ใครที่กำลังหาสถานที่สักแห่งเพื่อการหลีกหนีจากโลกที่วุ่นวาย ต้องไม่พลาดกับ 12 สถานที่ที่เล็กและเงียบสงบแต่กลับอบอุ่นที่เรานำมาฝากกัน
1. หมู่บ้าน Huacachina ประเทศเปรู
ใครจะไปเชื่อว่ากลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ที่ดูแห้งแล้งไร้ซึ่งชีวิตของทุกสรรพสิ่ง มันจะซ่อนแหล่งน้ำเล็ก ๆ ซึ่งก่อเกิดให้เกิดหมู่บ้านอันเงียบสงบกลางทะเลทรายอย่าง Huacachina ขึ้นมาได้ ซึ่งจากเมือง Ica ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้นในการเดินทางมายังที่แห่งนี้ ภายในหมู่บ้าน Huacachina มีประชากรอยู่เพียงแค่ 115 คนเท่านั้น ซึ่งล้อมรอบไปด้วยต้นปาล์มและเนินทราย โดยมีทะเลสาบอยู่ที่ใจกลางของหมู่บ้าน มีร้านอาหารที่พักอยู่โดยรอบทะเลสาบ นักท่องเที่ยวสามารถพักได้ทั้งใน Huacachina และในตัวเมือง Ica ซึ่งกิจกรรมที่เป็นที่นิยมอย่างมาก ก็คือ การเล่นกระดานบนเนินทราย เพราะพื้นที่โดยรอบเป็นเนินทรายสูง จึงเหมาะที่จะทำกิจกรรมดังกล่าวมากที่สุด
2. เกาะ Tristan de Cunha มหาสมุทรแอตแลนติก
เกาะที่อยู่ไกลโพ้นในมหาสมุทรแอตแลนติก ห่างจากแผ่นดินมากที่สุดในโลก โดยห่างจากแอฟริกาใต้ประมาณ 2,816 กิโลเมตร และห่างจากอเมริกาใต้ประมาณ 3,360 กิโลเมตร เป็นเกาะที่เกิดจากภูเขาไฟ ประกอบไปด้วย 4 เกาะ คือ Tristan Da Cunha (เกาะหลัก) เกาะ Inaccessible เกาะ Nightingale และ เกาะGough มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 80 ตารางไมล์ มีประชากรเพียงแค่ 275 คนเท่านั้น ปัจจุบันไม่มีการอนุญาตให้เข้ามาตั้งรกรากบนเกาะแห่งนี้อีก และไม่ต้องแปลกใจหากคุณจะไม่พบเกาะแห่งนี้บนแผนที่โลก เพราะขนาดของมันนั้นทั้งเล็กและอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งนั่นทำให้เกาะแห่งนี้เงียบสงบ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหลีกหนีจากโลกที่วุ่นวายอย่างแท้จริง
3. เมือง Monemvasia ประเทศกรีซ
เมือง Monemvasia ตั้งอยู่ในเขตของ Laconia ห่างจากชายฝั่งประมาณ 400 เมตร ซึ่งถูกแยกออกโดยเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 375 จึงทำให้มันกลายเป็นพื้นที่ที่เงียบสงบ เหมาะแก่การปลีกวิเวกที่สุด คำว่า Monemvasia เกิดจากการรวมกันของคำว่า mone และ emvassi มีความหมายว่า ทางเข้าด้านเดียว ภายในประกอบไปด้วยบ้านเรือนกว่า 800 หลัง มีลักษณะสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ตามสไตล์กรีซ ใช้หินในการก่องสร้างอาคารบ้านเรือน ถูกโอบล้อมด้านชายฝั่งด้วยกำแพงในยุคกลาง เป็นอีกหนึ่งเมืองที่จะทำให้คุณหลงลืมแสงสีจากเมืองใหญ่ไปได้อย่าง่ายดาย
4. เมืองซาปา ประเทศเวียดนาม
เมืองเล็ก ๆ ที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาและนาข้าวขั้นบันได อยู่ในจังหวัดหล่าวกาย (Lao Cai) ทางด้านเหนือของประเทศเวียดนาม ติดกับสาธารณะรัฐประชาชนจีน ห่างจากเมืองฮานอยเพียงแค่ 350 กิโลเมตรเท่านั้น อากาศที่เย็นสบายไปถึงขั้นหนาวเย็นไปช่วงฤดูหนาว ทำให้ซาปาเป็นเมืองตากอากาศที่ดีที่สุดอีกเมืองหนึ่งของประเทศเวียดนาม ในฤดูหนาวบางปีอุณหภูมิจะลดลงไปถึงขั้นติดลบ และบางครั้งก็มีหิมะตกลงมาโปรยปรายให้ได้ชื่นชมกันอีกด้วย คนท้องถิ่นส่วนใหญ่ยังคงประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนาข้าว ปลูกข้าวโพด ธัญพืช มีการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมไว้อย่างดี นั่นจึงทำให้นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตที่แท้จริงของคนท้องถิ่นที่ปราศจากการปรุงแต่งใด ๆ สามารถเติมพลังกาย พลังใจได้อย่างเต็มที่
5. เกาะ Uros floating เมืองปูโน ประเทศเปรู
ใครที่เบื่อกับการอยู่ในเมืองใหญ่หรูหรา มีแต่แสงสีและสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ต้องลองมาเยี่ยมชมวิถีชีวิตของชาวอินคาในกลางทะเลสาบ Titicaca แห่งเมืองปูโน ประเทศเปรู ชาวบ้านที่นี่ไม่ได้มีบ้านเรือนที่ก่อสร้างมาจากอิฐ หิน ปูน หรือโครงสร้างเหล็กที่มั่นคง เขาใช้เพียงแค่ต้นไม้ที่ขึ้นในทะเลสาบ นั่นก็คือ ต้นกก (totora reeds) นำมาร้อยเรียงผูกมัดเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นเกาะกลางทะเลสาบ พร้อมกับบ้านเรือนที่สร้างมาจากต้นกก เรียกได้ว่าแทบจะทุกสิ่งสิ่งบนเกาะแห่งนี้ถูกสร้างมาจากต้นกกทั้งสิ้น รวมไปถึงเรือที่ชาวบ้านใช้ในการสัญจรไปมาก็ทำมาจากต้นกกด้วยเช่นเดียวกัน ภายในเกาะไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้าใช้ มีเพียงแค่พลังงานที่มาจากแสงอาทิตย์เท่านั้น ชาว Uros ยังคงมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ยังคงนุ่งห่มเสื้อผ้าและทำมาหากินแบบโบราณ เป็นสถานที่ที่จะทำให้คนเมืองใหญ่ได้มาเรียนรู้ถึงคุณค่าของชีวิตได้อย่างดีเลยทีเดียว
6. หมู่บ้าน Vallone di Furore ประเทศอิตาลี
หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เหนือทะเลสีฟ้าครามอันกว้างใหญ่ หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งเรียงรายลดหลั่นจากยอดเขาสู่ริมทะเล โครงสร้างยังคงเป็นหินแกร่ง รูปแบบโบราณ มีสะพานหินเพื่อเชื่อมต่อระหว่าง Praiano และ Amalfi มีหายชาดเล็ก ๆ ไว้สำหรับการนอนอาบแดดและลงเล่นน้ำ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอกนิยมของทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยว
7. หมู่บ้าน Bandiagara สาธารณรัฐมาลี
หมู่บ้านรูปทรงมหัศจรรย์ที่สร้างอยู่บนหน้าผาและที่ราบ ใช้เพียงหินทรายในการก่อสร้างบ้านที่พักอาศัย มีทั้งหมดมากกว่า 289 หลังคาเรือน บ้านเรือนของพวกเขาจะตั้งอยู่ทั้งที่ริมหน้าผา ที่ราบสูง และใต้หน้าผา บ้านบางหลังมี 2 ชั้น ด้านหน้าจะเป็นระเบียง มีการตกแต่งประตูและหน้าต่างให้มีลวดลายแบบพื้นเมือง ชาวบ้านที่นี่จะเรียกว่า Dogons พวกเขาจะใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย เรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ ได้รับการบันทึกให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ในปี ค.ศ. 1989
8. หมู่บ้าน Undredal ประเทศนอร์เวย์
หากต้องการความสงบจากธรรมชาติโดยแท้จริง ก็ต้องไปพลาดกับหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ใน Fjord ซึ่งเป็นอ่าวที่อยู่ระหว่างภูเขาสูง เงียบสงบและเต็มไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีสถานที่ที่น่าสนใจก็คือ คริสตจักรทรงสูงที่มีขนาดเล็กที่สุดในแถบยุโรป หมู่บ้านแห่งนี้มีประชากรเพียงแค่ประมาณ 100 คนเท่านั้น มีอาชีพเกษตรกรรมและทำฟาร์มแพะ ซึ่งชีสนมแพะของที่มีชื่อเสียงมาก นักท่องเที่ยวนิยมที่จะล่องเรือเข้ามาเพื่อการสูดอากาศบริสุทธิ์และพักผ่อน ซึ่งมันคือวิธีเดียวที่จะเข้าถึงหมู่บ้านที่งดงามแห่งหนึ่งของโลกนี้ได้
9. เกาะ Mykines หมู่เกาะ Faroe Archipelago ประเทศเดนมาร์ก
เขาว่ากันว่าหากต้องการที่จะหาความสงบจริง ๆ ต้องไปติดเกาะ ดังนั้นเกาะ Mykines จึงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของนักเดินทางที่เรียกร้องหาความสงบสุขให้กับชีวิตจริง ๆ ความมหัศจรรย์ของมันคือการตั้งอยู่อย่างสง่างามกลางมหาสมุทร ภายในเกาะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณนานาชนิดและนกทะเลมากมาย ซึ่งมันจะดูเขียวขจีไปตลอดช่วงหน้าร้อน ในหมู่บ้านกำลังจะมีโรงแรมที่พัก แกลลอรี่เล็ก ๆ การเดินทางไปยังเกาะแห่งนี้สามารถเดินทางด้วยเรือในช่วงฤดูร้อน แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวต้องใช้เฮลิคอปเตอร์เท่านั้น
10. หมู่บ้าน Isortoq เกาะกรีนแลนด์
หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่อย่างสง่างามที่ริมชายฝั่งของเกาะกรีนแลนด์ คำว่า Isortoq มีความหมายว่า ทะเลแห่งหมอก (The foggy sea) มาจากที่ในอดีตนั้นมีหมอกลงในทะเล ซึ่งอยู่ติดกับหมู่บ้านหนามาก มันหนาเสียจนแทบจะมองไม่เห็นไม้พายที่ใช้พายเรือเลยทีเดียว ที่นี่ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1942 ปัจจุบันมีชาวบ้านอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้เพียงแค่ประมาณ 100 คนเท่านั้น ประกอบอาชีพล่าสัตว์และประมง ไม่มีภูเขาสูงหรือหุบเขาไว้ปกป้องหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งห่างออกไปเพียงแค่ 5 กิโลเมตร ก็จะเจอกับแผ่นน้ำแข็งอันสูงชันและหนาวเหน็บ ลองจินตนาการดูสิว่ามันจะหนาวมากมายแค่ไหน เหมาะสำหรับผู้ที่รักสันโดษอย่างแท้จริง
11. สำนักสงฆ์ Phugtal Gompa ภูเขา Ladakh Himalaya ประเทศอินเดีย
สำนักสงฆ์ที่มีการสร้างอาคารอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นจากกิ่งไม้และดินโคลน บนหน้าผาที่สูงชันกว่า 3,800 เมตร ถูกเรียกว่า Phugtal Gompa หรือ Phuktal ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1100 โดย Lama Gangsem Sherap Sampo สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมและเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธของพระสงฆ์ ศูนย์กลางคือถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือสุด เหมาะแก่การไปสงบจิตใจและค้นหาคุณค่าของชีวิต
12. หมู่บ้านที่ Gorges du Verdon ประเทศฝรั่งเศส
หมู่บ้านขนาดย่อมที่อยู่บนยอดเขาสูงแห่ง Gorges du Verdon เมือง Provence เงียบสงบด้วยการตั้งอยู่อย่างสง่างามบนภูผา ซึ่งสามารถมองเห็นหุบเขาโดยรอบได้อย่างชัดเจน หุบเขาส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นหินผาสวยงาม เบื้องล่างคือแม่น้ำ Verdon ซึ่งมีสีฟ้าใส โดดเด่นจากแมกไม้และภูเขาหิน เป็นทัศนียภาพที่ครั้งหนึ่งต้องไปเห็นให้ได้ด้วยตาของตัวเอง
ทั้ง 12 สถานที่นี้เป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่งของสถานที่พักผ่อนกายและใจ อันที่จริงไม่ต้องไปที่ไหนไกลก็สามารถพักผ่อนได้ง่าย ๆ ก็ในบ้าน ในห้องนอนของคุณนั่นละ เพียงแค่นั่งลงนิ่ง ๆ หลับตา อยู่กับตัวเองสักพัก นอนพักสักงีบ เท่านี้สมองคุณก็จะปลอดโปร่งขึ้นอีกเยอะ แต่ถ้าหากอยากพักผ่อนด้วย และอยากได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วย แบบนี้ก็อย่าช้า ก้าวขาออกไปผจญโลกกว้างกันได้แล้ว
หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก
mashable.com, huacachina.com, urbanghostsmedia.com, sermersooq.com, airgreenland.com, visitfaroeislands.com, naroyfjorden.no, whc.unesco.org, cntraveller.com, gosouthamerica.about.com, travelingsolemates.com, monemvasia.com, tristandacunha.org