วังเวียง...เมืองเล็ก ๆ ที่มากล้นด้วยเสน่ห์ให้นักท่องเที่ยวออกเดินทางไปค้นหากับความงดงามรอบตัว ทั้งทัศนียภาพที่งดงาม วิถีชีวิตของผู้คน รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีให้เลือกทำเพียบ
อ๊ะ ๆ แต่สำหรับคนที่อยากไปเที่ยววังเวียงแต่ดูงบในกระเป๋าแล้วคงต้องพับโครงการเอาไว้ก่อนละก็ ตามเรามาเลยค่ะ...วันนี้เราจะพาทุกคนไปเที่ยววังเวียงจากบันทึกการเดินทางของ คุณแบกกล้องเที่ยว สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ไปเยือนวังเวียงในระยะเวลา 5 วัน 3 คืน กับเงิน 5,000 บาท !!! รับรองเลยว่าคุณจะได้ไปเที่ยวตามรอยได้ชัวร์ ^^
+++++++++++++++++
แบกกล้องเที่ยว วังเวียง ผ่านสายน้ำ 5 วัน 3 คืน กับเงิน 5,000 บาทสวัสดีครับเพื่อน ๆ ทุกท่าน พึ่งกลับมาจากวังเวียง เลยนำข้อมูลการท่องเที่ยวมาฝากเพื่อน ๆ ทุกท่านครับ รับชมการเดินทางเพิ่มเติมของพวกผมได้ที่
FB แบกกล้องเที่ยว : เฟซบุ๊ก baagklong
หรือสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวได้ที่เฟซบุ๊กผมเลยครับ
Little Potchara : เฟซบุ๊ก littlesk8er
ทริปนี้สมาชิกมีทั้งหมด 5 ท่านครับ เดินทางจากกรุงเทพฯ โดยรถโดยสารไปลงอุดรธานี และต่อรถจากอุดรธานีไปวังเวียงครับ
ทริปนี้ใช้กล้อง Canon DSLR 1 ตัว Gopro Hero4 1ตัว และโทรศัพท์มือถือครับ ขอบคุณเจ๊ซินที่ให้ยืม GoPro ด้วยนะครับ
ฝากกระทู้แบกกล้องเที่ยว
#1 เที่ยวเชียงใหม่ งานยี่เป็ง ขึ้นดอยไปดูทะเลหมอกที่ดอยผาตั้ง แวะไหว้พระที่น่าน นอนชมดาว ดอยเสมอดาว
#2 ดอกนางพญาเสือโคร่ง ขุนวาง-ดอยอินทนนท์-ดอยหลวงเชียงดาว-ม่อนสน
#3 ครั้งแรกกับ แพ 500 ไร่ เขื่อนรัชประภา+ภูผาและลำธาร เขาสก
ขอบคุณครับ ^___^
จุดเริ่มต้นการเดินทาง
เนื่องจากพวกเราทั้ง 5 คน รู้จักกันตอนไปเที่ยวภูกระดึงเมื่อปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็สนิทกัน กลายเป็นพี่น้องในกลุ่มที่รักการท่องเที่ยว+ถ่ายรูปเหมือนกันครับ จริง ๆ เราสนิทกันประมาณ 10 กว่าคนได้ แต่ทริปนี้มีว่างพอดี 5 คน ก็เลยมากันก่อนครับ
เจ้าของกระทู้ชื่อ เติ้ล ครับ เป็นคนรักการเดินทางท่องเที่ยวและถ่ายรูป ทริปนี้มีสมาชิกร่วมเดินทางเป็น น้องผิง น้องไอซ์ พี่ฉัน และก็เจ๊ซินครับ วันแรกเรานัดเจอกัน 3 ทุ่ม ที่สถานีขนส่งหมอชิต โดยพี่ฉันเป็นคนจองตั๋วรถไว้ล่วงหน้าครับ นครชัยแอร์ VIP กรุงเทพฯ-อุดรธานี เดินทาง 22.00 น. ราคา 666 บาท/คน
รถ VIP ของนครชัยแอร์ นั่ง-นอนสบายเลยครับ เบาะที่นั่งกว้าง มีหนัง เพลง เอ็มวี เกม ให้เล่นเป็นส่วนตัว เบาะมีที่นวดไฟฟ้าในตัว อาหารมีเสิร์ฟ ขนมปังไส้กรอกชิ้นใหญ่ ขนม 2 ถุง น้ำผลไม้ น้ำเปล่า น้ำอัดลม มีครบครับ พวกเรานอนกันหลับสบาย ตื่นเช้ามาอีกทีก็ถึงอุดรธานีเลยครับ
เช้าวันที่สองเราเดินทางมาถึง บขส. อุดรธานี ตอน 6 โมงเช้าครับ มารอซื้อตั๋วรถโดยสารจากอุดรไปวังเวียง เนื่องจากมีเดินทางวันละ 1 รอบเท่านั้น ออกเดินทางตอน 08.30 น. ราคาตั๋ว คนละ 320 บาทครับ พวกเราไปถึงกันแต่เช้า ก็ไปนั่งรอเคาน์เตอร์ขายตั๋วเปิดขายครับ โดยจุดนี้จะสามารถซื้อตั๋วไปเวียงจันทน์ได้ด้วยครับ เราได้ตั๋วโดยสารกันตอน 7 โมงกว่า ใช้ Passport ในการซื้อตั๋วด้วยนะครับ ใครที่จะเอากระเป๋าโหลดใต้ท้องรถก็แจ้งเจ้าหน้าที่ไว้ครับ เขาจะขอดูกระเป๋าและจะให้สายคล้องมา 1 เส้น
แนะนำคนที่นั่งเครื่องบินมาลงอุดรธานีและจะมาขึ้นรถต่อไปวังเวียงนะครับ เนื่องจากรถไปวังเวียงมีวันละรอบ คนมาซื้อตั๋วก็ค่อนข้างเยอะในบ้างวัน ถ้าเรามาช้าประมาณ 8 โมง บางทีตั๋วอาจเต็มก่อนได้ครับ
หลังจากพวกเราซื้อตั๋วได้แล้วก็ไปหาอาหารเช้าทานกันครับ แถว ๆ บขส. มีร้านอาหารอยู่หลายร้านครับ เลือกทานกันตามใจชอบ ร้านที่เราทานกันเจ้าของร้านใจดี ให้ชาร์จแบตมือถือ เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันได้ครับ 08.30 รถมารอตรงเวลาครับ รถไปวังเวียงนั่งสบายกว่าที่คิดไว้ครับ ใครอยากนั่งตรงไหนต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ขายตั๋วตั้งแต่ตอนซื้อเลยนะครับ เพราะที่นั่งเขาจะกำหนดไว้ แนะนำว่าขาไปเลือกนั่งฝั่งคนขับรถครับ ไม่ร้อน ^^
หลังจากออกมาจากอุดรธานีรถก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดหนองคายครับ แวะรับผู้โดยสารที่หนองคายบางท่าน แล้วก็ขับมาที่ ตม. ไทย วันที่พวกเราไปคนค่อนข้างเยอะครับ รอประมาณ 10-15 นาที เสร็จแล้วก็ขึ้นรถ ข้ามสะพานมิตรภาพไทยลาว ถึง ตม. ลาว ก็ลงไปตรวจเอกสารเข้าประเทศต่อครับ ขั้นแรกเอา Passport กับเขียนใบเข้าประเทศลาวเสร็จแล้วเอาไปให้เจ้าหน้าที่ หลังจากนั้นก็ไปซื้อ One Way Ticket ราคา 1,000 กีบ หรือจ่ายเงินไทยก็ 5 บาทครับ หลังจากนั้นก็เอาไปสอดบัตรที่ตู้ คล้าย ๆ กับขึ้นรถไฟฟ้าบ้านเราเลยครับ
หลังจากนั้นก็นั่งรถยาวเลยครับ ผ่านตัวเมืองเวียงจันทน์มาถึงจุดแวะพักกลางทาง ใช้เวลา 2 ชั่วโมง หลังจากทำเรื่องผ่าน ตม. ลาวครับ จุดนี้มีห้องน้ำให้เข้า คิดเงิน 1,000 กีบ หรือ 5 บาทไทยครับ มีอาหาร น้ำ ขาย แต่ราคาจะค่อนข้างแพง แนะนำว่าให้ซื้อขนม น้ำ อาหารตุน มาเลยครับจากอุดร ก่อนรถออกพวกผมซื้อมาม่าทานกันคนละถ้วย โดนไปถ้วยละ 10,000 กีบครับ ก็ประมาณ 40 บาท
หลังจากแวะให้พักแล้วก็จะนั่งรถยาวไปถึงวังเวียงเลยครับ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงได้ ถนนหลังจากนี้จะเป็นทางวิ่งบนสันเขาครับ โค้งไป-มาตลอดทาง หลุมเยอะ แต่นั่งมองวิวข้างทางก็เพลินครับ มาถึงวังเวียง ประมาณเกือบ 4 โมงเย็นได้ครับ รวมแล้วใช้เวลาจากอุดรมาถึงวังเวียงก็เกือบ 7 ชั่วโมงครับ
หลังจากเดินต่อไปเรื่อย ๆ เราก็ได้มาเจอห้องพักที่เคยดูรีวิวไว้ครับ จำปาลาว...เป็นกระท่อมเล็ก แต่ได้บรรยากาศมากเลยครับ กำลังจะเข้าไปสอบถามพี่ฉันเลยหยิบป้ายมาให้ดู T_T
แต่เราไม่แน่ใจเลยเข้าไปสอบถามอีกทีครับ เต็มยาวเลยครับ เลยขอพี่เขาเดินไปถ่ายรูปบริเวณนั้น
ข้างบนก่อนเดินลงบันไดไปที่ส่วนของห้องพักจะเป็นร้านขายเครื่องดื่มและอาหารครับ บรรยากาศดีมากเลย ยิ่งตอนเย็นจะเห็นพระอาทิตย์ตกลับขุนเขาด้านหลังพอดีครับ
หลังจากถ่ายรูปเสร็จเราก็ได้ที่พักใกล้ ๆ กันครับ ชื่อ Mountain View เป็นห้องพัดลม มีน้ำอุ่น มี Wi-Fi ให้เล่นฟรีครับ เรานอนกัน 5 คน จำนวน 2 ห้อง คืนละ 120,000 กีบ+150,000 กีบ = 270,000 กีบครับ นอนทั้งหมด 3 คืน ก็ 810,000 กีบ หาร 5 ก็ตกคนละ 162,000 กีบครับ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณคนละ 648 บาทเองครับ หลังจากได้ที่พักก็ออกมาเดินเล่นกันครับ เพราะจะ 5 โมงแล้ว เราก็มาใช้ชีวิตช้า ๆ เรื่อย ๆ ตามสไตล์วังเวียงครับ
เดินออกมาเจอบอลลูนกำลังลอยลงมาทางนี้พอดีครับ
ระหว่างทางเดินเจอของกินก็แวะซื้อไปเรื่อยครับ BBQ ไม้ละ 10,000 กีบ หรือ 40 บาทครับ
เดินไปริมน้ำซองครับ มีสะพานไม้ให้ข้าม
บรรยากาศริมน้ำซองยามเย็นครับ
มีบาร์ริมน้ำ อากาศเย็นสบาย นั่งสัมผัสบรรยากาศช้า ๆ อากาศดี ๆ มีความสุขจริง ๆ เลยครับ
ทานโรตีกันเสร็จแล้วเราก็ไปเดินหาซื้อ One Day Trip สำหรับวันพรุ่งนี้ครับ เดินมาเจอบริษัทหนึ่งชื่อ น้ำทิพย์ทัวร์ครับ น้องคนขายชื่อน้ำทิพย์ เป็นลูกเจ้าของร้าน ยังเด็กอยู่เลยครับ น่าจะอยู่ระดับประถม แต่พูดจาฉะฉาน ยิ้มตลอดเวลา เราเลยตกลงซื้อทริปกับเธอครับ ค่า One Day Trip 90,000 กีบ ต่อคนครับ (360 บาท) พาเราไปล่องห่วงยาง ถ้ำน้ำ เดินผ่านทุ่งนา เที่ยวถ้ำช้าง และพายเรือคายักครับ รวมอาหารกลางวันด้วยผมว่าไม่แพงเลย
ได้ที่ไปพรุ่งนี้แล้ว ก็เดินหาของทานต่อครับ มาหยุดที่ร้าน วังเวียงเบเกอรี่เฮ้าส์ คนเยอะมากเลยครับร้านนี้
ทำร้านน่านั่ง...เกาหลีเต็มร้านเลยครับ หล่อ ๆ สวย ๆ ทั้งนั้น รอจนมีโต๊ะว่างก็ได้ไปนั่ง สั่งเบียร์ลาวมาดื่ม นั่งมองสาวเกาหลี...ฟินเลยครับ ^____^
เจ๊ซินสั่งเค้กมาทานอีก...กินตลอดเวลาครับทริปนี้
หลังจากขึ้นรถสองแถวก็นั่งชมบรรยากาศมาเรื่อย ๆ ครับ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที รถก็มาจอดให้เดินต่อครับ จุดแรกที่จะไปวันนี้ คือ ถ้ำน้ำ ครับ เดินข้ามแม่น้ำซองและเดินผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ ผ่านทุ่งนาเข้าไป ประมาณ 1 กิโลเมตร ครับก็จะถึงจุดหมาย
เดินมาใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็ถึงครับ น้ำที่นี่ใสมากกกกกกก และก็โคตรเย็นเลยครับ เนื่องจากวันที่เราไปอากาศเพิ่งเริ่มกลับมาหนาว
มารอต่อคิวครับ ถ้ำน้ำจะเป็นถ้ำแคบ ๆ มีน้ำไหลผ่าน วิธีจะเข้าไปต้องใช้ห่วงยางครับ แล้วเราก็ดึงเชือกไปตามทางเรื่อย ๆ ข้างในมืด ไม่มีไฟ ทางผู้จัดทริปจะมีไฟฉายคาดหัวให้คนละ 1 อันครับ
ใกล้จะถึงตาพวกเราแล้วครับ ไม่ได้กลัวอะไรนะแต่น้ำมันเย็นครับ >_<
ลอยห่วงยางเข้าไปข้างในประมาณ 10 นาที ได้ครับ จริง ๆ ก็ไม่ได้ไกลแต่คนเยอะครับ รอต่อ ๆ กันมันเลยช้า ก็มีจุดต้องเดินกับคลานลอดถ้ำนิดหน่อยครับ ขากลับก็วนกลับมาทางเดิม แปลกดีครับน้ำใส แล้วเวลาไปกับเพื่อน ๆ เกาะ ๆ กันไปเป็นกลุ่มกันก็ยิ่งสนุกครับ ^^
ออกมาจากถ้ำแล้วพวกเราก็จะมารอทานอาหารเที่ยงที่นี่ครับ ทางผู้จัดก็ย่างบาร์บีคิวให้ทานริมน้ำตรงนั้นเลยครับ
มื้อนี้ก็มีข้าวผัด 1 กล่อง บาร์บีคิว 2 ไม้ ขนมปังดึกดำบรรพ์ 1 ก้อน กล้วยจิ๋ว 1 ลูก
ทานไปนิดหน่อยครับ รสชาติสู้ไม่ไหว...ผมเตรียมมาม่ามา 3 ห่อ เลยมาแกะกินกันแทนครับ กินมาม่าเปล่า ๆ อร่อยกว่าอีก...อิอิ ระหว่างรอตรงนั้นจะมีโรยตัวด้วยเคเบิลด้วยครับ พวกผมไม่ได้เล่นได้แต่ยืนมอง กับถ่ายรูปเล่นกัน ค่าเล่นตกคนละประมาณ 700-800 บาทครับ
หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยเราก็เดินย้อนกลับไปด้านเดิมครับ เพื่อไปชม “ถ้ำช้าง” ระหว่างทางก็ผ่านทุ่งนาครับ ช่วงนี้เก็บเกี่ยวหมดแล้ว ถ้ามาหน้าฝาน่าจะสวยงามมากเลยครับบริเวณนี้
เดินย้อนกลับมา 10 นาที ก็มาถึงถ้ำช้างครับ
ไกด์คนลาว เล่าว่า แต่ก่อนนี้มีช้างอาศัยอยู่ในถ้ำนี้ครับ แต่ตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ย้ายช้างขึ้นไปทางภาคเหนือประเทศแล้วครับ ภายในถ้ำก็จะมีหินย้อยลักษณะคล้ายช้างอยู่ด้วยครับ
สาว ๆ เกาหลีชอบช้างครับ ^^
เสร็จแล้วก็เดินกลับมาขึ้นรถครับ เพื่อที่จะไปล่องเรือคายักกันต่อ ระหว่างทางรถติดหินครับ มีให้ลุ้นเล็กน้อย
นั่งรถมาอีก 10 นาที ได้ครับก็มาถึงจุดปล่อยเรือลงน้ำ ระยะทางจากตรงนี้ไปที่ปลายทางประมาณ 8 กิโลเมตรครับ เบื้องต้นทางไกด์ก็จะสอนวิธีการพายให้กับคนที่ไม่เคยพายครับ นั่งลำละ 2 คน ถ้าใครพายไม่เป็นเลยจะมีไกด์พายให้ครับ
ปล่อยตัวแล้วครับ ผมพายคู่กับน้องผิง พี่ฉันไปกับเจ๊ซิน ส่วนน้องไอซ์ไปพายกับสาวเกาหลี และมีไกด์คอยพายช่วยให้ครับ
ระหว่างนี้เราก็พายเรือไปเรื่อย ๆ ตามสายน้ำซองครับ ไม่รีบร้อน พายไปก็สาดน้ำใส่เพื่อนชาวเกาหลีไป มีพายตามมาแก้แค้นด้วยครับ พายไปชนหิน เรือคว่ำ ก็นั่งหัวเราะกันครับ สนุกสนานตลอดทางเลยครับ ถ่ายรูปเล่นกันสนุกเลยครับ
ขอเซลฟี่หน่อยนะครับ ^__^
อยากจะบอกว่าบรรยากาศสองข้างทางที่แม่น้ำซองสวยจริง ๆ ครับ เป็นธรรมชาติ มีต้นไม้ มีป่า มีลำธารเล็ก ๆ น้อย เป็นอะไรที่เพลินมากเลยครับ
บางทีก็จอดเรือมานั่งถ่ายรูปเล่นกันครับ ^__^
บางทีก็หยุดเพื่อที่จะก่อศัตรูบ้างครับ.. สาว ๆ เห็นโอปป้าไม่ได้ครับ ชอบสาดน้ำใส่ให้หนาว
หลังจากสงครามสงบลงเราก็กลายเป็นเพื่อนกันครับ
พายชมวิวสองข้างทางไปเรื่อย ๆ ครับ
สักพักเราก็เริ่มหิว ก็เลยแวะพักที่บาร์ริมน้ำกันครับ โดยทางทัวร์จะมีจุดจอดเรือจัดไว้ให้ครับ
ที่บาร์ก็จะมีกิจกรรมหลากหลายให้เล่นครับ วอลเลย์บอล บาสเกตบอล ปิงปอง ยิงหนังสติ๊ก เล่นพลู หรือจะเต้นกำ ริมน้ำก็ไม่มีใครห้ามครับ เปิดเพลงเสียงดังกระหึ่มเลยครับ
หิวก็มีอาหารขายครับ ค่อนข้างแพงอยู่ แซนด์วิชชิ้นละ 25,000 กีบครับ
ระหว่างรอ พี่ฉัน กับ เจ๊ซิน ก็ลงมาแช่น้ำรอครับ อยู่ข้างบนมันหนาววววววว
เสร็จแล้วก็พายก็ต่อ พี่ฉันเล่นนอนพายเลย
มาถึงตรงจุดขึ้นฝั่งที่ริมน้ำซอง ตรงที่เมื่อวานเดินมาถ่ายรูปเล่นครับ มาถึงประมาณ 4 โมงเย็นได้
ถ่ายรูปรวมก่อนขึ้นครับ น้องไอซ์พาสาวเกาหลีมาถ่ายรูปด้วย ^^
โอปป้าเราก็ตามมาติด ๆ
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเราก็มาเดินหาของกินกันครับ วันนี้เราใช้พลังงานกันทั้งวันเลยอยากกินอะไรหนัก ๆ ท้องครับ เดินไป เดินมา จนเจอสิ่งที่เราตามหา...ไก่ย่าง ส้มตำ ข้าวเหนียว ใช่เลยยยยยยย เราทานกันอย่างเต็มที่ ไม่มีประหยัดกันครับ มื้อนี้จัดไป 265,000 กีบ ประมาณ 1 พันบาทไทยครับ จัดเต็มมากกกกก
ทานข้าวเสร็จไปนั่งดื่มเบียร์ เล่นอินเทอร์เน็ตฟรีที่ วังเวียง เบเกอรี่ ร้านเดิมครับ วิวสวย เน็ตเร็ว เสร็จแล้วเข้าที่พักหลับสนิทเลยยยยยยยย
Day 3 บลูลากูน-ถ้ำจัง-ลอยห่วงยาง
เช้าวันนี้ตื่นสายกันครับ ออกมาก็เกือบ 8 โมง เราเดินไปตามข้างทาง โดยต้องการเช่ารถมอเตอร์ไซค์เพื่อไปเที่ยวกันในวันนี้ครับ ค่าเช่าอยู่ที่คันละ 50-80 พันกีบ ครับ ขึ้นอยู่กับ cc ของรถ เราเดินเลยมาเพื่อหาของกิน จนเจอรถตุ๊กตุ๊กคันหนึ่งจอดอยู่ริมทาง เลยสอบถามถึงค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวถ้ำและบูลลากูน เหมาทั้งวัน คน 5 คน คิด 1,000 บาท เราต่อเหลือ 900 บาทครับ ก่อนไปคนขับรถพาพวกเราไปทานข้าวเปียก โจ๊ก ร้านอร่อยกันก่อนเลย มื้อนี้จานละ 10,000 กีบ สั่งโอวัลติน กาแฟ มาทานกันด้วยครับ
ทานเสร็จก็ออกมาดูมอเตอร์ไซค์วัยรุ่นของคนวังเวียงครับ ถามพี่คนขับรถเขาบอกว่าที่นี่นิยมขี่แบบนี้ครับ
รถก็ออกเดินทางมาครับ ขับตามทางมาสัก 10 นาที
ก็ต้องผ่านสะพาน โดยที่จะต้องเสียเงินค่าผ่านทางด้วยครับ
บรรยากาศตอนกำลังข้ามสะพานครับ
หันไปมองด้านหลัง
ถนนเส้นนี้เขาเรียกกันว่าถนนฝุ่นครับ แนะนำซื้อผ้าปิดจมูก-ปิดปากติดมาด้วยเลยครับ จำเป็นอย่างมากครับ
สำหรับผมต้องขอบคุณพี่ฉันผู้น่ารัก...เตรียมผ้าปิดจมูกมาให้น้อง ๆ ทุกคนเลยครับ ^__^
พวกเรามาบลูลากูนกันแต่เช้าเลยครับ เลยยังไม่ค่อยมีรถเท่าไร ฝุ่นก็เลยยังไม่เยอะมากครับ แต่ขากลับรถวิ่งไปมานี่ฝุ่นตลบเลยครับ
ผมก็เอากล้อง GoPro ของเจ๊ซินมาถ่ายรูปเล่นหลังรถไปเรื่อยครับ
ผมว่าทางที่นี่สวยแบบเป็นธรรมชาติดีนะครับ ข้างทางมีรั้วไม้ไผ่กั้นเป็นแนว กับทุ่งหญ้าและภูเขา สวยดีครับ
ใช้เวลาประมาณ 20 นาที จากสะพานครับ ก็มาถึงทางเข้าถ้ำและ Blue Lagoon
ก่อนเข้าก็ต้องจ่ายเงินตามธรรมเนียมก่อนครับ คนละ 10 พันกีบ = 40 บาทไทยครับ
ได้ตั๋วแล้วก็เดินมาที่ทางเข้าเลยครับ จะมีคนยืนคอยเก็บตั๋วอยู่
บูลลากูนยามเช้าครับ... น้ำใสมากกกกกกก คนไม่มีเลยครับ มาเช้านี่มันดีอย่างนี้นี่เอง
สาว ๆ เรา รีบเปลี่ยนชุดไปกระโดดน้ำเล่นก่อนเลยครับ
เล่นไปสักพักใหญ่ ๆ คนก็เริ่มมาครับ ที่บูลลากูน จะมีจุดกระโดดน้ำ 2 ระดับครับ ระดับอนุบาลด้านล่าง กับ ระดับ ม.ปลาย ด้านบน ผมแอบถ่ายรูปคนกระโดดมาจากด้านบนมีหลากหลายท่าทางครับ คนแรกมาด้วย ท่าเทพประทานพรครับ
คนที่สองมาด้วยท่าไก่ย่างถูกหนีบครับ
บางคนก็นั่งพับเพียบกระโดดลงมาเลยครับ
โปรฯ หน่อยก็เอาหัวลงเลยครับ
บางคนโดดมาแล้วก็จะเปลี่ยนใจไม่ทันแล้วครับ
น้องคนนี้รวบรวมความกล้าก่อนกระโดดครับ
นั่งดูคนกระโดดน้ำที่นี่สนุกมากเลยครับ ใครกระโดดสวยเหล่าเกาหลีก็จะตบมือกันครับ ส่วนใหญ่ท่าตลกก็จะขำกันครับ ดูไปดูมาแป๊บเดียวมาจากไหนเต็มไปหมด
พวกเราเล่นน้ำเสร็จก็หาอาหารทานที่นี่เลยครับ ส้มตำรสชาติอร่อยใช้ได้เลย เสร็จแล้วก็เดินออกมาครับ คนเริ่มเยอะแล้วครับ
ขากลับถ้าอยากขับรถ ATV คลุกฝุ่นก็มีบริการนะครับ แต่ต้องติดต่อไว้ล่วงหน้า
ที่บลูลากูน มีโหนเชือก เคเบิล ให้เล่นด้วยนะครับ ที่นี่จะน่าเล่นกว่าที่ถ้ำน้ำครับ เพราะสูงกว่าวิวสวยครับ ค่าเล่นก็ถ้าติดต่อน้ำทิพย์ทัวร์ ที่ในตัวเมือง คนละ 800 บาท แต่ถ้าจะมาเล่นที่นี่คิด 1,000 บาทครับ ส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีมาเล่นกัน 95%
หลังจากโดดน้ำกันเต็มที่พวกเราก็เดินทางต่อครับ จุดหมายต่อไป คือ ถ้ำจัง กับสะพานส้ม
ต้องย้อนกลับไปทางเดิมครับ ข้ามสะพานอันเดิม แต่ขากลับไม่ต้องเสียเงินแล้วครับ
ถ้ำจังนี่อยู่ใกล้ ๆ ตัวเมืองวังเวียงมากเลยครับ มาถึงปากทางเข้าจ่ายค่าธรรมเนียมก่อนครับ
ค่าเข้าคนละ 2,000 กีบ ครับ ประมาณ 8 บาท
เสร็จแล้วก็เดินผ่านสะพานส้มครับ
ข้ามฝั่งมาจะมีชาวบ้านมาขายอาหารครับ ส่วนใหญ่จะขายขนมครก มันปิ้ง
น้ำผึ้งแท้ ๆ ก็มีขายครับ
เดินมาสักพักก็จะเจอทางน้ำเล็ก ๆ ครับ
น้ำใสมากครับ สีเขียว เป็นทางน้ำเล็ก ๆ น่าจะออกมาจากเขาไหลลงน้ำซองครับ
เจ๊ซินขอลงไปเต๊ะท่าถ่ายรูปหน่อยครับ
เดินมาจะขึ้นไปบนถ้ำจังเจอด่านเก็บเงินอีกแล้วครับ คราวนี้คน 15,000 กีบ คนละ 60 บาทครับ ถ้าเป็นคนลาว จะเสีย 10,000 กีบ 40 บาท
ต้องเดินขึ้นไปบันได้อีกอีกหน่อยครับ ร้อยกว่าขั้น
ขึ้นมาข้างบนแล้วจะเห็นสะพานสีส้มกับเมืองวังเวียงครับ
ทางเข้าถ้ำครับ
เข้าไปส่วนแรกจะเป็นโถงใหญ่สวยดีครับ มีไฟติดในถ้ำตลอดทางเดิน
ทางเดินก็ประมาณ 600-700 เมตร ครับ
เดินออกมาอีกด้านจะเป็นช่องเขาครับ มีศาลาชมวิว
มีพระพุทธรูปประทับอยู่ตรงปากถ้ำด้านนี้ด้วยครับ
เดินออกมาด้านเก่าครับ เพื่อน ๆ ลงไปรอข้างล่างกันหมดแล้วครับ
ที่นี่พอมีมุมถ่ายรูปอยู่บ้างครับ ร่มรื่นน่าเอาเสื่อมากางนอนครับ
เผลอแป๊บเดียวน้องผิงเดินไปบนสะพานแล้วครับ ผมเลยแอบถ่ายรูปอยู่ไกล ๆ
ก่อนจะออกจากถ้ำจังก็ถ่ายรูปเล่นอีกหน่อยครับ
คนครบก็ขึ้นรถกลับที่พักครับ บ่ายสองกว่าแล้วเดี๋ยวพวกเราจะไปล่องห่วงยางกันต่อครับ
มาถึงที่พักก็เปลี่ยนชุดกัน เตรียมลงน้ำครับ เดินไปตรงทางแยกที่จะลงไปแม่น้ำซอง ที่มีโรตีขายเยอะ ๆ อะครับ จะมีร้านห่วงยางให้เช่าร้านใหญ่อยู่ ค่าห่วงยางคนละ 50,000 กีบ (200 บาท) ค่ามัดจำ 60,000 กีบ ครับ 240 บาท รวมแล้วต้องจ่ายคนละ 110,000 กีบ เอาห่วงยางมาคืนหลังเล่นเสร็จก็จะได้ค่ามัดจำคืนครับ จ่ายเงินเสร็จก็จะมีรถพาไปส่งต้น ๆ แม่น้ำครับ แล้วก็ปล่อยให้ไหลลอยมาเอง
แนะนำว่ามาตัวเปล่าก็ดีครับ ถุงกันน้ำเวลาเล่นห่วงยางถ้าปิดไม่ดีน้ำเข้าครับ เนื่องจากเวลาเราเล่นถุงจะชอบจุ่มลงน้ำครับ ไม่เอาอะไรติดมาสบายใจที่สุดครับ
รองเท้าติดมาก็ดีครับ เอาแบบที่รัดเท้าได้ ไม่หลุด เพราะบางช่วงน้ำแห้งหินเยอะครับ เอาไว้ใช้แทนพายได้ เร็วกว่ามือครับ รองเท้าเนี่ยสำคัญเลย
แม่น้ำที่ล่องห่วงยางก็เป็นเส้นเดียวกับพายเรือคายักครับ แต่จะสั้นกว่า ใช้เวลาพอ ๆ กันเลยครับ 2-3 ชั่วโมง
ระหว่างทางก็มีบาร์ตลอดครับ จะแวะซื้อเครื่องดื่มได้ตลอดทางครับ จะมีคนคอยโยนเชือกให้ พอเราจะซื้อเขาก็จะสาวเราเข้าฝั่งให้ครับ
ถ้าถามว่ามันต่างกันไหมระหว่างพายเรือกับล่องห่วงยาง ? ผมว่ามันคนละฟิลลิ่งกันครับ ผมชอบล่องห่วงยางมากกว่านะ เมื่อแค่คุณอยู่บนห่วงยางแล้วก็ปล่อยให้มันไหลไปเรื่อย ๆ แค่คุณมองบรรยากาศสองข้างทาง ไม่ต้องคิดเรื่องอะไร...ปล่อยให้สายน้ำพาไป
มีเร็วบ้าง...ช้าบ้าง
หวาดเสียวบ้าง ชนหิน ชนต้นไม้บ้าง
ไปกับเพื่อน ๆ ที่รู้ใจ ที่รักในสิ่งเดียวกัน ณ เวลานั้นคุณก็จะลืมความทุกข์ในหัวสมองไปหมดเลยครับ
พวกเราล่องห่วงยางกันจนเย็นครับ 6 โมงกว่าได้ เริ่มมืดแสงก็น้อยลงครับ ช่วงหลังก็เลยรีบจ้วงพายกัน มาขึ้นตรงที่เดียวกับพายเรือครับ แบกห่วงยางขึ้นไปคืนที่ร้าน เพราะอยู่ใกล้ ๆ แล้วก็เดินไปที่พัก อาบน้ำ หาของกิน แบบจัดเต็ม หาซื้อของฝากและก็นอนครับ
วันรุ่งขึ้นผมตื่นเช้าหน่อยครับเพราะเป็นวันสุดท้ายแล้ว มานั่งริมระเบียงที่ห้องพักครับ วันนี้มีบอลลูนมาขึ้นแต่เช้า
หลังจากจ่ายเงินค่าที่พักเรียบร้อย ทางเราก็ติดต่อรถกลับอุดรธานีกับทางที่พักครับ ซึ่งทางที่พักยืนยันกับเราว่ามีรถจากวังเวียง-อุดรธานี โดยตรง เป็นรถบัส ขนาดเล็กครับ คิดราคาคนละ 100,000 กีบ หรือ 400 บาท ถ้าเราก็ตกลงซื้อกับทางที่พัก เพราะรถจะมารับที่หน้าห้องพักเลย ไม่ต้องเดิน โดยหารู้ไม่ว่าหนทาง ข้างหน้าต้องเจอกับอะไรครับ...08.30 น. รถมารับตรงเวลาครับ รถเป็นคันนี้ครับ
เราขึ้นกันกลุ่มแรกเลย ได้เลือกที่นั่งก่อนครับ รถก็ตะเวนขับไปตามที่พักรับคนเรื่อย ๆ จนแน่นเลยครับ มีแต่ฝรั่งขึ้นครับ มีคนไทยทั้งหมด 7คน ฝรั่ง 20 คนได้
ที่นั่งแคบครับ แอร์เย็น
ขากลับก็แวะพักจุดเดียวกับขามาครับ
ใช้เวลานั่ง 3 ชั่วโมงกว่า ๆ ครับ รถก็เข้ามาถึงตัวเมืองเวียงจันทน์ ซักพักคนขับรถก็บอกถึงแล้ว...ก็ไล่ให้พวกผมลงครับ พวกผมก็ “งง” กัน ฝรั่งทั้งหมดเขาตีตั๋วมาลงเวียงจันทน์ครับ ส่วนคนไทย 7 คน กลุ่มผม 5 คน และน้องผู้หญิงมาเที่ยวกันอีก 2 คน ตีไปลงอุดรธานีก็งงกันครับ ทางคนขับก็ไล่ลงอย่างเดียว พูดจาไม่ดี ตะคอกด้วย บอกไม่รู้อะไรทั้งนั้น จะไล่ให้ไปเสียเงินค่ารถต่อไปอุดรธานีเองครับ ทางผมโชคดีมีพี่ฉัน แกก็โวยเลยครับ โวยจนกลุ่มคนตรงคิวรถที่จอดอยู่ตรงนั้นมาดู น่าจะทำบริษัทเดียวกันครับ จนคนลาวอีกคนต้องยอมพาพวกผมขึ้นรถตู้ฮุนไดไปส่งที่ท่ารถเวียงจันทน์ครับ และซื้อตั๋วให้พวกผมไปอุดรธานี 7 คน ด้วย
รอรถกันเกือบ 1 ชั่วโมงครับ
ค่ารถคนละ 20,000 กีบ ไปอุดรธานี
ในที่สุดก็ได้รถกลับอุดรธานีครับ มีเก้าอี้เสริมเหมือนเจ๊เกียวบ้านเราด้วย
มาถึงประมาณ 4 โมงเย็นครับ เราจองรถขากลับกรุงเทพฯ ล่วงหน้า ไว้รอบ 21.30 น. ครับ ของนครชัยแอร์ พวกเราฝากของไว้ที่ บขส. และก็เดินหาของกินกันครับ เนื่องจากหิวกันมาก ถามหาร้านหมูกระทะกับคนแถวนั้น บอกมีแถว UD Town ชื่อร้านอาป๋าครับ พวกเราก็เลยเดินไปครับ เหมือนอดอยากจากไหนมา...กินกันอย่างอร่อยครับ หัวละประมาณ 200 บาท
กินเสร็จแวะเดินเล่น UD town ต่อครับ จนใกล้ถึงเวลาก็นั่งสามล้อกลับ บขส. คนละ 10 บาท
ขึ้นรถนครชัยแอร์ตอน 21.30 น. มาถึงรังสิตประมาณ 05.00 น.
จบแล้วครับการเดินทางของพวกผม 5 วัน กับอีก 3 คืน
จริง ๆ ค่าใช้จ่าย คนละ 4,000 บาท ก็พอครับ
++ ค่ารถโดยสาร VIP ไป-กลับ กรุงเทพฯ-อุดรธานี คนละ 1,200 บาท
++ ค่ารถ อุดรธานี-วังเวียง คนละ 320 บาท
++ ค่า One Day Trip (ถ้ำน้ำ ถ้ำช้าง พายเรือคายัก) คนละ 360 บาท
++ ค่าเหมารถสองแถว 1 วัน 1,000 บาท หาร 5 ตกคนละ 200 บาท
++ ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ บูลลากูน 40 บาท ถ้ำจัง 65 บาท ค่าข้ามสะพาน 5 บาท รวม 110 บาท
++ ค่าเช่าห่วงยาง 200 บาท
++ ค่ารถวังเวียง-อุดรธานี 400 บาท
++ ค่าที่พัก 3 คืน คนละ 650 บาท
++ รวมแล้ว คนละ 3,340 บาท
นี่ยังไม่รวมค่ากิน ถ้ากินน้อย ๆ มื้อหนึ่งก็ตก 50-100 บาท อยู่แบบผม 5 วัน 3 คืน ทาน 6 มื้อ คนละ 4,000 บาท สบายครับ แต่ของผมกินกันตลอดเวลา งบเลยไปคนละ 5,000 บาทครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมครับ แวะเข้ามาพูดคุย สอบถามข้อมูลได้ตลอดเวลาครับ ยินดีครับ
Little-แบกกล้องเที่ยว
พบกันใหม่รีวิวหน้า "เขาช้างเผือก" ครับ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณแบกกล้องเที่ยว สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม, เฟซบุ๊ก แบกกล้องเที่ยวและ เฟซบุ๊ก Little Potchara
ทานข้าวเสร็จไปนั่งดื่มเบียร์ เล่นอินเทอร์เน็ตฟรีที่ วังเวียง เบเกอรี่ ร้านเดิมครับ วิวสวย เน็ตเร็ว เสร็จแล้วเข้าที่พักหลับสนิทเลยยยยยยยย
Day 3 บลูลากูน-ถ้ำจัง-ลอยห่วงยาง
เช้าวันนี้ตื่นสายกันครับ ออกมาก็เกือบ 8 โมง เราเดินไปตามข้างทาง โดยต้องการเช่ารถมอเตอร์ไซค์เพื่อไปเที่ยวกันในวันนี้ครับ ค่าเช่าอยู่ที่คันละ 50-80 พันกีบ ครับ ขึ้นอยู่กับ cc ของรถ เราเดินเลยมาเพื่อหาของกิน จนเจอรถตุ๊กตุ๊กคันหนึ่งจอดอยู่ริมทาง เลยสอบถามถึงค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวถ้ำและบูลลากูน เหมาทั้งวัน คน 5 คน คิด 1,000 บาท เราต่อเหลือ 900 บาทครับ ก่อนไปคนขับรถพาพวกเราไปทานข้าวเปียก โจ๊ก ร้านอร่อยกันก่อนเลย มื้อนี้จานละ 10,000 กีบ สั่งโอวัลติน กาแฟ มาทานกันด้วยครับ
ทานเสร็จก็ออกมาดูมอเตอร์ไซค์วัยรุ่นของคนวังเวียงครับ ถามพี่คนขับรถเขาบอกว่าที่นี่นิยมขี่แบบนี้ครับ
รถก็ออกเดินทางมาครับ ขับตามทางมาสัก 10 นาที
ก็ต้องผ่านสะพาน โดยที่จะต้องเสียเงินค่าผ่านทางด้วยครับ
บรรยากาศตอนกำลังข้ามสะพานครับ
หันไปมองด้านหลัง
ถนนเส้นนี้เขาเรียกกันว่าถนนฝุ่นครับ แนะนำซื้อผ้าปิดจมูก-ปิดปากติดมาด้วยเลยครับ จำเป็นอย่างมากครับ
สำหรับผมต้องขอบคุณพี่ฉันผู้น่ารัก...เตรียมผ้าปิดจมูกมาให้น้อง ๆ ทุกคนเลยครับ ^__^
พวกเรามาบลูลากูนกันแต่เช้าเลยครับ เลยยังไม่ค่อยมีรถเท่าไร ฝุ่นก็เลยยังไม่เยอะมากครับ แต่ขากลับรถวิ่งไปมานี่ฝุ่นตลบเลยครับ
ผมก็เอากล้อง GoPro ของเจ๊ซินมาถ่ายรูปเล่นหลังรถไปเรื่อยครับ
ผมว่าทางที่นี่สวยแบบเป็นธรรมชาติดีนะครับ ข้างทางมีรั้วไม้ไผ่กั้นเป็นแนว กับทุ่งหญ้าและภูเขา สวยดีครับ
ใช้เวลาประมาณ 20 นาที จากสะพานครับ ก็มาถึงทางเข้าถ้ำและ Blue Lagoon
ก่อนเข้าก็ต้องจ่ายเงินตามธรรมเนียมก่อนครับ คนละ 10 พันกีบ = 40 บาทไทยครับ
ได้ตั๋วแล้วก็เดินมาที่ทางเข้าเลยครับ จะมีคนยืนคอยเก็บตั๋วอยู่
บูลลากูนยามเช้าครับ... น้ำใสมากกกกกกก คนไม่มีเลยครับ มาเช้านี่มันดีอย่างนี้นี่เอง
สาว ๆ เรา รีบเปลี่ยนชุดไปกระโดดน้ำเล่นก่อนเลยครับ
เล่นไปสักพักใหญ่ ๆ คนก็เริ่มมาครับ ที่บูลลากูน จะมีจุดกระโดดน้ำ 2 ระดับครับ ระดับอนุบาลด้านล่าง กับ ระดับ ม.ปลาย ด้านบน ผมแอบถ่ายรูปคนกระโดดมาจากด้านบนมีหลากหลายท่าทางครับ คนแรกมาด้วย ท่าเทพประทานพรครับ
คนที่สองมาด้วยท่าไก่ย่างถูกหนีบครับ
บางคนก็นั่งพับเพียบกระโดดลงมาเลยครับ
โปรฯ หน่อยก็เอาหัวลงเลยครับ
บางคนโดดมาแล้วก็จะเปลี่ยนใจไม่ทันแล้วครับ
น้องคนนี้รวบรวมความกล้าก่อนกระโดดครับ
นั่งดูคนกระโดดน้ำที่นี่สนุกมากเลยครับ ใครกระโดดสวยเหล่าเกาหลีก็จะตบมือกันครับ ส่วนใหญ่ท่าตลกก็จะขำกันครับ ดูไปดูมาแป๊บเดียวมาจากไหนเต็มไปหมด
พวกเราเล่นน้ำเสร็จก็หาอาหารทานที่นี่เลยครับ ส้มตำรสชาติอร่อยใช้ได้เลย เสร็จแล้วก็เดินออกมาครับ คนเริ่มเยอะแล้วครับ
ขากลับถ้าอยากขับรถ ATV คลุกฝุ่นก็มีบริการนะครับ แต่ต้องติดต่อไว้ล่วงหน้า
ที่บลูลากูน มีโหนเชือก เคเบิล ให้เล่นด้วยนะครับ ที่นี่จะน่าเล่นกว่าที่ถ้ำน้ำครับ เพราะสูงกว่าวิวสวยครับ ค่าเล่นก็ถ้าติดต่อน้ำทิพย์ทัวร์ ที่ในตัวเมือง คนละ 800 บาท แต่ถ้าจะมาเล่นที่นี่คิด 1,000 บาทครับ ส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีมาเล่นกัน 95%
หลังจากโดดน้ำกันเต็มที่พวกเราก็เดินทางต่อครับ จุดหมายต่อไป คือ ถ้ำจัง กับสะพานส้ม
ต้องย้อนกลับไปทางเดิมครับ ข้ามสะพานอันเดิม แต่ขากลับไม่ต้องเสียเงินแล้วครับ
ถ้ำจังนี่อยู่ใกล้ ๆ ตัวเมืองวังเวียงมากเลยครับ มาถึงปากทางเข้าจ่ายค่าธรรมเนียมก่อนครับ
ค่าเข้าคนละ 2,000 กีบ ครับ ประมาณ 8 บาท
เสร็จแล้วก็เดินผ่านสะพานส้มครับ
ข้ามฝั่งมาจะมีชาวบ้านมาขายอาหารครับ ส่วนใหญ่จะขายขนมครก มันปิ้ง
น้ำผึ้งแท้ ๆ ก็มีขายครับ
เดินมาสักพักก็จะเจอทางน้ำเล็ก ๆ ครับ
น้ำใสมากครับ สีเขียว เป็นทางน้ำเล็ก ๆ น่าจะออกมาจากเขาไหลลงน้ำซองครับ
เจ๊ซินขอลงไปเต๊ะท่าถ่ายรูปหน่อยครับ
เดินมาจะขึ้นไปบนถ้ำจังเจอด่านเก็บเงินอีกแล้วครับ คราวนี้คน 15,000 กีบ คนละ 60 บาทครับ ถ้าเป็นคนลาว จะเสีย 10,000 กีบ 40 บาท
ต้องเดินขึ้นไปบันได้อีกอีกหน่อยครับ ร้อยกว่าขั้น
ขึ้นมาข้างบนแล้วจะเห็นสะพานสีส้มกับเมืองวังเวียงครับ
ทางเข้าถ้ำครับ
เข้าไปส่วนแรกจะเป็นโถงใหญ่สวยดีครับ มีไฟติดในถ้ำตลอดทางเดิน
ทางเดินก็ประมาณ 600-700 เมตร ครับ
เดินออกมาอีกด้านจะเป็นช่องเขาครับ มีศาลาชมวิว
มีพระพุทธรูปประทับอยู่ตรงปากถ้ำด้านนี้ด้วยครับ
เดินออกมาด้านเก่าครับ เพื่อน ๆ ลงไปรอข้างล่างกันหมดแล้วครับ
ที่นี่พอมีมุมถ่ายรูปอยู่บ้างครับ ร่มรื่นน่าเอาเสื่อมากางนอนครับ
เผลอแป๊บเดียวน้องผิงเดินไปบนสะพานแล้วครับ ผมเลยแอบถ่ายรูปอยู่ไกล ๆ
ก่อนจะออกจากถ้ำจังก็ถ่ายรูปเล่นอีกหน่อยครับ
คนครบก็ขึ้นรถกลับที่พักครับ บ่ายสองกว่าแล้วเดี๋ยวพวกเราจะไปล่องห่วงยางกันต่อครับ
มาถึงที่พักก็เปลี่ยนชุดกัน เตรียมลงน้ำครับ เดินไปตรงทางแยกที่จะลงไปแม่น้ำซอง ที่มีโรตีขายเยอะ ๆ อะครับ จะมีร้านห่วงยางให้เช่าร้านใหญ่อยู่ ค่าห่วงยางคนละ 50,000 กีบ (200 บาท) ค่ามัดจำ 60,000 กีบ ครับ 240 บาท รวมแล้วต้องจ่ายคนละ 110,000 กีบ เอาห่วงยางมาคืนหลังเล่นเสร็จก็จะได้ค่ามัดจำคืนครับ จ่ายเงินเสร็จก็จะมีรถพาไปส่งต้น ๆ แม่น้ำครับ แล้วก็ปล่อยให้ไหลลอยมาเอง
แนะนำว่ามาตัวเปล่าก็ดีครับ ถุงกันน้ำเวลาเล่นห่วงยางถ้าปิดไม่ดีน้ำเข้าครับ เนื่องจากเวลาเราเล่นถุงจะชอบจุ่มลงน้ำครับ ไม่เอาอะไรติดมาสบายใจที่สุดครับ
รองเท้าติดมาก็ดีครับ เอาแบบที่รัดเท้าได้ ไม่หลุด เพราะบางช่วงน้ำแห้งหินเยอะครับ เอาไว้ใช้แทนพายได้ เร็วกว่ามือครับ รองเท้าเนี่ยสำคัญเลย
แม่น้ำที่ล่องห่วงยางก็เป็นเส้นเดียวกับพายเรือคายักครับ แต่จะสั้นกว่า ใช้เวลาพอ ๆ กันเลยครับ 2-3 ชั่วโมง
ระหว่างทางก็มีบาร์ตลอดครับ จะแวะซื้อเครื่องดื่มได้ตลอดทางครับ จะมีคนคอยโยนเชือกให้ พอเราจะซื้อเขาก็จะสาวเราเข้าฝั่งให้ครับ
ถ้าถามว่ามันต่างกันไหมระหว่างพายเรือกับล่องห่วงยาง ? ผมว่ามันคนละฟิลลิ่งกันครับ ผมชอบล่องห่วงยางมากกว่านะ เมื่อแค่คุณอยู่บนห่วงยางแล้วก็ปล่อยให้มันไหลไปเรื่อย ๆ แค่คุณมองบรรยากาศสองข้างทาง ไม่ต้องคิดเรื่องอะไร...ปล่อยให้สายน้ำพาไป
มีเร็วบ้าง...ช้าบ้าง
หวาดเสียวบ้าง ชนหิน ชนต้นไม้บ้าง
ไปกับเพื่อน ๆ ที่รู้ใจ ที่รักในสิ่งเดียวกัน ณ เวลานั้นคุณก็จะลืมความทุกข์ในหัวสมองไปหมดเลยครับ
พวกเราล่องห่วงยางกันจนเย็นครับ 6 โมงกว่าได้ เริ่มมืดแสงก็น้อยลงครับ ช่วงหลังก็เลยรีบจ้วงพายกัน มาขึ้นตรงที่เดียวกับพายเรือครับ แบกห่วงยางขึ้นไปคืนที่ร้าน เพราะอยู่ใกล้ ๆ แล้วก็เดินไปที่พัก อาบน้ำ หาของกิน แบบจัดเต็ม หาซื้อของฝากและก็นอนครับ
วันรุ่งขึ้นผมตื่นเช้าหน่อยครับเพราะเป็นวันสุดท้ายแล้ว มานั่งริมระเบียงที่ห้องพักครับ วันนี้มีบอลลูนมาขึ้นแต่เช้า
หลังจากจ่ายเงินค่าที่พักเรียบร้อย ทางเราก็ติดต่อรถกลับอุดรธานีกับทางที่พักครับ ซึ่งทางที่พักยืนยันกับเราว่ามีรถจากวังเวียง-อุดรธานี โดยตรง เป็นรถบัส ขนาดเล็กครับ คิดราคาคนละ 100,000 กีบ หรือ 400 บาท ถ้าเราก็ตกลงซื้อกับทางที่พัก เพราะรถจะมารับที่หน้าห้องพักเลย ไม่ต้องเดิน โดยหารู้ไม่ว่าหนทาง ข้างหน้าต้องเจอกับอะไรครับ...08.30 น. รถมารับตรงเวลาครับ รถเป็นคันนี้ครับ
เราขึ้นกันกลุ่มแรกเลย ได้เลือกที่นั่งก่อนครับ รถก็ตะเวนขับไปตามที่พักรับคนเรื่อย ๆ จนแน่นเลยครับ มีแต่ฝรั่งขึ้นครับ มีคนไทยทั้งหมด 7คน ฝรั่ง 20 คนได้
ที่นั่งแคบครับ แอร์เย็น
ขากลับก็แวะพักจุดเดียวกับขามาครับ
ใช้เวลานั่ง 3 ชั่วโมงกว่า ๆ ครับ รถก็เข้ามาถึงตัวเมืองเวียงจันทน์ ซักพักคนขับรถก็บอกถึงแล้ว...ก็ไล่ให้พวกผมลงครับ พวกผมก็ “งง” กัน ฝรั่งทั้งหมดเขาตีตั๋วมาลงเวียงจันทน์ครับ ส่วนคนไทย 7 คน กลุ่มผม 5 คน และน้องผู้หญิงมาเที่ยวกันอีก 2 คน ตีไปลงอุดรธานีก็งงกันครับ ทางคนขับก็ไล่ลงอย่างเดียว พูดจาไม่ดี ตะคอกด้วย บอกไม่รู้อะไรทั้งนั้น จะไล่ให้ไปเสียเงินค่ารถต่อไปอุดรธานีเองครับ ทางผมโชคดีมีพี่ฉัน แกก็โวยเลยครับ โวยจนกลุ่มคนตรงคิวรถที่จอดอยู่ตรงนั้นมาดู น่าจะทำบริษัทเดียวกันครับ จนคนลาวอีกคนต้องยอมพาพวกผมขึ้นรถตู้ฮุนไดไปส่งที่ท่ารถเวียงจันทน์ครับ และซื้อตั๋วให้พวกผมไปอุดรธานี 7 คน ด้วย
รอรถกันเกือบ 1 ชั่วโมงครับ
ค่ารถคนละ 20,000 กีบ ไปอุดรธานี
ในที่สุดก็ได้รถกลับอุดรธานีครับ มีเก้าอี้เสริมเหมือนเจ๊เกียวบ้านเราด้วย
มาถึงประมาณ 4 โมงเย็นครับ เราจองรถขากลับกรุงเทพฯ ล่วงหน้า ไว้รอบ 21.30 น. ครับ ของนครชัยแอร์ พวกเราฝากของไว้ที่ บขส. และก็เดินหาของกินกันครับ เนื่องจากหิวกันมาก ถามหาร้านหมูกระทะกับคนแถวนั้น บอกมีแถว UD Town ชื่อร้านอาป๋าครับ พวกเราก็เลยเดินไปครับ เหมือนอดอยากจากไหนมา...กินกันอย่างอร่อยครับ หัวละประมาณ 200 บาท
กินเสร็จแวะเดินเล่น UD town ต่อครับ จนใกล้ถึงเวลาก็นั่งสามล้อกลับ บขส. คนละ 10 บาท
ขึ้นรถนครชัยแอร์ตอน 21.30 น. มาถึงรังสิตประมาณ 05.00 น.
จบแล้วครับการเดินทางของพวกผม 5 วัน กับอีก 3 คืน
จริง ๆ ค่าใช้จ่าย คนละ 4,000 บาท ก็พอครับ
++ ค่ารถโดยสาร VIP ไป-กลับ กรุงเทพฯ-อุดรธานี คนละ 1,200 บาท
++ ค่ารถ อุดรธานี-วังเวียง คนละ 320 บาท
++ ค่า One Day Trip (ถ้ำน้ำ ถ้ำช้าง พายเรือคายัก) คนละ 360 บาท
++ ค่าเหมารถสองแถว 1 วัน 1,000 บาท หาร 5 ตกคนละ 200 บาท
++ ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ บูลลากูน 40 บาท ถ้ำจัง 65 บาท ค่าข้ามสะพาน 5 บาท รวม 110 บาท
++ ค่าเช่าห่วงยาง 200 บาท
++ ค่ารถวังเวียง-อุดรธานี 400 บาท
++ ค่าที่พัก 3 คืน คนละ 650 บาท
++ รวมแล้ว คนละ 3,340 บาท
นี่ยังไม่รวมค่ากิน ถ้ากินน้อย ๆ มื้อหนึ่งก็ตก 50-100 บาท อยู่แบบผม 5 วัน 3 คืน ทาน 6 มื้อ คนละ 4,000 บาท สบายครับ แต่ของผมกินกันตลอดเวลา งบเลยไปคนละ 5,000 บาทครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมครับ แวะเข้ามาพูดคุย สอบถามข้อมูลได้ตลอดเวลาครับ ยินดีครับ
Little-แบกกล้องเที่ยว
พบกันใหม่รีวิวหน้า "เขาช้างเผือก" ครับ