x close

ดูไบ เมืองแห่งความมหัศจรรย์






เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม

          หลังจาก "มูนา ซาราวาณี"ม่ายสาวชาวไทย ที่ไปแต่งงานกับเศรษฐีชาวดูไบ ซึ่งรวยติดอันดับ 1 ใน 5ของดูไบ ไปออกรายการ ตีสิบ ทางช่อง 3 บอกเล่าเรื่องราวที่ไปใช้ชีวิต ณดูไบ รัฐหนึ่งในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates)ทำเอาสาวๆ นั่งฝันหวานถึงชีวิตที่น่าอิจฉาของเธอ พร้อมๆ กับอยากรู้จัก"ดูไบ" ให้มากกว่าขึ้นแน่ๆเพราะฉะนั้นเราจึงจะพาไปท่องเที่ยวและสัมผัสชีวิตของชาว "ดูไบ"กัน...ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมตัวไปเที่ยวดูไบกันเถอะ

          ดูไบ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศมีพื้นที่ประมาณ 3,225 ตารางกิโลเมตรและมีประชากรประมาณ 1,674,527 คน ดูไบถือเป็นเมืองแห่งความมหัศจรรย์เพราะที่ถูกผันแปรจากดินแดนทะเลทรายมาสู่ความมั่งคั่งในการค้า บริการการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และศูนย์กลางธุรกิจไม่จำกัดเฉพาะการค้าน้ำมันแบบก่อนๆ

          ขณะที่ตึกสูงระฟ้าผุดขึ้นทั่วเมืองรวมถึงตึกสูงสุดในโลกกว่า 180 ชั้นที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างว่ากันว่าเครนที่ใช้งานก่อสร้างในโลกขณะนี้ กว่า 40% อยู่ในดูไบ (โอ้โห)และรายได้หลักของชาวดูไบมาจากหลายทางไม่เฉพาะการขายน้ำมันถือที่ถือว่าเป็นรายได้หลักของประเทศเพราะมีการผลิตน้ำมันสู่ตลาดโลกวันละ 2-2.5 ล้านบาร์เรลหากคิดรายได้เป็นเงินไทยตกวันละร่วมหมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่มีไม่มากและส่วนใหญ่ประชากรเป็นชาวต่างชาติที่เข้าไปอาศัย กว่า 75%ที่นี่จึงนับเป็นเมืองน่าสนใจที่สุดด้วยอัตราการเติบโตของจีดีพีสูงที่สุดในโลก

         และไม่ต้องกลัวว่าไปเที่ยวดูไบเมืองทะเลทรายแล้วจะขาดน้ำเพราะทุกวันนี้ดูไบซึ่งไม่มีแหล่งน้ำจืด ได้สร้างโรงกลั่นน้ำทะเลของตัวเองจนสามารถกลั่นออกมาเป็นน้ำจืด มากกว่าความต้องการจริงถึงวันละ 3เท่า...ไม่มีฝันอะไรอีกแล้ว ที่ดูไบทำไม่ได้ (จริงไหม)

 ข้อมูลรัฐ..."ดูไบ"

          ที่ตั้ง :ตะวันออกกลาง (Middle East) มีอาณาเขตติดต่อกับอ่าวโอมาน (The Gulf ofOman) และอ่าวเปอร์เซีย (The Persian Gulf)ระหว่างประเทศโอมานกับซาอุดิอาระเบีย

          ภูมิประเทศ: สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 7 รัฐ ประกอบด้วย AbuDhabi ซึ่งมีสถานะเป็นเมืองหลวง นอกจากนั้นก็มีเมือง Dubai , Sharjah,Ajman, Umm Al Quwain, Ras Al Khaimah และ Fujairahโดยมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 83,600ตารางกิโลเมตรโดยเป็นพื้นที่ของดูไบประมาณ 3,225 ตารางกิโลเมตรมีอ่าวหรือเกาะเล็กตัดผ่านเมือง ทำให้แบ่งเมืองดูไบออกได้เป็น 2 ส่วน คือเมือง Deira ทางตอนเหนือ และเมือง Bur Dubai ทางตอนใต้

          เชื้อชาติ : ชาวเอมิเรตส์ 19%, ชาติอาหรับและอิหร่าน 23%, เอเชียใต้ 50%, ชาวตะวันตกและชาวเอเชียตะวันออก 8% 

          ศาสนา : เป็นมุสลิม 96% (ลัทธิชีอะห์ 16%) โดยมีชนกลุ่มน้อยที่นับถือศานาคริสต์ ฮินดูและอื่นๆ อีก 4% 

          ภาษา : มีภาษาอาระบิกเป็นภาษาทางการ โดยมีภาษาที่สองคือ ภาษาเปอร์เซีย อังกฤษ ฮินดู และ ภาษอิรดู 

          ประชากร : 419, 104 คน

          พื้นที่ : 35 ตารางกิโลเมตร

          เขตเวลา : GMT/UTC + 4 hours

          ภูมิอากาศ :มีลักษณะกึ่งเขตร้อน และแห้งแล้ง โดยมีอุณหภูมิระหว่างต่ำสุดคือเกือบ 10องศาเซลเซียส ไปจนถึงอุณหภูมิที่ระดับ 48 องศาเซลเซียสขณะที่อุณหภูมิเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 24 องศาเซลเซียสแต่ในเดือนกรกฎาคมอุณหภูมิเฉี่ยอยู่ที่ 41 องศาเซลเซียส 

          อาหาร :อาหารของชาติอาระบิก จะมีรสชาติคล้ายคลึงกับอาหารเมดิเตอร์เรเนียนโดยมีข้าวหมกเป็นอาหารยอดฮิต มีรสชาติจัดจ้านสำหรับของว่างก็จะมีพวกซาโมซา หรือ ผักย่างรวมไปถึงกาปับ (เนื้อสัตว์ย่าง)และที่พลาดไม่ได้สำหรับของหวานคือ Um Ali หรือพุดดิ้งนมนั่นเอง

ประวัติเมืองดูไบ

         ในปี 1833 ชนเผ่า Bani Yas tribe ประมาณ 800 คน นำโดยตระกูล Maktoumซึ่งยังปกครองประเทศอยู่ในปัจจุบัน ได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งบริเวณปากอ่าวซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นท่าเรือ ที่อุดมสมบูรณ์จึงทำให้ดูไบกลายเป็นศูนย์กลางของการค้าทางทะเลรวมทั้งการทำประมงและการทำฟาร์มไข่มุก หลังจากนั้นในปีศตวรรษที่ 20ประเทศดูไบก็กลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าและการส่งออกที่สำคัญ โดยมีซุก (ชื่อเรียกของตลาดบริเวณตะวันออกกลาง)ขนาดใหญ่ที่สุดตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า Diera

          ปี 1966ดูไบกลายมาเป็นรัฐมหาอำนาจรัฐหนึ่งในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หลังจากที่มีการค้นพบน้ำมันดิบ ทำให้เมืองโบราณอายุสองพันปีกลายเป็นเมืองทันสมัยในพริบตา ด้วยโครงการ The Palmที่เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งทะเลให้กลายเป็นแหล่งความเจริญทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม และรีสอร์ท ต่างๆด้วยงบลงทุนประมาณสามพันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

          การค้าขายในดูไบประสบความสำเร็จมากสามารถดึงดูดให้พ่อค้าชาวอิหร่านและอินเดียมาตั้งถิ่นฐานเพื่อทำการค้าขายในประเทศได้แต่ขณะที่การค้าขายเจริญมากขึ้นฐานะทางการปกครองของดูไบก็ยังคงเป็นแค่รัฐในอารักขาของอาณานิคมอังกฤษซึ่งอยู่ในส่วนหนึ่งบนพื้นที่ทางตอนเหนือของชายฝั่งของคาบสมุทรอาระเบียดังนั้น ภายหลังจากที่อังกฤษได้ถอนตัวออกจากการปกครอง ในปี 1971ดูไบพร้อมด้วยอีกหลายรัฐ ได้ร่วมกันก่อตั้งประเทศสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์

          และถัดจากนั้นในช่วงยุค 1980-1990ดูไบได้ลงทุนสร้างสิ่งก่อสร้างเกี่ยวกับการท่องเที่ยวมากมาย ทั้งนี้เพื่อรณรงค์ให้ดูไบเป็นประเทศ ท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ โดยในปี 2000จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าในดูไบมีจำนวน 3 แสนคนมากกว่าจำนวนประชากรของดูไบที่มีทั้งหมดประมาณ 850,000 คน




สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

         ดูไบเป็นเมืองที่เรียกได้ว่าล้ำสมัยไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆและสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ตระการตา ขณะเดียวกันก็ยังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าสะอาดและปลอดภัยแต่ที่ดูไบเป็นหนึ่งในลิสต์ของนักท่องเที่ยวหลายคน (โดยเฉพาะนักช้อป)ก็เพราะว่าที่นี่มีการขายสินค้าปลอดภาษี นอกจากนี้ดูไบยังมีตลาดหรือที่เรียกว่า ซุก (Souk) โดยจะขายสินค้ามากมายหลายอย่างซุกที่ขึ้นชื่อก็ย่าน Deira Covered Souk ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่ของดูไบ

          นอกจากนี้หากมาดูไบและไม่ได้พูดถึงหรือไม่ได้มาเดินแถว Gold Soukก็ถือว่าไม่ได้มาถึงดูไบเพราะที่นี้ถือเป็นตลาดทองรูปพรรณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางแต่ขอเตือนว่าหากมาเดินย่านนี้คงต้องสวมแว่นกันแดดติดตามาด้วยเพื่อความปลอดภัยของสายตาท่าน(ก็แสงแดดที่ส่องสะท้อนมายังทองดูไบดูแล้วเจิดจ้าบาดตาจริงๆ) อะๆดูไบไม่ได้มีสถานที่เที่ยวเท่านี้นะ แต่จะมีอะไรบ้างตามไปดูกันดี...








 
หมู่เกาะต้นปาล์ม

         หมู่เกาะต้นปาล์ม เป็นโครงการก่อสร้างเกาะจำลองบริเวณอ่าวเปอร์เซีย ในดูไบในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยแต่ละเกาะจะมีลักษณะรูปร่างเหมือนต้นปาล์มและล้อมรอบด้วยเสี้ยววงกลม โดยพื้นที่จะมีการจัดเป็นที่อยู่อาศัยและรีสอร์ท การพัฒนานี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศในโครงการจะมีการสร้างทั้งหมด 3 เกาะได้แก่ ปาล์ม Jumeirah, ปาล์ม Deiraและ ปาล์ม Jebel Ali



อาคารเบิร์จดูไบ

         เบิร์จดูไบ (ภาษาอาหรับ: برج دبي , Burj Dubai - หอคอยดูไบ)เป็นตึกระฟ้าสูงยวดยิ่ง ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างในย่านกลางเมืองดูไบและเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จก็จะถูกจัดเป็นอาคารระฟ้าที่สูงที่สุดในโลกกำหนดให้เข้าใช้งานได้ในต้นปี พ.ศ. 2552 ณ โดยจะสร้างให้มีความสูงประมาณ818 เมตร ในดูไบยังมีโครงการก่อสร้างตึกในชื่อว่า อัลเบิร์จที่กำลังอยู่ในระหว่างการออกแบบและวางแผนโดยความสูงยังคงถูกเก็บเป็นความลับเช่นกันโดยประมาณการว่าอาจจะสูงอย่างน้อย 800 เมตร

         การตกแต่งภายในจะบ่างออกเป็นโรงแรมอาร์มานี 37 ชั้นล่าง โดยชั้น 45 ถึง108 จะเป็น อพาร์ตเมนต์ โดยที่เหลือจะเป็นออฟฟิศสำนักงาน และชั้นที่ 123และ 124 จะเป็นจุดชมวิวของตึก ส่วนบนของตึกจะเป็นเสาอากาศสื่อสารนอกจากนี้ชั้น 78 จะมีสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่และตึกนี้จะติดตั้งลิฟต์ที่เร็วที่สุดในโลก ที่ความเร็ว 18 ม/วินาที (65กิโลเมตร/ชั่วโมง, 40 ไมล์/ชั่วโมง)

 

เบิร์จอัลอาหรับ

         เบิร์จอัลอาหรับ (ภาษาอาหรับ: برج العرب , Burj al-Arab)เป็นโรงแรมหรูหราและเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในโลก โดยมีความสูง 321 เมตร(1,053 ฟุต) โดยตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าวเปอร์เซียโดยเชื่อมต่อกับฝั่งผ่านทางสะพาน เบิร์จอัลอาหรับเป็นเจ้าของโดย จูเมราฮ์การก่อสร้างเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2537แล้วเสร็จและเริ่มเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2542โดยตัวตึกออกแบบมีลักษณะคล้ายเรือใบ dhowซึ่งเป็นยานพาหนะชนิดหนึ่งของชาวอาหรับ

         ส่วนห้องในโรงแรมเบิร์จอัลอาหรับมีลักษณะเป็นห้องสวีตคู่ 202 ห้องโดยห้องที่เล็กสุดมีขนาด 169 ตารางเมตร (1,819 ตารางฟุต)และห้องใหญ่สุดมีขนาด 780 ตารางเมตร (8,396 ตารางฟุต)และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมที่แพงที่สุดในโลกโดยราคาค่าที่พักอยู่เริ่มต้นที่ $1,000 -$15,000 ต่อคืนและห้องที่แพงสุดจะอยู่ที่ราคา $28,000 ต่อคืน

ถนน Al Fahidi 

         ถนน Al Fahidi ตั้งอยู่ใจกลางซุก Bur Dubaiเป็นศูนย์กลางร้านค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำ โฮมเธียร์เตอร์รวมไปถึงอุปกรณ์ถ่ายรูป ซึ่งเสนอขายในราคาย่อมเยาว์

Al Nasr Leisureand

         ตั้งอยู่บริเวณ Bur Dubai ห่างจากถนน Zabeelเป็นสวนสาธารณะที่ทันสมัยแห่งหนึ่งผุ้ชื่อชอบการเล่นกีฬาจะต้องถูกใจเป็นพิเศษ เพราะสวน Zabeel นี้มีทั้งลู่สำหรับโยนโบล์ลิ่ง พื้นน้ำแข็งราบสำหรับเล่นสเก๊ต และสระว่ายน้ำรวมไปถึงสวนสนุกสำหรับเด็ก เปิดทุกวัน เวลา 09.00-22.00 น.

Bait Al Wakeel

         สร้างขึ้นในปี 1934 โดยท่านชีคราชิด ซึ่งเป็นผู้ครองรัฐองค์ที่แล้วถือว่าเป็นตึกทางการแห่งแรกของดูไบโดยในปัจจุบันได้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงความเป็นมา และวิถีชีวิตของชาวประมง

Bani Yas Square

         สิ่งที่เห็นได้ชัดในบริเวณ Bani Yas Square คือ หอ Deiraที่มีลักษณะยอดบนเป็นวงกลม บริเวณจัตุรัสจะมีสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องนุ่งหุ่ม และ สินค้าบริโภคทั้งหลายให้คุณต่อรองราคากันได้

พิพิธภัณฑ์ดูไบ

         ด้านในของพิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นด้านบนและด้านล่างด้านบนจะเป็นแบบจำลองกำแพงหินและกระท่อมแบบชาวพื้นเมืองเก่าๆสำหรับด้านล่างหรือชั้นใต้ดินจะกว้างใหญ่และลึกลับซับซ้อนมากมีทั้งภาพวาดสีน้ำของดูไบในอดีตการจัดหุ่นนิ่งแสดงวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองมีการจำลองบรรยากาศใต้ทะเลโดยใช้แสงสีจำลอง ทำให้เห็นภาพของชาวดูไบในอดีตนอกจากนี้ ยังมีห้องแสดงความก้าวหน้าทางวิทยาการโบราณแบ่งซอยออกไปอีกโดยจัดแสดงพัฒนาการของตัวเลขและตัวอักษรอาระบิกรวมไปถึงการเรียนรู้วิชาดาราศาสตร์และเรื่องราวของทะเลทราย

Bastakiya 

         ย่าน Bastakiyaเป็นย่านที่เรียกได้ว่าเป็นย่านเมืองเก่าถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและ แกลอรี่ศิลปะ ของที่นี่เลยทีเดียว บริเวณดังกล่าวนี้เป็นเพียงทางแคบๆโดยมีหอกังหันลมตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง ทำให้นึกย้อนไปในอดีตที่บริเวณBastakiya นี้มักจะเต็มไปด้วยหอกังหันลมตั้งเรียงรายอยู่บริเวณที่เรียกว่า The Creekซึ่งหอกังหันลมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยประดับประดาตกแต่งย่าน Bastakiyaให้สวยงามน่าชมแล้วยังช่วยให้บรรเทาความร้อนให้กับบ้านเรือนที่ตั้งอยู่แถวนั้นก่อนที่จะมีไฟฟ้าใช้อีกด้วย

สวนสัตว์ดูไบ

         ถึงแม้ว่าสวนสัตว์ของดูไบ ที่ตั้งอยู่บนถนน Jumeirah Beach จะเล็กไปบ้างแต่เชื่อได้ว่าคุณต้องรู้สึกทึ่ง กับบรรดาสัตว์หลากหลายชนิดอาศัยที่อยู่ในนี้ เพราะนอกจากคุณจะได้เพลิดเพลินไปกับนกนานาประเภทแล้ว

          คุณยังต้องรู้สึกตื่นเต้นไปกับสัตว์น้อยใหญ่ รวมไปถึงสัตว์ที่มาจากต่างประเทศด้วย



Shiekh Zayed Road

         เทียบได้กับย่านดาวน์ทาวน์ของเมืองแมนฮัตตัน เป็นเขตการค้าของเมืองล้อมรอบไปด้วยตึกสูงระฟ้า เป็นสถานที่ตั้งของตึก World Trade Centre และโรงแรม Emirates Tower

The Creek

         เป็นจุดชมทิวทัศน์ มีลักษณะเป็นท่าเรือที่ตัดผ่านใจกลางเมืองซึ่งเป็นศูนย์รวมประวัติศาสตร์และเป็นย่านชุมชนใน ดูไบ The Creekเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเดินเล่นชมวิวทิศทัศน์ยิ่งผู้ที่สนใจวัฒนธรรมและประเพณีของผู้คนชาติต่างๆจะต้องรู้สึกชื่นชมและประทับใจกับภาพทั้งสองฟากฝั่งโดยเฉพาะภาพที่นกนางนวลหลายร้อยตัวบินโฉบฉวัดเฉวียนผ่านเรือสัญจรหรือที่เรียกว่า เรือเดา (dhow)มีลักษณะเป็นเรือใบเสาเดียวทีชาวอาหรับใช้เป็นพาหนะที่แล่นผ่านไปมามีพระอาทิตย์ดวงกลมโตที่ค่อยๆ ลดแสงลง เป็นฉากหลัง

         คุณสามารถล่องเรื่อข้ามฟากชื่นชมสองฝั่งของดูไบได้ตรงท่าขึ้นเรือตรงข้ามกับโรงแรมคอนติเนนตัลในฝั่ง Deira และตรงข้ามกับซุกเก่าในเขต Bur Dubaiและที่กับภาพความสวยงามเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนที่สุดคือตรงจุดที่เรียกว่าabra ซึ่งเป็นทางเข้าทางน้ำเล็กๆ กั้นระหว่างซุก Deira กับด้าน Bur Dubaiและหากคุณล่องเรือไปจนสุดปลายอ่าวคุณจะเห็นทะเลสาบบนเกาะหินปะการังขนาดใหญ่และเป็นที่ตื้นเขินซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นที่อพยพของสัตว์ โดยเฉพาะนกที่ในฤดูหนาวจะอพยพมาตั้งหลักแหล่งในคราวเดียวกันถึง 27,000 ตัวโดยเฉพาะนกฟลามิงโกใหญ่



Wild Wadi

         ถัดจากโรงแรม Jumerah Beach ไปไม่ไกลนักคุณจะได้พบกับสวนน้ำติดอันดับหนึ่งของโลกที่มีขื่อว่า Wild Wadiที่นี่คุณจะได้พบกับเครื่องเล่นที่เร้าใจและสนุกสนานเพลิดเพลินแนะนำเครื่องเล่น Log River, Ring Ride, Flood River, Wave Pool, FlowRides และอื่นอีกมาก

หมู่บ้านนักท่องเที่ยว Al Boom

         อยู่ติดกับสวนสาธารณะ Creekside คุณจะได้ตื่นตาตื่นใจกับร้านขายอาหารคอฟฟี่ช็อป ภัตตาคาร และสวนสนุกมากมาย ท่ามกลางบรรยายกาศและวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบ และเรือนำเที่ยวขนาดใหญ่ที่จอดรอรับลูกค้า

สถานที่ประวัติศาสตร์

         หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่ชื่นชอบเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชนชาติต่างๆคุณก็ต้องไม่พลาดที่จะเยี่ยมชมสถานที่สำคัญของดูไบเป็นที่ที่คุณสามารถพบเห็นเครืองมือเครื่องใช้ซึ่งเป็นผลผลิตที่เกิดจากมนุษย์จากยุคศตวรรษที่ 7 จนถึงศตวรรษที่ 15

          นอกจากเที่ยวชมซุกและชอปปิ้งสินค้าปลอดภาษี รวมถึงสำรวจเมืองเรียบร้อยแล้วกิจกรรมที่น่าสนใจอื่นของดูไบ ที่อยากท้าให้ลอง คือ การขี่ม้า ขี่อูฐและสำหรับท่านที่ชอบการออกรอบสนามตีกอล์ที่ดูไบนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสนามกอล์ฟคุณภาพแห่งหนึ่งของโลก ที่อำนวยความครบครันในเรื่องของความสะดวกสบาย ความใหญ่โตและความสวยงาม ในบรรยากาศของท้องทะเลทราย ที่กว้างใหญ่แต่ไม่เวิ้งว้าง

การเดินทาง

         สำหรับการทำวีซ่าดูไบนั้น ไม่สามารถยื่นเรื่องขอได้ที่สถานฑูตที่เมืองไทยต้องยื่นผ่านบริษัททัวร์หรือสายการบินเอมิเรสต์ใช้เวลาขั้นต่ำ ประมาณ 1อาทิตย์ และสามารถอยู่ได้ 1 เดือนเท่านั้นสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานสายการบินเอมิเรตส์กรุงเทพฯ โทร0-2664-1040-4 หรือเข้าเยี่ยมชมเว็บไซดต์ www.emirates.com/th

เอกสารสำหรับขอวีซ่า

         - หนังสือเดินทาง (Passport) ตัวจริง มีอายุเหลือมากกว่า 6 เดือนขึ้นไปนับจากวันเดินทาง, มีหน้าวีซ่าเหลือมากกว่า 2 หน้าขึ้นไป

          - ที่อยู่พร้อมเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้ 

 


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
- skyscrapercity.com
- th.wikipedia.org
- adisatravel.com
- pantip.com
- thaiair.info
- vacationzone.co.th

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ดูไบ เมืองแห่งความมหัศจรรย์ อัปเดตล่าสุด 14 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 18:28:28 108,391 อ่าน
TOP