
หากเอ่ยถึง "ญี่ปุ่น" ชื่อของเมืองโตเกียว โอซาก้า นารา หรือฮอกไกโด คงจะอยู่ในลิสต์รายชื่อเมืองต้องห้ามพลาดในการวางแผนไปเยือนอย่างแน่นอน...จริงไหม แต่วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักและทักทายอีกหนึ่งเมืองที่น่าไปสัมผัสสุด ๆ นั่นก็คือ เคียวตังโกะ (Kyotango) เมืองริมทะเลที่มีบรรยากาศสงบเรียบง่ายและมีธรรมชาติที่งดงาม ผ่านบันทึกการเดินทางของ คุณ Forzanu สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มีโอกาสได้ไปเยือนและนำประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาบอกเล่าให้เราได้ชมกัน อ๊ะ ๆ นอกจากนี้ยังแวะไปเที่ยวเกียวโตเมืองเก่ามากเสน่ห์ ก่อนไปโอซาก้าเมืองที่มีความหลากหลายรวมกันอยู่ได้อย่างลงตัว เอาล่ะ ! ถ้าพร้อมแล้วก็ไปเที่ยวเคียวตังโกะกันเลยค่ะ
++++++++++++++++++++
และนี่คือที่มาของการเดินทางในครั้งนี้ที่ สายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ จับมือกับทางการท่องเที่ยวเมืองเคียวตังโกะ (Kyotango) เพื่อออกเดินทางสัมผัสถึงความสวยงามของเมืองเล็ก ๆ ทางตอนเหนือของเกียวโต ที่เต็มเปี่ยมด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และความเงียบสงบ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ผมได้มีส่วนร่วมในฐานะสื่อมวลชน และยังมีรายการที่นี่หมอชิตที่เดินทางไปถ่ายทำรายการพร้อมกันในครั้งนี้ด้วย กับสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์เส้นทางกรุงเทพฯ (ดอนเมือง)-โอซาก้า เมื่อวันที่ 11-15 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา
ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เราจะไปพบกับ...
- บรรยากาศอันเงียบสงบที่รายล้อมด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบของเมือง Kyotango
- Onaru Burial and Tateiwa Rock แหล่งโบราณคดีที่เคยเป็นหมู่บ้านของชาวโอนารุเมื่อราวสมัยศตวรรษที่ 6 ที่ทุกวันนี้เหลือเพียงซากกองหิน แต่ความสวยงามกลับอยู่ที่ภูมิทัศน์บริเวณริมหน้าผา และชายหาด
- จากนั้นไปยัง "อ่าวอิเนะ Ine Bay" หมู่บ้านประมงนั่งเรือชมบรรยากาศและทัศนียภาพริมอ่าวอิเนะ และเอกลักษณ์ของหมู่บ้านริมน้ำ
- เดินทางต่อไปยังจุดชมวิวที่ว่ากันว่าสวยที่สุดติด 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่นที่ Amanohashidate อามาโนะฮาชิดาเตะ
- ต่อด้วยการนั่งรถไฟสายท่องเที่ยว Tango Akamatsu Railroad ลัดเลาะชมทัศนียภาพอันงดงามของทะเลเกียวโตก่อนเดินทางต่อเพื่อเข้าสู่เมืองเกียวโต
- สัมผัสป่าไผ่ที่สูงชะลูดนับหมื่นต้นที่ Arashiyama Bamboo Forest และเดินสัมผัสความงดงามของวัดเท็นริวจิ Tenryu-Ji Temple ที่อยู่ติดกัน ก่อนจะปิดท้ายด้วยศาลเจ้า Fusimin Inari และย่านช้อปปิ้งชื่อดังแห่งโอซาก้าอย่าง Dotonbori
ป.ล. ภาพในอัลบั้มนี้ค่อนข้างเยอะเกือบ 200 ภาพ เพื่อให้เห็นในมุมต่าง ๆ แนะนำให้เปิดกระทู้ทิ้งไว้ไปเดินเล่นสักพักแล้วค่อยกลับมาชมภาพต่ออีกทีน่าจะเวิร์คสุด ส่วนลิงก์นี้คือภาพผลงานการเดินทางอัลบั้มเก่า ๆ เผื่อเพื่อน ๆ คนไหนสนใจอยากติดตามชมครับ http://pantip.com/profile/172795 ^__^

จากเส้นทางเราเริ่มต้นที่สนามบินดอนเมืองเวลา 15.20 น. และตามตารางเวลาเราจะถึงท่าอากาศยานคันไซ เมืองโอซาก้า เวลา 22.40 น. (ตามเวลาประเทศญี่ปุ่นซึ่งเร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง) ปรับโหมดโทรศัพท์มือถือเป็น Flight Mode เรียบร้อยจากนั้นก็เตรียมฟังคำแนะนำปฏิบัติตัวเมื่ออยู่บนเครื่องก่อนจะถึงเวลาเติมพลังยามเย็นกันสักมื้อ โดยมื้อนี้มีข้าวผัดกะเพราไข่เจียวเป็นอาหารหลัก และปิดด้วยของหวานอร่อย ๆ อย่างพุดดิ้งมะพร้าวอ่อน หลังจากอิ่มท้องได้สักพักก็ถ่ายรูปท้องฟ้าสีสวย ๆ ริมหน้าต่างไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย



จากที่เก็บเอกสารสัมภาระด้านหน้าเบาะที่นั่งจะเห็นว่าทางสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์นั้นมีบริการใหม่ที่น่าสนใจคือ SKY TICKET ช่องทางบริการจำหน่ายบัตรโดยสาร และบัตรผ่านสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยให้ผู้โดยสารที่เดินทางจากสนามบินเข้าสู่เมืองโตเกียวและโอซาก้าได้ง่ายดายยิ่งขึ้นผ่านบริการ SKY TICKET ที่จำหน่ายบนเที่ยวบิน ไปจนถึงบัตรเข้าสวนสนุกยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปน หรือจะเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโอซาก้า ไคยูกัง รวมทั้งบริการต่าง ๆ เรียกว่าใครสนใจแบบไหนก็สามารถซื้อได้ที่บนเครื่องได้เลย
ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อย ๆ กับการเดินทาง เสียบหูฟังเปิดเพลงจากโทรศัพท์มือถือพร้อมเข้าสู่โหมดหลับ ๆ ตื่น ๆ รอคอยแค่เพียงเวลาที่จะได้ถึงดินแดนอาทิตย์อุทัยต่อไป
ในที่สุดก็ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพที่เวลา 22.40 น. ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น แม้จะเป็นเวลากลางคืนแต่จุดมุ่งหมายของเราที่แรกนั้น คือ เมืองเคียวตังโกะ ทำให้ต้องออกเดินทางกันต่อทันทีโดยรถบัสที่มารอรับอยู่แล้ว ก่อนที่จะใช้เวลาอีกประมาณ 4 ชั่วโมง อยู่บนรถบัส เบ็ดเสร็จถึงโรงแรม Centrale Hotel ที่เคียวตังโกะสถานที่แรกเวลาโดยประมาณเกือบตี 3 เศษ ๆ




*** ข้อมูลเพิ่มเติมการเดินทางสู่เมืองเคียวตังโกะโดยรถไฟ ***
จากโอซาก้าหรือเกียวโต > ขึ้นรถไฟ KTR (Kitakinki Tango Rail) > มายัง Amanohashidate Station > แล้วลงที่ Mineyama Station หรือ Amino Station ก็ได้เพราะทั้งสองสถานีนี้ก็อยู่ในเมืองเคียวตังโกะ
Kyotango จากที่ถามกับทางล่ามและชาวญี่ปุ่นที่นั่นแล้ว เรื่องการออกเสียงถึงชื่อเมืองนี้ สามารถเรียกได้ทั้ง "เคียวตังโกะ" และ "เคียวตันโกะ" แล้วแต่ถนัด เพราะบางทีภาษาพูดก็แล้วแต่สำเนียงคนถนัดต่างกันไป ซึ่งสำหรับผมขอใช้เป็นเคียวตังโกะในแบบแรกแล้วกันครับ
วันที่เดินทางมาวันแรกเราได้พบกับนายกเทศมนตรีเมือง Kyotango ที่มาพร้อมพนักงานเจ้าหน้าที่ในส่วนต่าง ๆ อีกหลายท่านเพื่อให้ข้อมูลท่องเที่ยวต่าง ๆ เพิ่มเติม และทำให้เราได้รู้อะไรหลายอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับเมืองเล็ก ๆ ติดชายทะเลแห่งนี้
อย่างเช่นที่นี่นั้นเป็นที่ที่มีการปลูกข้าวเป็นที่แรกในญี่ปุ่น นอกจากนี้ก็ยังมีธรรมชาติอันหลากหลายทั้งอ่าวริมทะเล ชายหาดทะเลที่สวยงาม ผลไม้ที่มีปลูกกินมีรสชาติอร่อยตลอดปี แต่สิ่งที่ดูจะสร้างความภูมิใจให้กับชาวเมืองเคียวตังโกะมากที่สุดก็คงเป็นเมืองที่มีค่าเฉลี่ยคนอายุยืนมากที่สุดในโลก ซึ่งบุคคลที่มีอายุยืนที่สุดในโลกที่ถูกจดเป็นสถิติโลกลงกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด คนล่าสุดที่เพิ่งเสียชีวิตไปก็อยู่ที่เมืองนี้ คือ คุณปู่ “จิโรเอมอน คิมูระ” ที่เสียชีวิตด้วยวัยถึง 116 ปี (เสียชีวิต 12 มิถุนายน 2013) ซึ่งจากสถิติที่กล่าวมายืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเมืองนี้น่าจะเป็นเมืองที่มีธรรมชาติอันลงตัวอุดมสมบูรณ์และบริสุทธิ์


ด้วยความที่เป็นเมืองอันเงียบสงบนั้น จากสถิติสำรวจประชากรของชาวญี่ปุ่นปี 2014 ที่ผ่านมา พบว่าชาวเมืองเคียวตังโกะมีอยู่ประมาณ 55,000 กว่าคนเท่านั้น ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในเมืองนี้นั้นดูไม่วุ่นวายไม่จอแจ รวมไปถึงตึกอาคารสูงใหญ่ที่ไม่ได้พบเห็นกันง่าย ๆ ในเมืองเคียวตังโกะแห่งนี้ ช่วงวันที่เดินทางมานั้น (11-13 มีนาคม ที่อยู่ที่เคียวตังโกะ) ได้เจอกับกองหิมะอยู่หลายบริเวณด้วยกัน ทำให้เห็นถึงอากาศที่หนาวเย็น ทำให้ทัศนียภาพที่เห็นโดยรอบมีหิมะปกคลุมอยู่ทั้งตามถนนหนทาง รวมไปถึงทิวเขาที่อยู่ไกลออกไปด้วยเช่นกัน


ช่วงเวลาสายของวันแม้แดดจะเริ่มออกท้องฟ้าจะเริ่มสดใสสวยงาม แต่ความหนาวเย็นของอากาศวันนั้นต้องบอกว่าไม่เบาเลยทีเดียว ซึ่งเสื้อผ้าที่เตรียมมาเป็นอย่างดีก็ช่วยให้ร่างกายยังรู้สึกสบายดีกับอากาศรอบตัวของวันนั้น...ในภาพคือบริเวณสวนสาธารณะเล็ก ๆ บริเวณข้างโรงแรม Centrale ที่พัก ซึ่งก็เป็นสนามเด็กเล่น และมีจุดชมวิวจากเนินด้านบนที่สามารถมองลงมาเห็นทัศนียภาพแบบกว้าง ๆ ของเมืองเคียวตังโกะบริเวณนี้อีกด้วย


อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าเมืองเคียวตังโกะนั้นเป็นเมืองที่มีขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่นัก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเกียวโต ซึ่งบริเวณเมืองแห่งนี้ก็มีพื้นที่ที่ติดกับชายทะเลเกียวโต (Sea of Kyoto) ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราจะได้เห็นในไม่ช้านี้ ความเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ที่รายล้อม ทำให้รู้สึกว่าเวลาของที่นี่นั้นเดินช้าเป็นพิเศษ ซึ่งถึงแม้เข็มนาฬิกาจะเดินด้วยจังหวะเวลาเท่าเดิมเหมือนทุกวันที่ผ่านมา แต่ความรู้สึกที่มีคืออยากจะเห็นสิ่งรอบ ๆ ตัวของเมืองนี้เร็ว ๆ ขึ้น


ระหว่างที่รอทีมงานของที่นี่หมอชิตถ่ายทำรายการอยู่ จากจุดชมวิวด้านบนใกล้ที่พักผมเลือกเดินลงมายังด้านล่างเพื่อเดินเล่นเก็บภาพบรรยากาศเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ด้านล่างหมู่บ้านภายในเมืองเท่าที่เวลาตอนนี้พอจะมี



หมู่บ้านที่อยู่ด้านล่างที่พักโรงแรมนั้นเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ติดริมถนน ไม่พบเห็นผู้คนออกมาเดินนอกบ้าน เดาเอาเองว่าอาจเพราะอากาศที่หนาวเย็นหรือไม่ก็อาจทำงานอยู่ในบ้านก็เป็นได้ และผลจากการเดินไปเรื่อยเปื่อยก็ทำให้ผมกับดอกบ๊วยสีชมพูสดสวยที่ขึ้นอยู่ริมทางหน้าบ้าน ตอนแรกตกใจคิดว่าซากุระ แต่จริง ๆ แล้วยังไม่ถึงช่วงเวลาบานของซากุระ และดูจากรูปทรงของดอกแล้วก็ชัดเจนว่านี่คือดอกบ๊วยแน่นอน ซึ่งสำหรับคนที่ไม่คุ้นพอมองเห็นสีชมพูอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นซากุระ แต่ความจริงแล้วดอกบ๊วยนั้นก็มีอะไรที่ต่างจากดอกซากุระอยู่ อย่างช่วงเวลาที่จะบานก่อนซากุระประมาณ 1 เดือน แต่ที่สังเกตง่ายสุดคือดอกซากุระนั้นบริเวณปลายกลีบดอกจะมีเหมือนรอยหยักตัดเข้ามา แต่ดอกบ๊วยกลีบของดอกนั้นจะเป็นทรงกลม












เดินไปเดินมาจากบริเวณที่พักสู่ถนนด้านล่างกล้าบอกได้เลยว่าถ้าเป็นสภาพอากาศอย่างบ้านเราคงมีเหงื่อไหลไม่น้อย แต่ตรงข้ามกับสภาพอากาศในวันนี้อย่างสิ้นเชิง ผมใช้เวลาเดินลงมาเรื่อย ๆ ไม่มีอะไรต้องรีบร้อนจนมาถึงด้านล่าง แสงแดดยามเย็นครึ้ม ๆ ไปบ้าง สลับด้วยแดดออกตามจังหวะเคลื่อนตัวของเมฆที่มาบดบังดวงตะวัน เดินเรื่อยมาจนถึงบริเวณทุ่งนา และสู่ถนนหลักซึ่งก็มีเพียงแค่ 2 เลนสวนทางกันไป-มา















เกาะหินสองเกาะที่ตั้งอยู่โดดเด่นไกลออกไปสักเล็กน้อยดูเหมือนจะช่วยต้านทานแรงลมได้พอสมควร แต่ด้วยปริมาณอันมหาศาลของผืนน้ำ และภูมิทัศน์ที่ส่งผลให้มีลมแรงพัดกระหน่ำจนตัวผมเองขนาดว่าตั้งใจยืนต้านกับลมแล้วถึงกับเซ เป็นสัญญาณอันตรายว่าไม่ควรเสี่ยงต่อไปดีกว่า เพราะเท่าที่สังเกตจากบริเวณชายหาดนี้ก็ไม่มีใครมาเดินเล่นในช่วงเวลานี้เลย
จากนั้นก็เป็นการเดินทางย้อนกลับเข้าสู่ที่พัก Ukawa Onsen อีกครั้ง ใบหน้าที่โต้กับลมมาตลอดเกือบ 50 นาที กว่าจะเดินกลับขึ้นมาถึงด้านบน อาการพูดไม่ค่อยออก ปากขยับไม่ค่อยได้ แม้จะกลับมาถึงที่พักด้านบนแล้วก็ตามทำให้รู้เลยว่าอาการหน้าชานั้นเป็นอย่างไร...ปิดท้ายภาพของทะเลญี่ปุ่นจากมุมด้านบนสวย ๆ แบบนี้มองมุมไหนก็ถูกใจ ก่อนจะเก็บเป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่สวยงามให้กับตัวเอง



ปิดท้ายวันแรกที่ออนเซ็นอุ่น ๆ ของที่นี่ (ที่สามารถถ่ายภาพได้เพราะเป็นช่วงที่ไม่มีลูกค้าพอดี ซึ่งโดยส่วนมากแล้วออนเซ็นหลาย ๆ แห่งจะไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพได้) สำหรับใครที่เลือกมาพักที่อูคาวะ ออนเซ็น ที่นี่จะมีทั้งบ่อแช่น้ำอุ่นแบบในร่มและกลางแจ้ง ก็เลือกตามที่ต้องการได้เลย
การเดินทางสู่เมืองเคียวตังโกะในวันแรกแบบเต็ม ๆ ผ่านพ้นไปแบบเกินหวัง บอกกันแบบตรง ๆ ว่าก่อนที่จะเดินทางมานั้นไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเมืองนี้มาก่อน แม้จะหาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ตแล้วแต่ก็มีข้อมูล มีรูปภาพให้เห็นอยู่ไม่มาก ทำให้ไม่ค่อยได้เห็นอะไรจากเมืองนี้สักเท่าไร แต่กับหนึ่งวันที่ผ่านไปพร้อมกับพรุ่งนี้อีกหนึ่งวันที่จะยังคงพักค้างอ้างแรมที่นี่อีกหนึ่งคืน ทำให้ลุ้นเหลือเกินว่าสถานที่อื่น ๆ ที่จะได้เจอนั้นจะงดงามและถูกใจเพียงใด




ตื่นแต่เช้าด้วยสายลมหนาวหน้าที่พักเดินเล่นไป-มา พร้อมทานอาหารเช้า จากนั้นก็เช็กสภาพอากาศจากทางอินเทอร์เน็ตอีกครั้ง ข่าวดีคือท้องฟ้าช่วงเช้าแจ่มใส แต่ช่วงบ่ายฝนจะตก ก็เริ่มทำใจได้แต่หวังว่าขอให้ช่วงบ่ายไม่ตรงตามพยากรณ์สักนิดก็แล้วกัน ถึงเวลาเช้าประมาณ 8 โมง ได้เวลาล้อหมุนกันอีกครั้งสำหรับการเริ่มต้นวันที่ 2 ของเมืองเคียวตังโกะ สถานที่แรกที่เราจะไปสัมผัสกันในยามเช้าวันนี้ (13 มีนาคม 2558) คือ "Onaru Burial Mounds and Tateiwa Rock” เป็นพื้นที่ริมหน้าผาติดริมทะเล เดิมทีในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโอนารุ ซึ่งทุกวันนี้ก็เหมือนว่าจะกลายเป็นแหล่งโบราณคดีไปแล้ว สังเกตจากชื่อสถานที่ก็พอเดาได้ Burial ก็คือ เกี่ยวกับการฝังศพ Mounds ก็คือ กองหิน ก็เข้าใจได้ว่าที่นี่ต้องเคยเป็นที่ฝังศพของคนโบราณ และจากที่สันนิษฐานนั้นน่าจะมีตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 6-7 ถ้าเทียบปี ค.ศ. ก็ ค.ศ. 600-700 นั่นเลยครับ ซึ่งต้องบอกว่าเก่าแก่มาก



ในอดีตอาจเคยเป็นอะไรมา แต่ในปัจจุบันตรงจุดนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งมุมของชายทะเลเมืองเคียวตังโกะที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหน แม้คลื่นลมจะแรงไปสักหน่อย แต่ทัศนียภาพรอบตัวนั้นงดงามและดูน่าสนใจอยู่ไม่น้อย วันที่พวกเราได้เดินทางมานอกจากพวกเราแล้วก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาด้วยกันอยู่หลายกลุ่ม แสดงให้เห็นอย่างดีว่าที่นี่นั้นได้รับความสนใจจากใครต่อใครอยู่ไม่น้อย



จากภาพข้างต้นที่บรรยายไป สำหรับผมแล้วผมว่าภูมิทัศน์ที่บริเวณนี้นั้นดูน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นทั้งหน้าผาและมีบ้านเรือน รวมไปถึงประภาคารที่สร้างอยู่ติดริมทะเลโดยมีกำแพงสร้างบังเป็นระยะ ๆ จากคลื่นลมที่แรงกระหน่ำ บวกกับสภาพชายหาดที่โค้งเว้าทำให้คิดว่าการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งจำเป็นจริง ๆ เพิ่มเติมสักนิดกับภาพล่างสุดหากสังเกตดี ๆ บริเวณกลางภาพค่อนมาทางซ้ายหน่อย จะมีรูปปั้นที่อยู่บนเนินปูนสีเทา นั่นคือ รูปปั้นของคุณหญิง Hashiudo และลูกชาย Shotoku Taishi ที่ทั้งสองยืนเฝ้ามองทะเลญี่ปุ่นที่อยู่ตรงหน้า ก็ถือว่าเป็นอีกไฮไลท์หนึ่งเรื่องราวของที่นี่เช่นกัน





ใช้เวลากับภาพสุดท้ายของที่นี่ด้วยการเลือกมุมที่ชอบ ๆ แล้วรอจังหวะให้นกบินเข้ามา บางครั้งโชคก็ทำให้เราได้อะไรดี ๆ กลับมาเสมอ ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการรอคอยจังหวะในภาพสุดท้ายของที่นี่
*** ข้อมูลเพิ่มเติม *** จากตัวที่พัก Ukawa Onsen มาถึงบริเวณ Onaru Burial Mounds and Tateiwa Rock นั้นไม่ไกลนัก ห่างกันเพียงประมาณ 9 กิโลเมตร ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงได้โดยง่ายดาย



บรรยากาศภายในเมืองตามเส้นทางขับรถเลาะชายทะเลเพื่อไปยังที่หมายต่อไป ก็ยังคงเป็นไปในแบบเงียบ ๆ สงบ ๆ ไม่มีรถพลุกพล่าน รวมทั้งผู้คนที่ออกมาเดินริมถนนก็ไม่ค่อยพบเห็นสักเท่าไร แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นแม้ว่าจะเป็นเมืองเล็ก ๆ ถูกต้องที่ผู้คนอาจจะน้อย แต่หลาย ๆ อย่างที่นี่ก็จัดการดูแลได้เป็นอย่างดี ทั้งความสะอาดและความเป็นระเบียบของสองข้างทาง...นั่งไปก็ให้อิจฉาไป





ก่อนที่เราจะลงไปชมวิวด้านล่างกันก็ขอพามายังจุดชมวิวด้านบนก่อน เพื่อให้เห็นภาพรวมแบบกว้าง ๆ และจากภาพแรกที่เป็นพาโนรามาสามารถคลิกที่ลิงก์นี้แล้วกดขยายเพื่อชมภาพใหญ่ได้เลยครับ >> http://www.forzanu.com/wp-content/uploads/2015/04/32FZN_5424.jpg
จากในภาพพาโนรามาเกาะที่เห็นในภาพ คือ "เกาะอาโอชิม่า Aoshima" เกาะสำคัญที่ชาวบ้านบริเวณอ่าวอิเนะว่ากันว่ามีเทพเจ้าคอยปกป้องพวกเขาอยู่ เนื่องจากเกาะนี้เป็นเกาะที่คอยกำบังป้องกันลม ป้องกันฝน ป้องกันพายุต่าง ๆ ให้กับชาวบ้าน เพราะหากปราศจากเกาะนี้แล้วทั้งลมพายุฝนต่าง ๆ ก็จะสามารถพัดเข้าสู่หมู่บ้านแถบนี้ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งลักษณะของอ่าวในญี่ปุ่นนั้นแทบจะไม่มีอ่าวใดเลยที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะเช่นนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้อ่าวอิเนะนั้นเป็นหนึ่งจุดสำคัญในเมืองเคียวตังโกะ


แต่เอกลักษณ์ของหมู่บ้านฟุนายะนั้นไม่ได้มีเพียงแค่นี้ หากสังเกตดี ๆ จากในภาพช่วงตัวบ้านที่อยู่ริมน้ำจะมีการสร้างบ้านแบบใต้ถุนเปิดโล่ง เพื่อที่จะสามารถนำเรือเข้าไปจอดในบ้านได้เลย ส่วนชั้นบนก็จะเป็นห้องพักห้องนอนกันไปตามแต่ละบ้าน จากข้อมูลที่ขึ้นรายละเอียดไว้ตรงจุดชมวิวบอกว่าที่หมู่บ้านแห่งนี้มีอายุมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ 135 ปีแล้ว เพราะแรกเริ่มเดิมที่เริ่มมีหมู่บ้านประมงนี้ก็ตั้งแต่ปี 1880 เรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านประมงโบราณเลยก็ว่าได้

ทิ้งท้ายอีกสองสามใบกับภาพจุดชมวิวที่มองจากด้านบนลงไป ก่อนที่เราจะย้ายลงไปด้านล่างเพื่อนั่งเรือชมทัศนียภาพในอ่าวอิเนะ

อีกหนึ่งกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยวนักเดินทางที่มาเยือนอ่าวอิเนะ ก็คือ การนั่งเรือชมทัศนียภาพรอบ ๆ อ่าว ซึ่งนอกจากจะได้ชมวิวทิวทัศน์รอบ ๆ แล้วยังสนุกไปกับการให้อาหารบรรดานกทั้งหลายที่บินออกเรือพร้อม ๆ นักเดินทางเลย ระยะเวลาในการนั่งเรือชมรอบละประมาณ 20-30 นาที เมื่อพร้อมแล้วก็ลงเรือออกได้เลยครับ




แต่จะมีที่พิเศษแบบสุด ๆ ไปกว่านกนางนวล ก็คือ ยังมีเหยี่ยวสีน้ำตาลที่มาบินรอรับอาหารจากนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน อาจจะอันตรายดูเสี่ยงต่อการให้อาหารไปสักเล็กน้อย ตอนให้อาหารทางที่ดีก็ควรสวมถุงมือไว้เพื่อป้องกันกรงเล็บ ป้องกันปากจากเหล่านกสักหน่อย เพราะทั้งสองประเภทนี้ต่างกันตรงที่นกนางนวลจะใช้ปากคาบขนมจากนิ้วเราไป แต่เหยี่ยวจะใช้กรงเล็บอุ้งมือจิกมาที่ขนมซึ่งจะแหลมคมกว่า เพราะผมเองก็โดนเจ้าเหยี่ยวโฉบนิ้วมาแล้วเรียบร้อย

เวลาทั้งหมด 20 กว่านาที หมดไปกับการให้อาหารนก การยืนมองวิวทิวทัศน์บรรยากาศโดยรอบที่ไม่คุ้นตาเรากับทัศนียภาพแบบนี้ กับอากาศแบบนี้ ท้องฟ้าใส ๆ อากาศที่ดีช่วยให้ธรรมชาติงดงามขึ้นได้มากมาย สุดท้ายก็ถึงเวลาต้องอำลาจากอ่าวอิเนะเพื่อเตรียมตัวเติมพลังงานกับมื้อกลางวัน ก่อนจะต่อด้วยสถานที่หมายต่อไป
*** ข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม ***
- จากเกียวโตนั่ง Express Bus มายัง Amanohashidate ระยะเวลาประมาณ 140 นาที โดย Tankai Bus ราคาประมาณ 2,950 เยน
- จากนั้นเดินทางสู่อ่าวอิเนะโดยรถบัส ให้ขึ้นรถที่สถานี Amanohashidate Station แล้วมาลงที่อ่าวอิเนะ โดย Tankai Bus ใช้เวลาประมาณ 55 นาที (ประมาณ 400 เยน)
ป.ล. สำหรับใครที่อยากชมภาพเพิ่มเติม (ที่มากกว่าในนี้ชุดอ่าวอิเนะเชิญที่นี่ได้เลยครับ) >> www.facebook.com/Forzanu Foto

จากอ่าวอิเนะเราก็ต้องถึงเวลาเตรียมอำลาเมืองเคียวตังโกะกันเสียที คงไว้แต่ความประทับใจในเมืองเล็ก ๆ ที่อาจยังไม่มีชื่อเสียงมากเท่าไหร่หากเทียบกับหลาย ๆ เมือง หลาย ๆ จังหวัดในญี่ปุ่น แอบหวังไว้ว่าหลังจากรีวิวนี้น่าจะทำให้มีคนรู้จักเมืองเมืองนี้กันมากขึ้น "เคียวตังโกะ (Kyotango)"
สิ้นสุดเส้นทางหนึ่งก็ต่อด้วยจุดเริ่มของอีกเส้นทางหนึ่งกับสถานที่ที่ว่ากันว่าติด 1 ใน 3 จุดชมวิวที่สวยที่สุดของประเทศญี่ปุ่นกับ "Amanohashidate" ที่อยู่บริเวณอ่าวมิยาซุ (มิยาสุ) Miyazu Bay ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร จากอ่าวอิเนะเราก็มาถึงยัง Amanohashidate ซึ่งช่วงเวลาที่มานั้นเป็นเวลาบ่ายโมงพอดี และก็เป็นไปตามคำพยากรณ์ที่เช็กสภาพอากาศไว้เมื่อเช้าว่าจะมีฝน แค่มาถึงยังไม่ทันไรท้องฟ้าก็เริ่มครึ้มสีฟ้าจากท้องฟ้าไม่มีให้เห็นแม้แต่น้อย





ในที่สุดก็ได้มาเห็นจุดชมวิวที่ว่ากันติด 1 ใน 3 ของแดนอาทิตย์อุทัย ว่ากันว่าหากมองกลับหัวแล้วจะเป็นเหมือนสะพานที่เดินทางไปสู่สวรรค์ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น ถ้าอยากดูภาพง่าย ๆ ก็พลิกภาพกลับหัวก็ได้ครับ แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เมื่อมาถึงก็จะยืนก้มมองลอดหว่างขา เพื่อให้ได้อรรถรสในการชมไปตามแบบฉบับชาวญี่ปุ่น

ส่วนในภาพกลาง คือแผนที่อธิบายจุดต่าง ๆ ของ Amanohashidate ที่ผมถ่ายมาจากด้านหน้า และภาพล่างคือช่วงเวลาที่แตกต่างกันไปในมุมเดียวกัน จะเห็นได้ว่าเดือนเมษายนฉากหน้าจะเป็นดอกซากุระบานสะพรั่งเต็มไปหมด ต่อมาที่เดือนสิงหาคมอากาศจะสดใสเห็นท้องฟ้าผืนน้ำชัดเจน ก่อนที่เข้าช่วงฤดูหนาวภาพทั้งหมดก็จะมีเพียงสีขาวกับสีน้ำเงินสีฟ้าเท่านั้น ดูในภาพแล้วสวยงามผิดกับวันนี้ตอนนี้ที่ฝนพรำเบา ๆ อากาศไม่เป็นใจเสียเลย ได้แต่ปลอบใจว่ายังดีที่ไม่ตกหนักไปกว่านี้

จากบริเวณ Amanohashidate ฝั่งเหนือ เราก็เตรียมข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามฝั่งใต้ ซึ่งที่แตกต่างกันก็คือมุมมองที่เราจะเห็นได้ต่างกัน และฝั่งใต้นั้นยังมีสวนสนุกให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย


เมื่อมาถึงก็ขึ้นกระเช้าขึ้นมาด้านบนเหมือนกันกับฝั่งนั้น นอกเหนือไปจากสวนสนุกที่อยู่ด้านบนที่ฝั่งเหนือไม่มีแล้ว จากมุมฝั่งนี้เราจะสามารถเห็นแนวของหาดทรายที่ปกคลุมด้วยต้นไม้ได้ชัดเจนกว่า ระยะเข้าใกล้มากกว่า เรียกว่าสวยงามกันไปคนละแบบ เราใช้เวลาอยู่ที่ Amanohashidate ฝั่งใต้กันไม่นาน เพราะต้องรีบทำเวลาเพื่อเตรียมตัวขึ้นรถไฟสายท่องเที่ยว Tango Akamatsu Railroad ให้ทันเวลาที่สถานีรถไฟ Miyazu Station

*** ข้อมูลเพิ่มเติมการเดินทาง ***
รายละเอียดสำหรับตารางการเดินทางและเวลาของแต่ละสถานีครับ seasidekyoto.blogspot.com/2014/03/scenic-trains-running-in-tango-region.html


นอกไปจากรถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟท่องเที่ยวด้วยแล้ว การตกแต่งภายในรถไฟก็สวยงาม โดยสถาปนิกผู้ออกแบบนั้นออกแบบภายในให้เหมือนกับบ้าน มีโซฟา มีผ้าม่าน โต๊ะ เก้าอี้ เรียกได้ว่านอกจากการได้ชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางแล้ว ก็เป็นอีกอรรถรสหนึ่งของการนั่งรถไฟเลยก็ว่าได้ ซึ่งตอนขึ้นมานั้นถ่ายภาพไว้ไม่ทันเนื่องจากคนนั่งกันเร็วมาก แต่จะมีภาพช่วงสุดท้ายให้ดูกันครับ
เราขึ้นรถไฟตอนเวลา 15.43 น. ซึ่งก็จะใช้เวลาจนถึงสถานีสุดท้ายที่ Nishi-Maizuru Station ตอน 16.23 น. ตามเวลาที่กำหนดไว้ ระหว่างเส้นทางเราจะได้เห็นบรรยากาศสองข้างทาง ทั้งที่เป็นบ้านเรือน ทุ่งนา ขับผ่านอุโมงค์ เป็นทางโล่งกว้างสลับกันไปตามสภาพพื้นที่ และสิ่งที่ถูกอกถูกใจมากที่สุดของทุกคน ก็คือ การที่เราจะได้นั่งชมวิวทะเลญี่ปุ่นที่ขบวนรถไฟพาเลาะขอบชายฝั่งตามเส้นทางด้วย


*** ข้อมูลเพิ่มเติม ***
- ช่วงเวลาที่รถไฟชะลอให้ถ่ายรูปจะประมาณ 10 นาที หลังจากขึ้นรถไฟก็เตรียมจับเวลาได้เลยครับ



จากที่นั่งฝั่งซ้ายผมย้ายตัวเองมายังที่นั่งฝั่งขวา ตามเสียงเรียกของดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านนี้ในยามบ่ายแก่ ๆ อาจจะเป็นมุมที่ย้อนแสงไปบ้างรวมทั้งมีเงากระจกสะท้อนไป-มา แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะที่มากมายและมีความหมายยิ่งกว่า คือ การได้บันทึกภาพอันสวยงามและความทรงจำที่ประทับใจกลับไว้ดูยามคิดถึง

นี่คือภายในขบวนรถไฟที่สวยงามซึ่งออกแบบโดยสถาปนิก Mr.มิโตะโอกะ เอจิ เป็นผู้ออกแบบให้รถไฟขบวนนี้มีเอกลักษณ์มีความสวยงามอย่างที่เห็น และให้นักท่องเที่ยวได้มีประสบการณ์ในการนั่งรถไฟแบบได้อรรถรสเพิ่มขึ้น เมื่อขบวนรถจอดเรียบร้อยที่สถานี Nishi-Maizuru เราก็เตรียมตัวออกเดินทางกันต่อทันที ซึ่งพาหนะในการเดินทางก็เป็นรถบัสที่มาจอดรอรับพวกเราอยู่แล้ว เพื่อมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเกียวโตนอนอีก 1 คืน ก่อนจะไปยังสถานที่ที่น่าสนใจอื่น ๆ ในวันถัดไป


ปิดท้ายวันด้วยการเดินทางสู่เกียวโตโดยสวัสดิภาพก่อนเข้าที่พัก และเตรียมตัวสำหรับวันใหม่ที่จะไปยังไฮไลท์สำคัญของเมืองเกียวโต



แม้จะเปลี่ยนสถานที่จากเมืองเคียวตังโกะมาสู่เมืองเกียวโตแล้วก็ตาม แต่สภาพอากาศนั้นไม่ได้เปลี่ยนตามเลยยังคงหนาวอยู่เหมือนเดิม เช้าวันถัดมาสถานที่แรกที่เราจะมาพบกับอีกหนึ่งมนตร์เสน่ห์แห่งเกียวโต คือ “Arashiyama Bamboo Forest” ป่าไผ่อาราชิยาม่า
เราเดินทางมาถึงบริเวณป่าไผ่ตั้งแต่ประมาณ 8 โมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะมากมายนัก ยิ่งวันที่ผ่านมาแทบจะยังไม่มีคนมาเสียด้วยซ้ำ...ป่าไผ่ที่อาราชิยาม่าอยู่ในเมืองเกียวโต จุดเด่นของที่นี่คงหนีไม่พ้นต้นไผ่นับพันนับหมื่นต้นที่สูงชะลูดยืนอัดแน่นแทบทุกตารางเมตร ซึ่งหลายคนอาจเคยเห็นบ่อย ๆ ในภาพยนตร์ หรือแม้แต่วอลเปเปอร์หน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อสภาพอากาศดีอะไรที่ตามมาก็ดีตาม ใช้เวลาไปแบบไม่รีบร้อนกับทางเดินที่เต็มไปด้วยต้นไผ่เขียวชอุ่มต้นสูง ๆ ที่เอนพลิ้วไปมาตามสายลม บางจังหวะหากเงียบสักนิดก็อาจได้ยินเสียงไผ่ลู่ลมดังเข้ามาได้ง่ายดายเหมือนกัน



หากมีเวลาสักนิดการรอจังหวะ รอแสงส่องจากดวงอาทิตย์ก็สามารถทำให้ภาพมีเสน่ห์ดูสวยงามได้ในอีกแบบมากขึ้น รวมถึงช่วงเวลาที่ใบไผ่ต้นไผ่พลิ้วไปมายืนนิ่ง ๆ ละสายตาจากกล้องแต่มองด้วยตาเปล่าก็ทำให้เราเข้าถึงธรรมชาติได้ง่าย ๆ เหมือนกัน
*** ข้อมูลเพิ่มเติมการเดินทางสู่ป่าไผ่ Arashiyama ***
- จากสถานี JR Saga Arashiyama เดิน 10 นาที
- จากสถานี Hankyu Arashiyama เดิน 15 นาที
- จากสถานี Arashiyama (รถรางรันเด็ง) เดิน 5 นาที

ผ่านพ้นไปกับช่วงเวลาดื่มด่ำกับธรรมชาติของป่าไผ่เป็นที่เรียบร้อย จุดที่เราแวะต่อไปซึ่งอยู่ใกล้กัน ก็คือ วัดเท็นริวจิ (Tenryu-Ji Temple) ซึ่งเป็น 1 ใน 5 วัดเซนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองเกียวโต และยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์กรยูเนสโกอีกด้วย ... วัดเท็นริวจิว่ากันว่าเป็นวัดที่มีความสวยงามเป็นอันดับต้น ๆ ของบรรดาวัดทั้งหมดในเกียวโต เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของวัดเท็นริวจิ ก็คือ เป็นวัดในศาสนาเซน ดังนั้นรูปแบบการจัดสวนการตกแต่งภายในวัดก็จะมีบรรยากาศของเซนอยู่ตลอดเวลาที่เราเดินอยู่ภายในวัด


วัดเท็นริวจิ มีความหมายว่า “วัดแห่งมังกรสวรรค์ หรือมังกรแห่งท้องฟ้า” ความสวยงามในวัดเท็นริวจินั้นมีอยู่ด้วยกันหลายโซน แต่อย่างที่เป็นมุมที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพเป็นหลัก ๆ ก็จะอยู่ที่บริเวณสระน้ำ บึงน้ำ ที่ว่ากันว่าหากมองดี ๆ ก็อาจเห็นเป็นรูปของมังกรตามชื่อวัดได้เหมือนกัน












เมื่อมีพบก็ย่อมมีจาก ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะต้องอำลาจากแดนปลาดิบกันเสียที ปิดท้ายกับแหล่งช้อปปิ้งของซื้อและของขายที่มากมายด้วยร้านค้าและผู้คนที่ Dotonbori ทิ้งไว้เพียงประสบการณ์ ภาพจำความทรงจำตลอดระเวลา 3-4 วัน ที่ได้เดินทางมาสัมผัสมนตร์เสน่ห์ของดินแดนอาทิตย์อุทัย เริ่มต้นตั้งแต่วันแรกที่เมืองเคียวตังโกะกับภาพของธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และหลากหลายทางภูมิทัศน์ รวมไปถึงความเงียบสงบที่อยู่รอบตัวตลอดช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่น และรูปแบบชีวิตที่ไม่ต้องมีอะไรรีบร้อนของชาวเมืองแห่งนั้น
พร้อมแวะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามต่าง ๆ ก่อนจะนั่งรถไฟสายท่องเที่ยวชมความงามของทะเลญี่ปุ่นบนรถไฟ และเดินทางสู่เมืองเกียวโตสัมผัสมนตร์เสน่ห์เอกลักษณ์ในเมืองเก่า แม้จะได้แวะแค่ไม่กี่แห่งแต่ทุกที่ที่ได้พบได้เห็นก็ประทับใจมากมาย และปิดท้ายด้วยโอซาก้าซึ่งแม้จะมีเวลาอยู่ที่นี่แค่เพียงนิดเดียวแต่ก็อาจจะเป็นสัญญาณดีก็ได้ว่าสักวันอาจได้เดินทางกลับมาด้วยระยะเวลาที่นานกว่านี้
ขอบคุณสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ Thai AirAsia X กับการเดินทางอันสวยงามครั้งนี้ และขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่เข้ามาอ่าน หรือแม้จะแค่เลื่อนชมภาพก็ขอบคุณครับ แล้วเจอกันใหม่กับที่ไหนสักที่กับในอัลบั้มหน้ากันนะครับ
ขอฝากไว้อีกช่องทางเผื่อเพื่อน ๆ คนไหน หรือใครอยากติดตามผลงานภาพต่าง ๆ หรือสอบถามเชิญที่ด้านล่างนี้ได้เลยครับ ^^ https://www.facebook.com/Forzanufoto



เรื่อง/ภาพ : Forzanu















ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Forzanu สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก Forzanu Foto