x close

เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน

 


เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน (ฐานเศรษฐกิจ)

          เสน่ห์ของโฮมสเตย์ คือการได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านขนานแท้ แค่มีเพียงเป้หนึ่งใบกับหัวใจที่รักการแสวงหาสิ่งแปลงใหม่ กับค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยก็พร้อมที่จะไปลุยกันได้เลย

          โฮมสเตย์ หรือ ที่พักสัมผัสวัฒนธรรมชนบท ถือเป็นทางเลือกใหม่ของการท่องเที่ยวที่ไม่หนักกระเป๋าตังค์ แต่อัดแน่นไปด้วยปนะสบการณ์แปลกใหม่ที่เราไม่สามารถหาได้จากโรงแรม 5 ดาวที่ไหน เพราะเสน่ห์ของโฮมสเตย์คือ การได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านขนานแท้แค่มีเพียงเป้หนึ่งใบกับหัวใจที่รักการแสวงหาสิ่งแปลกใหม่กับค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยก็พร้อมที่จะไปลุยกันได้เลย

          เรานัดรวมพลกันตั้งแต่เช้าตรู่ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยมีสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว (สพท.)และมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นหัวหอกในการจัดงานพาสื่อมวลชน โดยวันนี้จะพาไปสัมผัสกับโฮมสเตย์ 2 แบบ 2 สไตส์ สถานที่แรกของวันนี้ คือ โฮมสเตย์ที่ "แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท" ตั้งอยู่ อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา

          ก้าวแรกที่ลงจากรถจะสัมผัสได้ถึงการต้อนรับอันอบอุ่นของชาวบ้านที่เดินทางมาต้อนรับกันอย่างคับคั่งประหนึ่งมีงานเลี้ยงประจำปีของหมู่บ้าน รอยยิ้มของชาวบ้านที่มาคอยต้อนรับล้วนเป็นยิ้มที่ออกมาจากก้นบึ้งของใจ ต่างกุลีกุจอออกมาจัดหาข้าวปลาอาหารคอยต้อนรับทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรี นี่แหละ!!คือ สิ่งที่หาไม่ได้ในกรุงเทพ ฯ เมืองฟ้าอมร
         
          ระหว่างทานอาหารอันแสนอร่อยก็มีการจัดการแสดงวัฒนธรรมพื้นเมืองของภาคอีสานจากสาวน้อยตัวจ้อยที่ออกมาฟ้อนรำ รำผิด รำถูกไม่ค่อยพร้อมกันเท่าไหร่แต่ก็น่ารักน่าเอ็นดู หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้วก็เข้าสู่พิธีบายศรีสู่ขวัญประเพณีพื้นบ้านของไทยที่หาดูได้ยากยิ่งในปัจจุบัน

          บ่ายคล้อยคณะของเราจะไปเยี่ยมชมหลุมขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านปราสาทที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วม 3,000 ปี โดยมีนางรำตัวจ้อยแปลงร่างเป็นยุวมัคคุเทศก์น้อยคอยอธิบายอย่างฉะฉานไปตลอดทาง วันนี้เราได้น้องกระแต สาวน้อยตาคมผิวคล้ำ หนึ่งในยุวมัคคุเทศก์น้อยที่มาทำหน้าที่ไกด์ส่วนตัวคอยแนะนำตลอดวันนี้

          น้องกระแตเล่าให้ฟังว่า จากหลักฐานที่ค้นพบสันนิษฐานว่ามีชุมชนอาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ มีหลักฐานสมัยทวาราวดีและแบบเขมรโบราณระยะเวลาระหว่าง 2,500-3,000 ปี มีการขุดพบโครงกระดูกโบราณจำนวนมาก เชื่อกันว่าไม่ว่าจะขุดลงไปในพื้นที่ไหนในหมู่บ้านก็จะพบซากโครงกระดูกดึกดำบรรพ์

          ฉะนั้น โฮมสเตย์ที่นี่จึงไม่เหมาะสำหรับคนกลัว "ผี" นอกจากนี้บริเวณทิศเหนือของหมู่บ้านยังมีลำน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเกิดจากต้นน้ำเขาใหญ่ไหลผ่านชื่อว่า "ลำธารปราสาท" ถือเป็น 1 ใน 9 แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ประกอบพิธีสำคัญของประเทศไทย อาทิ งานพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชกาลที่ 9 พ.ศ. 2493 สำหรับคนในบ้านปราสาทส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาจักสานทอผ้าไหม มีการขายของเสริมรายได้ ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม

          เนื่องจากอากาศดีและข้าวเริ่มออกรวง ทั้งนี้ จุดกำเนิดของโฮมสเตย์ที่นี่นั้นเกิดจากมีนักประวัติศาสตร์มาทำการขุดค้นและพักอาศัยในบ้านชาวบ้าน มีการเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างชาวบ้านกับนักท่องเที่ยวจนเกิดโฮมสเตย์ในที่สุด แถมยังการันตีคุณภาพด้วยได้รับรางวัลระดับนานาชาติแล้วจากพาต้า โกลด์ อะวอร์ดและอาเซียนต้าอะวอร์ดเลยทีเดียว

          บ่ายแก่เราโบกมือลาบ้านสราสาทเพื่อรีบเร่งเดินทางไป "บ้านบุไทร" ที่กล่าวขานกันว่า "สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน" ที่พักของเราในค่ำคืนนี้ ด้วยระยะ 80 กิโลเมตรจากตัวเมืองไปอำเภอวังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ดูไม่ไกลเลยด้วยบรรยากาศตลอดสองข้างทาง มีภูเขาน้อยใหญ่เรียงรายสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ที่ภาคเหนือมากกว่าอยู่ในแดนอีสาน อุณหภูมิที่นี่หนาวเย็นตลอดทั้งปี มีอุณหภูมิเฉลี่ย 26-30 องศาเท่านั้น แต่ในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม จะอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 3-4 องศา เท่านั้นเลยทีเดียว

          ค่ำคืนนี้คณะของเราต้องแยกย้ายกันไปพักตามบ้านต่างๆ ที่นี่มีบ้านที่เปิดโฮมสเตย์แค่ 10 หลังเท่านั้น มีให้เลือก 3 สไตส์ คือบ้านสมัยใหม่ บ้านธรรมชาติและบ้านโบราณ จุดเด่นของบ้านแต่ละประเภทก็จะแตกต่างกัน เริ่มจากบ้านสมัยใหม่ก็จะเป็นบ้านที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยแต่ยังคงดำเนินวิถีชีวิตตามแบบชาวบ้านอย่างครบถ้วน บ้านธรรมชาติก็จะตั้งรายล้อมด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด

          ส่วนบ้านโบราณก็จะมีลักษณะเป็นบ้านเก่าปลูกตั้งแต่สมัยแรกที่จับจองพื้นที่ทำกินใหม่ จุดเด่นของบ้านโบราณก็คือทั้งบ้านจะไม่มีหน้าต่าง แต่มีอากาศถ่ายเทอากาศหนาวเย็นเหมือนติดแอร์คอนดิชันทั้งวัน แถมตอนกลางคืนก็มีแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้องทั้งคืนสร้างบรรยากาศที่โรเมนติกที่สุด เคล็ด(ไม่)ลับก็อยู่ที่การทำฝาผนังที่ไม่ปิดสนิทแต่จะเว้นช่องว่างให้อากาศถ่ายเทตลอดเวลา นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านอีกแบบหนึ่ง

          แต่เพื่อความปลอดภัยยังไงงานนี้ขอเลือกพักบ้านสมัยใหม่ดีกว่า บ้านที่พักค่ำคืนนี้เป็นบ้านของ พี่วิภา จันทร์คุ้ม ประชาสัมพันธ์หมู่บ้านและจ้าของแปลงเบญจมาศที่มีลูกสาวสวยถึงสองคน งานนี้จึงไม่แปลกใจเลยที่พี่วิภาถึงกับประกาศว่า "บ้านนี้ฉันไม่รับผู้ชาย" ทำเอาหนุ่มๆ ถึงกับคอตกไปตามๆ กัน บรรยากาศในบ้านถึงไม่หรูหราแต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น ภายในมีการตกแต่งด้วยดอกเบญจมาศนานาชนิดสมกับเป็นเจ้าของแปลงเบญจมาศจริง

          เสน่ห์ของการเที่ยวแบบโฮมสเตย์คือการได้ไปใช้ชีวิตโดยมีชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนที่มีประชาชนในชุมชนเป็นเจ้าบ้าน มีการต้อนรับเราเหมือนลูกหลานของตัวเอง เพราะฉะนั้น บรรยากาศของโฮมสเตย์จึงให้ความรู้สึกเหมือนการกลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ชนบท หยอกเอินด้วยความสนุกสนานมีความผูกพันฉันญาติมิตร แถมยังช่วยให้รายได้การท่องเที่ยวกระจายไปสู่รากหญ้าแทนการกระจุกตัวเพียงแค่นายทุนไม่กี่รายเท่านั้น

          ฟ้าสาง...อากาศหนาวเย็นปกคลุมด้วยหมอกกับน้ำค้างยามเช้าสมกับคำว่า "สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน" จริงๆ เรานัดรวมพลกันตั้งแต่หกโมเช้าเพื่อนั่งรถอีแต๊กหรือรถอีแต๋นของชาวบ้านเราเพื่อออกไปสูดออกซิเจนยามเช้า ชมพระอาทิตย์ขึ้น พร้อมเยี่ยมชมฟาร์มเห็ดหอม สวนลำไย ชมแปลงดอกเบญาจมาศหลากสี่พืชเศรษฐกิจหลักของชาวบุไทร และหากใครมีเวลาก็มีบริการพาเดินป่าศึกษาธรรมชาติอีกด้วย หรือกางเต็นท์พักแรมในป่าลาน ป่าผืนสุดท้ายในอุทยานแห่งชาติทับลานอีกด้วย

          โบกมืออำลาท้องทุ่งอันแสนสวยงาม  การเดินทางในครั้งนี้ที่อัดแน่นด้วยประสบการณ์ ที่หาได้เฉพาะตามท้องทุ่งเท่านั้น...



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน อัปเดตล่าสุด 15 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 13:13:52
TOP