ตะลุยเดี่ยวเที่ยวอียิปต์ ชมสิ่งมหัศจรรย์พีระมิดแห่งเมืองกีซา
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Juone สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
สิ่งก่อสร้างรูปพีระมิดที่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม หลายคนคงรู้จักแน่นอนว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง "มหาพีระมิดแห่งเมืองกีซา" หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ และเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงอยู่มาจนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยอารยธรรมโบราณอย่างอียิปต์ ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสุสานของฟาโรห์ (ใช้เรียกพระมหากษัตริย์อียิปต์โบราณ) ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมก็ได้หยิบเอารีวิวเที่ยวชมความงามของพีระมิดที่มีชื่อเสียง ที่ไม่ใช่แค่ยิ่งใหญ่เท่านั้นแต่ยังแฝงไปด้วยความรู้หลายอย่าง ผ่านบันทึกการเดินทางของ คุณ Juone สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มีโอกาสได้ไปสัมผัสความมหัศจรรย์ด้วยตัวเอง พร้อมเก็บภาพสวย ๆ ทุกองศาของพีระมิด และประสบการณ์ตั้งแต่การเริ่มต้นวางแผนจนถึงวันเดินทาง รวมทั้งบอกเล่าความประทับใจมาให้เพื่อน ๆ ได้ชมกัน ว่าแล้วอย่ารอช้า แวะไปร่วมย้อนรอยท่องเที่ยวแหล่งอารยธรรมโบรณของโลกพร้อม ๆ กันเลยจ้า
++++++++++++++
วันนี้จะมานำเสนอเรื่องราวกับการเดินทางล่าสุดสด ๆ ร้อน ๆ ที่ผมได้ไปในช่วงวันหยุดปีใหม่ที่ผ่านมาครับ จริง ๆ แล้วประเทศอียิปต์ผมเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2553 ซึ่งก็ได้ทำรีวิวลงในพันทิปด้วยครับ ครั้งนั้นไปกับทัวร์ พอกลับมาแล้วก็คิดว่าวันหนึ่งจะต้องกลับมาที่นี่อีกให้ได้ เพราะเที่ยวกับทัวร์นั้นให้เวลาในแต่ละสถานที่น้อยมากเลย สำหรับผมถือว่าไม่พอเพราะผมมีความหลงใหลในเรื่องราวทางด้านประวัติศาสตร์ของอียิปต์มาก เรียกว่าเครซี่เข้าขั้นคนหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้จึงเกิดขึ้นครับ และแน่นอนว่าผมเลือกเดินทางไปอียิปต์แบบแบกเป้ลุยเดี่ยวด้วยตัวเอง เพราะคิดว่าการเที่ยวแบบนี้น่าจะตรงกับความต้องการมากที่สุด
ขอเชิญทุกท่านตามมาเที่ยวในรีวิวด้วยกันครับ แล้วอาจจะชื่นชอบอียิปต์เหมือนผมก็ได้ครับ (หรือไม่ก็อาจจะไม่อยากไปเลย 555)
ประเทศอียิปต์
ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ คือ สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ (Arab Republic of Egypt) ตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกาตอนเหนือ ทิศเหนือติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศอิสราเอล ทิศตะวันออกติดกับทะเลแดง ทิศใต้ติดกับประเทศซูดาน และทิศตะวันตกติดกับประเทศลิเบีย จากแผนที่จะเห็นว่าภูมิประเทศส่วนมากมีพื้นที่แห้งแล้งแบบทะเลทราย คิดเป็น 96% ของพื้นที่ทั้งประเทศ ที่เหลือเพียง 4% เป็นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำไนล์ ดังนั้นสภาพภูมิอากาศจะร้อนแบบแห้ง ๆ และหนาวเย็นในฤดูหนาว ส่วนฝนตกที่อียิปต์โอกาสเจอน่าจะน้อยมาก หรืออาจจะเจอได้แถว ๆ เมืองติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เช่น เมืองอเล็กซานเดรีย
เมืองหลวง
กรุงไคโร (Cairo) อยู่ทางตอนเหนือของอียิปต์ มีประชากรประมาณ 12 ล้านคน (ประชากรทั้งประเทศประมาณ 84 ล้านคน) เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในแอฟริกา และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นแห่งหนึ่งในโลก
ฤดูกาล แบ่งเป็น 4 ฤดู
- ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) อุณหภูมิ 15-32 °C
- ฤดูร้อน (มิถุนายน -สิงหาคม) อุณหภูมิ 21-43 °C
- ฤดูใบไม่ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) อุณหภูมิ 19-34 °C
- ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) อุณหภูมิ 8-20 °C (ฤดูนี้อากาศเหมาะกับการเที่ยวมาก แต่จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปมากที่สุด)
เวลา
เดือนตุลาคม–เมษายน เวลาในประเทศอียิปต์ช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง
เดือนพฤษภาคม-กันยายน เวลาในประเทศอียิปต์ช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง
ภาษา
ภาษาอาหรับเป็นภาษาราชการ และภาษาต่างประเทศที่ใช้ทั่วไป ได้แก่ ภาษาอังกฤษ
เงินตรา
สกุลเงินอียิปต์เรียกว่าปอนด์อียิปต์ หรือ Egyptian Pound (EGP.) มีอัตราแลกเปลี่ยน 1 USD. เท่ากับ 7.4 EGP. หรือประมาณ 4.5 บาท ต่อ 1 EGP. การแลกเงินอียิปต์คิดว่าน่าจะหาแลกยากในไทย ควรแลกเป็นเงิน USD. แล้วค่อยไปแลกเป็นเงินอียิปต์ตอนไปถึงที่นั่นน่าจะดีกว่าครับ
ระบบไฟฟ้า
อียิปต์ใช้กระแสไฟฟ้าแบบ 220V เหมือนบ้านเรา ปลั๊กเป็นแบบหัวกลม 2 ขา
ตั๋วเครื่องบิน
การบินไทยไม่มีเที่ยวบินไปอียิปต์ครับ ดังนั้นถ้าต้องการบินตรงมีเพียงสายการบินเดียว คือ อียิปต์แอร์ (Egypt Air) มีเที่ยวบินไปกรุงไคโรประเทศอียิปต์ทุกวัน ใช้เครื่องบิน Boeing 777-300 ในการให้บริการ
ขาไป MS961 ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 0.55 ถึง กรุงไคโร เวลา 5.05 (Terminal 3)
ขากลับ MS960 ออกจากกรุงไคโร เวลา 22.45 ถึงกรุงเทพฯ เวลา 12.35
ตั้งแต่เริ่มวางแผนว่าจะไปเที่ยวก็ได้ดูราคาตั๋วมาเรื่อย ๆ ราคาวิ่งอยู่ที่ 27,000-31,000 บาท ซึ่งผมได้ตั๋วมาในราคา 28,400 บาท ซื้อตั๋วก่อนเดินทาง 4 เดือน (ถือว่าตัดสินใจถูกเพราะหลังจากนี้ราคาตั๋วสูงกว่าที่ซื้อมาครับ)
ตั๋วรถไฟ
สำหรับการเดินทางไปยังเมืองที่อยู่ไกล ๆ เช่น จาก ไคโร-อัสวาน หรือไคโร-ลักซอร์ บางคนอาจจะนั่งเครื่องบินในประเทศ แต่ผมนั่งรถไฟเพราะประหยัดค่าใช้จ่ายครับ ผมเลือกรถไฟออกช่วงกลางคืน เพราะนอนบนรถไฟจะได้ประหยัดค่าที่พักด้วย พอสาย ๆ อีกวันก็ถึงปลายทางพอดีครับ
ให้เข้าไปซื้อตั๋วรถไฟได้จากลิงก์นี้ครับ https://enr.gov.eg/
พอเข้าไปในเว็บแล้วให้ลงทะเบียนสมัครก่อน แล้วรออีเมลตอบกลับมาถึงจะเริ่มเข้าไปซื้อตั๋วได้นะครับ ซื้อตั๋วรถไฟได้เร็วที่สุด 14 วันก่อนเดินทาง ซื้อเสร็จแล้วจะมีตั๋วส่งมาทางอีเมล ให้พริ้นท์ออกมาแล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่สถานีรถไฟได้เลยครับ
ป.ล. ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางด้วยรถไฟได้ที่ http://www.seat61.com/Egypt.htm#.VMH4cNKUd8E
วีซ่า
สถานทูตอียิปต์ตั้งอยู่ที่ อาคารสรชัย ชั้น 31 ซ.สุขุมวิท 63 (เอกมัย) การเดินทาง จากแผนที่ถ้านั่ง BTS ให้ลงสถานีเอกมัย แล้วเดินเข้าซอยเอกมัยมาประมาณ 400 เมตร อาคารสรชัยอยู่ด้านซ้ายครับ หรือจะนั่งวินมอเตอร์ไซค์จากปากซอยมาก็ได้ครับ
โทรศัพท์ : 02-7269831-3
วันและเวลาการยื่นวีซ่า: จันทร์-ศุกร์/09.30-12.00 น.
วันและเวลาการรับวีซ่า : จันทร์-ศุกร์/14.00-15.00 น.
เอกสารที่ใช้ในการขอวีซ่า
1. แบบคำร้องขอวีซ่า : ผมหาแบบฟอร์มจากเน็ตกรอกข้อมูลเรียบร้อย พอไปขอวีซ่าต้องกรอกใหม่ เหมือนแบบฟอร์มที่ได้ในเน็ตไม่ตรงกับแบบฟอร์มที่สถานทูตครับ
2. หนังสือเดินทางตัวจริงที่มีอายุเกิน 6 เดือนก่อนเดินทางกลับถึงไทย พร้อมสำเนาหนังสือเดินทางหน้าแรก 1 ชุด
3. รูปถ่ายสี พื้นหลังขาว ขนาด 2 นิ้ว 1 รูป
4. จดหมายรับรองการทำงาน ภาษาอังกฤษ ระบุตำแหน่ง เงินเดือน วันเริ่มทำงาน และช่วงเวลาที่ลาหยุด
5. ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
6. ใบยืนยันการจองโรงแรมที่พัก
7. ใบรับรองเงินฝากที่ออกโดยธนาคาร (Bank Guarantee) : ตอนผมไปขอวีซ่าไม่รู้ว่าต้องใช้ใบนี้ด้วย เอาสมุดเงินฝากและ statement ไป ปรากฏว่าไม่ใช่ครับ เลยต้องลงไปหาธนาคารเพื่อขอเอกสารที่ว่ามา แล้วขึ้นมาทำวีซ่าอีกรอบ
8. ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่าแบบเข้าออกครั้งเดียว 2,100 บาท
***คำเตือน : จากข้อมูลที่ผมหามาเกี่ยวกับการรอผลวีซ่าทั้งจากในเน็ต และโทรไปสอบถามที่สถานทูต (โทรไปประมาณเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2557) ได้ข้อมูลตรงกันว่าใช้เวลาประมาณ 4-5 วัน แต่ตอนที่ผมไปขอวีซ่า วันที่ 8 ธันวาคม 2557 ปรากฏว่าทางสถานทูตบอกว่าตอนนี้การรอฟังผลวีซ่าใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ซึ่งสำหรับผมถือว่าได้ลุ้นเลย เพราะออกเดินทางวันที่ 28 ธันวาคม 2557 ได้รับวีซ่าวันที่ 25 ธันวาคม 2557 เพราะฉะนั้นให้ไปขอวีซ่าแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่านะครับ
หน้าตาของวีซ่าประเทศอียิปต์ครับ
แผนการเดินทาง
28 ธันวาคม 2557 ถึงสนามบินกรุงไคโร เดินทางไปกีซา พักที่ Pyramid View Inn
29 ธันวาคม 2557 เดินทางไป เมมฟิส ซัคคาร่า ดาร์ชูร์ ไปสถานีรถไฟกีซา นั่งรถไฟไปเมืองอัสวาน ค้างคืนบนรถไฟ
30 ธันวาคม 2557 ถึงเมืองอัสวาน เที่ยวในเมืองอัสวาน พักที่ Memnon Hotel
31 ธันวาคม 2557 เดินทางไปอาบู ซิมเบล ไปสถานีรถไฟอัสวาน นั่งรถไฟไปเมืองลักซอร์ พักที่ Boomerang Hotel
1–3 มกราคม 2558 เที่ยวในเมืองลักซอร์ พักที่ Boomerang Hotel เย็นวันที่ 3 นั่งรถไฟไปกรุงไคโร ค้างคืนบนรถไฟ
4 มกราคม 2558 เที่ยวในไคโร พักที่ Wake Up ! Cairo Hostel
5 มกราคม 2558 เที่ยวในไคโร เย็นเดินทางไปสนามบินกรุงไคโร
6 มกราคม 2558 ถึงกรุงเทพฯ
เรื่องราวเกี่ยวกับข้อมูลประเทศอียิปต์ และการเตรียมตัวเดินทางก็น่าจะมีเท่านี้ครับ ถ้าขาดอะไรตรงไหนไป สอบถามเข้ามาแล้วกันครับ พร้อมแล้วเราก็ไปเที่ยวกันดีกว่าครับ
วันเสาร์ 27 ธันวาคม 2557 ทำงานวันสุดท้ายด้วยจิตใจที่ออกจะลั้ลลามากกว่าปกติ เพราะคืนนี้แล้วสินะที่จะได้เดินทางไปประเทศในฝันซะที (ไม่นับการไปกับทัวร์เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วนะ 555) ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ไปลุยประเทศอียิปต์ด้วยตัวเองแบบเดี่ยว ๆ จึงพาตัวเองไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่ 3 ทุ่มครึ่ง (เครื่องออกเกือบตีหนึ่ง) สายการบินอียิปต์แอร์เช็กอินที่เคาน์เตอร์ Q ลงจาก taxi ประมาณประตูที่ 8 ครับ
เช็กอินเรียบร้อย ผ่าน ตม. แบบชิล ๆ ก็ไปเดินเล่นใน Duty free แวะกิน Burger King แล้วไปนอนรอหน้าเกตครับ ไปถึงเกตยังไม่เปิดเลย ด้วยความไม่ประมาทตั้งนาฬิกาปลุกด้วยดีกว่า ถ้าหลับหน้าเกตจนตกเครื่องนี่คงเป็นที่น่าอับอายมากกกกกกก 555
ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วสังเกตดูมีทัวร์ไทยบินไปไฟลท์เดียวกัน 2-3 กรุ๊ป นอกนั้นส่วนมากเป็นแขกน่าจะคนอียิปต์ มีฝรั่งนิดหน่อย เครื่องขึ้นไปได้ไม่นานก็บริการอาหารก่อนเลยครับ ทานหมดเรียบร้อยหลับยาวจนใกล้ถึงอียิปต์ก็บริการอาหารเช้าพวกขนมปัง จากนั้นอีกอึดใจเครื่องบินลดระดับ ร่อนลงสู่ท่าอากาศยานกรุงไคโร ณ เวลา 05.00 น. ครับ ตรงเวลาเป๊ะเลย
ผ่านจาก ตม. อียิปต์แบบไม่มีคำถามอะไรแม้แต่น้อย พอรับกระเป๋าเสร็จก็ออกไปที่ห้องผู้โดยสารขาออก สายตาก็สอดส่ายหาชื่อของตัวเองจากบรรดาเจ้าหน้าที่โรงแรมที่มารอรับด้านนอก ไม่นานก็เจอครับ เป็นชายวัยคราวลุงแล้วล่ะ กล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้มและทักทายแบบเสียงดังมาก แถมมาโอบกอดราวกับเป็นเพื่อนกันมานาน เล่นเอาเขินไปเลย 555 จากนั้นตาลุงก็พาไปนั่งรอตรงม้านั่งแล้วบอกว่ารอก่อนนะมีคนโดยสารไปด้วยอีก 2 คน ผมเลยขอปลีกตัวไปแลกเงินก่อนดีกว่า แลกไป 200 USD. ได้เงินมา 1,480 EGP.
เดินกลับไปหาตาลุงปรากฏว่าคนที่จะนั่งรถไปด้วยกันมาแล้ว เป็นคู่สามีภรรยาครับ ผู้ชายเป็นชาวอียิปต์แล้วย้ายไปอยู่ที่อเมริกา ผู้หญิงเป็นคนอเมริกันแท้ ๆ ระหว่างนั่งรถที่มีสภาพเก่ามาก (ซึ่งโดยมากรถที่วิ่งในอียิปต์ก็สภาพประมาณนี้ทั้งนั้น) ตาลุงคนขับชวนคุยไปตลอดทาง พูดอังกฤษปนอารบิก บางครั้งก็หัวเราะขึ้นมาดื้อ ๆ ผมนี่งงเลย 555 คือผมนั่งหน้าคู่กับตาลุงครับ ส่วนคู่ที่นั่งมาด้วยกันแอบงีบอยู่เบาะหลัง ไม่ช่วยกันเลยนะ
นั่งรถมาประมาณ 45 นาที รถก็มาจอดอยู่หน้าตึกแถวที่อยู่ตรงข้ามกับพีระมิดพอดีครับ ถึงแล้วที่พัก วันนี้ผมพักที่ Pyramid View Inn ครับ
ป.ล. รถในรูปไม่ใช่รถที่นั่งมาครับ เก่ากว่านั้นเยอะ 555
เดินเข้ามาก็เจอการตกแต่งแบบอียิ้ปปปปปป อียิปต์
เดินเข้ามาเช็กอินได้ห้องอยู่บนชั้นสาม ดีที่ว่าที่พักไม่เคร่งกับเวลาเท่าไร คือ ถ้าห้องว่างก็เข้าได้เลย หรือจะเช็กเอาท์ช้าก็ได้ถ้าไม่มีใครมาใช้ห้องต่อครับ ถูกใจ ๆ
ห้องนอนคืนนี้ก็ประมาณนี้ครับ มีสองเตียงแต่ผมพักแค่คนเดียว อีกเตียงเลยไว้วางข้าวของแทน เตียงสะอาด ปลอกหมอน ผ้าห่มไม่มีกลิ่นอับเลยครับ
เหตุผลหลัก ๆ ที่เลือกพักที่นี่ก็เพราะว่าที่พักอยู่ติดกับพีระมิดเลยครับ คือ เดินไปไม่กี่ก้าวก็เจอกับพีระมิดแล้วครับ แต่ถ้าเราพักในใจกลางไคโร การเดินทางมาที่นี่จะลำบากกว่า คือ รถเมล์ รถไฟไปถึงแต่ก็ต้องต่อรถวุ่นวาย แถมกลัวจะหลงด้วย ถ้านั่ง taxi มาก็น่าจะหลายบาท ให้นึกภาพว่าใจกลางไคโรก็ประมาณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ส่วนพีระมิดก็ประมาณเดอะมอลล์บางแคครับ ห่างกันแบบลากเป็นเส้นตรงเกือบ 12 กิโลเมตร
ออกจากห้องขึ้นไปชั้นดาดฟ้าก็จะเจอวิวนี้เลยครับ เป็นวิวพีระมิดแห่งกีซาอยู่ตรงหน้าพอดี สวยงามมากสมกับชื่อโรงแรมจริง ๆ ได้มาเห็นวิวแบบนี้ให้นั่งทั้งวันก็ยอม พูดเล่นนะครับ ขอลงไปเดินชื่นชมพีระมิดและมุดพีระมิดบ้างดีกว่า คนที่อยู่ในรูปคือคู่สามีภรรยาที่นั่งมาจากสนามบินด้วยกันครับ
พีระมิดแห่งกีซาเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบันครับ ทำไมต้องเรียกว่ากีซา เพราะบริเวณนี้คือเมืองกีซาครับ ส่วนพีระมิดที่อยู่เมืองอื่นก็เรียกกันไปตามเมืองนั้น ๆ เช่น พีระมิดแห่งซัคคาร่า พีระมิดแห่งดาร์ชูร์
พีระมิดกีซามีอยู่สามหลังใหญ่ ๆ เรียงจากขวาไปซ้าย คือ พีระมิดของฟาโรห์คูฟู (Khufu) เป็นพีระมิดที่สูงที่สุด ตรงกลาง คือ พีระมิดของฟาโรห์คาเฟร่ (Khafre) ส่วนซ้ายสุดขนาดเล็กกว่าองค์อื่น คือ พีระมิดของฟาโรห์เมนคูเร (Menkaure) และพีระมิดขนาดเล็กสุดที่อยู่ด้านซ้ายของพีระมิดฟาโรห์เมนคูเร คือ พีระมิดสำหรับราชินีของฟาโรห์เมนคูเรครับ พีระมิดกีซาสร้างโดยฟาโรห์สามพระองค์นี้ครับ ซึ่งอยู่ในสมัยราชวงศ์ที่ 4
พีระมิดของฟาโรห์คูฟูเป็นพีระมิดที่คนทั่วไปรู้จัก เพราะมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด เพราะด้วยขนาดของพีระมิดเอง อีกทั้งทางเดินและห้องภายในพีระมิดที่ออกแบบมาได้อย่างน่าทึ่ง เดิมมีความสูง 146 เมตร ปัจจุบันสูง 138 เมตร เพราะส่วนยอดได้พังทลายไปบ้างจึงทำให้เตี้ยลงกว่าเดิมเล็กน้อย ฟาโรห์คูฟูเป็นฟาโรห์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 4 (2589-2566 ก่อน ค.ศ.)
พีระมิดของฟาโรห์คาเฟร่ เดิมมีความสูง 143 เมตร ปัจจุบันสูง 136 เมตร ฟาโรห์คาเฟร่เป็นลูกชายของฟาโรห์คูฟูครับ ส่วนรูปแกะสลักหินที่มีลำตัวเป็นสิงโต มีศีรษะและใบหน้าเป็นมนุษย์ คือ สฟิงซ์ที่เชื่อว่าแกะสลักเป็นพระพักตร์ของฟาโรห์คาเฟร่เจ้าของพีระมิดหลังนี้นั่นเองครับ
สุดท้าย คือ พีระมิดของฟาโรห์เมนคูเร มีขนาดเล็กที่สุด มีความสูง 65 เมตร และมีพีระมิดของราชินีอีกสามหลังครับ ฟาโรห์เมนคูเร คือ ลูกชายของฟาโรห์คาเฟร่ และเป็นหลานของฟาโรห์คูฟูครับ
ได้เวลาชื่นชมพีระมิดพอให้หายอยากก็ได้เวลาทานมื้อเช้า ที่พักที่นี่จะแถมมื้อเช้าให้ด้วยครับ แถมยังรับจากสนามบินฟรี ๆ อีกด้วย นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ผมเลือกพักที่นี่ครับ อาหารเช้าแบบอียิปต์มีหน้าตาแบบนี้เลย ขนมปังแบน ๆ, แป้งผสมเครื่องเทศแล้วไปทอดประมาณทอดมัน แต่รสชาติต่างจากทอดมันมาก ๆ, ไข่เจียวรสจืดครับ เพราะไม่ได้ปรุงรสใด ๆ เลย ก้อนขาว ๆ คือโยเกิร์ตครับ ส่วนถ้วยที่ใส่ลักษณะเหมือนน้ำพริก เอาไว้กินกับขนมปังแบน ๆ น่าจะทำมาจากถั่วครับ รสชาติจืดปนเค็มนิดหน่อย
พอทานมื้อเช้าเสร็จก็เกือบแปดโมงแล้ว ได้เวลาลงไปเที่ยวชมพีระมิดแล้วครับ พีระมิดเปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่แปดโมงเช้าครับ ลงมาถึงซื้อตั๋วเข้าในเขตพีระมิด ตรวจตั๋วเสร็จ ก็เดินผ่านเครื่องตรวจโลหะเหมือนในสนามบิน ส่วนกระเป๋าเป้ต้องผ่านเครื่องสแกนด้วยครับ (สถานที่ท่องเที่ยวทุกที่ในอียิปต์เป็นแบบนี้หมดครับ ก็ดีเหมือนกันนะครับ แลดูปลอดภัยในระดับหนึ่งเลย)
เสร็จจากการตรวจค้นแบบละเอียด เดินออกจากประตูก็มาเจอกับสฟิงซ์นอนหมอบราวกับกำลังรอต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ตรงหน้าพอดีครับ แถวเก้าอี้ที่วางเรียงรายมีไว้สำหรับนั่งชมการแสดงแสงสีเสียงในตอนกลางคืนครับ
เรื่องราวมีอยู่ว่า...วันหนึ่งมีเจ้าชายอียิปต์พระองค์หนึ่งได้เดินทางมาถึงบริเวณนี้และพบกับสฟิงซ์ซึ่งในตอนนั้นตัวสฟิงซ์ได้ถูกทรายทับถมจนโผล่มาแค่เฉพาะส่วนศรีษะ แต่เจ้าชายก็หาได้นำพาไม่ กลับเดินไปนอนหลับพักผ่อนใต้เงาสฟิงซ์เพื่อหลบแดด และได้ฝันไปว่า...สฟิงซ์ได้พูดกับเจ้าชายว่าถ้าเจ้าชายช่วยจัดการเคลียร์ทรายที่ทับถมออกให้หมด จะให้รางวัลด้วยการให้เป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์
พอเจ้าชายตื่นขึ้นมาก็ได้จัดการตามที่สฟิงซ์บอกในความฝันทุกประการ แถมยังบูรณะสฟิงซ์ให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิมด้วย และต่อมาเจ้าชายองค์นี้ก็ได้เป็นฟาโรห์จริง ๆ ตามที่สฟิงซ์เคยให้คำมั่นสัญญา พระองค์จึงได้สลักเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับความฝันลงบนศิลาก้อนนี้ เจ้าชายองค์ที่ว่านี้ก็คือฟาโรห์ธุตโมสิสที่ 4 ซึ่งเป็นฟาโรห์ลำดับที่ 8 แห่งราชวงศ์ที่ 18 นั่นเองครับ
เดินมาเรื่อย ๆ จนเจอแผนที่บริเวณนี้ ถ่ายรูปเก็บไว้ จะได้มาเปิดดูว่าตอนนี้อยู่ตรงไหนแล้ว จะไปตรงไหนต่อ บริเวณเขตพีระมิดพื้นที่กว้างมาก อย่างเช่นพีระมิดแต่ละหลังก็ห่างกันประมาณ 500 เมตร ทางเป็นพื้นหินบ้าง ทรายบ้าง และมีเนินมากมาย ถ้าวางแผนเดินไม่ดี คงเดินไม่ไหวแน่ครับ
ตั้งใจว่าจะเดินไปพีระมิดฟาโรห์คูฟูก่อนแล้วอ้อมไปด้านหลังไปชมพีระมิดฟาโรห์คาเฟร่ จากนั้นไปที่พีระมิดฟาโรห์เมนคูเร เดินกลับมาชมสฟิงซ์ และจบด้วยการนั่งอูฐไปชมวิวพีระมิดจากระยะไกล จากนั้นกลับที่พักครับ มาดูซิว่าจะได้ตามแผนรึเปล่า
จริง ๆ ถ้าไม่อยากเดินก็สามารถขี่อูฐ ขี่ม้า นั่งรถม้า หรือนั่ง Taxi ก็ได้นะครับ แต่ที่อยากเดินเพราะ การเดินน่าจะไปเที่ยวได้ทั่วกว่า และอีกอย่างก็กลัวจะโดนแขกหลอกตั้งแต่วันแรก เพราะอ่านรีวิวมาเยอะ แต่ละคนก็โดนหลอกไปกันต่าง ๆ นานา คือมาถึงวันแรกจะโดนเลยรึฝันไปเถอะ 555
บางคนก็เดินมาคุยแล้วบอกว่าจะให้ของที่ระลึกฟรี ๆ (It\'s a gift. ประโยคนี้ได้ยินบ่อยมาก) อย่าเผลอไปรับเชียวนะครับ ไม่มีของฟรีในโลก โดยเฉพาะแถว ๆ นี้ ที่รู้เพราะเตรียมตัวมาดี อ่านรีวิวทั้งไทยและเทศมามาก คงคิดว่าไม่ได้กินหรอกเพราะชั้นน่ะรู้ทุกอย่างนะ หึหึ แต่หารู้ไม่ว่าเดี๋ยวแกก็ต้องโดนอยู่ดีแหละ แล้วเดี๋ยวเล่าให้ฟังครับว่าไปโดนแขกอียิปต์หลอกยังไง
เดินมาจนใกล้ถึงพีระมิดคูฟูแล้วครับ ที่เห็นในรูปด้านล่างพีระมิดไม่ใช่ทางเข้าพีระมิดนะครับ แต่น่าจะเป็นหลุมฝังศพของบรรดาข้าราชบริพารคนหนึ่งของฟาโรห์คูฟู สมัยนั้นนิยมสร้างสุสานใกล้ ๆ กลับพีระมิดของฟาโรห์ คงเพื่อจะได้ตามไปรับใช้ฟาโรห์ต่อไปในโลกหลังความตายด้วยกระมัง
เดินเลาะไปจนถึงฐานของพีระมิดฟาโรห์คูฟูทางทิศตะวันออก จะมีทางเดินระหว่างพีระมิดหลังใหญ่ กับพีระมิดเล็ก ๆ ครับ ซึ่งเป็นพีระมิดราชินีของฟาโรห์คูฟู พอเดินไปใกล้ ๆ มีแขกอียิปต์ออกมาจากมุมพีระมิดราชินี มาบอกว่าให้ลองตามเขาไป จะพาไปลงไปชมภายในพีระมิดราชินีครับ
ตอนนั้นคิดว่าเจ้าคนนี้จะมาไม้ไหนอีกเนี่ย แต่พอมองตามไปก็เห็นฝรั่งกลุ่มหนึ่งกำลังลงไปพอดี เลยรีบเดินตามไปด้วย กะว่าถ้าโดนหลอกก็ไม่ได้โดนคนเดียวล่ะนะ มีเพื่อนโดนหลอกด้วยกัน 555
ปากทางเข้าพีระมิดราชินีครับ เป็นพีระมิดของราชินีที่มีชื่อว่า Henutsen เป็นลูกสาวของฟาโรห์สเนฟรู ซึ่งเป็นพระบิดาของฟาโรห์คูฟูด้วย นั่นหมายความว่าฟาโรห์คูฟูแต่งงานกับน้องสาวตัวเอง (จริง ๆ แล้ว พระบิดาคนเดียวกัน แต่ต่างพระมารดากันครับ เพราะฟาโรห์สเนฟรูมีราชินีหลายพระองค์) สังเกตว่ามีป้ายห้ามถ่ายรูปในพีระมิดครับ
ทางเดินเข้าไปในพีระมิดจะเตี้ยต้องเดินก้มตัวจนเอวแทบเคล็ด ทางเดินจะลงไปเป็นทางลาดเอียงจนถึงห้องฝังพระศพครับ ทางเดินน่าจะยาวประมาณ 40 เมตร เทคนิคในการมุดลงพีระมิดคือให้ถอยหลังลงครับจะเดินง่ายกว่า
พอลงมาในห้องฝังพระศพก็มีแต่โลงหินหัก ๆ ห้องค่อนข้างแคบและอึดอัด ไม่มีภาพหรือเรื่องราวแกะสลักด้านใน
อยู่ชมได้ไม่นานเดินออกมาข้างนอกดีกว่า
ป.ล. ที่แขกอียิปต์เรียกให้เข้าไปชมในพีระมิดเพราะว่า พอเราลงไปแล้ว ถ้าอยากถ่ายรูป เขาจะให้เราถ่ายรูปได้แต่ขอค่าทิปแลกเปลี่ยนเล็กน้อย ซึ่งฝรั่งที่ลงไปด้วยกันก็ถ่ายรูปแล้วให้ทิปไปเหมือนกัน ผมก็เลยเอาบ้าง ลงมาถึงตรงนี้แล้วก็ยากที่จะห้ามใจที่จะไม่ถ่ายรูปอ่ะนะ มาถึงทั้งทีขอเก็บรูปเป็นที่ระลึกซะหน่อยครับ
เดินออกจากพีระมิดของราชินี Henutsen ไปไม่ไกล ก็เจอแขกอียิปต์มากวักมือเรียกอีกแล้ว คือบริเวณนี้ก็มีพีระมิดหลังเล็กของราชินีอีกพระองค์ ผมดูแล้วภายในน่าจะเหมือนกันเลยไม่ได้ลงไปครับ มุ่งหน้าตรงไปหาพีระมิดฟาโรห์คูฟูดีกว่า
พอมาใกล้ถึงพีระมิดฟาโรห์คูฟู ก็ยิ่งเห็นถึงความใหญ่โตอลังการงานสร้างของชาวอียิปต์โบราณจริง ๆ คือหินแต่ละก้อนก็ไม่ใช่เล็ก ๆ ขนหินเป็นล้านก้อน และไปสร้างเป็นพีระมิดสูงขนาดนี้ มันยากที่จะเชื่อว่าเป็นผลงานของคนในสมัย 4,000 กว่าปีที่แล้วจริง ๆ ครับ
พอมาถึงพีระมิดคูฟูด้านทิศเหนือ ซึ่งมีทางเข้าไปในพีระมิดนะครับ แต่เรายังเข้าไม่ได้ครับ เพราะตั๋วที่จะเข้าไปในพีระมิดทั้ง 3 หลัง ต้องซื้อตั๋วแยกต่างหาก ตั๋วที่ซื้อทีแรกคือ ตั๋วที่เข้ามาในเขตพื้นที่ของพีระมิดกีซาเท่านั้นครับ แต่ก่อนจะออกไปต้องคุยกับยามตรงประตูให้ดี ๆ นะครับว่าออกไปซื้อตั๋วเข้าในพีระมิด แล้วเดี๋ยวจะกลับเข้ามาใหม่ เพราะไม่งั้นอาจจะต้องเสียเงินซื้อตั๋วใหม่ทั้งหมดก็ได้
ป.ล. ทางเข้าพีระมิดกีซามีสองทางคือ ทางเข้าแถวสฟิงซ์ตรงโรงแรมที่ผมพักครับ ทางเข้านี้ขายเฉพาะตั๋วเข้าพื้นที่พีระมิดกีซาเท่านั้น ส่วนทางเข้าอีกทางคือทางเข้าทางทิศเหนือของพีระมิดฟาโรห์คูฟู ทางเข้านี้ขายตั๋วเข้าพื้นที่พีระมิดกีซา และตั๋วเข้าชมในพีระมิดครับ คนที่มากับทัวร์มักจะพามาเข้าทางนี้ เพราะเป็นลานจอดรถด้วยครับ
หลังจากได้ตั๋วเข้าพีระมิดแล้ว ซึ่งผมซื้อมา 2 ใบ คือตั๋วเข้าพีระมิดฟาโรฟ์คูฟู และ พีระมิดฟาโรห์คาเฟร่ (ตั๋วเข้าพีระมิดฟาโรห์เมนคูเรไม่ขายครับ เพราะปิดปรับปรุงชั่วคราว) ก็ได้เวลาไปมุดพีระมิดกันครับ
ทางเข้าพีระมิดฟาโรห์คูฟูจะต้องปีนขึ้นไปนิดหน่อย ถึงจะเจอทางเข้าครับ แต่ปีนไม่ยากเพราะว่าเขาสลักก้อนหินทำเป็นขั้นบันไดให้แล้ว
พอมาถึงทางเข้า ยามจะตรวจกระเป๋าทุกคน คือถ้าใครพกกล้องถ่ายรูปต้องฝากไว้กับยามคนนี้ตรงทางเข้าพีระมิดเลยครับ เพราะไม่อนุญาตให้เอากล้องถ่ายรูปเข้าไปในพีระมิด นั่นหมายถึงห้ามถ่ายรูปด้านในนั่นเอง
ถึงตรงนี้ผมขอเล่าถึงลักษณะทางเดิน และห้องด้านในพีระมิดฟาโรห์คูฟู โดยใช้รูปภาพจากที่อื่นมาให้ชมแทนแล้วกันนะครับ
จากแผนผังจะเห็นว่าทางเข้าพีระมิดคือตัว a ซึ่งนั่นคือทางเข้าพีระมิดของจริง แต่ที่ผมจะพาเข้าไปจะใช้ทางเข้าอีกทางครับ ซึ่งจะอยู่ต่ำกว่าทางเข้าจริงนิดหน่อย ทางเข้านี้เกิดจากขโมยในสมัยก่อนลักลอบขุดเข้าไปในพีระมิดเพื่อหวังจะขโมยทรัพย์สมบัติที่อยู่ด้านในครับ (ทางการอียิปต์ให้ใช้ทางเข้านี้ในการเข้าไปในพีระมิด ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่ใช้ทางเข้าจริง ๆ)
พอเดินเข้ามาทางเดินก็จะเป็นแบบนี้ครับ ตรงบันไดที่เห็นก็จะไปเชื่อมกับทางเดิน b ที่บริเวณทางแยกไปทางเดิน e ส่วนทางเดิน b ที่จะลงไปห้อง c มีลูกกรงปิดไม่ให้ลงไปครับ
เดินไต่ขึ้นไปตามทางเดิน e ทางเดินช่วงนี้จะเตี้ยต้องเดินก้มตัวต่ำ แถมไต่ขึ้นอีก อากาศก็น้อย มีกลิ่นอับ รู้สึกเหนื่อยเร็วกว่าปกติครับ
เดินขึ้นไปตามทางเดิน e จนมาถึงห้องโถงใหญ่ตัว h ซึ่งตรงนี้จะมีทางเดินไปยังห้อง f แต่มีลูกกรงปิดไว้เช่นกันครับ
ลักษณะห้องโถงใหญ่ตัว h มีเพดานห้องที่สูงมากครับ การสร้างห้องโถงแบบนี้เป็นการสร้างโดยใช้หินขนาดใหญ่ก่อขึ้นไปโดยวางแนวหินเหลื่อมกันจนสอบเข้าหากันตรงเพดานด้านบน ซึ่งการสร้างห้องลักษณะนี้มีให้เห็นในพีระมิดยุคก่อนหน้านี้ด้วยครับ
ยืนพักเหนื่อยตรงนี้นิดหนึ่งก็เดินผ่านห้องโถงใหญ่นี้ไปจนถึงห้อง j ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นห้องฝังพระศพฟาโรห์คูฟู เพราะมีโลงหินตั้งอยู่ภายในห้องครับ
เข้ามาถึงห้องนี้ได้ก็ขอนั่งพัก ซึมซับบรรยากาศด้านในนี้หน่อยเถอะ ว่าครั้งหนึ่งเคยเข้ามานั่งในห้องฝังพระศพฟาโรห์คูฟูซึ่งตั้งอยู่ใจกลางพีระมิดมาแล้วนะ สังเกตว่าในห้องนี้มีกล้องวงจรปิดด้วยครับ และตอนกลับลงมาก็สังเกตว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่เป็นระยะ ๆ เห็นฝรั่งเอากล้องโทรศัพท์แอบมาถ่ายรูปด้านในหลายคน แต่ผมกลัวมีปัญหาเลยไม่กล้าถ่ายรูปด้านใน
ออกมาถึงด้านนอกพีระมิดหายใจได้เต็มปอดหน่อย ในพีระมิดอากาศร้อนและอับครับ หายใจไม่ค่อยสะดวก มองจากพีระมิดฟาโรห์คูฟูออกไปจะเห็นบ้านเรือนของชาวอียิปต์บริเวณกีซาครับ
เดินเลียบกับพีระมิดฟาโรห์คูฟูด้านทิศตะวันตกเพื่อไปพีระมิดฟาโรห์คาเฟร่กันต่อครับ ในรูปคือพีระมิดที่อยู่ทางขวาครับ
สังเกตบริเวณยอดของพีระมิดฟาโรห์คาเฟร่ยังพอมีหินที่เป็นพื้นผิวของพีระมิดหลงเหลืออยู่บ้าง แปลว่าสมัยก่อนนั้นพีระมิดทั้งลูกมีผิวเรียบทั้งหมด 4 ด้านเลยนะครับ รู้สึกทึ่งกับความเก่งของคนในยุคนั้นอีกแล้ว
เดินมาตรงนี้เจอคนไทยคู่หนึ่งกำลังพยายามตั้งกล้องถ่ายรูปวางกับพื้นจัดมุมถ่ายรูปคู่กับพีระมิดฟาโรห์คูฟู เลยอาสาเข้าไปเป็นตากล้องให้จะได้มีรูปคู่แบบสวย ๆ กลับไปครับ
จากนั้นเดินต่อไปจนถึงพีระมิดฟาโรห์คาเฟร่ โดยเดินตรงไปด้านทิศเหนือของพีระมิดครับ เพราะทางเข้าพีระมิดอยู่ทิศเหนือเหมือนกันกับพีระมิดฟาโรห์คูฟู
มองย้อนกลับไปที่พีระมิดฟาโรห์คูฟู ฟ้าสีน้ำเงินเข้มสวย ๆ เลยครับ เห็นแดดแรงแบบนี้แต่ไม่ร้อนเลยนะครับ อุณหภูมิอยู่ที่ 12-13 องศา ใส่เสื้อยืดแขนสั้น ทับด้วยฟรีซแขนยาวอุ่นกำลังดีครับ ข้อดีของการมาเที่ยวหน้าหนาวก็เย็นสบายแบบนี้แหละครับผม
ทางเข้าของพีระมิดฟาโรห์คาเฟร่จะแตกต่างจากของฟาโรห์คูฟูคือทางเข้าจะอยู่ตรงระดับพื้นดินหน้าพีระมิด และทางเดินจะตรงลงไปใต้พีระมิด โดยทางเดินและห้องด้านในจะอยู่ใต้พีระมิดทั้งหมด และก่อนเข้าก็ต้องฝากกล้องถ่ายรูปตามระเบียบครับ
จากแผนผังจะเห็นว่าทางเข้าพีระมิดหลังนี้มีทางเข้าสองทางคือด้านบนพีระมิด และด้านล่างระดับพื้นดิน ซึ่งทางอียิปต์จะใช้ทางเข้าด้านล่างในการเข้าชมภายในพีระมิดครับ
ถึงตรงนี้พร้อมมุดพีระมิดกันรึยังครับ ตามลงมาได้เลย รูปถ่ายประกอบช่วงนี้ผมใช้กล้องจากโทรศัพท์ถ่ายเก็บไว้ครับ เพราะเริ่มอดใจไม่ไหวแล้ว เห็นใครต่อใครยกโทรศัพท์มาถ่ายกันทั้งนั้นเลย แถมสังเกตดูแล้วพีระมิดหลังนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดด้วยครับ
จากทางเข้าก็จะเป็นทางเดินเตี้ย ๆ อีกแล้ว แต่ดีที่ทางเดินไม่ชันมากและไม่ลึกเท่าไรครับ พอลงมาได้หน่อยหนึ่งก็จะเป็นทางเดินตรงปกติก่อนที่จะเป็นทางลาดขึ้นเพื่อไปเชื่อมกับทางเดินตรงไปยังห้องฝังพระศพฟาโรห์คาเฟร่ ซึ่งทางเดินในพีระมิดหลังนี้ไม่ซับซ้อนเหมือนกับพีระมิดฟาโรห์คูฟูครับ รูปทางเดินมุดเข้าไปในพีระมิด ต้องเดินก้มตัวต่ำค่อย ๆ มุดแบบเดินถอยหลังลงไป รูปนี้ถ่ายตอนกำลังเดินกลับออกมาครับ
ทางเดินตรงยาวไปถึงห้องฝังพระศพ ทางเดินตรงนี้เดินตัวตรงได้สบายครับ เพราะเพดานสูงแล้ว
ภายในห้องฝังพระศพครับ ด้านในจะเป็นที่ตั้งของโลงหิน
บนผนังด้านหนึ่งมีลายเซ็นของนักสำรวจชาวอิตาลีชื่อ Belzoni มาลงชื่อไว้ด้วย เข้ามาสำรวจตั้งแต่ 2 มีค. ค.ศ.1818 ลองคำนวณดูแล้วตรงกับปี พ.ศ. 2361 ซึ่งตรงกับในสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรีเลยนะครับ ตอนนั้นสุนทรภู่อาจจะกำลังแต่งโคลงกลอน แต่คนที่ชื่อ Belzoni ได้เข้ามาสำรวจพีระมิดนี้ซะแล้ว คิดแล้วก็รู้สึกทึ่ง
โลงหินจะวางจมลงไปกับพื้นห้องเลยครับ ก่อนถ่ายรูปนี้มีฝรั่ง 2 คน ลงไปนอนในโลงหินแล้วผลัดกันถ่ายรูปด้วย ซึ่งผมไม่กล้าลองแบบนั้นนะ กลัวเจอดี แถมหลังจากฝรั่งคู่นั้นออกไป มีแขกขาวคู่หนึ่งเข้ามานั่งหันหน้าเข้าผนังแล้วสวดบทสวดอะไรบางอย่างแล้วโค้งคำนับลงกับพื้นด้วยครับ ผมนี่งงเลยไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม พอคู่นี้ออกไปแล้ว เหลือผมคนเดียวนั่งอยู่ในห้องนี้ รู้สึกเสียว ๆ หลอน ๆ ยังไงไม่รู้เลยกลับออกมาดีกว่าครับ ตอนเดินออกไปไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแม้แต่คนเดียว
ออกมาด้านนอกได้ก็รู้สึกโล่งใจพิกล เพราะตอนที่กำลังเดินออกจากพีระมิดเหมือนได้ยินเสียงคนเดินอยู่ด้านใน ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เพราะตอนนั้นมีผมอยู่คนเดียวในพีระมิดหลังนี้แล้ว นึกแล้วก็น่ากลัว หรือไม่ก็คงหูฝาด นี่คงต้องโทษเจ้าแขกขาวที่มานั่งสวดอะไรก็ไม่รู้ในพีระมิด บิ้วอารมณ์เราซะจนรู้สึกกลัวเลย
เจอะกับพีระมิดฟาโรห์คูฟูอีกครั้งครับ แผนต่อไปคือเดินไปยังพีระมิดหลังสุดท้ายคือพีระมิดฟาโรห์เมนคูเร ถึงจะเข้าไม่ได้เพราะปิดปรับปรุง แต่ก็ขอไปชมใกล้ ๆ ก็ยังดี
มองกลับไปยังพีระมิดฟาโรห์คาเฟร่ เพราะยังค้างคาใจกับบรรยากาศชวนขนลุกตอนที่อยู่ในนั้น
ขณะที่กำลังเดินออกจากพีระมิดฟาโรห์คาเฟร่ได้ไม่นาน อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกคลื่นไส้และหน้ามืดขึ้นมาแบบไม่มีอาการเตือนล่วงหน้าเลยครับ จนถึงกลับต้องลงไปนั่งเพราะกลัวจะเป็นลมล้มไปซะก่อน ซึ่งอาการแบบนี้ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกอย่างผมก็เป็นคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ เที่ยวแบบลุย ๆ ปีนเขา เข้าป่าก็ยังไม่เคยเป็นแบบนี้เลย สงสัยจะเจอดีแล้วที่แอบถ่ายรูปในพีระมิดหลังนั้น เหอะ ๆ
นั่งพักจนรู้สึกอาการคลื่นไส้ดีขึ้น ดันรู้สึกตัวร้อนวูบขึ้นมาแทน ก่อนมาอียิปต์เป็นหวัดเล็กน้อยแต่ไม่มีไข้ พอถึงตอนนี้กลับตัวร้อนเหมือนมีไข้ รู้สึกว่าแปลก ๆ เลยคิดว่าอย่าฝืนเลยดีกว่า เลยยกเลิกเดินไปพีระมิดฟาโรห์เมนคูเร ตัดสินใจเดินไปชมสฟิงซ์แทนแล้วกันเพราะอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ครับ
มองออกไปจากจากพีระมิดฟาโรห์คาเฟร่จะเห็นบั้นท้ายของสฟิงซ์พอดีครับ
การจะไปชมสฟิงซ์แบบใกล้ ๆ ต้องเดินเข้าทางวิหารริมน้ำ (Valley temple) ที่อยู่ด้านหน้าของสฟิงซ์นะครับ ซึ่งรูปนี้เป็นรูปภายในวิหารริมน้ำของพีระมิดฟาโรห์คาเฟร่
แผนผังนี้แสดงภาพจำลองพีระมิดแห่งกีซา ผมขอยกตัวอย่างพีระมิดตรงกลางก็คือพีระมิดฟาโรห์คาเฟร่แล้วกันนะครับ คือการสร้างพีระมิด ไม่ได้สร้างแค่เพียงพีระมิดอย่างเดียวแล้วจบแค่นั้น แต่ยังมีการสร้างวิหาร และโครงสร้างอื่น ๆ ขึ้นมาพร้อมกันกับพีระมิดด้วย ซึ่งสิ่งก่อสร้างทั้งหมดนี้เรียกว่า Pyramid Complex ซึ่งประกอบไปด้วย (พีระมิดบางแห่งอาจจะมีสิ่งก่อสร้างน้อยกว่าหรือมากกว่านี้ก็ได้ครับ)
1. วิหารริมน้ำ (Valley Temple) : เป็นวิหารที่ติดริมน้ำ อาจจะเป็นแม่น้ำ บึง หรือทะเลสาบก็ได้ พอฟาโรห์สิ้นพระชนม์ หลังจากผ่านขบวนการทำมัมมี่แล้ว พระศพของฟาโรห์จะลำเลียงมาทางเรือแล้วมาขึ้นที่วิหารแห่งนี้ ซึ่งพอนำพระศพขึ้นมาไว้บนวิหารนี้แล้วจะมีการทำพิธีทางศาสนาก่อนที่จะลำเลียงต่อไปยัง Causeway
2. ทางเดินไปยังพีระมิด (Causeway)
3. วิหารประกอบพิธีศพ (Mortuary Temple) : เป็นวิหารประกอบพิธีศพที่ติดกับพีระมิด พอพระศพมาถึงวิหารนี้ก็จะมีพิธีทางศาสนาอีกครั้งจนเสร็จสิ้นพิธี ก็จะย้ายพระศพเข้าไปฝังในพีระมิด
4. พีระมิด (Pyramid)
หลังจากเดินผ่านวิหารริมน้ำมาแล้วก็จะเจอกับ Causeway ซึ่งตอนนี้กำลังปิดซ่อมบูรณะกันอยู่เลยครับ
จากตรงนี้ถ้ามองไปทางซ้ายก็จะเห็นสฟิงซ์แบบใกล้ ๆ เลยครับ ซึ่งใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้วเพราะสภาพของสฟิงซ์ตอนนี้ก็ต้องบอกว่าดูโทรมมากเพราะสร้างจากหินทราย ซึ่งอาจจะไม่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมแบบทะเลทรายได้นานเท่าไร ทางการอียิปต์จึงให้ชมสฟิงซ์จากตรงนี้เท่านั้นครับ ด้านหลังสฟิงซ์คือพีระมิดฟาโรห์คูฟู
อยู่บนหลังอูฐแล้วครับ อูฐตัวสูงมากพอไปนั่งแล้วรู้สึกสูงจริง ๆ แบบว่าถ้าอูฐไม่นั่งให้เราลง คงไม่กล้าโดด ตกลงมาเจ็บตัวแน่ ๆ ครับ
วิวพีระมิดจากบนหลังอูฐครับ ด้านซ้ายคือพีระมิดฟาโรห์คาเฟร่ ด้านขวาคือคือพีระมิดฟาโรห์คูฟู
ระหว่างทางตานี่ก็บอกว่าเดี๋ยวถ่ายรูปให้จะได้มีรูปสวย ๆ คู่กับพีระมิด เลยส่งกล้องไป ตอนนั้นแอบคิดว่าถ้ามันวิ่งไปพร้อมกล้องก็คงทำอะไรไม่ได้ล่ะ เพราะติดอยู่บนหลังอูฐนี่แหละ 555 รูปนี้ถ่ายโดยตากล้องจำเป็นจากคนเลี้ยงอูฐครับ
และแล้วเรื่องราวที่แอบดราม่าเล็ก ๆ ในวันนี้ก็เริ่มต้นขึ้น...คือพอเดินมาได้เกือบ 20 นาที ตานี่ก็หยุดแล้วบอกว่าถึงแล้ว ผมหันกลับไปมองทางพีระมิดก็รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว วิวแบบนี้คนละวิวกับที่เห็นในรูปที่ตานี่เอามาให้ดูตอนแรกเลย คือวิวตรงนี้จะเห็นพีระมิดเรียงกันทั้งหมดก็จริง แต่พีระมิดจะอยู่ห่างกันมากไม่สามารถถ่ายเก็บมาได้หมดในเฟรมเดียวกันครับ ต้องถ่ายแบบพาโนรอม่าเท่านั้น ซึ่งรูปล่างนี้คือรูปที่ผมถ่ายมาจากตำแน่งนี้ครับ ถ่ายไป 4 รูปแล้วนำมาต่อกัน
รู้ตัวว่าโดนลูกเล่นแขกอียิปต์แล้วก็เลยเริ่มโวย บอกว่าเอารูปในกระเป๋ามาดูเลย เพราะตอนนั้นแกเสนอวิวที่ไม่ใช่แบบนี้ ตานี่ก็ล้วงลงไปในเสื้อแล้วหยิบรูปขึ้นมาก็ดันกลายรูปตรงนี้นี่แหละ เล่นเอาผมอึ้งไปเลยมันเอารูปที่ให้ดูตอนแรกไปแอบซ่อนไว้ตรงไหนเนี่ย ตอนนั้นโมโหก็โมโห ขำก็ขำนะว่าอุตส่าห์เตรียมตัวมาดีก็ยังโดนแขกอียิปต์เล่นเอาจนได้
มันบอกว่าถ้าไปต่อเพื่อไปถ่ายรูปวิวที่ผมต้องการ จ่ายเพิ่มอีก 150 EGP. ถ้าไม่ก็กลับ เซ็งเลยมันถือไพ่เหนือกว่าแถมไปนอนหลบแดดสบายใจ ปล่อยผมนั่งตากแดดนั่งคิดบนหลังอูฐว่าเอาไงดีหว่า ลงก็ลงไม่ได้ กลับไปก็ไม่ได้รูปสวย ๆ มาชื่นชม ในที่สุดก็ยอมแพ้แต่ขอต่อราคาจนมันยอมลดราคาลงมา สรุปที่จ่ายเพิ่มอีก 100 EGP. ได้แต่คิดปลอบใจว่าไหน ๆ ก็มาถึงนี่แล้วจ่ายเพิ่มไปอีกหน่อยจะเป็นไร ไม่ได้มีโอกาสมาบ่อย ๆ นี่เนอะ มีคนเคยบอกว่ามาเที่ยวอียิปต์ถ้ายังไม่โดนหลอก ถือว่ายังมาไม่ถึง และในที่สุดผมก็มาถึงอียิปต์จริงๆ แล้วนะครับ ไชโย ๆๆๆ 555
จากจุดที่เถียงต่อรองกับตานี่ เดินมาอีกครึ่งชั่วโมงก็มาถึงมุมที่ตั้งใจจะมาจนได้ ซึ่งก็คือมุมนี้ครับ ตรงนี้เราสามารถถ่ายรูปพีระมิดแห่งกีซาทั้งหมดได้ในเฟรมเดียว จากหน้าไปหลัง คือพีระมิดขนาดเล็ก 3 หลัง ของราชินีฟาโรห์เมนคูเร ถัดไปคือพีระมิดฟาโรห์เมนคูเร ถัดไปอีกคือพีระมิดฟาโรห์คาเฟร่ และพีระมิดด้านหลังสุดคือพีระมิดฟาโรห์คูฟูครับ
รูปนี้มีเมฆเคลื่อนตัวมาบังดวงอาทิตย์พอดี เลยได้บรรยากาศไปอีกแบบ
ถ่ายรูปบนหลังอูฐกับพีระมิดแห่งกีซาซะหน่อย รูปนี้กว่าจะได้มาต้องเสียเงินค่าอูฐไป 200 EGP. (ประมาณ 900 บาท) เลยนะครับ 555
***ถ้ามาถ่ายรูปตรงจุดนี้ ควรมาช่วงบ่ายไปจนถึงตอนเย็นครับ เพราะพระอาทิตย์จะอยู่ด้านหลัง ถ่ายรูปแล้วไม่ย้อนแสง
นั่งชมวิวไม่เกิน 10 นาที ตานี่เริ่มเปิดดีลใหม่อีกแล้ว บอกว่าให้ขี่อูฐไปถึงพีระมิดเลยมั้ย ราคาไม่แพงเพิ่มนิดหน่อยเอง พอไปถึงพีระมิดแล้วค่อยกลับ ตอนนั้นรู้สึกว่าพอ ๆ ไปอีกคงโดนหลอกอีกหลายบาท และอีกอย่างอาการตัวร้อนมีไข้ไม่ได้ทุเลาลงเลย แถมเหมือนจะเป็นมากขึ้น เลยให้กลับไปส่งที่ทางออกเลยดีกว่า
พอมาถึงทางออก ลงจากหลังอูฐแล้วเดินแทบไม่เป็นเลยครับ คือตอนนั่งอยู่บนหลังอูฐเนี่ย ขาจะกางออกเพื่อคร่อมบนหลังอูฐพอดี แล้วถ้านั่งนาน ๆ เส้นตรงขาหนีบก็จะตึงครับ พอลงมาแล้วเหมือนเส้นที่ขาหนีบมันไม่คลายตัวมันยังตึงอยู่ เลยเดินแปลก ๆ น่าจะเป็นภาพที่ดูตลกแก่ผู้พบเห็นมาก เห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นที่ขี่อูฐก็เป็นกันหลายคนอยู่นะครับ 555
เดินมาถึงห้องแบบหมดแรง มาถึงดื่มน้ำ กินขนมปังที่มีติดตัวไปได้หน่อย แล้วอัดพาราไปอีก 2 เม็ด นอนสลบเลยครับ ตอนนั้นน่าจะบ่าย 3 โมงกว่า รู้สึกตัวอีกทีก็เย็นพอดี อาการไข้ลดลง ไม่ปวดหัว เลยออกไปซื้อเบอร์เกอร์ที่ KFC อยู่แถว ๆ โรงแรม แล้วขึ้นมานั่งกินที่ดาดฟ้าโรงแรมชมวิวพีระมิดยามเย็นครับ
นั่งทานเบอร์เกอร์ KFC และจิบชาอียิปต์ร้อน ๆ ที่พนักงานโรงแรมมาเสริฟให้แบบฟรี ๆ พร้อมกับชมพีระมิดในช่วงเวลาที่ท้องฟ้าที่ค่อย ๆ มืดลงทีละนิด ๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายและมีความสุขมากกกกก อยากให้เวลาหยุดไว้ตรงนี้ไปอีกนาน ๆ เลยล่ะครับ
สรุปภาพรวมของการเที่ยวในวันนี้ครับ
1. Pyramid View Inn
2. ทางเข้าด้านสฟิงซ์
3. พีระมิดราชินี Henutsen
4. ทางเข้าด้านทิศเหนือ แถวพีระมิดฟาโรห์คูฟู
5. พีระมิดฟาโรห์คูฟู
6. พีระมิดฟาโรห์คาเฟร่
7. พีระมิดฟาโรห์เมนคูเร
8. วิหารริมน้ำ และสฟิงซ์
9. จุดที่คนขี่อูฐหยุดให้ถ่ายรูปครั้งแรก ได้วิวพีระมิดแบบพาโนราม่า
10. จุดชมวิวพีระมิดที่ผมชอบที่สุด สามารถถ่ายรูปพีระมิดทั้งหมดได้ในเฟรมเดียว
เส้นสีเขียว คือเส้นทางที่เดินเที่ยวด้วยตัวเอง
เส้นสีน้ำเงิน คือเส้นทางที่ผมขี่อูฐ
สรุปค่าใช้จ่ายวันแรก (EGP.)
ค่าที่พัก (Pyramid View Inn) 200
ค่าเข้าบริเวณพีระมิดกีซา 80
ค่าเข้าพีระมิดฟาโรห์คูฟู 200
ค่าเข้าพีระมิดฟาโรห์คาเฟร่ 40
ค่าขี่อูฐ 200
มื้อเย็น KFC 44
ค่าทิป 75 (วันแรกทิปหนักมือไปหน่อย วันหลังน้อยลงเรื่อยๆ ตามจำนวนเงินที่ใกล้หมดครับ 555)
***คิดเป็นเงินไทยคูณด้วย 4.5 นะครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับกับวันแรกในอียิปต์ ได้เนื้อหาสาระไปแบบเต็ม ๆ เลย ไม่รู้มากเกินไปมั้ย ใครไม่ชอบแนวนี้อาจจะไม่ฟินเท่าไหร่ แต่ผมนี่ฟินจริง ๆ ครับ รีวิวตอนต่อไปจะพาไปตะลุยพีระมิดที่เมืองอื่นกันบ้างนะครับ เช่นพีระมิดแรกสุดของอียิปต์ และชมพัฒนาการของการสร้างพีระมิดในรูปแบบต่าง ๆ ก่อนที่จะมาเป็นพีระมิดรูปทรงที่เราเห็นกันในตอนนี้ รวมทั้งพีระมิดในยุดต่อจากพีระมิดแห่งกีซาด้วยครับว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร แล้วพบกันนะครับ
ป.ล. รูปปิดท้ายน่าจะจำกันได้แล้วนะครับว่าเป็นของฟาโรห์องค์ไหน