"ห้ามมุสลิมเข้าอเมริกา" วาทะเกาะกระแสก่อการร้ายจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ทำวุ่นทั้งใน-นอกประเทศ




ภาพจาก Sean Rayford / AFP

                จากคำแนะนำเกาะกระแสหวั่นก่อการร้าย "ห้ามมุสลิมเข้าอเมริกา" ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยหน้า แค่ประโยคเดียวได้ปลุกกระแสต่อต้าน-สร้างความวุ่นวายเพียบทั้งภายในและนอกประเทศ
ชาวเน็ตจับเปรียบเป็นฮิตเลอร์ สหราชอาณาจักรล่ารายชื่อ ห้ามทรัมป์เข้าประเทศ

               วาทะดังกล่าวของ โดนัลด์ ทรัมป์ นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลและนักการเมืองพรรครีพับลิคกัน ผู้แทนลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2559 มีขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ขณะขึ้นปราศรัยหาเสียงในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเป็นคำแนะนำสืบเนื่องจากเหตุคนร้ายสองสามีภรรยาชาวมุสลิมบุกกราดยิง 14 ศพ ที่ชุมชนซานเฟอร์นาร์ดิโน (อ่านข่าว เรื่องชักวุ่น ISIS อ้างอยู่เบื้องหลังเหตุกราดยิง 14 ศพ ในสหรัฐฯ) ทรัมป์จึงเรียกร้องรัฐบาล "ห้ามคนมุสลิมเข้าประเทศ" และได้จุดกระแสความไม่พอใจขึ้นมาทันที

               โฆษกทำเนียบขาวได้ออกแถลงถึงวาทะของทรัมป์ในทันทีว่า นโยบายต้านมุสลิมห้ามเขาประเทศของทรัมป์เท่ากับเขาได้ทำลายคุณสมบัติในการเป็นผู้นำประเทศของตัวเองลงแล้ว สื่อหนังสือพิมพ์ลงรูปการ์ตูนล้อเลียนทรัมป์ ถือดาบตัดศีรษะของเทพีเสรีภาพ สัญลักษณ์แห่งอิสระภาพแห่งอเมริกา แม้แต่สื่อโซเชียลเล็ก ๆ ก็ยังร่วมประณามวาทะของทรัมป์ อาทิ เฟซบุ๊กเพจ Internet Action Force ทำคลิปสั้น เพื่อขอโทษชาวมุสลิมด้วย


              ด้านแวดวงคนดังก็พากันออกมาวิจารณ์วาทะดุเดือดของนักธุรกิจและนักการเมืองรายนี้ขนานใหญ่ นักเขียนดัง อย่าง เจเค โรลลิ่ง ได้ทวีตข้อความ "โวลเดอมอร์ยังเลวร้ายไม่เท่าทรัมป์" หลังมีสื่อเทียบว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นวายร้ายเหมือน ลอร์ด โวลเดอมอร์ ขณะที่ชาวโซเชียลจำนวนไม่น้อยพากันเปรียบเทียบ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ต่างจาก ฮิตเลอร์ ผู้นำเผด็จการที่มีแนวคิดเหยียดชาติพันธุ์สุดโต่ง ขณะเจ้าพ่อเฟซบุ๊ก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ก็ได้โพสต์ข้อความที่แม้ไม่ได้พูดถึงทรัมป์โดยตรง แต่คาดเดาได้ไม่ยากว่าเป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจากประโยคชนวนเดือดของทรัมป์ ว่า เขายังอยู่เคียงข้างเหล่าชาวมุสลิมทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก


   
    

                กระแสต่อต้าน โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้อยู่แค่ในประเทศ แต่กระเพื่อมไกลไปถึงสหราชอาณาจักร ซูซาน เคลลี นักเคลื่อนไหวชาวสกอตแลนด์ ได้ตั้งแคมเปญ Block Donald J Trump from UK entry  ให้ประชาชนร่วมลงนามเรียกร้องให้รัฐบาลห้ามไม่ให้นายทรัมป์เดินทางเข้าสหราชอาณาจักร โดย ณ วันที่ 11 ธันวาคม มีผู้ลงนามมากกว่า 500,000 รายชื่อแล้ว ซึ่งทางการมีกฏจะนำเรื่องร้องเรียนเข้าพิจารณาต้องมีผู้ร่วมลงนามไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย จึงเป็นที่แน่นอนว่า รัฐสภาจะต้องหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นหารือในการประชุมสภาครั้งต่อไป แต่มติจะเป็นอย่างไรนั้นยังสุดจะคาดเดา

                ทางด้าน โดนัล ทรัมป์ เจ้าของวาทะที่สร้างความวุ่นวายไปทั้งในและนอกประเทศ ล่าสุดได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์ O\'Reilly Factor เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (9 ธันวาคม) ปฏิเสธว่าตนไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นศาสนาอิสลามแต่อย่างใด "นี่เป็นเรื่องความปลอดภัย ไม่เกี่ยวอะไรกับศาสนาสักนิด" และกล่าวต่อไปว่า การห้ามผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมเดินทางเข้าประเทศชั่วคราว ก็เพื่อจัดการปัญหาได้ที่ต้นตอ นี่อาจไม่ใช่การกระทำที่ถูกต้องนักในทางการเมือง แต่ใครสักคนจำเป็นต้องหยิบยกปัญหานี้ขึ้นมาจัดการ และหลายคนก็รู้สึกขอบคุณที่เขาทำอย่างนั้น 

                ทว่าในขณะที่กระแสต่อต้าน โดนัลด์ ทรัมป์ ในสหรัฐฯ นับว่ารุนแรงไม่น้อย แต่โพลสำรวจคะแนนนิยมผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้นำประเทศในสมัยหน้า จัดทำโดยสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสนิวส์และนิวยอร์กไทม์ ที่เผยขึ้นในวันพฤศหัสฯ ที่ผ่านมา (10 ธันวาคม) กลับปรากฏว่า ทรัมป์ได้ความนิยมถึง 35% ขึ้นเป็นที่หนึ่งแซงผู้ท้าชิงคนอื่น ๆ ขณะที่ความนิยมอันดับสองเป็นของ เท็ด ครูซ ตัวแทนจากพรรครีพับลิคกันเช่นเดียวกัน ที่ 16% ห่างจากทรัมป์อยู่กว่าเท่าตัว


                สำหรับโพลนี้ได้ทำการสำรวจทั้งในช่วงก่อนและหลังมีวาทะแบนมุสลิม แต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นช่วงก่อนหน้าวาทะเดือด ส่วนนับจากนี้ทิศทางคะแนนนิยมของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่สะท้อนถึงความเห็นส่วนหนึ่งของชาวอเมริกัน จะว่าจะรุ่งหรือจะร่วงก็คงต้องรอติดตามกันต่อไป โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ฯ จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2559
 



เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
"ห้ามมุสลิมเข้าอเมริกา" วาทะเกาะกระแสก่อการร้ายจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ทำวุ่นทั้งใน-นอกประเทศ อัปเดตล่าสุด 21 พฤศจิกายน 2562 เวลา 13:39:51 22,099 อ่าน
TOP
x close