x close

ใบไม้เปลี่ยนสี ที่ โซรักซาน



ทางเดินไปวัดชินอึนซา เบื้องหลังเห็นเทือกเขาโอโซรัก


ใบไม้เปลี่ยนสี ที่ "โซรักซาน" (มติชน)

โดย นงลักษณ์ ธนวัฒนกุล

           เป็นความตั้งใจของพวกเราที่อยากเห็นป่าเปลี่ยนสี เตรียมทิ้งใบเข้าสู่หน้าหนาว . . . เราเลือกเดินทางอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม เป้าหมายที่ "โซรักซาน" อุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่เหนือที่สุดของประเทศเกาหลีใต้ ในเขตเมืองซกโช (Sokcho) จังหวัดคังวานโด ตั้งอยู่ภาคตะวันออกของประเทศ


           ซกโช เป็นเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ ชายแดนติดเกาหลีเหนือ มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง ทั้งหาดนักซาน วัดนักซานซา ยงเพียงสกีรีสอร์ท โซรักวอเตอร์เพีย


พระใหญ่ก่อนถึงวัดชินอึนซา

          
          มีคนเปรียบยอดเขา "โซรักซาน" เหมือนหิมะไม่เคยละลาย เพราะมียอดหินสีขาวเหมือนมีหิมะปกคลุมอยู่ทั้งปี มีความงามในฤดูใบไม้ร่วงเหมือน "คลีโอพัตรา" ใบไม้จะหลากสีสันทั้งแดงเข้ม แดงอ่อน เหลือง เขียว อวดตัวราวกับอัญมณี


           โซรักซาน ประกอบไปด้วย เทือกเขาโอซอรัก เทือกเขาเนเชอรัก และเทือกเขานัมซอรัก เรียงซ้อนจากด้านนอกเข้ามาด้านในและลงใต้ คนเกาหลีนิยมไปชมความงามของป่าโดยวิธีการเดิน แต่มือใหม่อย่างเราเลือกเส้นทางที่ง่ายที่สุด คือเส้นทาง Gwangeumseong-Sinheungsa Temple คู่มือบอกว่า จากสถานีเคเบิลคาร์เดินไปยังยอดโซรักซานใช้เวลา 30 นาที


น้ำตก Biryong

          
          เราจองที่พักที่ Soraksan YHA ในหมู่บ้านโซรักดง ปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติโซรักซาน ที่พักราคาไม่แพง สะดวก และอยู่ติดลำธาร


           ยามเช้าอากาศสดชื่น พอฟ้าเริ่มสาง พวกเราเดินหาร้านอาหาร โดยท่องคำว่า "อูรีนึล สวีโกกิรึล อันมอกโกโย" ความหมายว่า พวกเราไม่กินเนื้อวัว (สำเนียงถูกหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ) คุณป้าเจ้าของร้านจัดเมนูเป็นซุปไข่ กิมจิจิแกหรือซุปกิมจิ รสชาติเหมือนแกงส้ม กินกับเครื่องเคียงคือกิมจิหลายๆ ชนิด อากาศเย็นๆ กินของร้อนๆ มีความสุขจริงๆ


           เรานั่งรถเมล์ประจำหมู่บ้านสาย 7 ไปปากทางเข้าอุทยาน รถวิ่งเลียบลำธารน้ำใส ป่าเปลี่ยนสีตื่นมารับแสงสีทองจากดวงอาทิตย์สวยจับใจ เห็นโค้งลำธารตัดกับป่าสีสันฉูดฉาด


           รถจอดให้ลงหน้าอุทยานแห่งชาติโซรักซาน คนเยอะมาก พวกอาจูม่า อาจอชี (คุณป้า คุณลุง) อยู่ในชุดเตรียมพร้อม trekking รองเท้า เสื้อผ้าร่ม ถุงมือกันลื่น หมวก แต่พวกเราแต่งตัวตามสบายประสามือใหม่


           ต่อคิวซื้อตั๋วขึ้นเคเบิลคาร์ได้รอบ 11.10 น. มีเวลาอีกเกือบ 2 ชม. เลยไปเที่ยววัดชินฮึงซา (Shinheugsa) เดินไปแค่ 10 นาทีเท่านั้นเอง


หอระฆังวัดชินอึนซา

          
          ก่อนถึงวัดชินฮึงซา มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่และเจดีย์ สวยมาก ไหว้พระแล้วเดินเลียบลำธาร เห็นประตูวัดเขียนว่า "ภูเขาส่งความสุข" มีทวารบาลทั้งสี่ยืนเฝ้าประตู เราเข้าไปไหว้พระ เดินชมวัด แล้วบริจาคซื้อหลังคากระเบื้องแผ่นละ 10,000 วอน (เกือบ 400 บาท) ทำบุญร่วมสร้าง 4 คน พร้อมกับเขียนข้อความอธิษฐาน


           ได้เวลาขึ้นเคเบิลคาร์ ขณะรอคิวกลุ่มอาจูม่าประมาณชมรมคนแก่รักสุขภาพ ร้องรำทำเพลง เต้นระบำพื้นบ้าน พ่อแม่พาลูกเล็กมาเที่ยว


           วิวที่มองจากเคเบิลคาร์สวยสุดใจ มองเห็นลำธารผ่านป่าสลับสี เสียดายปีนี้ลมหนาวมาช้ากว่าทุกปี ซ้ำยังมีฝนอีกต่างหาก เป็นเพราะลานินญ่าแท้ๆ


           ถึงสถานี มีร้านค้าขายกาแฟ มันเผา และขนมหน้าตาเหมือนแป้งทอดไส้ถั่วแดงราดซอสหวาน กินพออุ่นท้องแล้วลุยต่อ


           ป้ายชี้บอกทางโซรักซานพีค เส้นทางง่ายๆ เหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ ตลอดทางปูยางกันลื่น แม้มีใบไม้ร่วงก็ไม่ลื่น


           เดินผ่านต้นเมเปิ้ลแดงเป็นระยะๆ ถึงลานหินกว้าง จุดพักสุดท้ายก่อนขึ้นยอดโซรักซาน พักถ่ายรูปเย็นๆ ใจ ตะโกนบอกรัก ฮยอนบิน เลียนแบบซัมซุนแล้วปีนต่อ


อาณาจักรศิลปินจีเร บ้านตระกูลคิม อายุ 400 ปี

          
          ทางขึ้นช่วงสุดท้ายไม่ยากแต่เสียว ห้ามหันมามองเด็ดขาด ห้ามสวนทาง พอมีคนลงก็ต้องหลบให้ลงสลับกับช่วงขาขึ้น


           ยิ่งสูงยิ่งไม่หนาวแฮะ เพราะร่างกายอุ่นจากการใช้แรงปีน ปลดผ้าพันคอและหมวกออก รับลมหนาวสดชื่น เจ้าหน้าที่ Northface Korea บอกว่า ถ้าท้องฟ้าเปิดจะมองเห็นไปถึงเกาหลีเหนือ นั่งมองเทือกเขาโอซอรักประทับไว้ในใจ แล้วก็ตัดใจลงดีกว่า ก่อนเจอกองทัพอาจูม่า


           ลงจากเคเบิลคาร์ยังไม่อยากจากโซรักซานไปเลย ก็เลยเดินเลียบลำธารไปเรื่อยๆ เข้าไปในป่าเย็น มีอาจูม่าขายของป่าข้างทาง เห็นป้ายน้ำตก Bryong ระยะทาง 1.8 กิโลเมตร เดินๆ ไปมีห้องน้ำกลางป่า มีร้านขายส้มตำ ไก่ย่าง อุ๊ย..ไม่ใช่ขายด็อกบ็อกกิ (แท่งแป้งผัดซอสพริก) แป้งเสียบไม้ต้มในน้ำซุปเหมือนโอเด้ง มีก๋วยเตี๋ยวขาย เราเดินต่อ


           ช่วงนี้ขึ้นเขาอย่างเดียว เหนื่อยนิดๆ ดีนะที่อากาศเย็น ไม่งั้นลงไปนานแล้ว


ป้ายหินบอกชื่อบ้านใน อาณาจักรศิลปินจีเร

          
          กำลังหามุมถ่ายรูปอยู่ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด อาจอชี (คุณลุง) 2 คน คนนึงล้มหัวฟาดพื้นที่ซอกหิน หญิงไทยใจงามรีบไปพยุง เอายาแก้ปวดเมื่อยทาให้พร้อมติดพลาสเตอร์ ทำหน้าที่ทูตวัฒนธรรมสุดฤทธิ์ แล้วรีบประกาศตัว "อูรีนึล แทกุกซาราม" (เราเป็นคนไทย)


           พอถึงน้ำตก คุณลุงถามว่า บ้านเรามีน้ำตกอย่างนี้ไหม ไม่อยากจะคุย มีเยอะแยะ แต่เดินยากกว่านี้เยอะ ไม่มีทางปูยางกันลื่น ไม่มีราวให้จับยึดหรอก


           น้ำตกน้ำใสมาก มองไปรอบๆ ตัว เห็นเมเบิ้ลสีแดงเพลิง นั่งดูเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษา แล้วบอกลาโซรักซาน มีโอกาสเราคงพบกันทุกฤดูกาล


           บ่าย 4 โมงกว่าแล้ว ถ้าเดินกลับที่พักคงเข้านอนเลย ตัดสินใจนั่งรถเมล์ไปเที่ยว "วัดนักซานซา" ซึ่งอยู่ใกล้ๆ หาดนักซาน วัดนี้ในไก๊ด์บุ๊กบอกว่า มีระฆังเก่าแก่สมัยอาณาจักร Shilla


           นั่งรถเมล์สาย 7 มาลงถนนใหญ่ ทางหลวงหมายเลข 7 แวะซื้อนมรสเกาลัดดื่ม ถือโอกาสถามอาจูม่าว่าขึ้นเมล์ฝั่งไหน ร้านนี้ยังขายตั๋วรถเมล์ด้วย ราคา 1,000 วอน


อาจูม่าขายของป่า

          
          เราก็นั่งรถเมล์สาย 9 ไปทางเมือง Yangyang นั่งไป 1 ป้ายลุงคนขับก็ให้ลง ถามทางจากร้านค้า ได้ความว่า ให้ข้ามถนนแล้วเดินไปตามทางจากที่จอดรถ ขึ้นเนินอีกแล้ว


           เจอนักเรียนกลุ่มเดิมมาทัศนศึกษา เด็กๆ ก็ทัก "หนีห่าว" เราก็บอกว่าไม่ใช่คนจีน "แทกุกซาราม" (เราเป็นคนไทย) เด็กน่ารักชวนคุยเป็นภาษาเกาหลี เราพูดเกาหลีก็ไม่ได้ คุยกลับเป็นภาษาอังกฤษ เด็กๆ หัวเราะเขินๆ ยิ้มสยามใช้ได้ทุกที่


           เดินพอเหนื่อย ก็ไปเจอซากวัดที่โดนไฟป่า เศร้าใจจัง กราบเจ้าแม่กวนอิมที่หันหน้าออกทะเล สัญลักษณ์ของวัดนักซานซา แล้วอำลากลับ


           เจอนักเรียนขาแพลงร้องไห้เดินโขยกเขยกลงเขา มีเพื่อนๆ ช่วยกันพยุง พวกเรามองดูความทุลักทุเล แล้วตัดใจใช้วิชาเนตรนารี จับแขนไขว้กันให้น้องนั่งลงจากเขา แล้วก็รู้ว่า คิดผิด น้องตัวหนักมาก เดินได้ประมาณ 20 เมตร ท่าทางพี่จะไม่รอด คุณครูมาพอดี หันไปส่งภาษากันสักครู่ คุณครูแบกใส่หลังดีกว่า


           แล้วความดีที่ทำก็ส่งผล พอถึงตีนเขา คุณครูประชาสัมพันธ์กับเพื่อนครูว่า พวกเราช่วยนักเรียนคนนี้แบกลงจากเขา ช่วยทายา ช่วยถอดรองเท้าให้ คุณครูบอกให้นักเรียนตั้งแถวขอบคุณ ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก ปลื้มใจจัง


หอยต้ม และดักแด้ต้ม

         
           แวะไปหาดนักซาน แล้วก็นั่งรถเมล์กลับเข้าที่พัก หาข้าวเย็นกินที่ร้านเดิม ซุปไข่ ซุปกิมจิ เหมือนเดิม และอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เนื้อวัว กินเสร็จก็เข้าที่พักแช่เท้าในน้ำอุ่นๆ เตรียมตัวหลับฝันดี


           รุ่งขึ้นเดินทางไปอันดงโดยรถไฟ เจอคุณป้าใจดี คุยกับเราตลอดเป็นภาษาเกาหลี เราฟังไม่รู้เรื่องเลย แต่รู้สึกเกรงใจที่คุณป้าอยากคุยด้วย เพื่อนต้องช่วยกันเปิดดิคชันนารี บอกว่า "อูรีนึล แทกุกซาราม" อาจูม่าเห็นเราแกะไข่ต้มกินก็แบ่งขนมปังให้ แล้วก็ชวนคุย เราขอให้เขียนใส่กระดาษ จะได้เปิดดิคฯ คุณป้าเขียนข้อความแปลว่า เราหน้าเหมือนลูกสาว


           เราก็เลยบอกว่า "อาจูมอนี ชินจอล ฮาดะ" แปลว่า คุณป้าใจดีมาก คุณป้าก็แทบจะเข้ามากอด แล้วก็พูดภาษาเกาหลีใส่เป็นชุด เราก็เลยเขียนว่า "อาจูมอนี แฮงอุนอึลพิลดะ" ขอให้คุณป้าโชคดี


           แค่นั้นแหละ ตอนลงรถไฟคุณป้าบอกคนที่นั่งข้างๆ ข้างหน้า ข้างหลังให้บ๊ายบายพวกเราที่สถานีรถไฟอันดง


           ไกลบ้านแต่อบอุ่นชะมัดกับความมีน้ำใจที่ให้กับคนแปลกหน้า


วิวที่มองจากยอดเขาโซรักซาน เห็นลำธารไหลไปเห็นหมู่บ้านโซรักดง

         
          "อันดง"
เมืองมรดกโลกที่บอกเล่าความเป็นเกาหลีที่ดีที่สุด


           ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบขงจื๊อ เหมือนกับประเพณีของคนจีนในบ้านเรา ไม่ว่าจะประเพณีเกี่ยวกับการเกิด การศึกษา การแต่งงาน การตาย อายุครบ 60 ปี (แซยิด) ก็มีงานแซยิด


           ถึงอันดงควรไปชม Andong Folk Museum ในพิพิธภัณฑ์จะบอกเล่าถึงประเพณี ความเชื่อ การดำเนินชีวิตของชาวเกาหลี จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ ชุดแต่งกาย ฯลฯ


           ใกล้ๆ กันมี KBS set drama สถานที่ถ่ายละครย้อนยุคให้เดินชมด้วย


           คืนนี้พวกเราจะพักโฮมสเตย์ที่อาณาจักรศิลปินจีเร อยู่ในหุบเขา ไกลจากเมืองมาก เหมือนเดินทางจากเชียงใหม่ไป อ.ปาย ในแม่ฮ่องสอน


           ตลอดเส้นทางผ่านเขื่อน ผ่านสวนผักสวนแอปเปิ้ล กว่าจะถึงบ้านศาสตราจารย์คิมแทบแย่ อากาศหนาวสุดสุด 8.5 องศา แต่บ้านอุ่นมาก เพราะพื้นแบบเกาหลีเดินท่อน้ำร้อนใต้พื้นบ้าน


เส้นทางเดิน Gwangeumseong

          
          บ้านหลังที่เราพักอายุ 400 ปี เป็นมรดกตกทอด คืนนี้หลับแบบอุ่นสบาย


           เช้าแจ่มใสกับสายหมอก อิ่มกับอาหารพื้นเมืองที่เน้นกิมจิหลายชนิด ทั้งโสม ตังกุย ไชเท้า ผักกาด ซุปถั่วงอก


           ถ่ายรูปเล่นแล้วก็พูดคุยกับเพื่อนร่วมสถานที่ เป็นคนเกาหลีที่เคยมาทำงานที่บริษัทเครื่องไฟฟ้าในเมืองไทย


           แม้พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ก็พยายามที่จะสื่อสาร แล้วยังอาสาพาเราเที่ยว แต่ดูกระเป๋าพวกเราแล้ว คิดว่ารถเขาอาจจะพัง ก็เลยกล่าวอำลาด้วยความขอบคุณ ก่อนจะเดินทางกลับโซล


           ไม่อยากกลับบ้านเลย หัวใจถูกทิ้งไว้ที่โซรักซานและอันดง ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 9 วัน แต่เรากลับยืนยันได้ว่าคนเกาหลีไม่ได้ใจร้ายเหมือนคำบอกกล่าวเลย  . .  .


"เคล็ดลับในการเดินทาง"


           คนเกาหลีใจดีมาก เต็มใจช่วยเหลือนักท่องเที่ยว แต่ภาษาอาจเป็นอุปสรรคบ้าง ดังนั้นเวลาสอบถามข้อมูลจาก information สัญลักษณ์รูปตัว I ควรเก็บแผนที่ภาษาเกาหลีและภาษาอังกฤษไว้ใช้คู่กัน


           ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวควรเตรียมไปจากเมืองไทย นอกเมืองหาข้อมูลภาษาอังกฤษได้ยาก ในเว็บไซต์ tour2korea.com มีข้อมูลละเอียดมาก อธิบายการเดินทางละเอียด รวมถึงหมายเลขรถเมล์ท้องถิ่นด้วย

แนะนำที่ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร พร้อมคูปองส่วนลดโรงแรม เพียบ

 


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก



 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ใบไม้เปลี่ยนสี ที่ โซรักซาน อัปเดตล่าสุด 15 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 13:53:00 1,373 อ่าน
TOP