
เที่ยวอินเดียลำบาก...ห้องน้ำอินเดียไม่โอเค...อาหารอินเดียไม่อร่อย และอีกสารพัดเรื่องราวที่เราเคยได้ยินเกี่ยวกับอินเดีย จนทำให้หลายคนถึงกับถอดใจที่จะไปเยือนประเทศแห่งนี้ แต่ถ้าเราไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร ? เหมือนกับที่ คุณฉันกลัวที่แคบ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้พิชิตใจตัวเองลองเดินทางไปเที่ยวอินเดียสักครั้งกับสายการบิน THAI Smile ณ "เมืองชัยปุระ" เมืองสีชมพูที่มีชื่อเสียงระดับโลก จนทำให้เธอถึงกับยกหัวใจให้กับประเทศนี้ แต่เอ๊ะ...แล้วอินเดียทำให้เธอหลงรักได้อย่างไรกันนะ ? เราไปร่วมค้นหาคำตอบกับการเดินทางด้วยกันเลยค่ะ :)
+++++++++++++++++++++++++++
อินเดียแค่ครั้งแรกก็ติดใจ "ชัยปุระ" ::: #Jaipur #India #ThaiSmile
ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสองเดือนที่แล้ว และพูดถึงประเทศ "อินเดีย" ขึ้นมา บอกเลยว่าเป็นประเทศที่เราขอส่ายหัวเซย์โนไม่ขอเดินทางไปเด็ดขาด เพราะทั้งจากภาพที่เคยเห็นหรือเรื่องที่ได้ยินมาแบบมีกลิ่นและไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไร แต่ก็นั่นแหละค่ะ ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรที่แน่นอน จากที่เคยปฏิเสธ … "อินเดีย" กลับกลายเป็นทริปต่างประเทศทริปแรกในปีนี้ของเรา มันพีคมากค่ะ แต่ก็อีกนั่นแหละไอ้ที่เคยได้ยินมาอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็คือคำพูดของคนอื่น แต่พอได้เปิดใจแล้วไปลองสัมผัสด้วยตัวเอง แค่ครั้งแรกก็เข้าใจถึงที่เคยมีคนบอกเราเลยว่า "อินเดีย ครั้งเดียวไม่เคยพอ"
พอจบทริปบอกเลยว่า เฮ้ยยยยยยยยยยยย ประเทศนี้มันสุดจริง เรื่องที่แย่ ๆ ที่เคยได้ยินมาอย่างเรื่องความสกปรก มันก็จริงนะ จริงมากด้วย 55555 แต่ถ้ามองให้มันเป็นเรื่องสนุกมันสนุกสุด ๆ เลยล่ะ มีประสบการณ์ มีรายละเอียดของการเดินทางให้เอามาเล่าเอามาคุยกันได้อีกนาน และที่สำคัญในมุมที่ดีมันก็ดีงามแบบสุด ๆ เช่นกัน ที่นี่เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความสวยงาม ความมีชีวิตชีวา และมีเสน่ห์ที่น่าค้นหาแบบเหนือคำบรรยายจริง ๆ ดีงามแบบที่บอกเลยว่าต้องมาสัมผัสด้วยตัวเราเองสักครั้งจริง ๆ


จุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คือเมือง "ชัยปุระ หรือเมืองจัยปูร์ หรือเมืองจัยเปอร์ นครสีชมพู ประตูสู่ราชสถาน"
โดยต้องขอสารภาพว่าก่อนเดินทางเราไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อของที่นี่มาก่อน แต่พอเล่าให้หลาย ๆ คนรอบตัวฟังว่ากำลังจะเดินทางมาที่นี่ เพื่อน ๆ เราที่ชอบประเทศนี้บอกว่า ที่นี่คือหนึ่งใน Dream Destination ของนักเดินทางหลาย ๆ คนเลยนะ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม มีเทศกาลหรือประเพณีที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกสนใจ จนถึงความสนุกของการไปสัมผัสวิถีชีวิตของชาวอินเดีย ที่เป็นเหตุผลที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างเดินทางมาที่นี่กัน
เฮ้ยยยยยยย ได้ยินแบบนี้ค่อยมีความอยากที่จะไปมากขึ้นหน่อย 5555 เอาล่ะค่ะโฆษณากันมาซะขนาดนี้ เดี๋ยวตามมาดูกันว่า "อินเดียครั้งแรกของเรา" ที่ทำให้เราประทับใจจากที่เคยกลัวประเทศนี้ได้นั้น จะสวยงามและมีความน่าค้นหาขนาดไหน (ที่สำคัญใช้เงินน้อยมากกกกกกกกกกกก)

ป.ล. การเดินทางไปอินเดียต้องขอ Visa นะคะ ซึ่งเราขอ Visa Online ค่ะ ขอไม่ยาก ไม่ต้องมี Statement อะไรเลย ใช้เวลาไม่เกินสองวันในการอนุมัติ และสามารถใช้ได้หนึ่งครั้งในช่วง 30 วัน
ลองดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://indianvisaonline.gov.in/visa/index.html

ขอเริ่มทริปจากสุวรรณภูมิกันเลยค่ะ รอบนี้เราเดินทางสู่ชัยปุระ อินเดีย ด้วยสายการบิน THAI Smile ซึ่งมีไฟลท์บินตรงไม่ต้องต่อเครื่องต่อรถเหมือนเมื่อก่อน โดยช่วงนี้มีโปรราคาเริ่มต้นที่ 4,510 บาท และมีเที่ยวบินให้บริการ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
เที่ยวบินขาไปออกจากสุวรรณภูมิ 22.05 น. ถึงชัยปุระ 01.15 น. กับเที่ยวบิน WE337
เที่ยวบินขากลับจะออกจากชัยปุระ 02.15 น. ถึงสุวรรณภูมิเวลา 08.15 น. เที่ยวบิน WE338
ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง (เวลาที่นั่นช้ากว่าบ้านเราหนึ่งชั่วโมงครึ่ง)


เครื่องออกสี่ทุ่มแต่เรารีบมาสนามบินตั้งแต่ช่วงเย็น ๆ เพราะกลัวรถติด และที่สำคัญรอบนี้นั่งที่นั่งแบบ Smile Plus Class ทำให้ได้สิทธิ์ไปนั่งชิล นั่งชิมของอร่อย ๆ รอขึ้นเครื่องได้ใน Royal Silk Lounge ด้วย ความดีงามในนี้ ไม่ได้มีแค่เครื่องดื่มและ Snack เท่านั้นนะคะ มีอาหารมื้อหนักเลยค่ะ ได้จัดหนักก่อนขึ้นเครื่องกันเลยทีเดียว


สามทุ่มนิด ๆ ขึ้นเครื่องพร้อมลุยอินตะระเดีย เที่ยวบินนี้รวมแก๊งเรา 6 คนแล้ว มีคนไทยไม่น่าจะเกิน 10 คน นอกนั้นเป็น ๆ หนุ่มอินเดียซะส่วนใหญ่ ขึ้นเครื่องปุ๊บส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มให้กันปิ๊ง ๆๆๆๆ 555

สำหรับที่นั่งของ Smile Plus Class จะเป็นแถวสามที่นั่ง แต่จะนั่งแค่สองคนโดยตรงกลางจะเป็นที่วางแก้วแบบนี้ ทำให้นั่งค่อนข้างสบายและเป็นส่วนตัว (ถ้าคนน้อยนอนเหยียดยาวได้เลยค่ะ)

น้องแอร์โฮสเตสคนสวยมอบรอยยิ้มพร้อมเวลคัมดริงก์ก่อนเครื่องออก

เครื่องขึ้นได้แป๊บหนึ่งก็มีอาหารให้เราเลือกสองแบบ คืออาหารไทยและอาหารอินเดีย อาหารไทยจะเป็นข้าวราดแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ส่วนอาหารเป็นข้าวราดแกงอะไรสักอย่างที่เราไม่สามารถระบุได้ 5555 ซึ่งเสิร์ฟมาพร้อมแป้งนานด้วย (สารภาพว่าทานไม่เป็น)


อิ่มท้องแล้วมีเวลานอนหลับปุ๋ยต่ออีกประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนถึงชัยปุระ ประเทศอินเดียค่ะ

ตีหนึ่งนิด ๆ เครื่องลงที่สนามบินนานาชาติชัยปุระ ประเทศอินเดีย ซึ่งภาพรวมสนามบินที่นี่ถือว่าทันสมัย สะอาด แต่สำหรับคนที่คิดจะค้างที่นี่เพื่อรอออกเดินทางตอนเช้าเราไม่แนะนำเลยค่ะ เพราะเก้าอี้สนามบินนอนไม่สบายอย่างแรงมากกกกกก และถ้านอนพื้นก็ไม่แน่ใจว่าควรนอนดีหรือเปล่า เพราะช่วงที่ทำความสะอาดที่นี่ทำแบบเปียกเลยค่ะ เลยแนะนำว่าให้เข้าเมืองไปนอนโรงแรมหรือโฮสเทลดีกว่า ฟันธง !!!!!


สำหรับเรื่องตรวจคนเข้าเมืองของที่นี่ไม่ค่อยยุ่งยากเท่าไร ใช้เวลาไม่นานและไม่เข้มงวดมาก (แต่ตอนกลับกรุงเทพฯ ยุ่งยากวุ่นวายหลายขั้นตอนมากกกกกก ใช้เวลานานและหลายด่าน สงสัยจะไม่อยากให้เรากลับ อิอิ) ปกติถ้าไปต่างประเทศแล้วลงเครื่องช่วงเวลาแบบนี้เรามักจะเลือกนอนสนามบิน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาอินเดียเลยไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง เลยตัดสินใจจองห้องพักโฮสเทลในเมืองไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้วค่ะ

การเดินทางอินเดียครั้งแรกของเราเริ่มต้นจาก ณ บัดนี้ !!!!!!! เราทั้ง 6 คน เข้าเมืองโดยใช้ Taxi สนามบินที่จ่ายแบบ Prepaid (ตกลงราคาและจ่ายก่อนเดินทาง) เป็นมินิแวนนั่งได้ 6 คน ตกคนละ 200 รูปี หรือ 100 บาท ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงถึงที่พักของทริปนี้ (เดี๋ยวเรามีภาพที่ให้ดูตอนท้ายนะคะ)



งั้นตามเรามาดูทริปนี้ใน "ชัยปุระ" กับเงิน 2,250 บาท ว่าเราได้ไปทำอะไรที่ไหนกันมาบ้าง ที่ทำให้จากคนที่ไม่คิดจะอยากมาประเทศนี้อย่างเรา กลายเป็นคนที่คิดว่า "อินเดีย ครั้งเดียวไม่เคยพอ"

ก่อนจะเริ่มออกเดินทางเรามาทำความรู้จักกับที่นี่แบบเป็นทางการกันสักเล็กน้อยก่อนค่ะ เมืองชัยปุระ (Jaipur) หรือจัยปูร์ เป็นเมืองหลวงของรัฐราชสถาน (Rajasthan) คนอินเดียจะเรียกเมืองนี้ว่าจัยปูร์ หรือจัยเปอร์ โดยตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย (ใกล้ ๆ กับกรุงนิวเดลี) และนักเดินทางทั่วโลกรู้จักที่นี่ในชื่อของนครสีชมพู (Pink City)
โดยที่มาของเมืองสีชมพูก็เนื่องจากในปี ค.ศ. 1876 มหาราชซาราม ซิงห์ (Maharaja Ram Singh) ได้มีรับสั่งให้ประชาชนทาสีชมพูทับบนสีปูนเก่าของบ้านเรือนตนเอง เพื่อแสดงถึงไมตรีจิตครั้งต้อนรับการมาเยือนของเจ้าชายแห่งเวลส์ (Prince of Waies) เจ้าชายมกุฎราชกุมารของอังกฤษ ซึ่งภายหลังคือกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 7 (King Edward Vll) แห่งสหราชอาณาจักร และต่อมารัฐบาลอินเดียก็ยังออกกฎหมายควบคุมให้สิ่งก่อสร้างภายในเขตกำแพงเมืองเก่าต้องทาสีชมพูเช่นเดิม จนกลายเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาและทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ต่างพากันเดินทางมายังเมืองชัยปุระเพื่อเยี่ยมชมความสวยงามของที่นี่ (ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oceansmile.com/India/RajaJaipu.htm ที่ช่วยให้รีวิวนี้ดูเป็นทางการมากขึ้นนะคะ 555)

สิ่งสำคัญอย่างแรกก่อนจะไปสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองนี้ เรามารู้จักวิธีการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ของเรากันก่อน ส่วนตัวเราแล้ว 2 วัน ในเมืองนี้เราใช้วิธีการเดินทางแบบเดียวเลยคือใช้บริการเจ้า Auto Rickshaw หรือสามล้อตุ๊กตุ๊กบ้านเรานี่เอง เราว่ามันง่ายและสะดวกที่สุด (เมืองนี้มีรถเมล์ซึ่งถูกกว่าแต่ความสะดวกน้อยกว่า เพราะเราเกลียดการข้ามถนนที่นี่มากกกกกก)

ข้อดีของมันคือมีอยู่ทุกที่ในเมืองนี้ จะเรียกจากตรงไหนไปไหนก็ได้ มีแบบที่นั่งหลายแบบ นั่งได้ตั้งแต่ 2-6 คน และราคาถูก เหมาครึ่งวันตกคนละหนึ่งร้อยบาท (ไปได้ 4-5 ที่เลย) หรือนั่งจากที่ไปอีกที่หารกันก็ไม่เกินคนละ 20-30 บาท


แต่ !!!!!! ข้อควรระวังคือตกลงราคาดี ๆ เพราะที่นี่น่าจะคล้าย ๆ บ้านเราคือจ้องจะฟันราคานักท่องเที่ยวถ้าเราพลาด (เราเจอทั้งคนขับใจดีน่ารักและเจอทั้งแบบที่พาขับอ้อมเพื่อเพิ่มราคา)


และที่สำคัญการนั่ง Auto Rickshaw ไม่ค่อยเหมาะกับสตรีมีครรภ์และคนที่เป็นโรคหัวใจอย่างมาก เพราะการจราจรบนท้องถนนอินเดียตื่นเต้นที่สุดในสามโลก ที่นี่กฎจราจรคืออะไรหนูไม่รู้ ตื่นเต้นจนเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการเดินทางเลยล่ะ เราสามารถประสาทเสียกับเสียงแตรที่ดังตลอดเวลา คนขับรถที่นี่ไม่มีใครยอมใคร มีวัวที่เดินอยู่กลางถนน คนจรจัดที่เดินตัดหน้ารถตลอดเวลา รถที่ขับข้ามเลนมาจากฝั่งตรงข้าม หรือแม้กระทั่งคนที่นั่งอี้อยู่ริมถนน !!!! มันมีจริง ๆ นี่นา 5555




เอาล่ะถ้าเรียกเจ้า Auto Rickshaw ได้แล้ว ก็มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามที่ไม่ควรพลาดในเมืองนี้ บอกก่อนเลยว่าก่อนมาเราไม่ได้คาดหวังอะไรกับสถานที่ท่องเที่ยวที่นี่เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมาเจออะไรบ้าง (ตอนแรกนึกภาพไว้ว่ามาแค่วัดประมาณนี้) จนได้พ่อหนุ่มอินเดียในโฮสเทลที่เราพักชี้เป้าให้ว่ามีที่ไหนที่เรา "ต้องไป" บ้าง สุดท้ายแล้ว เฮ้ยยยยยยยยยยยย (จะเฮ้ยกี่รอบนี่) สถานที่ท่องเที่ยวที่นี่แต่ละที่ของเมืองนี้คือดีงาม อลังการ สวย สวย สวยมากกกกกกกกกก สวยมากจนเข้าใจเลยว่าทำไมเมืองนี้นักท่องเที่ยวถึงเยอะมากขนาดนี้ เดี๋ยวจะหาว่าโม้ ตามเราไปดูกันว่าแต่ละที่เป็นยังไงกันบ้าง โดยที่แรกคือแลนด์มาร์กของเมืองนี้ ถ้าไม่มาที่นี่เค้าบอกว่ามาไม่ถึง

ที่แรกคือ Hawa Mahal หรือพระราชวังแห่งสายลม ถ้าลองเสิร์ชหารูปของเมืองนี้ในกูเกิลรูปของพระราชวังแห่งนี้จะโผล่มาให้เห็นเต็มไปหมด
ที่นี่สร้างในปี ค.ศ. 1799 โดยมหาราชาสะหวาย ประธาป สิงห์ (Maharaja Sawai Pratap Singh) ออกแบบโดยลาล ชันด์ อุสถัด (Lal Chand Ustad) โดยถอดแบบมาจากรูปทรงของมงกุฎพระนารายณ์ โดยมีสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นคือบริเวณด้านหน้าอาคารมีหน้าบันสูงห้าชั้นและมีลักษณะคล้ายรังผึ้ง ซึ่งประกอบด้วยหน้าต่างขนาดเล็กตกแต่งด้วยลวดลายฉลุเป็นช่องลมจำนวน 953 บาน โดยลายฉลุนั้นมีเพื่อนางในวังสามารถมองทะลุออกมาเห็นชีวิตภายนอกบนท้องถนนได้ โดยไม่มีใครสังเกตเห็นจากด้านนอก เนื่องจากนางในเหล่านั้นต้องมีความเคร่งครัดในการคลุม "ปูร์ดาห์" (ผ้าคลุมหน้า)



พระราชวังแห่งนี้สร้างโดยหินทรายสีชมพูและสีแดง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองของชัยปุระ โดยเป็นส่วนหนึ่งของซิตี้พาเลส (City Palace) ซึ่งอยู่ในบริเวณติดกันกับเซนานา (Zenana) หรือฮาเร็ม โดยนิยมไปเยี่ยมชมในตอนเช้าพร้อมแสงอาทิตย์ตกกระทบบริเวณหน้าต่างเพื่อชมความงามของช่องลม (ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oceansmile.com/India/RajaJaipu.htm)









ที่นี่มีกาแฟอร่อย ๆ ให้เราได้นั่งชิล ๆ พร้อมกับถ่ายรูปวิวสวย ๆ ของ Hawa Mahal ในมุมนี้ไว้อวดโซเชียลอีกด้วย

และถนนย่าน Hawa Mahal ยังเป็นอีกจุดหนึ่งที่เป็นที่นิยมในการช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยวอีกด้วย (ลืมแบรนเนมด์ไปก่อนนะยูว์)




จาก Hawa Mahal เดินมาอีกแค่สองสามร้อยเมตรก็ถึงอีกหนึ่งสถานที่สำคัญของเมืองที่ต่อมา คือ "City Palace"



พระราชวังซิตี้พาเลซ (City Palace) ตั้งอยู่บริเวณถนน Hawa Mahal Bazar ครอบคลุมพื้นที่ถึง 1 ใน 7 ของใจกลางเมือง สร้างขึ้นในสมัยมหาราชาสะหวายจัย ซิงห์ที่ 2 จากนั้นก็ได้รับการดูแลต่อเติมโดยมหาราชาของชัยปุระรุ่นต่อ ๆ มา ที่สำคัญตอนเริ่มก่อสร้างพระราชวัง ยังอยู่ในช่วงที่ราชวงศ์โมกุลเข้ามามีอิทธิพลต่อรัฐราชสถานแล้ว สถาปัตยกรรมจึงมีการผสมผสานระหว่างแบบราชปุตกับโมกุล




นอกจากนี้การออกแบบพื้นที่ใช้สอยอาคารอย่างลงตัว ไม่แน่นทึบและมีทางเดินกว้างขวาง ซึ่งถือเป็นความน่าสนใจอย่างหนึ่งของพระราชวังแห่งนี้ โดยปัจจุบันพระราชวังซิตี้พาเลซได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมในนามของพิพิธภัณฑ์สะหวายมานสิงห์ (Sawai Man Singh Museum)
แม้ยุคนี้จะไม่มีมหาราชาอีกต่อไป แต่ City Palace แห่งนี้ก็ยังเป็นสมบัติส่วนพระองค์ และชาวเมืองชัยปุระบางส่วนก็ยังนับถือพระองค์อยู่แม้พระองค์จะไม่มีอำนาจใด ๆ







และถ้าได้มาเดินเล่นเดินถ่ายรูปในโซนนี้แล้ว ต้องขอปิดท้ายด้วยสถานที่สุดท้ายที่ห้ามพลาดในย่านใกล้เคียง Hawa Mahal และ City Palace คือหอดูดาวจันตาร์มันตาร์ (Jantar Mantar)

ที่นี่จัดว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองชัยปุระ โดยได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2010 สร้างและคิดค้นขึ้นโดยมหาราชาสะหวายจัย สิงห์ที่ 2 ด้วยทรงมีความสนพระทัยและพระปรีชาในเรื่องดาราศาสตร์ จึงได้ทรงรับสั่งให้สร้างหอดูดาวแห่งนี้ขึ้นมาพร้อม ๆ กับการก่อสร้างพระราชวังซิตี้พาเลซ เพื่อใช้ดูความเคลื่อนไหวของพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาว โดยหอดูดาวจันตาร์มันตาร์แห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในสมัยโบราณ เนื่องจากจะใช้คำนวณฤกษ์เวลาในการออกรบนั่นเอง




อย่าเพิ่งหยุด ไปต่อ ไปต่อกันค่ะ วนไปในเมืองแสนจะวุ่นวายเมืองนี้กันต่อ

ที่ต่อมาขึ้น Auto Rickshaw มาต่อกันที่ อัลเบิร์ตฮอลล์ (Albert Hall) หรือพิพิธภัณฑ์กลางของเมืองชัยปุระ สร้างตามสถาปัตยกรรมของอังกฤษ ดูแปลกแยกจากรูปแบบอาคารบ้านเรือนของเมืองชัยปุระ ด้านในจัดแสดงวิถีชีวิตของชนกลุ่มน้อยในราชสถาน รวมถึงห้องสมุดและภาพวาดแบบย่อส่วน (Miniature Painting) ในสมัยของโมกุลให้ชมด้วย เปิดให้เข้าชมวันอังคาร-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-16.30 น. ค่าเข้าชม 100 รูปี

สารภาพว่าเป็นคนที่ไม่ได้อินกับประวิติศาสตร์สักเท่าไร แต่การเสียเงินเข้ามาถ่ายรูปเล่นด้านในนี่บอกเลยค่ะอย่างแหล่ม





บรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์






จบจาก Albert Hall น่าจะหมดไปหนึ่งวันละ ยิ่งสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปน่าจะใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อหนึ่งที่ ซึ่งคนที่นี่บอกว่าถ้าจะเที่ยวชัยปุระแบบเต็มอิ่มน่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 5 วัน โดยที่ต่อมาออกมาจากใจกลางเมืองเล็กน้อย แต่ไม่ต้องห่วงเพราะ Auto Rickshaw ก็ยังพาเราไปได้ทุกที่ในเมืองนี้

เริ่มจากนั่ง Auto Rickshaw ขึ้นเขาไปชมวิวเมืองกันแบบพาโนรามา ใช่จ้ะ ขึ้นเขา เขาแบบสูง ๆ จริง ๆ ย้ำว่าไม่ต้องห่วงเพราะ Auto Rickshaw พาเราไปได้ทุกที่จริง ๆ

โดยจุดหมายแรกอยู่ที่ ป้อมนราห์การห์ (Naharagrh Fort) หรือรู้จักกันในชื่อป้อมไทเกอร์ (Tiger Fort) ห่างจากเมืองชัยปุระไปทางทิศเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นป้อมที่มองเห็นได้จากใจกลางเมืองชัยปุระ สร้างในปี ค.ศ. 1734 สมัยมหาราชาสะหวายจัย ซิงห์ที่ 2 เพื่อช่วยปกป้องเมืองชัยปุระอีกด้านหนึ่ง ปัจจุบันด้านบนยังมีพระราชวังเก่าหลงเหลือให้ชมอยู่บ้าง เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น.


ต่อมายังอีกหนึ่งสถานที่สุดว้าวววววว ติดดาวที่เราใช้เวลาอยู่ที่นี่สองชั่วโมงยังเที่ยวได้ไม่ถึงครึ่งเลยอย่าง "Amber Fort" ที่นี่เป็นสถานที่ที่อยากให้เรากลับมาแก้ตัวที่เมืองนี้มาก เพราะพลาดที่เที่ยวที่นี่ไม่ครบแบบที่ควร



ป้อมอาเมร์ (ฮินดี: आमेर क़िला, อังกฤษ: Amer Fort) หรือป้อมแอมเบอร์ (Amber Fort) ตั้งอยู่ที่เมืองอาเมร์ ชานเมืองชัยปุระ รัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย (เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีขนาดเพียง 4 กม² (1.5 sq mi)) ห่างจากชัยปุระเป็นระยะทาง 11 กิโลเมตร (6.8 ไมล์) ป้อมอาเมร์นั้นเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของชัยปุระ โดยที่ตั้งนั้นโดดเด่นอยู่บนผาหินเหนือทะเลสาบสร้างโดยมหาราชา มาน สิงห์ที่ 1
ป้อมปราการแห่งนี้มีชื่อเสียงทางด้านสถาปัตยกรรมซึ่งผสมผสานกันระหว่างศิลปะฮินดูและศิลปะราชปุตอันเป็นเอกลักษณ์ สามารถมองเห็นได้จากระยะทางไกลเนื่องจากมีขนาดกำแพงปราการที่ใหญ่และแน่นหนา พร้อมประตูทางเข้าหลายแห่ง ถนนที่ปูด้วยหินหลายสาย ซึ่งเมื่ออยู่บนป้อมแล้วสามารถมองเห็นทะเลสาบเมาตาได้อย่างชัดเจนบริเวณด้านหน้า




ป้อมอาเมร์และป้อมจัยการห์ ทั้งสองนั้นตั้งอยู่บนเขา "ชีลกาทีลา" (เขาแห่งอินทรี) อันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาอะราวัลลี ทั้งสองป้อมนี้ถือว่าเป็นสถานที่เดียวกัน เนื่องจากสามารถเดินทางหากันได้โดยทางเชื่อมใต้ดิน ซึ่งใช้เป็นทางหลบหนีสำหรับเชื้อพระวงศ์ในกรณีที่ป้อมอาเมร์นั้นถูกยึดครอง
จากสถิติปี ค.ศ. 2007 จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมป้อมอาเมร์มีจำนวนถึง 5,000 คนต่อวัน และ 1.4 ล้านคนต่อปี








และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายคนหลงใหลที่นี่น่าจะหนีไม่พ้นวิถีชีวิตของคนที่นี่ ซึ่งบอกเลยว่าวุ่นวายมาก แต่ก็มีเสน่ห์มากเช่นกัน



สาวไทยมาที่นี่ป๊อปมากบอกเลย 5555


มาถึงเรื่องของอาหารการกิน สำหรับเราถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของทริปนี้เลยล่ะค่ะ เพราะเราเป็นคนทานอาหารแปลก ๆ ยาก และที่สำคัญเพิ่งตั้งท้องค่ะ เลยไม่ค่อยกล้าลองอะไรสักเท่าไร เราแทบจะไม่เจอร้านอาหารยุโรปเลย ส่วนใหญ่เป็นสตรีทฟู้ดของที่นี่ ซึ่งบอกตามตรงว่าหน้าตาดูน่าทานนะ แต่พอเห็นกรรมวิธีการทำกับเบื้องหลังของแต่ละร้านแล้ว ต้องขออนุญาตขอบายเลยล่ะ แต่ถ้าใครกล้าลองบอกเลยว่าอาหารที่นี่ราคาถูกมากจริง ๆ อารมณ์แบบห้าบาทสิบบาท ทานเยอะแค่ไหนก็ไม่จนแน่นอน



แล้วถามว่าเราไม่ได้ลองสตรีทฟู้ดของที่นี่เรารอดมาได้ไงสองวัน เราเลือกทานอาหารอินเดียในร้านที่ดูดีนิดหนึ่งไม่ใช่ร้านข้างถนน แต่ราคาก็ไม่ได้แพงนะคะ หมดไปคนละร้อยกว่าบาทเท่านั้นเอง บวกกับทานชุดอาหารเช้าที่โรงแรม ในราคา 40 บาท และที่สำคัญได้แมคโดนัลด์กับพิซซ่าฮัทมาช่วยไว้อยู่สามมื้อ 555
มาเมืองนี้เราแนะนำว่าเอาอาหารแห้งมาจากบ้านเราด้วยน่าจะดีที่สุด เพราะร้านอาหารหายาก ถนนก็เดินยาก และที่สำคัญพวกร้านขายของแบบมินิมาร์ทหรือโชว์ห่วยนี่แทบจะไม่มีให้เห็นเลยค่ะ ประเด็นของกินจึงอาจจะต้องแพลนกันดี ๆ นิดหนึ่งหากจะเดินทางมาที่นี่


กลับมาในส่วนของที่พักที่เราพัก 2 คืน ในการเดินทางรอบนี้เรานอนโฮสเทลใจกลางเมือง ชื่อว่า Backpacker Panda Hostel ที่มีอยู่หลายสาขาในหลาย ๆ เมืองท่องเที่ยวของอินเดีย ที่พักห่างจากโซนท่องเที่ยวประมาณ 4-5 กิโลเมตร เราเลือกจองห้องมาแบบห้อง Private ราคาคืนละ 450 บาท สภาพห้องพักตามราคาไม่ได้หรูหรา แต่สะอาด มีผ้าเช็ดตัว มีน้ำอุ่น มีกระติกน้ำร้อน มีพัดลม และมีแอร์ (แต่ไม่กล้าเปิด 555) รวม ๆ โอเค ติดอยู่นิดหนึ่งตรงที่ห้องพักติดถนนใหญ่ ซึ่งกว่าถนนจะสงบจากเสียงแตรรถก็เกือบห้าทุ่ม และตอนเช้าสักหกโมงก็ปลุกเราให้ตื่นแล้วค่ะ



และในส่วนฟังค์ชั่นอื่นของที่นี่ก็ตามสไตล์โฮสเทลทั่วไป มีห้องครัว มีเครื่องซักผ้า มีห้อง Common Area


แต่จะเก๋ ๆ นิดหนึ่งตรงที่ที่นี่มีดาดฟ้าให้ขึ้นไปนั่งชิล ๆ ช่วงเย็น ๆ หรือถ้าตื่นไหวก็มารอดูพระอาทิตย์ขึ้นในช่วงเช้าก็ได้ด้วย บรรยากาศช่วงเช้าขึ้นมานั่งชิล สั่งชุดอาหารเช้ากับทางโฮสเทลคนละ 40 บาท มีไข่คน ขนมปังปิ้ง คอนเฟล็ก และกาแฟร้อน



ใครสนใจลองดูข้อมูลโฮสเทลที่นี่ได้จาก https://www.backpackerpanda.com ได้เลยค่ะ
ป.ล. ที่จริงในเมืองนี้มีโรงแรมหลากหลายแบบให้เลือกเลยนะคะ มีตั้งแต่โฮสเทลแบบที่เราพักจนถึงโรงแรมห้าดาวเลยค่ะ แต่เราเลือกพักแบบนี้เพราะไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่ในที่พักสักเท่าไร

และก่อนจบต้องขอขอบคุณข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในทริปนี้จาก
http://www.oceansmile.com/India/RajaJaipu.htm
https://th.wikipedia.org/wiki/ชัยปุระ
และขอขอบคุณสายการบิน Thai Smile สำหรับทริปเดินทางอินเดียครั้งแรกสุดแสนจะประทับใจครั้งนี้ด้วยนะคะ และฝากติดตามการเดินทางทริปอื่น ๆ ของ "ฉันกลัวที่แคบ" ได้ที่ www.facebook.com/claustrophobiatravel นะคะ
ขอบคุณมากค่ะ ^__^
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คุณฉันกลัวที่แคบ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม