดกฎหมาย และมันก็ได้ประโยชน์ สร้างรายได้ให้ชาวบ้านโดยสุจริตจริง ๆ
เราใช้เวลาอยู่กับภาพเบื้องหน้านานมาก มันคือความงามที่ถ้าไม่ได้มาเอง ฟังแค่การเล่าจากปากของคนอื่นก็อาจจะเสพความสุขได้ไม่เต็มที่ ต้องมาเองแล้วจะรู้ว่าความสุขจริง ๆ เป็นอย่างไร ผมยิงภาพเป็นร้อย ๆ ภาพ ซึ่งเวลาที่อยู่ในเมืองกรุง ผมไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตเอื่อย ๆ แบบนี้เท่าไรนัก
เห็นเส้นทางข้างหน้าไหมครับ นั่นคือ เส้นทางที่เราจะเอารถโฟร์วีลลงไปครับ ^^
เรามาชมความงาม 360 องศากันต่อดีกว่าครับ
พวกเราชาวคณะเรียกมุมนี้ว่า ซาปาเมืองไทย ใช่ไม่ใช่ไม่รู้ ^^
เมื่อเราอยู่ในมุมสูงเราจะเห็นเรื่องใหญ่ ๆ สิ่งใหญ่ ๆ เล็กลงทันตา "ปัญหา" ก็เช่นกัน
พื้นที่สีเขียวยังมีอยู่มาก การได้หนีจากเมืองที่เต็มไปด้วยรถรา แล้วจากมาพบพานกับธรรมชาติ มันทำให้เราได้เติมพลังชีวิต คุณว่าจริงไหมครับ ^^
เห็นมุมเหลืองใต้ภาพไหมครับ เดี๋ยวผมจะซูมให้ดู ถ้าเราได้อยู่บ้านหลังนี้ เราจะได้อยู่กับธรรมชาติตลอดปีตลอดชาติเลยครับ ^^
การเดินทางแต่ละครั้ง ไม่ต้องมีอะไรมากครับ ไปกับใจที่ปล่อยว่าง, กล้องถ่ายรูปสักตัว แล้วก็จินตนาการที่ไร้ซึ่งข้อจำกัด
เราเดินทางกันต่อดีกว่านะครับ จะพาไปไร่มะเขือเทศ...นะเจ้า
นานกี่ชั่วโมงแล้วไม่รู้ที่พวกเราเพลิดเพลินไปกับการถ่ายภาพ และสูดอากาศที่บริสุทธิ์ รวมถึงยังได้ไปชมไร่มะเขือเทศที่รอเวลาเก็บเกี่ยว
จากนั้นก็เตรียมตัวกลับไปยังรถตู้ของพวกเรา เพื่อที่จะเดินทางไปยัง โครงการหลวงแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ต่อไป แต่ก่อนจะไปเปลี่ยนรถ พวกเราก็เจอคุณพี่ท่านนี้ กำลังขนกะหล่ำปลีขึ้นรถเพื่อนำไปขายส่งออก จึงได้มีการขอถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก
ถามไถ่กันพอหอมปากหอมคอ จึงได้รู้ว่ากะหล่ำที่ขนลงมาจากแปลงปลูก แบกทีเป็นร้อย ๆ กิโลฯ นับว่าหนักหนาเอาการ ก่อนจากกัน คุณพี่ยังใจดีให้กะหล่ำเรามาฟรี ๆ ก่อนที่มันจะกลายเป็นกะหล่ำปลีผัดน้ำปลาในมื้อเที่ยงของเรานั่นเอง
กลับถึงที่พักก็กินข้าวกันก่อน สิ่งสำคัญสำหรับการเดินทาง และแน่นอน 1 ในเมนูต้องมีกะหล่ำปลีผัดน้ำปลา ^^
ได้เวลาต้องขึ้นรถจากลาโครงการหลวงแม่โถกันแล้ว เวลาของความสุขมันผ่านไปเร็วจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เราก็ได้ไปหลายสถานที่กันเลยทีเดียว แต่ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่เราได้พบเจอมามันคือประสบการณ์ที่ดี ที่หาได้ค่อนข้างยากในเมืองใหญ่ สัญญาว่าจะจำภาพเหล่านี้ไว้ในใจตลอดไป และจะบอกไปไกล ๆ ว่าเมืองไทยเรายังมีที่น่าท่องเที่ยวอีกมากมาย คุณต้องไป...แล้วจะได้รู้
และก่อนออกจากโครงการหลวงฯ ก็ผ่านบ้านหลังหนึ่ง กำลังคัดแยกมะเขือเทศ ไม่รอช้าที่จะลงไปพูดคุยทักทายและชักภาพกลับมาว่านี่คือกระบวนการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ก่อนส่งขายต่อไป
เส้นทางการเดินทาง
ถ้ามารถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะทางราว 750 กิโลเมตร และจากจังหวัดเชียงใหม่ เดินทางตามเส้นทางเชียงใหม่-ฮอด ทางหลวงหมายเลข 108 (สายเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน) ประมาณ 89 กิโลเมตร ถึงอำเภอฮอดแล้วให้เลี้ยวขวาไปตามถนนฮอด-แม่สะเรียง (หมายเลข 108) อีก 54 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาที่แยกบ้านกองลอย มุ่งหน้าไปบ้านแม่โถ (ตามทางหลวง 1270 สายกองลอย-แม่โถ) ถนนช่วงนี้เป็นถนนลูกรัง ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร โดยเส้นทางถึงโครงการหลวงฯ เราสามารถใช้รถได้ทุกประเภท เพราะปัจจุบันมีถนนลาดยางจนถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติแม่โถ แต่พอจะเข้าสู่อุทยานแห่งชาติแม่โถ หากไปช่วงฤดูฝนแนะนำเป็นรถกระบะจะสะดวกที่สุด ส่วนเส้นทางจะไปชมวิวแบบ 360 องศา พาหนะที่ดีที่สุด คือ รถโฟร์วีล รวมระยะทางทั้งหมดจากกรุงเทพฯ-อุทยานแห่งชาติแม่โถ ประมาณ 910 กิโลเมตร
ขอบคุณโครงการหลวงแม่โถมาก ๆ ที่ทำให้ผมได้รู้ว่า เมืองไทยของเรายังมีที่ท่องเที่ยวดี ๆ แบบนี้อยู่ และถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาเยือนอีกแน่นอน เอาล่ะครับ เส้นทางต่อไปจะพาคุณ ๆ ไปเยือนดินแดนแม่ลาน้อย เยี่ยมชมโครงการหลวงกับทุ่งนาขั้นบันไดและรวงข้าวสีทอง แวะถิ่นบ้านห้วยห้อมแหล่งผลิตกาแฟ ผ้าพันคอขนแกะ กับรีวิวตอนจบ อีกไม่นานเกินรอ...
ฝากไว้นิดนึงนะครับ ก่อนจากกันในรีวิวนี้ การเดินทางมาท่องเที่ยวที่ไกลแสนไกล ต้องไม่ลืมใส่ใจคนใกล้ตัวนะครับ ไม่ว่าเขาจะเดินทางมากับเรา หรือไม่มากับเราก็ตาม เครื่องมือเทคโนโลยีที่เราถือติดตัวมา ลองดูดี ๆ มันทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น หรือทำให้เราห่างไกลกว่าเดิม แล้วพบกันใหม่ครับ >>>> กับรีวิวตอนหน้า โครงการหลวงแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ^^
แถมภาพครับ ^^
ความเป็นมา
เนื่องจากพื้นที่บ้านแม่โถมีชาวเขาเผ่าม้งและกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ ยึดอาชีพปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอย ขาดความรู้และความเอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อม ต้องต่อสู้กับความลำบากยากจนเรื่อยมา จนกระทั่งปี พ.ศ. 2539 ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถได้ก่อตั้งขึ้น ตามแนวนโยบายส่งเสริมอาชีพการเกษตรแผนใหม่เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น และการลดใช้สารเคมีในกะหล่ำปลี โดยลักษณะที่ตั้งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ เป็นภูเขาสลับซับซ้อนทอดยาวตามแนวเหนือ-ใต้ สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 800-1,200 เมตร มีพื้นที่รับผิดชอบ 85.49 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุม 4 หมู่บ้าน ในอำเภอฮอดและอำเภอแม่แจ่ม
นอกจากนี้ ที่นี่มีกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรมากมาย เช่น ชมแปลงส่งเสริมผลผลิตของเกษตรกร, ชมการปลูกผักในโรงเรือนไม้ไผ่, ชมแปลงส่งเสริมไม้ผล และชมแปลงดอกอัสสโตรมีเรีย ฯลฯ (อ่านเรื่องราวดี ๆ ได้ที่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ) เอาเป็นว่ารู้จักและทักทายกันพอสมควรแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาไปเที่ยวกันแล้วจ้า ^^
+++++++++++++++
หลังจากที่ไม่ได้ออกเดินทางมานานแสนนาน
ไม่ว่าจะเป็นต่างจังหวัดหรือนอกประเทศก็ตาม
ส่วนใหญ่จะติดในเรื่องของเวลาเสียมากกว่า
แต่เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา (พ.ศ. 2556)
ผมก็มีโอกาสได้ไปท่องเว็บท่องเที่ยวของเพื่อน
ซึ่งมีการเปิดทริปหารเฉลี่ยโครงการหลวงแม่โถ จังหวัดเชียงใหม่
โครงการหลวงแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน อีกทั้งยังได้ไปแวะสวนสนบ่อแก้ว
จังหวัดเชียงใหม่ การลังเลของผมจึงลดน้อยลง ก่อนที่จะตกลงเดินทาง
"ไปด้วยกัน" ในที่สุด
ผมไม่รู้หรอกว่าการเดินทางครั้งนี้จะได้ไปพบเจอกับอะไรบ้าง เพราะบอกรายชื่อมาก็ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยไปเยือน รู้แค่ว่าผมจะได้พบกับนาข้าวสีเหลืองทอง จะได้ไปสัมผัสกับอากาศในช่วงของปลายฝนต้นหนาว จะได้พบกับเด็ก ๆ ในถิ่นที่ห่างไกลความเจริญ แค่นี้ก็รู้สึกว่าเต็มอิ่มแล้วสำหรับทริปนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 3 วัน 2 คืน
ผมไม่รู้หรอกว่าการเดินทางครั้งนี้จะได้ไปพบเจอกับอะไรบ้าง เพราะบอกรายชื่อมาก็ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยไปเยือน รู้แค่ว่าผมจะได้พบกับนาข้าวสีเหลืองทอง จะได้ไปสัมผัสกับอากาศในช่วงของปลายฝนต้นหนาว จะได้พบกับเด็ก ๆ ในถิ่นที่ห่างไกลความเจริญ แค่นี้ก็รู้สึกว่าเต็มอิ่มแล้วสำหรับทริปนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 3 วัน 2 คืน
ก่อนการเดินทางไม่กี่วันจากข้อมูลที่ได้รับว่าจะได้ไปบ้านห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งที่นั่นมีการผลิตกาแฟรสชาติชั้นเลิศถึงขนาดส่งออกร้านกาแฟยอดฮิตตราสีเขียวในบ้านเราแล้ว ยังจะได้พบกับน้อง ๆ หนู ๆ ผมจึงคิดว่าไหน ๆ ก็จะเดินทางไปในถิ่นที่ไกลโพ้นขนาดนี้ เราควรซื้อข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ในกำลังแรงที่เราพอจะซื้อได้ไปให้พวกเขาด้วยจะดีกว่า หัวหน้าของผมพอทราบข่าวก็ช่วยสมทบมาอีกส่วนหนึ่ง
ของที่ผมนำไปก็มีทั้งสมุดวาดภาพระบายสี ขนม เชือกกระโดด ฯลฯ ไม่ได้เรียกว่าเป็นการบริจาค แต่ขอเรียกว่า “ปันกัน” จะดีกว่า และเมื่อเห็นรอยยิ้มของคนรับ คนให้ก็มีความสุข
เราออกเดินจาก กทม. เวลาราว ๆ 2 ทุ่มในค่ำคืนของวันพฤหัส ก่อนที่จะไปรุ่งสางที่ "ออบหลวง" เพื่อพักกินข้าวระหว่างทาง พักรถ ล้างหน้าล้างตาแปรงฟัน จุดแรกที่จะเดินทางไป คือ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ชื่อไม่คุ้นกันเลยใช่ไหมครับ ไม่เป็นไร จากนี้ไปผมจะทำให้ทุกคนได้คุ้นเคยกับชื่อนี้กันมากขึ้น
และเส้นทางไปเราต้องผ่าน "สวนสนบ่อแก้ว" ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนเลย หากมีเวลาก็สามารถแวะลงไปถ่ายภาพได้ ผมขอใช้เวลาตรงนี้สักนิด เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์กับธรรมชาติสีเขียว
เส้นทางไป โครงการหลวงแม่โถ เราต้องผ่านพบอะไรอีกมากมาย
ไม่นานเราก็เดินทางต่อไปถึงโครงการหลวงแม่โถ ราวเที่ยงนิด ๆ ท้องเริ่มร้องแล้วสิ เหนือสิ่งอื่นใด กองทัพต้องเดินด้วยท้องก็ไม่น่าจะผิดคำพูดนี้นัก
พวกเราจัดการอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย อร่อยที่ว่าคือไม่ต้องมาจากเมนูภัตตาคารหรูที่ไหน แต่มาจากฝีมือแม่ครัวบนดอยของเรานี่เอง
มาพร้อมกับผักสด ๆ จากแปลงปลูก ที่รับรองได้เลยว่ากัดลงไปจะรับรู้ได้ถึงความกรอบและสดจริง ๆ
ว่ากันว่าแหล่งท่องเที่ยวของที่นี่จะเด่นในเรื่องของการปลูกผักปลอดสารพิษเพื่อการส่งออก การท่องเที่ยวเชิงเกษตร เน้นป่าเขาลำเนาไพรท่องไปในทุ่งข้าว
พวกเราพร้อมแล้วล่ะครับกับการท่องเที่ยวเชิงเกษตร แต่ขอบอกก่อนว่ารถที่ควรจะนำออกไปลุยนั้น ควรเป็นรถโฟร์วีลเท่านั้น ถ้าไม่มีสามารถติดต่อขอใช้บริการรถของโครงการหลวงได้ ซึ่งเราอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายตอบแทนตามความเหมาะสม เพราะรถดังกล่าวเขามีไว้ใช้เพื่องานของโครงการ ไม่ได้มีเอาไว้ใช้บริการนักท่องเที่ยวโดยตรง
จากข้อมูลที่ผมได้หามาพบว่า ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ จัดตั้งขึ้นตามแนวนโยบายส่งเสริมอาชีพเกษตรกรแผนใหม่ ทดแทนการปลูกฝิ่นและการลดใช้สารเคมีกะหล่ำปลี
ลักษณะภูมิประเทศทั่วไป เป็นภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน ทอดยาวตามแนวเหนือใต้ อยู่ในแนวเดียวกันกับเทือกเขาอินทนนท์ ที่มีความสูงตั้งแต่ 400-1,699 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง มียอดที่สูงที่สุด คือ ยอดดอยกิ่วไร่ม้ง อยู่ในพื้นที่บ้านปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม โดยมีความสูง 1,699 เมตร ส่วนที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่โถ ตั้งอยู่ที่ความสูงประมาณ 1,200 เมตร
ฤดูที่เหมาะแก่การมาท่องเที่ยวที่นี่ คือ ฤดูหนาวในช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีสูงสุดประมาณ 27 องศา และต่ำสุดประมาณ 8 องศา และช่วงที่ผมไป คือ วันที่ 18 ตุลาคม 2556 ณ เวลานั้น ค่ำคืนนั้น อุณหภูมิอยู่ที่ราว ๆ 18 องศา ก็เย็นพอตัว น้ำจากขันพอราดลงบนร่างกายความหนาวสั่นก็เข้ามาแทนที่
รุ่งเช้าเราเริ่มต้นกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยการขึ้นรถโฟร์วีลออกเดินทางไปตามเส้นทางเขา ชมวิวทิวทัศน์ระหว่างทางไปเรื่อย ๆ
พวกเราต่างมีความสุขกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะมันหาได้ยากนัก หรือแทบจะหาไม่ได้เลยในเมืองกรุง ที่ที่พวกเราเดินทางจากมา
สิ่งที่พบเห็นระหว่างการเดินทาง
เอาล่ะครับ มาถึงที่แรกกันแล้ว เรือนปลูกผักของโครงการหลวงฯ ซึ่งมีหลากหลายพันธุ์พืช ไม่ว่าจะเป็น เบบี้ฮ่องเต้ เบบี้คอส ผักกาดหวาน เรดโครอล โอ๊คลีฟแดง ผักโขมแดง ฯลฯ
ภายใต้การพามาชมโดย "น้องเมย์" สาวแม่โจ้ นักพัฒนาสังคม เจ้าหน้าที่ประจำโครงการหลวงแม่โถ แถมยังโชว์ฝีมือเป็นหนึ่งในแม่ครัวในหลาย ๆ มื้อของเราตลอดการอยู่ที่นั่นด้วย
ผมได้มีโอกาสสอบถามเธอว่าเบื่อไหมกับการต้องมาอยู่บนป่า บนดอยแบบนี้ เธอตอบแบบไม่คิดว่านี่คือความสุขของเธอที่ได้ทำงานแบบนี้ และสนุกดี ไม่ต้องไปทำงานเอกสารให้เครียดเปล่า ๆ ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะรอยยิ้มของเธอบ่งบอกถึงความยินดี ถึงมิตรภาพที่พร้อมจะเสนอให้ผู้ที่มาเยี่ยมชม
น้องเมย์ พาเราไปเยี่ยมชมโรงเรือนปลูกผักต่าง ๆ ถ่ายรูปกันสนุกสนาน พวกเราต่างเพลินเพลินกับผักสีเขียวเบื้องหน้า มันละลานตาไปหมด บางครั้งก็ให้ น้องเมย์ มาเป็นนางแบบเฉพาะกิจ อาจจะดูเขิน ๆ ไปบ้าง แต่ด้วยความเป็นกันเองของพวกเรา ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี
เห็นภาพเขียวสดสวยแบบนี้ ใครจะรู้ว่าพวกเราต้องลงไปย่ำกับดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน ดินติดรองเท้าหนักเป็นกิโล ๆ กว่าจะได้แต่ละภาพมา กว่าจะได้ชื่นชม ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแต่ก็เป็นสิ่งที่พวกเรายินดีที่จะพบเจอ
ผักสีเขียวสดกรอบเหล่านี้ เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ได้ที่ก็จะถูกส่งออกไปยังสถานที่ ร้านค้าต่าง ๆ หรือตามร้านใหญ่ในห้างก็ได้ผักมาจากที่นี่แหละ
หลายคนบอกอยากดูว่าอาหารที่พวกเรากินกัน อย่างที่บอกไม่ได้ดูหรูหรา แต่รับรองกินแล้วจะติดใจ (ตามที่ได้รีวิวไปแล้วข้างบน) เมนูที่นี่ส่วนใหญ่เน้นผัก เราสามารถแจ้งล่วงหน้าให้ทางโครงการจัดเตรียมอาหารให้เราได้ คิดราคามื้อละประมาณ 75 บาทต่อคน จุดที่เรากินข้าวจะอยู่ในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการฯ สามารถโทรศัพท์ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ บ้านแม่โถ โทรศัพท์ 08 5623 3295 เพื่อให้อำนวยความสะดวกตรงนี้ให้ครับ
โรงเรือนปลูกผักอันกว้างขวางครับ
ยังมีโรงเลี้ยงหมูด้วยนะครับ ^^
เมื่อตะวันเริ่มคล้อยนกน้อยบินกลับรัง พวกเราก็ได้เวลาต้องหาที่พักร่างกันบ้างแล้ว เราเลือกใช้บริการที่พักของอุทยานแห่งชาติแม่โถ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลมากนักจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงฯ ที่พักมีหลายหลัง พวกเราไปกันถึง 10 คน จึงเลือกใช้บ้านหลังใหญ่ ภายในจะมีทั้งหมด 3 ห้องเล็ก (ขนาด 2 เตียงเดี่ยว) และ 1 ห้องใหญ่ (ห้องนี้นอนได้ราว 10 คน) ทุกห้องมีห้องน้ำในตัว สามารถจองได้ที่โครงการหลวงแม่โถ ราคา 150 บาท/คน ครับ ราคา ณ วันที่เดินทางไป คือ เดือนตุลาคม 2556
เข้าสู่วันที่ 3 ของการท่องเที่ยว พวกผมตื่นกันแต่เช้า หลังจากที่พวกเราให้ผักสีเขียวที่กินเข้าไปได้ทำการซ่อมและประกอบร่างให้เราทั้งคืน ก็ได้เวลาตะลุยท่องเที่ยวกัน
ครั้งนี้เราได้ "น้องนะ" นักพัฒนาสังคม เจ้าหน้าที่จากโครงการหลวงอีกคนหนึ่ง พาพวกเราไปชมวิว ณ จุดชมวิวที่สวยที่สุดของแม่โถ แว่วว่าเป็นจุดชมวิว 360 องศากันเลยทีเดียว สุดแสนจะตื่นเต้น โดยรถที่พาพวกเราไปก็เป็นรถโฟร์วีลเช่นเคย เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
ทุกพื้นที่ของโครงการหลวงแม่โถ มันคือพื้นที่สีเขียวจริง ๆ ชมภาพผ่านสายตาแล้วนึกย้อนไปถึงพระราชดำริของในหลวง ที่พระองค์ทรงคิดการณ์ไกลในการสอนให้ชาวเขาได้ปลูกพื้นสีเขียวแทนการปลูกฝิ่นที่ผิดกฎหมาย และมันก็ได้ประโยชน์ สร้างรายได้ให้ชาวบ้านโดยสุจริตจริง ๆ
เราใช้เวลาอยู่กับภาพเบื้องหน้านานมาก มันคือความงามที่ถ้าไม่ได้มาเอง ฟังแค่การเล่าจากปากของคนอื่นก็อาจจะเสพความสุขได้ไม่เต็มที่ ต้องมาเองแล้วจะรู้ว่าความสุขจริง ๆ เป็นอย่างไร ผมยิงภาพเป็นร้อย ๆ ภาพ ซึ่งเวลาที่อยู่ในเมืองกรุง ผมไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตเอื่อย ๆ แบบนี้เท่าไรนัก
เห็นเส้นทางข้างหน้าไหมครับ นั่นคือ เส้นทางที่เราจะเอารถโฟร์วีลลงไปครับ ^^
เรามาชมความงาม 360 องศากันต่อดีกว่าครับ
พวกเราชาวคณะเรียกมุมนี้ว่า ซาปาเมืองไทย ใช่ไม่ใช่ไม่รู้ ^^
เมื่อเราอยู่ในมุมสูงเราจะเห็นเรื่องใหญ่ ๆ สิ่งใหญ่ ๆ เล็กลงทันตา "ปัญหา" ก็เช่นกัน
พื้นที่สีเขียวยังมีอยู่มาก การได้หนีจากเมืองที่เต็มไปด้วยรถรา แล้วจากมาพบพานกับธรรมชาติ มันทำให้เราได้เติมพลังชีวิต คุณว่าจริงไหมครับ ^^
เห็นมุมเหลืองใต้ภาพไหมครับ เดี๋ยวผมจะซูมให้ดู ถ้าเราได้อยู่บ้านหลังนี้ เราจะได้อยู่กับธรรมชาติตลอดปีตลอดชาติเลยครับ ^^
การเดินทางแต่ละครั้ง ไม่ต้องมีอะไรมากครับ ไปกับใจที่ปล่อยว่าง, กล้องถ่ายรูปสักตัว แล้วก็จินตนาการที่ไร้ซึ่งข้อจำกัด
เราเดินทางกันต่อดีกว่านะครับ จะพาไปไร่มะเขือเทศ...นะเจ้า
นานกี่ชั่วโมงแล้วไม่รู้ที่พวกเราเพลิดเพลินไปกับการถ่ายภาพ และสูดอากาศที่บริสุทธิ์ รวมถึงยังได้ไปชมไร่มะเขือเทศที่รอเวลาเก็บเกี่ยว
จากนั้นก็เตรียมตัวกลับไปยังรถตู้ของพวกเรา เพื่อที่จะเดินทางไปยัง โครงการหลวงแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ต่อไป แต่ก่อนจะไปเปลี่ยนรถ พวกเราก็เจอคุณพี่ท่านนี้ กำลังขนกะหล่ำปลีขึ้นรถเพื่อนำไปขายส่งออก จึงได้มีการขอถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก
ถามไถ่กันพอหอมปากหอมคอ จึงได้รู้ว่ากะหล่ำที่ขนลงมาจากแปลงปลูก แบกทีเป็นร้อย ๆ กิโลฯ นับว่าหนักหนาเอาการ ก่อนจากกัน คุณพี่ยังใจดีให้กะหล่ำเรามาฟรี ๆ ก่อนที่มันจะกลายเป็นกะหล่ำปลีผัดน้ำปลาในมื้อเที่ยงของเรานั่นเอง
กลับถึงที่พักก็กินข้าวกันก่อน สิ่งสำคัญสำหรับการเดินทาง และแน่นอน 1 ในเมนูต้องมีกะหล่ำปลีผัดน้ำปลา ^^
ได้เวลาต้องขึ้นรถจากลาโครงการหลวงแม่โถกันแล้ว เวลาของความสุขมันผ่านไปเร็วจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เราก็ได้ไปหลายสถานที่กันเลยทีเดียว แต่ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่เราได้พบเจอมามันคือประสบการณ์ที่ดี ที่หาได้ค่อนข้างยากในเมืองใหญ่ สัญญาว่าจะจำภาพเหล่านี้ไว้ในใจตลอดไป และจะบอกไปไกล ๆ ว่าเมืองไทยเรายังมีที่น่าท่องเที่ยวอีกมากมาย คุณต้องไป...แล้วจะได้รู้
และก่อนออกจากโครงการหลวงฯ ก็ผ่านบ้านหลังหนึ่ง กำลังคัดแยกมะเขือเทศ ไม่รอช้าที่จะลงไปพูดคุยทักทายและชักภาพกลับมาว่านี่คือกระบวนการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ก่อนส่งขายต่อไป
เส้นทางการเดินทาง
ถ้ามารถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะทางราว 750 กิโลเมตร และจากจังหวัดเชียงใหม่ เดินทางตามเส้นทางเชียงใหม่-ฮอด ทางหลวงหมายเลข 108 (สายเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน) ประมาณ 89 กิโลเมตร ถึงอำเภอฮอดแล้วให้เลี้ยวขวาไปตามถนนฮอด-แม่สะเรียง (หมายเลข 108) อีก 54 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาที่แยกบ้านกองลอย มุ่งหน้าไปบ้านแม่โถ (ตามทางหลวง 1270 สายกองลอย-แม่โถ) ถนนช่วงนี้เป็นถนนลูกรัง ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร โดยเส้นทางถึงโครงการหลวงฯ เราสามารถใช้รถได้ทุกประเภท เพราะปัจจุบันมีถนนลาดยางจนถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติแม่โถ แต่พอจะเข้าสู่อุทยานแห่งชาติแม่โถ หากไปช่วงฤดูฝนแนะนำเป็นรถกระบะจะสะดวกที่สุด ส่วนเส้นทางจะไปชมวิวแบบ 360 องศา พาหนะที่ดีที่สุด คือ รถโฟร์วีล รวมระยะทางทั้งหมดจากกรุงเทพฯ-อุทยานแห่งชาติแม่โถ ประมาณ 910 กิโลเมตร
ขอบคุณโครงการหลวงแม่โถมาก ๆ ที่ทำให้ผมได้รู้ว่า เมืองไทยของเรายังมีที่ท่องเที่ยวดี ๆ แบบนี้อยู่ และถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาเยือนอีกแน่นอน เอาล่ะครับ เส้นทางต่อไปจะพาคุณ ๆ ไปเยือนดินแดนแม่ลาน้อย เยี่ยมชมโครงการหลวงกับทุ่งนาขั้นบันไดและรวงข้าวสีทอง แวะถิ่นบ้านห้วยห้อมแหล่งผลิตกาแฟ ผ้าพันคอขนแกะ กับรีวิวตอนจบ อีกไม่นานเกินรอ...
ฝากไว้นิดนึงนะครับ ก่อนจากกันในรีวิวนี้ การเดินทางมาท่องเที่ยวที่ไกลแสนไกล ต้องไม่ลืมใส่ใจคนใกล้ตัวนะครับ ไม่ว่าเขาจะเดินทางมากับเรา หรือไม่มากับเราก็ตาม เครื่องมือเทคโนโลยีที่เราถือติดตัวมา ลองดูดี ๆ มันทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น หรือทำให้เราห่างไกลกว่าเดิม แล้วพบกันใหม่ครับ >>>> กับรีวิวตอนหน้า โครงการหลวงแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ^^
แถมภาพครับ ^^
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
และ คุณตัวเรา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณตัวเรา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
และ คุณตัวเรา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณตัวเรา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม