
ถ้าพูดถึง "ตรัง" คุณจะคิดถึงอะไรเป็นอย่างแรก เชื่อเถอะว่าคำตอบอันดับต้น ๆ ต้องมีทะเลและหมูย่างเมืองตรังแน่นอน โดยเฉพาะท้องทะเลตรังซึ่งมีความงดงามไม่แพ้ทางฝั่งจังหวัดภูเก็ตเลยทีเดียว นั่นจึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนตรังมักจะมุ่งตรงลงเรือไปเที่ยวยังเกาะต่าง ๆ ซึ่งอันที่จริงแล้วจังหวัดตรังมีดีมากกว่านั้น เพราะดินแดนแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติสมบูรณ์มาก ๆ ทั้งป่าเขาลำเนาไพร น้ำตก ต่างก็น่าเที่ยวไม่แพ้กัน และวันนี้เราจะตาม คุณม่วงมหากาฬ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ไปตะลุยธรรมชาติเมืองตรังกันค่ะ จะสวยงามและน่าสนใจแค่ไหนไปดูกันเลย
+++++++++++++++
หากลองหลับตานึกถึงจังหวัดตรัง ผมก็คงนึกถึงทะเล เกาะต่าง ๆ ที่งดงาม และในความนึกคิดของผม ถ้าจะให้เลือกเดินทางท่องเที่ยวมาสักหนึ่งจังหวัด "ตรัง" คงจะไม่ใช่เป้าหมายในลำดับต้น ๆ ในความรู้สึกนัก....แต่แล้วความคิดของผมก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อได้มาเยือน "ตรัง" อย่างจริงจัง

อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางในแบบฉบับของผม เฟซบุ๊ก ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL
บันทึกการเดินทางฉบับนี้ของผมเริ่มต้นที่ ต.วังมะปราง อ.วังวิเศษ จ.ตรัง สู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แห่งใหม่ที่มีชื่อว่า "วังผาเมฆ" เส้นทางจากถนนใหญ่สู่ถนนลูกรังที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นปาล์มและยางพารา บ่งบอกถึงอาชีพของชาวบ้านในแถบนี้

ที่นอนสำหรับเราในคืนนี้เมื่อพวกเรามาถึงในช่วงเย็นย่ำ อาจจะไม่เลิศหรูแต่แฝงไว้ด้วยความจริงใจและน้ำใจอันใสสะอาด

"วังผาเมฆ" เป็นการรวมกลุ่มกันของชาวบ้านที่จัดตั้งกลุ่มอาสาเพื่อพิทักษ์ผืนป่า ควบคู่ไปกับการจัดการด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยมียอดเขาวังผาเมฆเป็นจุดเด่น ที่นี่ไม่มีเงินเดือน มีเพียงเงินทุนที่เรี่ยไรจากความรักในผืนป่าแห่งนี้เพื่อก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ที่นี่ไม่มีบ้านพัก มีเพียงศาลากันฝน มีเต็นท์ให้ค้างแรม มีห้องน้ำที่สะดวกสบาย และมีรอยยิ้มด้วยความดีใจเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมเยือน...
อาหารเย็นสำหรับวันนี้ถูกจัดเตรียมปรุงกันสด ๆ ด้วยวัตถุดิบพืชผักที่หาได้ในท้องถิ่นเพื่อให้พวกเราได้ลิ้มลอง

สำรับถูกจัดตั้งบนโต๊ะหินอ่อนในศาลาบริเวณที่ทำการฯ วังผาเมฆ ศาลาที่เป็นทั้งห้องประชุม ที่ทำการ ที่ทำอาหาร ที่ทานอาหาร และที่รวมเอาไว้ซึ่งความผูกพันของชุมชน

ต้มส้มใบส้มม่าว อาหารพื้นบ้านของภาคใต้ที่รสชาติออกเปรี้ยวนิด ๆ เป็นเมนูแนะนำที่ผู้ใหญ่บ้านชักชวนให้พวกเราลองทาน

อรุณรุ่งของวันใหม่ท่ามกลางความหนาวเย็นประหนึ่งเหมือนได้อยู่ในภาคเหนือ ตี 5 เป็นเวลานัดหมายที่พวกเราจะได้เริ่มต้นเดินเท้าไต่ระดับความสูงสู่ยอดเขาวังผาเมฆกัน เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นชาวบ้านเปลี่ยนหน้าที่จากพ่อครัวมาเป็นคนนำทาง เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างลำบากและลื่นเพราะสายฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เมื่อวานเย็น

ระยะทางเดินเท้าราว 700 เมตร แต่ใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ คงเพราะต้องปีนป่ายไต่ไปตามเชือกที่ค่อนข้างชัน ทำให้รู้สึกเหนื่อยพอสมควร แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกหายเหนื่อยขึ้นมาทันที

"ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตวังผาเมฆ" ป้ายบอกความภูมิใจเมื่อได้มาถึงยอดเขาสุดปลายทาง ในความรู้สึกตอนนี้มันเป็นความสุขผสมไปกับความภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก

ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าตรังจะมีทะเลหมอก ไม่เคยคิดว่าตรังจะมีที่เที่ยวในแบบที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก เพียงเพราะโบรชัวร์ใบหนึ่งที่พี่คนหนึ่งส่งมาให้...

ในโบรชัวร์เป็นภาพของทะเลหมอกที่งดงามจนผมต้องตกอยู่ในภวังค์ ภาพใบนั้นได้จุดประกายความรู้สึกให้อยากเข้าไปสัมผัส ภาพความฝันที่ในวันนี้ได้กลายเป็นความจริงและสัมผัสได้จริง

พี่เจ้าหน้าที่นำทางเล่าให้พวกเราฟังว่าผืนป่าแห่งนี้แต่ก่อนมีอาณาเขตที่กว้างขวางกว่าปัจจุบัน บ่อยครั้งที่โดนบุกรุกตัดไม้เพื่อเอาพื้นที่มาทำสวนยางพาราและสวนปาล์ม

ชาวบ้านที่รักและเห็นผืนป่าแห่งนี้มาตั้งแต่เกิด เล็งเห็นความสำคัญและคุณประโยชน์ของผืนป่า จึงได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นกลุ่มอาสาพิทักษ์ผืนป่าวังผาเมฆขึ้นมา ทำให้ปัญหาการบุกรุกป่าลดน้อยลง

พี่เจ้าหน้าที่ยังเล่าต่ออีกว่า ปัจจุบันผืนป่าวังผาเมฆมีเนื้อที่ประมาณ 700 กว่าไร่ มีสัตว์ป่าชุกชุมและมีพืชพรรณที่หายากอยู่หลายชนิด

"พี่เดินขึ้นมาบนนี้แทบทุกวัน แล้วแต่ว่ามีนักท่องเที่ยวหรือไม่ บางทีก็ขึ้นมาปรับแต่งทางเดินเท้า ถามว่าเหนื่อยไหมก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน ทางมันไม่ดี อยากทำทางเดินให้ดี ๆ มีราวจับดี ๆ แต่ก็ไม่มีงบประมาณ ที่เห็นสภาพทางขึ้นแบบนี้ก็ทำกันเอง ออกค่าใช้จ่ายกันเอง บางทีก็มีรายได้บ้างจากค่านำทางที่นักท่องเที่ยวหยิบยื่นให้ แต่บางครั้งก็ไม่มี ไม่ให้ ก็ไม่ได้ว่าอะไร" พี่เจ้าหน้าที่เล่าให้พวกเราฟังขณะกำลังชมวิวอยู่ด้านบน

"จริงแล้วก็อยากให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาดูแลบ้าง จัดตั้งเป็นวนอุทยานแห่งชาติก็ว่ากันไป แต่ก็ไม่คืบหน้า ทุกวันนี้ก็ดูแลกันตามมีตามเกิด" พี่เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังต่อ

ฝากน้องช่วยประชาสัมพันธ์ด้วยนะ อยากให้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันเยอะ ๆ "ที่นี่มันสวยจริง ๆ แต่ไม่มีใครรู้จักและไม่ค่อยมีใครมาเที่ยว" บรรยากาศที่งดงาม กับการสนทนาที่กลั่นออกมาจากใจ ทำให้ผมรับรู้ถึงความรู้สึกได้เป็นอย่างดี

ด้านบนของวังผาเมฆในวันนี้อากาศค่อนข้างเย็น มีหมอกไม่มากนักเพราะลมค่อนข้างแรง แต่ก็งดงามเพียงพอที่จะทำให้รู้สึกประทับใจ

เมื่อหันหลังกลับมามองในอีกด้านหนึ่งทางฝั่งทิศตะวันตกจะเห็นทิวเขาหินปูนที่มีรูปทรงสวยงาม แนวทิวเขาลักษณะแบบนี้คงมีให้เห็นที่ภาคใต้ที่เดียวเท่านั้น

เป็นความรู้สึกประทับใจที่ได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติทั้งสองรูปแบบ ด้านฝั่งทิศตะวันออกงดงามด้วยทะเลหมอกสีทอง ส่วนด้านฝั่งทิศตะวันตกอลังการด้วยทิวเขาหินปูน

พี่เจ้าหน้าที่ยังเล่าต่ออีกว่า ที่มาของชื่อ "วังผาเมฆ" คือแนวทิวเขาในภาพนี้ วันไหนที่ทุกอย่างเป็นใจเราจะได้เห็นสายหมอกสีขาวนวลเข้าไปอยู่ในแอ่งภูเขาจนเต็มแอ่ง อันเป็นที่มาของชื่อวังผาเมฆ และจากจุดนี้ถ้าวันไหนฟ้าเปิดเราก็ยังสามารถมองเห็นทะเลอันดามันได้อีกด้วย

ส่วนทางด้านฝั่งทิศตะวันออกถ้าสายหมอกเจือจางลง เราจะสามารถมองเห็นตึกรามบ้านช่องของตัวเมืองตรัง

นอกจากความสวยงามของธรรมชาติแล้ว ประสบการณ์อันมีค่ากับชีวิตที่คลุกคลีอยู่กับผืนป่าแห่งนี้ ได้ถูกถ่ายทอดจากพี่เจ้าหน้าที่ส่งต่อสู่คนต่างถิ่นอย่างพวกเรา ทำให้พวกเราได้รับความรู้เป็นอย่างมาก

หนึ่งชั่วโมงกว่าที่เดินขึ้นมากับความรู้สึกที่ได้อยู่บนนี้ไม่กี่นาที ต่อให้ต้องใช้เวลาเดินกันเป็นวันผมก็ยังคิดว่ามันคุ้มค่าอยู่ดี

สายหมอกยังคงหนาแน่นมากขึ้นสวนทางกลับเวลาแห่งความสุขที่กำลังจะหมดลงไป ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่ราว ๆ ชั่วโมงเศษ และคงต้องรีบลงไปข้างล่าง ทางลงยังคงใช้เส้นทางเดิมแต่มีความรู้สึกว่าลงง่ายและไวกว่าตอนขาขึ้น

หลายสิ่งที่พวกเราได้รับนอกเหนือไปจากธรรมชาติที่สวยงาม คงเป็นความรักความสามัคคีในชุมชนที่มีต่อผืนป่าแห่งนี้ ต้องขอขอบคุณกลุ่มอาสาพิทักษ์ผืนป่าวังผาเมฆที่ทำให้เราได้ประสบการณ์อันมีค่าที่สุด ถ้ามีโอกาสผมคงได้กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง อาจจะเป็นวันที่มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น หรืออาจจะเป็นวันที่วังผาเมฆได้กลายเป็นวนอุทยานสมดังความตั้งใจ

แผนที่การเดินทางของผมทั้งหมดตลอดการเดินทางที่อยู่ตรัง จากวังผาเมฆไปยังเขื่อนคลองท่างิ้วสู่น้ำตกต่าง ๆ และไปชมตะวันลับขอบทะเลที่แหลมหยงสตาร์ ก่อนวกกลับเข้ามาในตัวเมืองตรัง ผ่านสวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้

ตรังในช่วงวันที่ผมไปเยือน สายฝนโปรยปรายชุ่มฉ่ำอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน ภาพของสวนยางพาราที่มีให้เห็นโดยทั่วไปรอบ ๆ จังหวัดตรังยามเมื่อได้รับสายฝนดูสดชื่นชุ่มฉ่ำและสบายตาสบายใจในความรู้สึกของผม

"เขื่อนคลองท่างิ้วอันเนื่องมาจากพระราชดำริ" ตั้งอยู่ที่ ต.ท่างิ้ว อ.ห้วยยอด จ.ตรัง

ด้วยความที่เงียบสงบ และวิวทิวทัศน์ที่สวยงามล้อมรอบไปด้วยทิวเขา ทำให้เขื่อนคลองท่างิ้วกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เริ่มได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น

วัตถุประสงค์หลักของเขื่อนคลองท่างิ้วอันเนื่องมาจากพระราชดำริ คือเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ทำการเกษตรในช่วงฤดูแล้งให้กับชาวบ้านในพื้นราบ และยังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ นั่งเรือเที่ยวชมความงดงามของขุนเขาและสายน้ำซึ่งเป็นวัตถุประสงค์รองลงไป

หลังสายฝนหยุดตกสายหมอกก็เริ่มต้นชโลมขุนเขาซึ่งเป็นของคู่กัน คงเหมือนกับคนไทยที่ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ไม่เคยห่างหายจากน้ำพระทัยของพ่อ

เส้นทางสายน้ำตกของจังหวัดตรังที่มีแนวเทือกเขาบรรทัดขนานไปกับเส้นทางหมายเลข 4264 ระยะทางห่างจากตัวเมืองตรังราว 20 กว่ากิโลเมตร เราจะพบเห็นน้ำตกอยู่หลายแห่งทีเดียว หนึ่งในน้ำตกที่สวยงามไม่เป็นรองที่ไหน ๆ คือ "น้ำตกสายรุ้ง"

ในวันที่อากาศดี ๆ เราจะเห็นละอองน้ำที่ฟุ้งกระจายเกิดเป็นสายรุ้งที่สวยงาม อันเป็นที่มาของชื่อน้ำตกสายรุ้ง

จากน้ำตกสายรุ้งห่างออกไปอีกราว 28 กิโลเมตร บนเส้นทางหมายเลข 4264 จะเป็นที่ตั้งของราชินีน้ำตกแห่งภาคใต้ที่มีชื่อว่า "น้ำตกโตนตก"

"น้ำตกโตนตก" เป็นน้ำตกที่ไม่ใหญ่มากนัก จุดเด่นคงเป็นบริเวณโดยรอบที่ค่อนข้างจะร่มรื่น ตัวน้ำตกไม่ห่างจากลานจอดรถมากนัก ไม่ต้องใช้เวลาเดินไกล

มาถึงจุดนี้ความคิดของผมก็เริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่คิดว่าตรังมีแต่ทะเลที่สวยงาม ตั้งแต่วังผาเมฆผ่านเขื่อนคลองท่างิ้วเข้าสู่เส้นทางสายน้ำตก ทุก ๆ การเดินทางได้ค่อย ๆ เปลี่ยนความคิดของผม ถ้าจะมีที่เที่ยวในจังหวัดหนึ่งที่เพียบพร้อมไปหมด ทั้งป่าเขา ทะเล อาหารการกิน "ตรัง" คงเป็นคำตอบสำหรับผมในตอนนี้ไปเสียแล้ว

ห่างจากน้ำตกโตนตกออกไปเพียง 1 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของ "น้ำตกโตนเต๊ะ" น้ำตกที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล

ด้วยความยิ่งใหญ่ของน้ำตกโตนเต๊ะ สายน้ำใสสะอาดที่ไหลจากหน้าผาสูงราว 300 กว่าเมตร ทำให้ได้รับสมญานามว่าเป็นราชาแห่งน้ำตกแดนใต้

โดยรอบบริเวณที่ค่อนข้างร่มรื่น น้ำที่ใสราวกระจก ทำให้มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนกันอย่างไม่ขาดสาย

จากน้ำตกโตนเต๊ะผมใช้เส้นทางหมายเลข 4125 ระยะทางราว 42 กิโลเมตร สู่แหลมหยงสตาร์ อ.ปะเหลียน

"แหลมหยงสตาร์" เป็นแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลตามลักษณะของภูมิประเทศ กว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ของชาวบ้านที่แหลมหยงสตาร์จะเป็นชุมชนมุสลิม ที่เหลือจะเป็นชาวจีนที่อพยพมาอยู่ตั้งแต่บรรพบุรุษ โดยส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพประมงรวมไปถึงการทำสวนยางพารา

หลาย ๆ บ้านประกอบอาชีพการทำปลาเค็มแดดเดียวโดยใช้วิธีแบบดั้งเดิม ไม่มีการใส่สารใด ๆ ตากแดดแล้วนำออกจำหน่ายเลย กลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของชุมชนแหลมหยงสตาร์ที่ใครผ่านไปผ่านมาต้องแวะหาซื้อเป็นของฝาก

คุณลุงคุณป้าเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่จำความได้ก็เห็นอาชีพนี้มาตั้งแต่เกิด สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น

เป็นความผูกพันในวิถีชีวิตบนพื้นฐานของความพอเพียง แม้ปลาตัวจะไม่ใหญ่มากนัก มีทั้งปลาอินทรีและปลาทู ขายกันกิโลกรัมละ 150 บาท หรือจะเป็นมัดที่มีอยู่ประมาณ 3-4 ตัว ก็เพียงมัดละ 20 บาทเท่านั้น

นอกจากการทำประมงและการทำสวนยางพาราแล้ว บางบ้านก็ยังมีการเพาะเลี้ยงกุ้งให้เห็นอยู่เป็นระยะ ๆ

ยามเย็นวันนี้ที่แหลมหยงสตาร์บรรยากาศดูงดงามตระการตา มีความรู้สึกว่ายิ่งดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลง ความสวยงามกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น

สะพานที่เป็นท่าเรือทอดยาวออกไปสู่ทะเลอันดามันกลายเป็นศูนย์รวมของความสุข ผู้คนจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันบริเวณนี้ บ้างก็มาปั่นจักรยาน บ้างก็มานั่งปูเสื่อรับประทานอาหาร กินลมชมวิว

แสงสุดท้ายของที่นี่บางทีความงดงามอาจจะไม่แตกต่างจากที่อื่น ๆ แต่ความพิเศษสำหรับที่นี่จะมีเทือกเขาบรรทัดทอดตัวเป็นแนวยาวที่ดูแล้วรู้สึกสวยงามอย่างยิ่ง

ดวงตะวันค่อย ๆ ลาลับ เหลือไว้เพียงแสงสีทองสะท้อนผืนน้ำ ผมไม่แน่ใจนักว่ากลางทะเลเค้าทำการประมงเกี่ยวกับอะไร แต่ที่ผมแน่ใจในตอนนี้ที่สุดคือภาพที่อยู่เบื้องหน้ามันช่างสวยงามจับใจดีเหลือเกิน

ห้องพักในราคาเพียงครึ่งพันเป็นที่นอนของพวกเราในคืนนี้ น่าแปลกใจตรงที่บริเวณแหลมหยงสตาร์จะไม่ค่อยมีที่พักมากนัก เท่าที่เห็นก็มีเพียง 2-3 รายเท่านั้น ในราคาที่แสนถูกแบบซีวิวมองเห็นทะเลเลย แต่ก็ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาพัก

เช้าวันนี้ผมวกกลับเข้ามาในตัวเมืองตรังอีกครั้ง หลังจากในวันแรกไม่ได้แวะเยี่ยมเยือนอย่างจริงจัง แต่ก่อนจะถึงตัวเมืองอีกราว 12 กิโลเมตร พวกเราแวะที่สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย) กันก่อน

"สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย)" จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2529 ในสมัยที่ คุณชวน หลีกภัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นสถานที่ซึ่งรวบรวมอนุรักษ์เอาไว้ซึ่งพันธุ์ไม้พื้นเมืองที่หายาก ที่นี่เป็นที่เดียวในประเทศไทยที่มีสะพานเรือนยอดไม้ให้เดินชมธรรมชาติอย่างใกล้ชิด

เส้นทางศึกษาธรรมชาติโดยรอบของ "สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย)" จะแบ่งออกเป็นช่วง ๆ รวมระยะทางราว 3 กิโลเมตร หากแต่เป็น 3 กิโลเมตร ที่ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเท่าไรนัก คงเพราะมีความรู้สึกเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติทั้งสองข้างทางเสียมากกว่า

ระหว่างทางเดินศึกษาธรรมชาติเรายังสามารถพบเห็นดอกไม้นานาชนิด ในภาพเป็นดอกยี่โถปีนังที่พบเห็นได้อย่างมากมายระหว่างทางเดิน

ตัวเมืองตรังในวันนี้ยังคงชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝนเหมือนกับในวันแรกที่ได้มา บ้านเรือนในแบบโบราณสไตล์ชิโนโปรตุกีสมีให้เห็นโดยทั่วไปรอบตัวเมืองรวมไปถึงต่างอำเภอ มีความรู้สึกว่าเมื่อได้มายืนอยู่ในตัวเมืองตรังเหมือนได้ย้อนอดีตไปในสมัยก่อน

"โบสถ์โบราณคริสตจักรตรัง" ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบนถนนห้วยยอด สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1915 จวบจนถึงปัจจุบันก็ครบ 100 ปีพอดี เป็นสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และเป็น 1 ใน 20 โบราณสถานของจังหวัดตรังที่นักท่องเที่ยวควรแวะเยี่ยมชม

ในตัวเมืองเรายังสามารถพบเห็นรถตุ๊กตุ๊กหัวกบได้โดยทั่วไป จนกลายเป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยือนตรัง

หากจะไม่กล่าวถึงหมูย่างเมืองตรังที่ขึ้นชื่อก็คงจะดูว่ามาไม่ถึงเมืองตรังสักทีเดียวนัก หมูย่างเมืองตรังมีร้านทำขายกันอย่างมากมายไม่เฉพาะในตัวเมือง ต่างอำเภอก็ยังพบเห็น รสชาติอาจจะแตกต่างกันไปแต่ยังคงไว้ซึ่งความหอมของเครื่องเทศและความอร่อย

ติ่มซำหลากหลายเมนูเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำชาร้อน ๆ ที่หอมกรุ่น เป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์อย่างหนึ่งสำหรับอาหารเช้าของคนเมืองตรัง

"อนุสาวรีย์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี" อดีตเจ้าเมืองตรัง บิดาแห่งยางพาราไทย ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะเขตเทศบาลเมืองตรัง ห่างจากศาลากลางจังหวัดราว 1 กิโลเมตร โดยรอบบริเวณอนุสาวรีย์จัดเป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับที่ร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ

ทุกย่างก้าวที่ได้สัมผัสเมืองตรัง มันเหมือนชีวิตที่เดินไปอย่างช้า ๆ บนพื้นฐานของความสุข จากจุดเริ่มต้นของการเดินทางจนสุดท้ายที่ปลายทางได้เปลี่ยนแปลงความคิดและความรู้สึกของผมไปอย่างสิ้นเชิง "ตรังเมืองแห่งความสุข" และมันก็เป็นความสุขในแบบที่ครบทุกรสชาติของการท่องเที่ยวจริง ๆ

เพราะการเดินทางนี่เองที่ทำให้เราได้สัมผัสโลกแห่งความจริงมากกว่าการจินตนาการ และเพราะการเดินทางที่ทำให้ผมได้รับรู้ว่าตรังสวยงามและบริสุทธิ์เพียงใด หากมีข้อผิดพลาดประการใด ไกด์สาวน้อยต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางในแบบฉบับของผม เฟซบุ๊ก ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณม่วงมหากาฬ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL