พาไปชมหมู่บ้านกลางน้ำจากทุกทั่วโลก รับรองว่าความสวยงามของบรรยากาศและวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านในหมู่บ้าน จะทำให้คุณหลงเสน่ห์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น
เราลองเปลี่ยนบรรยากาศการท่องเที่ยวไปชมความสวยงามของหมู่บ้านกลางน้ำจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งแต่ละแห่งต่างมีเสน่ห์และสีสันของวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่แตกต่างกัน และชวนให้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศความสวยงามของธรรมชาติ ถ้าพร้อมแล้วแบกเป้เตรียมเที่ยวกันเลย !!!
1. เกาะปันหยี จังหวัดพังงา
เกาะปันหยี ชุมชมชาวประมงโบราณที่มีอายุมากว่า 200 ปี เป็นชุมชนชาวประมงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ราบหลังเกาะปันหยี โดยบ้านแต่ละหลังจะยกพื้นสูงเหนือน้ำ ชาวบ้านที่นี่ทั้งหมดเป็นชาวมุสลิม นักท่องเที่ยวจะเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบชาวเลแท้ ๆ และใครจะเชื่อว่าพื้นที่เพียง 1 ไร่ของเกาะปันหยีจะมีสนามฟุตบอล ซึ่งก่อตั้งโดยสโมสรฟุตบอลแห่งเกาะปันหยี โดยชาวบ้านต่างร่วมใจกันสร้างให้กับเด็ก ๆ ในชุมชน (ข้อมูลจาก thai.tourismthailand.org)
2. Kampong Ayer ประเทศบรูไน
ภาพจาก Milosz_M / Shutterstock.com
Kampong Ayer หมู่บ้านน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบด้วยบ้านหลายร้อยหลังคาเรือนที่สร้างบนเสาที่มีไม้ค้ำยัน ภายในชุมชนประกอบด้วยร้านค้า โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ เรื่อยไปตามตลอดชายฝั่งเป็นระยะทาง 1.9 ไมล์ วิธีที่ดีที่สุดที่จะเดินทางไปหมู่บ้านแห่งนี้คือการโดยสารเรือสำหรับบริการนักท่องเที่ยว ซึ่งจะพาไปสำรวจและเยี่ยมชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน (ข้อมูลจาก trekity.com)3. Inn-Thar, ประเทศพม่า
ทะเลสาบที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาที่สวยงามของรัฐฉาน ที่นี่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการศึกษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพม่า ที่เรียกได้ว่ากลมกลืนกับธรรมชาติ เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนที่เรียกว่า ชาวอินทา (Inthar) ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลสาบอินเลมานานนับร้อยปี ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมบนเกาะวัชพืชที่พวกเขาสร้างขึ้นกลางลำน้ำในทะเลสาบ และนักท่องเที่ยวจะต้องทึ่งกับวิธีการจับปลาของชาวอินทาที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกับที่ใดในโลก (ข้อมูลจาก inlelake-myanmar.com)
4. Giethoorn ในประเทศเนเธอร์แลนด์
ภาพจาก Littleaom / Shutterstock.com
Giethoorn หมู่บ้านที่ได้รับการขนานนามว่าหมู่บ้านไร้ถนน มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2,600 คน มีสะพานเชื่อมเพื่อใช้เป็นทางเดินติดต่อกันภายในหมู่บ้านกว่า 180 สะพาน เพราะเป็นหมู่บ้านที่ไม่ถนน ผู้คนที่นี่จึงใช้เรือสัญจรไปมาหาสู่กัน และยังมีพิพิธภัณฑ์เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชม ภายในจัดแสดงผลงานโบราณวัตถุมากมาย ซึ่งมีประวัติความเป็นมาไม่ต่ำกว่า 100 ปี และยังเป็นพื้นที่ในการจัดกิจกรรมพิเศษสำหรับเด็กอีกด้วย (ข้อมูลจาก www.tourismontheedge.com)5. Uro Islands ประเทศเปรู
Uro Islands ตั้งอยู่บนทะเลสาบ Titicaca ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ สร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของ “ชนเผ่าอูรอส” ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอายุกว่า 1,000 ปี บ้านแต่ละหลังสร้างจากต้นกก ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้ถึงวิถีแห่งชาวประมง รวมถึงเทคนิคการจับปลาของชนเผ่าอูรอส ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ทั้งการสร้างเรือและประดิษฐ์แผงโซล่าเซลล์ผลิตกระแสไฟฟ้าไว้ใช้เอง ที่นี่จึงยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิม (ข้อมูลจาก www.atlasobscura.com)
6. Ganvie ประเทศเบนิน
Ganvie หมู่บ้านกลางทะเลสาบแห่งประเทศเบนิน บนดินแดนชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 20,000 คน เป็นหมู่บ้านกลางทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของทวีปแอฟริกา บ้านเรือนและร้านค้าทุกหลังสร้างบนเสาไม้ค้ำยันในน้ำ รายได้ส่วนใหญ่ของชาวบ้านมาจากประกอบอาชีพประมง ซึ่งพวกเขาคิดและประดิษฐ์อุปกรณ์ตกปลาด้วยตัวเอง ไม่แปลกใจที่เราจะเห็นร้านอาหารที่คอยเสิร์ฟอาหารทะเลสด ๆ เอาไว้รอนักท่องเที่ยวได้ลิ้มลอง (ข้อมูลจาก www.amusingplanet.com)
ความสวยงามของธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ทำให้หมู่บ้านกลางน้ำนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่น้อย ที่นี่คุณจะได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบพื้นบ้าน ความโอบอ้อมอารี ความเป็นมิตรของผู้คนในท้องถิ่น ที่ขันอาสาเป็นไกด์ท่องเที่ยวชั้นเยี่ยม ที่สำคัญนักท่องเที่ยวเองต้องไม่ลืมที่จะให้เกียรติสถานที่เหล่านั้น ด้วยการไม่ทำลายสิ่งปลูกสร้างของชุมชนเสียหายด้วยนะคะ