
เดินเล่น กิน เที่ยวโตเกียว โยโกฮาม่า ตามประสามนุษย์เงินเดือน
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 901879 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
"ญี่ปุ่น" นับเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ชาวไทยเลือกที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนอันดับต้น ๆ อาจเพราะใช้เวลาเดินทางไม่ยาวนานมากนัก ไม่ต้องขอวีซ่า อีกทั้งประเพณี วัฒนธรรม อาหาร วิถีชีวิต และสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่แปลกตาก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจไม่น้อย เฉกเช่นเดียวกับ คุณสมาชิกหมายเลข 901879 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ไปเยือนดินแดนอาทิตย์อุทัยเพื่อไปสัมผัส Yokohama & Tokyo เดิน กิน เที่ยวไม่ต้องหรูหรา ตามประสามนุษย์เงินเดือน พร้อม ๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์การท่องเที่ยวมาแชร์ให้เราได้ทราบกันค่ะ ^^
++++++++++++++++++++++
~ สวัสดีค่ะ ~กระทู้นี้เป็นบันทึกการท่องเที่ยวในญี่ปุ่นของ 2 มนุษย์เงินเดือนธรรมดา ๆ หลังจากสอดส่องกระทู้อื่น ๆ มานาน ขอแบ่งปันเรื่องราวการเดินทางของตัวเองบ้างนะคะ
ช่วงเดินทาง : 13-18 พฤศจิกายน 2557
สายการบิน : AirAsia (AK & D7) // Route CNX-KUL-HND
สถานที่พัก : Sky Court Kawasaki // Hostel Zen // Asakusa Ryokan Toukaizou
สรุปค่าใช้จ่าย : 28,000 บาท/คน (ไม่รวมช้อปปิ้ง ^^)
- ค่าตั๋วเครื่องบิน+กระเป๋า = 13,000 บาท/คน
- ค่าที่พัก 4 คืน = 4,000 บาท/คน
- ค่าบัตร Suica & Tokyo Subway 3 Days Pass = 2,500 บาท/คน
- ค่าเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ = 3,500 บาท/คน
- ค่าอาหาร = 4,500 บาท/คน
- ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด = 500 บาท/คน
หมายเหตุ : การเดินทางด้วยรถไฟในญี่ปุ่นสามารถใช้ Google Map คำนวณเวลาและราคาค่าโดยสารได้เลย ทำให้เรารู้ว่าการเลือกซื้อบัตร Pass ต่าง ๆ นั้น แบบไหนที่คุ้มค่ากับการเดินทางของเรา ^^

เตรียมตัวก่อนเดินทาง
1) วางแผนเดินทางแบบคร่าว ๆ เช่น วันไหนอยู่เมืองไหน แล้วค่อยลงรายละเอียดว่าจะทำอะไรบ้างในวันนั้น ๆ
2) ได้แผนแล้วก็จองที่พักต่อเลย Sky court kawasaki กับ Hostel zen เราเลือกจองกับ Booking.com ซึ่งราคาห้องจะเป็นแบบรวม VAT มาแล้ว จะได้ไม่ต้องคำนวณหลายขั้นตอน และสามารถจ่ายค่าห้อง ณ วันที่เข้าพักได้จ้า ส่วน Asakusa Ryokan Toukaisou เราอีเมลติดต่อกับเจ้าหน้าที่เองได้เลย
3) ด้วยความอนุเคราะห์ของพี่ที่ทำงานที่มีเพื่อนอยู่ที่ญี่ปุ่น เลยฝากซื้อบัตร Suica, บัตรเข้า Ghibli และ Fujiko F Fujio museum เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาตอนที่เราอยู่ที่ญี่ปุ่น และป้องกันการแห้วจากการซื้อบัตรเข้า museum ^^
4) สำหรับ Tokyo Disney Resort พอเรากำหนดวันเที่ยวได้ก็ซื้อ online จากไทยไปเลย จากนั้นพริ้นท์ตั๋วลง A4 พอไปถึงหน้าสวนสนุกก็สแกน QR code ได้เลย เพื่อลดเวลาต่อแถวซื้อตั๋ว
13.11.14
"วันแห่งการเดินทาง 11 ชั่วโมง ของฉันหมดไปกับการนั่งเครื่องบิน"

เริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินเชียงใหม่ตอน 09.10 น. เปลี่ยนเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ ถึงจุดหมายสนามบินฮาเนดะตอน 22.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น
1) เป็นเดินทางที่ค่อนข้างเสียเวลา เพราะต้องการประหยัดงบเลยเลือก AirAsia เส้นทาง via KUL (ณ วันที่ตัดสินใจซื้อตั๋วยังไม่มีบินตรง DMK-HND ... T^T)
2) ที่นั่งบนเครื่องบินถือว่าพอสะดวกสบายตามราคาที่เราจ่ายไป อาหารที่จองล่วงหน้าจากในเว็บไซต์อร่อยดี โดยเฉพาะ Chocolate Cake ใน Maximise my meal นุ่มมาก ๆ ^^
3) ตม. ที่ญี่ปุ่นหน้าบึ้งมาก ๆ แต่ไม่ถามอะไรเลย มองหน้าและถ่ายรูปจบ !
**กรอกเอกสารขาเข้าให้ครบด้วยนะคะ เห็นนักท่องเที่ยวบางกลุ่มโดน ตม. ไล่ให้กลับไปใส่ข้อมูลให้ครบ เราจะได้ไม่เฟลตั้งแต่เริ่มทริป

หลังจากผ่าน ตม. และ ศก. เรียบร้อย ออกมาที่บริเวณ Arrival (ชั้น 2 ของสนามบิน) ก็ตรงดิ่งไปที่ Information ที่อยู่หน้าทางออก เพื่อซื้อ Tokyo Subway 3 Days Pass อันนี้เก็บไว้ก่อนเราจะยังไม่ใช้
Link : http://www.tokyometro.jp/en/ticket/value/travel/
การขึ้นรถไฟไปที่พักคืนแรก "Sky Court Kawasaki"
เราใช้บัตร Suica (แทนเงินสด) จะได้ไม่ต้องพะวงเรื่องการกดซื้อตั๋วในทุก ๆ สถานี ใช้ตื้ด ๆๆ ลูกเดียว แผนที่วางไว้หามาอย่างเดียวว่ารถไฟสาย ก.ไก่ ไปลงสถานี A แล้วไปต่อสาย ข.ไข่ ลงสถานี B พอถึงสถานี A เห....สาย ข.ไข่ ?? มันมีย่อยประเภทอีกนะ Local เอย Rapid เอย ขึ้นอันไหนดีหว่า ?? สุดท้ายก็ได้ลุงญี่ปุ่นสูทดำช่วย ถึงได้เข้าที่พักอย่างปลอดภัย
Sky Court Kawasaki
- ลงสถานี Keikyukawasaki แล้วเดินไปอีกประมาณ 15 นาที

- พนักงานต้อนรับ 24 ชั่วโมง เหมาะสำหรับคนเดินทางมาถึงตอนดึกมาก ๆ

- ห้องนอนขนาดเล็กพอดีสำหรับ 2 คน & ห้องน้ำในตัว

14.11.14
"Doraemon-Yokohama-Onsen"

สถานที่แรกของทริป คือ Fujiko•F•Fujio Museum หรือที่รู้จักกันว่า Doraemon Museum เป็นพิพิธภัณฑ์รวบรวมประวัติและผลงานต่าง ๆ ของนักเขียน "Fujimoto Hiroshi"

ฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้ใน Locker ที่สถานี Kawasaki (ใช้ Suica จ่ายค่าฝากได้) แล้วนั่งรถไฟมาลงที่ Noborito

รอนั่ง Shutter Bus ของ Museum เขาล่ะ รอบแรกประมาณ 9 โมงกว่า ๆ

พอไปถึงก็แสดงบัตรที่ได้จากซื้อที่ Lawson มาแลกเป็นแผ่นพับของพิพิธภัณฑ์และตัวดูหนังใบน้อย ๆ แล้วก็เข้าไปกันเลย ด้านในห้ามถ่ายรูปนะคะ ไว้เข้ามาดูกันเองดีกว่าเนอะ แถมมีเครื่องบรรยายเป็นภาษาอังกฤษให้ต่างชาติอย่างเราด้วย

ช่วงนี้ใกล้เทศกาล X\'mas

พระเอกของพิพิธภัณฑ์



คาเฟ่ของพิพิธภัณฑ์รอเกือบ 1 ชั่วโมง (-__-") กว่าจะถึงคิวเรา แต่อาหารน่ารักน่าทาน ^^




จบจาก Fujiko•F•Fujio Museum ก็ไป Hostel ที่โยโกฮาม่ากัน


ที่พักคืนที่ 2 คือ Hostel Zen เป็น Hostel ขนาดเล็ก เล็กมาก ๆ ห้องที่จองได้ห้องที่อยู่ชั้น 5 ไม่มีลิฟต์ซะด้วย ห้องน้ำรวม ที่นอนเป็นฟูกนุ่ม ๆ บนเสื่อตาตามิ ได้บรรยากาศ Hostel ญี่ปุ่น (ลืมถ่ายรูปในห้อง แหะ ๆ)

เก็บของแล้วนั่งพักแป๊บหนึ่งเพราะ 5 ชั้น แบกกระเป๋าจนเหงื่อออก จากนั้นไปต่อกันที่ Cupnoodle Museum อยู่บริเวณ Minato Mirai 21

จุดเริ่มต้นของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

ค่าเข้าชม ¥500 ซื้อได้ที่หน้าพิพิธภัณฑ์เลย เจ้าหน้าที่จะถามเลยว่าจะทำ Cupnoodle ของตัวเองไหม ถ้าเราจะทำเขาก็จะให้ตั๋วรอบเวลาที่เข้าไปทำ Cupnoodle มา


มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่มานั่งทำบะหมี่กัน


เลือกรสชาติตามใจชอบเลยค่ะ

ออกจาก Cupnoodle ก็มืดแล้ว มื้อเย็นเลยฝากท้องไว้ที่ร้านราเมนแบบตู้กดที่ World Porter อยู่ตรงข้าม Museum เลย


อิ่มท้องแล้วได้เวลาพักผ่อนกันที่ Manyo Minato Mirai Onsen ตึกจะอยู่ใกล้ ๆ Cupnoodle Museum ถ้าหันหน้าเข้า Museum ให้เดินไปทางซ้าย ทางเข้าจะเงียบ...เงียบ..เงียบมาก ๆ จนสงสัยว่าใช่ตึกนี้หรือเปล่า ? (ไม่ได้ถ่ายรูปมาอีกแล้ว) เสี่ยงเดินเข้าไปเลย ตาม ๆ คุณลุงสูทดำไปที่ลิฟต์ โผล่มาที่ชั้น 7 ก็เดินตามเขาออกไป ตายละหว่ามี cashier เต็มไปหมด แล้ว Onsen อยู่ไหนนี่ ? เข้าไปถามเจ้าหน้าที่แบบงง ๆ เขาก็ตอบมาแบบงง ๆ ให้กำไลที่มีกุญแจล็อกเกอร์ แถมคู่มือภาษาอังกฤษสำหรับมือใหม่ ค่อยโล่งอกว่ามาถูกที่ แล้วก็เดินเข้าไปเลือกชุดยูกาตะใส่กัน

ที่ Manyo onsen เหมือนสถานที่พักผ่อนครบวงจร มีทั้งห้องนวดแผนต่าง ๆ ห้องอาหาร ห้องอ่านหนังสือ บริเวณดูหนัง ตู้คีบตุ๊กตา เกมนู่นนี่ (บางบริการเสียเงินเพิ่มนะ อยากใช้บริการก็เอากำไลที่แขนตื้ด ๆๆๆ คิดเงินที่เดียวตอนออก)



เมื่อเดินเล่นทั่วตึกจนหนำใจก็ได้เวลาล่อนจ้อน ^^ ลง onsen กันจนหน้าแดงตัวแดง กับบ่อน้ำอุณหภูมิ 41 องศา มีทั้ง indoor และ outdoor มีทั้งบ่อน้ำนิ่ง กับบ่อที่มีนวดด้วยแรงดันน้ำ ใครเมื่อยตัวปวดขาก็ฟินกันไป เต็มที่ 15-20 นาที ก็ไม่ไหวแล้ว เส้นเลือดในตาจะแตก อาบน้ำชำระร่างกายก็มีครีมอาบน้ำ แชมพู ครีมนวด เจลล้างหน้าไว้ให้เหมือนอยู่บ้านตัวเองเลย ห้องแต่งตัวก็มีพร้อมทั้งหวี ไม้ปั่นหู มาส์กหน้า น้ำยาเช็ดเครื่องสำอาง เครื่องสำอางก็มี ... ครบชุด !!! แล้วก็ได้เวลากลับที่พัก ^^
Hostel Zen
- ห่างจากสถานี Ishikawacho ประมาณ 10 นาที

- สามารถเลือกได้ทั้งห้อง Private และ Dormitary

- ค่าห้องพักรวมกับอาหารเช้า เป็นขนมปังปิ้ง ไข่ต้มจิ้มเกลือ กล้วย และน้ำชา/กาแฟ/น้ำส้ม (เราเจอคุณลุงมาบริการทุกขั้นตอน)

15.11.14
"Tokyo Disney Resort-Where dreams come true"

ทานอาหารเช้าที่ Hostel Zen เสร็จก็ Check out แล้วมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง ไปฝากของไว้ที่ Asakusa Ryokan Toukaizou แล้วก็ออกเดินทางไป "Tokyo Disney Resort" ซึ่งแบ่งออกเป็น DisneyLand กับ Disney Sea แต่เราเลือกไปเที่ยวที่ Disney Sea แค่ที่เดียว


ก่อนอื่นพอมาถึงก็นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Disney Sea แต่ถ้าใครชอบเดินก็สามารถเดินไปได้เช่นกัน

สแกน QR code บนตั๋วที่พริ้นท์มาเองเสร็จก็ขอแผนที่ภาษาอังกฤษจากเจ้าหน้าที่ แล้วรีบไปจองรอบการแสดง Big Band Beat จากนั้นก็ตระเวนเดินถ่ายรูปและเล่นเครื่องเล่น



ที่นี่ไม่มี Upgrade ตั๋ว เป็น Express เหมือน Universal Studio แต่จะใช้ระบบกดตั๋ว Fast Pass (FP) แทน

ให้เราเอา QR code ไปสแกนที่จุด FP แล้วจะได้ตั๋วอีกใบหนึ่ง กำหนดเวลาให้เรามาเล่นผ่านช่อง FP โดยไม่ต้องต่อคิวยาว ๆ ซึ่งจำกัดให้กด FP ได้ทุก ๆ 2 ชั่วโมง (มีให้กดเป็นบางเครื่องเล่น) ดังนั้นเครื่องเล่นไหนที่ไม่ได้กด FP ก็ต้องต่อคิว Standby ตามระเบียบ ยิ่งเครื่องเล่นยอดฮิต ไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง (-_- ")

ที่ Cape Cod Cook-off จะมีการแสดง My Friend Duffy ให้ดูขณะทานอาหาร (ต่อแถวให้ถูกด้วยล่ะ ถ้าจะซื้ออาหารพร้อมดูการแสดง)

นอกจากนั้นก็จะมี Street show และโชว์ตามโซนต่าง ๆ ตามรอบเวลา (ดูไม่ทันหลายการแสดงเพราะมัวแต่ต่อแถวเครื่องเล่น)

ปิดท้ายด้วยการจับจ่ายของที่ระลึก ที่ยังคงต้องต่อแถวเข้าไปซื้อของ (ในบางร้าน)



แวะร้านราเม็งข้างทางระหว่างกลับที่พัก อร่อยในราคาย่อมเยา

Asakusa Ryokan Toukaizou

- ตั้งอยู่ใจกลางย่าน Asakusa ใกล้วัด Sensoji

- ฟรี Wi-Fi ทั้งตึก

- Staff น่ารัก เป็นกันเอง และใช้ภาษาอังกฤษดีมาก

16.11.14
"Sensoji-Akihabara-Shinjuku-Harajuku"

เริ่มต้นวันด้วยสายบุญ วัด Sensoji วัดชื่อดังกลางย่าน Asakusa เดินจากที่พักแค่ 5 นาทีเอง ^^

กว่าจะเข้าไปถึงตัววัดโดนดักด้วยจุดถ่ายภาพกับโคมแดง แล้วเราจะไปพบกับ Nakamise Shopping Street ซึ่งทำเราเสียเวลาไปกับการแวะ แวะ และแวะ

แหล่งรวมร้านขนมและร้านของฝากมากมาย



เจอเจ้าของร้านแผงลอยอารมณ์ดี (แม้ว่าเราจะไม่ได้ซื้อ)

ผ่านมาพบกับโคมสีแดงอีกหนึ่งจุด ... แชะ ๆๆ

เดินมาตั้งนานถึงตัววัดซะที ^^

ซื้อธูปสำหรับไหว้ที่จุดบริการ แล้วจะมีที่จุดธูปเตรียมไว้ให้

ล้างมือ ล้างปาก ตามธรรมเนียมชาวญี่ปุ่น

รอบ ๆ วัดจะมีหนุ่มรูปร่างกำยำมาเสนอทัวร์รถลากพาชมรอบเมือง ^^

ฝั่งตรงข้ามเป็น Information Center จะมีจุดชมวิว มองเห็นวัด Sensoji ทั้งหมด

และมองเห็น Tokyo Sky Tree เคียงคู่สัญลักษณ์ฟองเบียร์ของตึก Asahi

ไปต่อที่ย่าน Akihabara จุดมุ่งหมายหลัก คือ อยากไปเล่น Gachapon แหะ ๆ เลยหยอดมาหลายลูก เพราะอุตส่าห์เดินหาร้านตั้งนานต้องเอาให้คุ้มหน่อย

ติดใจคนขาย อุ๊ย ! รสชาติทาโกยากิ (มีหลายสาขา อร่อยจริง ๆ ขอแนะนำ !!)

จากนั้นก็ไปต่อกันที่ Shinjuku แวะไปเดินดูบ้านเมืองและทานอาหารเย็น





ใช้เวลายาว ๆ ที่ Kiddyland แหล่งรวมของน่ารัก ๆ ของตัวการ์ตูนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Kitty, Rilakkuma, Snoopy หรือ Lego ฯลฯ



"Tsukiji market-Shibuya-Ghibli Museum-Ameyoko"

ตลาดปลา Tsukiji ที่คึกคักกันตั้งแต่เช้ามืด นี่คือสถานที่ทานมื้อเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ได้เลย


เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหารหลากประเภท ทั้งของสด ของแห้ง ของสุก ของดิบ ให้ได้เลือกซื้อทานกันตรงนั้นเลย



มื้อเช้าขอฝากท้องที่ Sushizanmai


มันสดมากกกกกก และคาวมากกกกกกก

เก็บตกจากเมื่อคืนก่อน คือ ย่าน shibuya ที่วางแผนว่าจะไปต่อจาก Harajuku แต่โดน Kiddyland ดูดไว้เลยไปไม่ทัน


จากนั้นนั่งรถไฟออกนอกเมืองไปเมือง Mitaka ที่ตั้งของ Ghibli Museum

ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงผลงานต่าง ๆ ของ Studio Ghibli (>o<) มี Shutter Bus น่ารัก ๆ อีกแล้ว

เมื่อแสดงตั๋วที่ซื้อล่วงหน้าจาก Lawson จะได้รับแผนที่ Museum พร้อมตั๋วฟิล์มคนละ 1 ใบ ไว้ดูหนังพิเศษที่ฉายแค่ใน Museum เท่านั้น


ภายในอาคารจัดแสดงถูกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ประกอบด้วยวิธีการสร้างแอนิเมชั่นของ Studio Ghibli ให้เราได้ดูและได้ลอง ห้องจำลองของนักแอนิเมชั่น รถเมล์แมวตัวยักษ์ และร้านของฝาก มีคาเฟ่ตั้งอยู่ด้านนอกของอาคาร

ไม่พลาดที่จะต้องเข้าไปในคาเฟ่




ปิดท้ายทริปที่ Ameyoko แหล่งรวมร้านอาหารและร้านขนมญี่ปุ่นอีกแห่งที่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวชาวไทย กวาดกันให้เรียบ มื้ออำลาที่ Yamachan ร้านสไตล์ Izakaya ที่บังเอิญเจอก่อนกลับที่พัก กับไก่ทอดธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

รสชาติและความเผ็ดร้อนที่ยากจะลืม

แล้วก็ได้เวลาบอกลาประเทศญี่ปุ่น ที่จริงทริปนี่ยังพลาดไปอีกหลาย Landmark ในโตเกียวเพราะยังเป็นมือใหม่หัดวางแผนทำให้เที่ยวไม่ทัน ไว้มีรอบหน้าคงต้องขอแก้มือใหม่ อ้อ ! ขากลับถ้าเอาบัตร Suica ไปคืน จะได้ค่ามัดจำบัตร ¥500 คืน แต่เราไปไม่ทันก็เลยอด (Office ที่สนามบินปิด 18.30 น.) เครื่องออกจากสนามบินฮาเนดะประมาณ 23.45 น. มาตื่นอีกทีตอนเครื่องกำลังลงที่ KUL ราว ๆ 06.40 น.ของเช้าวันที่ 18.11.14 เดิน ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในสนามบินอีก 6 ชั่วโมง กว่าจะ Welcome back to Thailand เวลาก็ล่วงเลยมาจน 14.30 น. ทริปนี้แฮปปี้ตลอดตั้งแต่ออกจากเชียงใหม่ แต่มาตายเอาตอนจบเมื่อพบกระเป๋าขากลับ จากกระเป๋าลากกลายเป็นกระเป๋าถือซะงั้น ?! (พลาดที่ซื้อน้ำหนักกระเป๋าแต่ไม่ได้ซื้อประกันกระเป๋า)
เอาเป็นว่าเป็นอันจบทริปอย่างสมบูรณ์ มนุษย์เงินเดือนอย่างเราต้องขอกลับไปทำงานเก็บเงินสำหรับทริปต่อไป ขอบคุณสำหรับการติดตามบันทึกการเดินทางในครั้งนี้นะคะ ^^
