2,000 บาท แบกเป้ไปตามฝันที่วังเวียงและเวียงจันทน์ ประเทศลาว
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ The Travelerz สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก TheTraveler แบกเป้ สะพายกล้อง ท่องเที่ยว เมืองน่ารัก ที่พักหลักร้อย
วังเวียง เมืองเล็ก ๆ ริมแม่น้ำซอง มีเสน่ห์ล้นเหลือด้วยธรรมชาติที่สวยงาม จึงทำให้วังเวียงกลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางผู้หลงใหลธรรมชาติ
วังเวียง (Vang Vieng) เมืองเล็ก ๆ ริมแม่น้ำซอง ตั้งอยู่ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปทางเหนือประมาณ 154 กิโลเมตร มีสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบระหว่างภูเขา โดยมีภูเขาหินปูนรูปทรงแปลกตา อีกทั้งยังมีป่าไม้และลำธารที่สมบูรณ์ มีถ้ำให้เที่ยวชมหลายแห่ง นอกจากนี้ยังจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชาวลาวในชนบท จึงไม่ต้องแปลกใจเลยหากวังเวียงจะเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ในการเดินทางไปพักร้อน เหมือนกับ คุณ The Travelerz สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ไปเยือนวังเวียง 3 วัน 2 คืน และนำเรื่องราวการเดินทางแบบลุย ๆ สนุก ๆ พร้อมค่าใช้จ่ายที่ไม่แพงมาฝากกัน
+++++++++++++++++++++++
ทริปนี้มันเกิดขึ้นเพราะมีเพื่อนสาวคนหนึ่งเธออยากไปที่นี่มาก ๆๆ รบเร้าเราให้จัดทริปนี้ ไอ้เราก็เออออห่อหมกไปกับนาง ก็ได้ ๆ เดี๋ยวหาวันว่างก่อนจึงเป็นที่มาของทริปนี้ ผมจัดทริปตามที่เธอขอและลองชวนเพื่อน ๆ ที่สนใจอยากจะไปตกระกำลำบากด้วยกันอีก 3-4 คน แต่พอใกล้จะถึงวันเดินทางทุกอย่างที่วางแผนไว้ดันผิดแผนหมด เรื่องราวการเดินทางที่แสนจะสนุกสำหรับผมมันเลยเกิดขึ้นตรงจุดนี้
สามารถพูดคุยหรือติดตามพวกเราหรืออยากจะมาร่วมทริปกับเราก็ได้นะ ตามนี้เลย https://www.facebook.com/thetravelerz สำหรับคนที่สนใจเรื่องท่องเที่ยว
รีวิวก่อน ๆ ตามสปอยเลยครับ
BACKPACK to Malaysia & SINGAPORE แบกเป้ สะพายกล้อง ท่องเที่ยวมาเลเซียและสิงคโปร์ 1
Backpack to MALAYSIA & Singapore แบกเป้ สะพายกล้อง ท่องเที่ยวมาเลเซียและสิงคโปร์ 2
Backpack to Malaysia & Singapore แบกเป้ สะพายกล้อง ท่องเที่ยวมาเลเซียและสิงคโปร์ 3 Final
แบกเป้ สะพายกล้อง ท่องประจวบคีรีขันธ์ ปืนเขาล้อมหมวก
แบกเป้ สะพายกล้อง นั่งรถไฟ โบกรถ ท่องสังขละบุรี หน้าฝน แบบชิลชิล
แบกเป้ สะพายกล้อง โบกรถเที่ยวภูทับเบิก หน้าฝน ชิลชิลอีกแล้วกับงบ 1,000 กว่าบาท
แบกเป้ สะพายกล้อง นั่งรถไฟฟรี เที่ยวเมืองคนสวย อ.โพธาราม จ.ราชบุรี วันเดย์ทริป
แบกเป้ สะพายกล้อง ล่องแก่งลำน้ำเข็ก โบกรถเที่ยวภูหินล่องกล้า จ.พิษณุโลกหน้าฝนแบบชิล ๆ อีกแล้ว
Nakornphanom 48 hrs. แบกเป้เที่ยวนครพนม 48 ชั่วโมง
[CR][The Travelerz]แบกเป้ สะพายกล้อง ท่องอุทัยธานี 48 hrs. โดยรถไฟด้วยงบไม่ถึงพัน
[CR][The Travelerz]ครั้งแรกกับการแบกเป้ขี่มอเตอร์ไซKSRเที่ยวจากเชี่ยงใหม่-ขุนยวม-แม่ฮ่องสอน-ปาย-เชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน
เนื่องจากตารางของเราไม่ตรงกัน เพื่อนบางคนติดงานด่วน บางคนเริ่มงานใหม่ หลายสิ่งหลายอย่างไม่เป็นใจสักเท่าไร จนสุดท้ายเหลือผมกับเพื่อนสาวอีกคนเท่านั้น ส่วนอีกหนึ่งคนก็ต้องรอลุ้นว่าจะได้ไปไหม ส่วนเพื่อนสาวที่เป็นตัวตั้งตัวตีว่าอยากจะไปวังเวียงหนักหนาสุดท้ายก็ไม่ได้ไป คิดแล้วน่าเศร้าใจแทนจริง ๆ ผมไม่รู้นึกครึมอะไรขึ้นมาลองโพสต์ชวนคนในเพจที่ผมทำอยู่ ดูว่ามีเพื่อน ๆ คนไหนสนใจจะแบกเป้ไปวังเวียงด้วยกันไหม ก็เพจ The Travelerz แบกเป้ สะพายกล้อง ท่องเที่ยวฯ www.Facebook.com/thetravelerz เพจนี้แหละ ซึ่งก็มีคนสนใจอยากจะร่วมทริปอยู่หลายคนเห็นสอบถามเข้ามาใน inbox กันมากอยู่ แต่พอถึงเวลาและกำหนดที่ผมจะแจ้งให้ทราบทุกคนก็ไม่ว่าง สุดท้ายก็ได้มา 3 คน ที่หลงผิดหรือเปล่าไม่รู้นะที่มาร่วมทริปนี้ ผมลองหาข้อมูลการเดินทางที่พักคร่าว ๆ ว่าจะไปแบบไหนดีที่จะประหยัดที่สุด คำตอบที่ได้คือการเดินทางโดยรถไฟแล้วต่อรถไปวังเวียงอีกที ผมตั้งงบให้ตัวเอง 2,000 บาท ซึ่งถือว่าน้อยมาก ๆ
เงินจำนวนนี้ที่ผมเอาติดตัวไปด้วย เอาจริง ๆ เลยนะผมแจกแจงรายละเอียดทั้งหมดรวมถึงจองที่พักให้กับคนที่จะไปตกระกำลำบากด้วยกันไว้แล้ว เหลือแค่โอนเงินมาให้เท่านั้น (ไม่อยากให้เข้าเนื้อตัวเอง) ผ่านทางไลน์และเฟซบุ๊กของทุกคนที่ผมสามารถติดต่อได้
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2557 (วันเดินทาง)
อย่างที่บอกว่าเราเดินทางกันด้วยรถไฟ เช็กไปเช็กได้ความว่ามีรถไฟฟรีไปลงที่หนองคายด้วย เป็นรถเร็วขบวนที่ 133 กรุงเทพฯ-หนองคาย รอบเวลา 20.45 น. ซึ่งไม่สามารถจองตั๋วล่วงหน้าและระบุที่นั่งล่วงหน้าได้ ผมจึงให้บัตรประชาชนฝากเพื่อนสาวที่จะไปเอาตั๋วรถไฟอยู่แล้วในตอนเช้าไปเอาให้ เพราะจะได้นั่งด้วยกัน (ไม่รู้มาก่อนว่าฝากบัตรประชาชนไปเอาตั๋วให้กันได้ด้วย) แล้วเราค่อยนัดเจอกันอีกทีหลังเลิกงานแล้วค่อยไปหัวลำโพงพร้อมกัน
ตั๋วรถไฟในที่สุดก็ได้มาแล้ว วันนี้ผมเตรียมสัมภาระทุกอย่างพร้อมออกเดินทางหลังจากเลิกงาน พอเลิกงานจะได้ไม่ต้องกลับมาที่ห้องอีก เรานัดรวมตัวสมาชิกทุกคนที่หัวลำโพงเจอกัน 20.00-20.30 น. ผมเลิกงานแล้วแวะหาอะไรทานกับเพื่อน ๆ ก่อนแล้วค่อยไปหัวลำโพง
ผมกับเพื่อน ๆ มาถึงหัวลำโพงประมาณ 2 ทุ่ม บางคนอยากไปแล้วไม่ได้ไปก็ใจดีมาส่งพวกเรา (โดนบังคับมา)
ถึงเวลานัดผมกับเพื่อนก็เดินไปที่ชานชาลาที่ 8 ก่อนจะไปขอถ่ายรูปเป็นที่ระทึกสักหน่อย
ผมก็มาเจอสมาชิกที่เหลือทั้งจากเพจของผม เพื่อนผมและเพื่อนของเพื่อน และมีมาเซอร์ไพรส์โดยที่ผมไม่รู้ว่าจะมีมาเพิ่มอีกสองสาว (งานเข้าละทีนี้ บ้านจองพอดีคนแต่ดันมาเกิน) จึงถ่ายรูปหมู่สักหน่อยก่อนออกเดินทาง ทริปนี้สมาชิกทั้งหมดรวมผมด้วยก็ 11 คนด้วยกัน
รถไฟขบวนนี้สถานีดวงจันทร์ (ไม่ใช่สถานีปลายทางหนองคาย) รอบเวลาก็ตามนี้เลย 20.45 น. พร้อมที่จะออกเดินทางกันหรือยังพี่น้อง (ส่วนผมยังไม่พร้อม)
เมื่อถึงเวลารถออกเราก็แยกย้ายกันไปขึ้นโบกี้ใครโบกี้มัน เพราะไม่ได้จองตั๋วด้วยกันเอาไว้ไปเจอกันที่หนองคายทีเดียวเลย บนขบวนรถไฟเรานั่งกันตามใจชอบในช่วงแรก ๆ และรู้สึกอุ่นใจเพราะทริปนี้ผมมากับพระ 555 พอนั่งมาได้สักพักหนึ่งผู้โดยสารมากขึ้นก็เกิดการแย่งที่กัน บางคนก็อ้างสิทธิ์ตามที่ตั๋วระบุซึ่งมันก็ถูกของเขา ที่ของพวกเราถูกจับจองโดยพระสงฆ์และพวกเราก็ไม่กล้าไล่ที่ท่านเพราะกลัวบาป แต่เมื่อเราโดนไล่ที่เราก็จำเป็นต้องลุกขึ้นสู้ (ไม่ใช่แหละ) เราเลยให้เจ้าหน้าที่มันจัดกันเคลียร์กับฝ่ายสงฆ์ (เรื่องนี้ริวจะไม่ยุ่ง)
บรรยากาศบนรถไฟ ต้องมองหากันเองว่าจะนั่งตรงไหนแต่ตั๋วก็ระบุที่ไว้แล้วนะ
ระหว่างนั่งรถไฟตาก็จะปิด หลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืน เลยได้เห็นหลากหลายมุมบนรถไฟ
สมาชิกของทริปนี้หลายคนเป็นครั้งแรกที่นั่งรถไฟระยะไกลด้วย...สงสัยจะเพลีย
เมื่อรอเคลียร์พื้นที่กันลงตัวแล้วนั่งมาสักพักก็ได้เวลาหลับตานอนบ้าง นั่งรถไฟฟรีมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดแต่ตลอดทางคือหลับไม่เต็มที่อารมณ์หลับ ๆ ตื่น ๆ คนโน้นลุกมาเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวรถจอด หลายคนไม่มีที่นั่งก็ต้องมาหลับกันแบบนี้เลย รู้ตัวเองอีกที่ก็ใกล้จะเช้าแล้ว
เมื่อมองฟ้าแม้จะเป็นคืนที่เหงา ฝืนใจไม่ยอมให้หาว (มันใช่เหรอ ไม่ใช่ลาบานูน)
เท่าที่ผมจำความได้นะว่าเห็นแสงแรกของวันแบบนี้มันนานมาก ๆ แล้ว เช้าวันนี้เราได้เห็นแสงแรกของวันที่ อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น บรรยากาศดีและสวยสุด ๆ ไปเลย
น้อยคนนะที่จะได้เห็นความสวยงามของชนบทแบบนี้
นั่งรถไฟไปเรื่อย ๆ ชมบรรยากาศสองข้างทางในตอนเช้า เวลาโดยประมาณก็เกือบ 7 โมงเช้า
09.30 น. ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีรถไฟหนองคายสักที ตรงตามเวลาเป๊ะ ใครว่ารถไฟไทยช้าตลอด ไม่จริ๊ง(เสียงสูง)
รถไฟขบวนนี้แหละที่พาเรามาถึงหนองคายโดยสวัสดิภาพ พอเรามาถึงก็ทำธุระส่วนตัวก่อนจะแวะหาอะไรกินลองท้อง เราเดินไปร้านแรกดันไม่ขายให้เราซะงั้น บอกว่าเรามากันเยอะทำไม่ทัน( มีแบบนี้ด้วย) เราเดินไปอีกร้านเขาก็บอกให้เราไปอีกร้านหนึ่ง (ดีเนอะแย่งกันปฏิเสธลูกค้า) จนสุดท้ายเรามาได้ร้านที่สาม ทุกคนสั่งอาหารทานแต่ผมไม่ได้สั่งกะว่าจะไปกินที่ฝั่งลาว กว่าทุกคนจะได้กินก็เกือบ 11 โมง (อาหารช้ามาก) ไม่รู้ว่าไปเอาวัตถุดิบจากไหนมาหรือว่ากำลังปลูกข้าวอยู่
พอเราทานกันเสร็จเราก็เดินจากสถานีรถไฟไปที่ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก เดินแค่ 10 นาที ก็ถึง
ไม่รู้จะเลือกไปทางไหนดีซ้ายหรือขวานะ
สามล้อบริเวณนั้นก็พยายามหว่านล้อมเราต่าง ๆ นานา จะให้เราขึ้นรถไปด้วย (อย่าหวังว่าจะได้แอ้มเลย) ในที่สุดเราก็มาถึง
มาถึงเราก็ต้องกรอกเอกสารเข้าและออกจากประเทศไทยให้เรียบร้อย จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน (ไม่ใช่แล้ว)
กรอกเอกสารแล้วก็ตรวจหนังสือเดินทางก่อนออกจากประเทศไทย
ออกมาจากด่านไทยจะไปฝั่งลาวยังไงดีล่ะ แท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก สามล้อต่างก็เข้ามาเสนอราคาพาไปยังฝั่งลาว ทั้งลด แลก แจก แถม แต่ราคาก็ยังแพงอยู่ดี แต่ตรงด่านมีรถเมล์ข้ามฝั่งไปด่านลาวซื้อตั๋วได้ที่นี่เลย รถออกทุก 15 นาที
ค่าตั๋วรถก็คนละ 15 บาท ซื้อเสร็จก็นั่งรอเรียกขึ้นรถ
รถแบบนี้แหละที่จะพาเราข้ามประเทศ ฟังดูดีมาก ๆ เลย
นั่งรถมาสักสิบนาทีก็มาถึงยังฝั่งลาวแล้ว
มาถึงด่านชาวก็ต้องซื้อบัตรผ่านแดน คนละ 1,000 กีบ หรือจ่ายเงินไทย 5 บาท แต่ทำไมเพื่อนผมโดน 10 บาท อยู่คนเดียว (ครั้งก่อนไปปากเซก็โดนเรียกเก็บแพงกว่าชาวบ้าน)
ซื้อบัตรผ่านแดนได้ที่เคาน์เตอร์แบบนี้เลย
หน้าตาบัตรก็จะเป็นแบบนี้ จากนั้นก็ต้องไปกรอกเอกสารทำเรื่องเข้า-ออกประเทศลาว
บัตรสีเทาเมื่อกี้ต้องใช้ผ่านเจ้าเครื่องนี้ผ่านช่อง One Way Pass นะ ถ้าคิดว่าไปลาวบ่อยก็เติมเงินได้อารมณ์เหมือนรถไฟฟ้าที่กรุงเทพฯ ประมาณนั้น
พอออกมาจากด่านฝั่งลาวก็จะมีที่ให้แลกเงินอยู่และจะมีพวกแท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก รถตู้ จะพุ่งเข้าชาร์ตโดยทันที อย่าเผลอไปคุยเชียวนะยาวแน่ ๆ สมาชิกบางคนของผมก็ดันไปเผลอคุยด้วย ผมเรียกก็ไม่มอง ไม่ฟัง (เล่นเอาเซ็งกันเลยทีเดียว) พวกนี้พยายามชักจูงต่าง ๆ นานา ให้รีบเดินออกมาแล้วสังเกตทางขวามือจะมีรถแบบนี้อยู่วิ่งไปลงที่ตลาดเช้าในตัวเวียงจันทร์ ค่ารถก็คนละ 6,000 กีบ ก็ 20 กว่าบาท วิ่งประมาณ 40 นาทีก็จะถึงตลาดเช้า
ผมเลือกนั่งด้านหน้า ๆ จะได้เห็นวิวสองข้างทางชัด ๆ
บริเวณตลาดเช้าดูวุ่นว่ายดี มีรถไปเมืองต่าง ๆ เพียบ (เมื่อก่อนสามารถหารถตู้และรถเมล์ประจำทางไปวังเวียงได้ที่นี่ แต่ตอนนี้ย้ายไปที่ขนส่งสายเหนือหมดแล้ว)
พอมาถึงตลาดเช้าสิ่งแรกที่ผมทำ คือ ดูตารางรถกลับหนองคายว่ามีรอบกี่โมงบ้าง ก่อนที่จะหารถไปยังวังเวียง ซึ่งผมจำได้ว่ามีรถจากตลาดเช้าไปวังเวียงเลย พอถามไปถามมาคนแถวนั้นบอกว่าย้ายไปที่คนส่งสายเหนือหมดแล้ว (เวรกรรม) เขาก็มาแบบเดิม คือ เสนอรถจะพาเราไป แต่ก็เหมือนเดิมผมเดินไม่สนใจแล้วก็มานั่งรถสาย 154 จากตลาดเช้าไปขนส่งสายเหนือค่ารถคนละ 5,000 กีบ หรือ 20 บาท ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงขนส่งสายเหนือ
พอมาถึงขนส่งสายเหนือเราก็กะว่าจะนั่งรถบัสหวานเย็นไปวังเวียง ถึงคงค่ำ ๆ ดูตารางแล้วมีรอบบ่ายสองราคา 40,000 กีบ แต่พอถามคนแถวนั้นบอกว่ามีวิ่งแค่รอบเช้า เขาเลยเสนอให้ไปรถตู้แทน ผมก็คิดอยู่พักใหญ่และก็รอให้ทุกคนเข้าห้องน้ำให้เรียบก่อนกลับเข้าไปคุยใหม่ บอกว่ามา 11 คน ออกเลยไหม (ขี้เกียจรอรถออกบ่ายสอง) ถ้าออกเลยไป เขาก็ตกลงก็ได้ราคาคนละ 50,000 กีบ หรือ 200 บาท ซึ่งเป็นราคาปกติแต่ก็แอบคิดในใจว่าบอกว่ารถหมดคือกะจะพาขึ้นรถตัวเองหรือเปล่า
ระหว่างทั้งที่นั่งรถตู้มาก็จะได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ที่ดูเรียบง่าย
รถเราวิ่งตรงยาวจะจอดก็ต่อเมื่อมีคนอยากเข้าห้องน้ำ ผมนั่งริมหน้าต่างก็โผล่หัวมาถ่ายรูปอยู่เป็นระยะ ๆ
วิวระหว่างทางไปวังเวียงสวยไม่น้อยไปกว่าเส้นหลวงพระบางเลยนะขอบอก...ตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมงกว่าผมนี้ถ่ายรูปตลอดเลย
รถที่เรานั่งมาผมให้เขามาส่งที่พักที่เราจองไว้ที่นี่เลย "จำปาลาววิลล่า" มาถึงที่วังเวียงก็ 5 โมงกว่า ๆ ที่พักสวยมาก ๆ เราพักในส่วนของบ้านทรงลาว ค่าที่พักก็คนละ 300 บาทต่อคืน (อันนี้ต่อแล้วนะ) ส่วนน้องสาว 2 สองคนที่มาเกินเราก็เปิดห้องให้ พี่เขาใจดีคิดราคาพิเศษให้ คิดไปคิดมากลัวน้องเขาไม่ปลอดภัยเลยให้ผู้ชายมานอนข้างล่างแทน แล้วให้น้องผู้หญิงมานอนข้างบน (ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือถูก)
หลังจากเข้าที่พักและเลือกห้องพักกันเรียบร้อย เราก็มาเดินชมเมืองกันสักหน่อยแต่ตอนนี้มันก็เย็นแล้ว วิวแบบนี้ที่วังเวียงสวยงามมาก ๆ ไม่แปลกใจที่หลาย ๆ คนอยากมา
(หน้านี้มืดเร็วมาก) ยังไม่ทันไรพระอาทิตย์ก็ลาลับแล้ว แต่เราก็ยังถ่ายรูปกันอย่างสนุกไม่สนใจอะไร
พวกเรามานั่งชมพระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำซองบรรยากาศมันดีจริง ๆ
เราทั้งหมดมานั่งอยู่ริมน้ำ ถ่ายรูป พูดคุยทำความรู้จักกัน จะขาดก็แค่ 2-3 คน ที่แยกตัวไป
แสงสุดท้ายกำลังจะจากไปกับวันแรกที่วังเวียง บรรยากาศเงียบสงบมาก ๆ
หลังจากนั่งชิล ๆ ริมน้ำก็ได้เวลาหาอะไรลองท้องกันสักหน่อย เราเดินหาร้านกันเรื่อย ๆ จนมาได้ร้าน Ohlala เพราะร้านนี้มีโปรโมชั่นดี ๆ
ประมาณว่าผู้หญิงฟรีค็อกเทล สั่งสองจานฟรีบักเก็ตเราเลยจัดมาเต็มแบบนี้ ทั้งหมดก็แค่ 310,000 กีบ หารกันก็ตกคนละ 150 บาท
นั่งกินนั่งคุยกันอยู่สักพักใหญ่ ๆ ก็ได้เวลากลับที่พัก ระหว่างทางก็มีคนอยากกินของหวานก็ต้องแวะให้เธอ ๆ ทานกันสักหน่อย
หลังกินที่ทานมื้อค่ำและของหวานกันเสร็จเราก็เดินเล่นเม้าส์มอยกันระหว่างทางกลับที่พัก บางคนซื้อเบียร์ไปนั่งดื่มกันต่อที่บ้านพัก (ผมไม่ดื่มนะ) เรานั่งคุยกันจนประมาณเที่ยงจึงแยกย้ายกันไปนอน
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2557
เราเดินกันแต่เช้าเพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น (แต่ไม่รู้จะไปดูที่ไหน) ผมกับเพื่อนกลุ่มถึงจึงเดินไปยังตลาดเช้า หลายคนเลยได้เห็นชีวิตยามเช้าของคนที่นี่ Cr. ภาพถ่ายจากน้องยุ่นผู้ร่วมทริปนี้
หลายคนได้มีโอกาสตีเนียนไปขอชาวบ้านตักบาตรข้าวเหนียวยามเช้าด้วย...ฟินเบา ๆ Cr. ภาพถ่ายจากน้องยุ่นผู้ร่วมทริปนี้
ตลาดเช้าที่นี้เป็นอะไรที่บ้าน ๆ คล้ายกับที่หลวงพระบางแต่เล็กว่ามาก ๆ
ไม่รู้ป้าแกขายอะไรบ้าง หลายอย่างไม่เคยเห็นเหมือนกัน
เดินชมตลาดสักครู่เราก็เดินข้ามสะพานมายังริมแม่น้ำซอง ทางที่เดินมันต้องลุยน้ำมาแล้วจะเจออะไรที่สวยงาม (หรือเปล่า)
ข้ามแม่น้ำซองมาก็จะเห็นวิวแบบนี้เล่นเอาผมสตั๊นไป 10 วินาที แม่เจ้ามันสวยมาก ๆ
บรรยากาศโดยรอบมันทำให้รู้สึกสดชื่น เหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งเลย
ช่วงเช้า ๆ ก็จะมีบอลลูนลอยเหนือเมืองวังเวียงให้เราเห็น
เอาจริง ๆ ก็อยากมีโมเม้นท์นั่งบอลลูนชมเมืองบ้างแต่ติดเรื่องเงิน
ราคาขึ้นบอลลูนก็เบา ๆ แค่คนละ 80 เอง แต่เป็น 80 US นะ มีให้ขึ้นช่วงเช้า คือ หกโมงเช้าและช่วงเย็นห้าโมงและหกโมงเย็น ใครอยากลองเชิญได้
ยืนกินลมชมบรรยากาศอยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนจะเดินกลับไปที่ตลาดหาอะไรกิน
ใครอยากมาดูวิวสวย ๆ ริมน้ำซองต้องข้ามสะพานมาที่รีสอร์ทนี้นะ แล้วเดินลุยน้ำ (ถ้าน้ำไม่เยอะ) ก็จะได้เจอวิวสวย ๆ แบบที่เราเจอ
สะพานนี้แหละที่คุณยายแกกำลังเดินมา เราก็ข้ามตามแกมาแล้วได้เวลาหาของกินก่อนที่ตลาดจะวาย
ตอนแรกกะว่าจะซื้อเจ้าพวกนี้ไปกิน (สด ๆ) แต่ไม่เสี่ยงดีกว่า 555
สุดท้ายก็มาสะดุดตากับเจ้านี้ หน้าตามันน่าลองมาก ๆ เขาเรียกว่าปิ้งพัน (ที่จริงน่าจะเรียกพันปิ้งนะก็พันแล้วค่อยปิ้งอะ) ไม้ละ 10,000 กีบ หรือ 40 บาท ถือว่าแพงเอาเรื่องนะ
แล้วเราก็แวะซื้อพวกไส้อั่ว หมูปิ้ง ข้าวเหนียว แล้วก็มาสั่งชุดอาหารเช้าที่ที่พักอีกหนึ่งชุด (เอาจริง ๆ เพื่อนอยากกินอเมริกาโน่แต่ถ้าสั่งกาแฟอย่างเดียวมันไม่คุ้มต่างกับสั่งเป็นชุดนิดเดียวเอง) หน้าตาของชุดอาหารเช้าของเราเลยเป็นแบบนี้ ทั้งหมดก็ 87,000 กีบ หรือประมาณ 350 บาท มื้อนี้กินกันแค่สามคนนะส่วนที่เหลือเขาไปหากินกันเอง (ตามมีตามเกิดหรือเปล่า)
หลังจากทานมื้อเช้ากันเสร็จ 9 โมงกว่า ๆ เราก็ไปเช่าจักรเสือภูเขาคันละ 25,000 กีบ หรือ 100 บาท ข้าง ๆ ที่พักนั้นเอง เป้าหมายในวันนี้ คือ บลูลากูน ระยะทาง 7 กิโลเมตร เราเลือกข้ามที่สะพานนี้ตรงริเวอร์วิวรีสอร์ทจะได้ไม่เสียค่าข้ามสะพาน
หนทางที่จะไปบลูลากูนมันต้องลุยน้ำด้วยเหรอ ไม่เห็นจะรู้มาก่อนเลย (ใครพามาเนี่ย)
พร้อมจะลุยกันมานานแล้ว
แต่ทางที่เราเลือกไปมันดันต้องลุยน้ำแบบนี้
มีลุยโคลนด้วย มันใช่อะ อารมณ์โหด มัน ฮา
บรรยากาศระหว่างทางไปบลูลากูน ทุ่งนาสีเหลืองทองเบื้องหลังเป็นวิวภูเขา
ระหว่างทางไปบลูลากูนเส้นทางสวยแต่เป็นหลุมเป็นบ่อมีแต่หินกรวดตลอด
หญิงลาวขี่มอเตอร์ไซค์ หญิงไทยปั่นจักรยาน คือมันใช่อะ
ปั่นกันไปเรื่อยแม้แดดจะแรงแต่ไม่แคร์อยู่แล้ว (ดูจากสภาพผิวก็รู้)
ระยะทาง 7 กิโลเมตร เหมือน 70 กิโลเมตร ก้นระบมไปหมดแล้วเนี่ย
ระหว่างทางก็เจอน้อง ๆ ชาวลาวน่ารักและเล่นกล้องด้วย
เราแวะพักและถ่ายรูปกันเป็นจุดๆ กว่าจะถึงบลูลากูน
แวะเติมน้ำมันสักนิดก่อนจะเดินทางกันต่อ
ในที่สุดก็มาถึง (ทางเข้า) บลูลากูนสักที ก้นพี่นี้ระบมไปหมดแล้ว
ในที่สุดก็มาถึงบลูลากูน เสียขาเข้าคนละ 10,000 กีบ หรือ 40 บาท เราพักเล่นน้ำที่นี้อยู่พักใหญ่ ๆ และน้องที่ร่วมทริปก็ขึ้นไปกระโดดน้ำกับผมดันทำกล้อง Go Pro หล่นน้ำเลยต้องเสียเวลาและเสียค่างมไป 1,200 บาท ตัวเบาเลย 555
ร้อน ๆ แบบนี้มันต้องเล่นน้ำคลายร้อนกันสักหน่อย (ว่าแต่อะไรขาว ๆ)
หลังจากเล่นน้ำกันเสร็จเราก็ปั่นกันต่อเพื่อที่จะไปถ้ำจัง แต่เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้ แต่มันสุดโหดเลยนะขอบอก (ก็กลับทางเดิมนี่) โหดไม่โหดไม่รู้น้องที่มาด้วยทิ้งจักรยานกระโดลงข้างทางซะอย่างนั้นเล่นเอาเรางงกันไปหมด 555
จริง ๆ ก็อยากขับรถแบบนี้มาบลูลากูนนะแต่คงแพงน่าดู ครม.ไม่อนุมัติงบแน่ ๆ
เราปั่นข้ามสะพานข้ามแม่น้ำซองเพื่อไปต่อยังถ้ำจัง
เส้นทางสู่ถ้ำจังรู้สึกว่าข้างหน้าจะเป็นด่านนะ (เสียเงินอีกแล้ว)
ปั่นมาถึงทางเข้าที่วังเวียงรีสอร์ทเสียค่าเข้าคนละ 2,000 กีบ หรือ 8 บาท
ต้องข้ามสะพานสีส้มแล้วเดินไปอีกนิดก็จะถึงปากทางขึ้นถ้ำจัง
หลังจากข้ามสะพานสีส้มและเสียค่าเข้าอีกคนละ 15,000 กีบ หรือ 60 บาท (จะเก็บอะไรกันนักหนา)
เราต้องเดินขึ้นบันได 146 ขั้น เพื่อรอที่จะเข้าไปชมถ้ำจัง (ถึงกับต้องใช้ยาดมกันเลยทีเดียว)
วิวที่มองลงมาจากบริเวณทางเข้าถ้ำจังสวยปะล่ะ
วิวข้างบนนี้จากถ้ำจังสวยมาก ๆ หายเหนื่อยกันเลยทีเดียว
ภายในถ้ำจังสวยงามมาก ๆ (เข้าใจว่าคำว่าจังน่าจะมาจากคำว่าจังงังแน่ ๆ)
สะพานสีส้มของวังเวียงรีสอร์ทอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่ไม่ควรพลาด
หลังจากเที่ยวชมที่ถ้ำจังเราก็มาหาอะไรกินกันที่ร้านเวียงธารา มื้อนี้จานเดียว 25,000 กีบ หรือ 100 บาท หลังจากไม่ได้ทานมื้อเที่ยงกันเลย
หลังจานทายกันเสร็จแล้วเราปั่นกลับมาเพื่อที่จะเช่าห่วงยางล่องแม่น้ำซอง แต่ร้านที่เช่าดันปิดแล้วและไม่ให้เราเช่า แอบเซ็งเลยต้องมานั่งชมวิวริมน้ำซองแทน
หลังจากที่อกหักอดเล่นห่วงยาง (แต่ก็ไม่เป็นไร) เราก็กลับมาที่พัก ขอพักร่างสักพักกับจำปาลาววิลล่า
นั่งเล่นนอนเล่นสักพักก็ได้เวลาออกไปเดินเล่นดูพระอาทิตย์ยามเย็นกันอีกซะครั้ง
เย็นนี้เราก็มานั่งเล่นนอนเล่นและเล่นน้ำกันริมน้ำซอง ที่ที่เรามากันในตอนเช้า
บรรยากาศยามเย็นก็สวยงามไม่แพ้ในตอนเช้าเลย อยากให้มานั่งอยู่ตรงด้วยกันจังเลย
รักนะคะคนดีของฉัน...ไม่ใช่แล้ว ขนาดมาแค่เงายังสวยเลย
พอค่ำเราก็มาทานอาหารกันที่ร้าน Ohlala ร้านเดิมจากเมื่อวาน วันนี้เราก็จัดหนักเหมือนเดิม ค่าเสียหายก็แค่ 330,000 กีบ หารเก้าก็ตกคนละ 150 บาทเอง
เมื่อคืนหลับจากที่อิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อค่ำ เราก็มานั่งตั้งวงคุยกันที่บ้านพักจนดึกดื่นเที่ยงคืน แต่พรุ่งนี้ผมได้ชวนคนที่สนใจจะไปปั่นจักรยานดูพระอาทิตย์พร้อมกันตอนหกโมงเช้า เมื่อถึงเวลานัดเราก็ปั่น ๆๆๆ มาหาจุดที่ดูพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งก็เป็นจุดนี้นี่เอง
ปั่นจักรยานยามเช้าช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ๆๆๆ แข็งมาก ขาแข็งไปหมดแล้ว ก้นยังระบมจากเมื่อวานไม่หายเลย
จากจุดที่ดูพระอาทิตย์ขึ้นก็ปั่นมาเรื่อย ๆ เหลือบเห็นหมอกจาง ๆ ข้างทางริมทุ่งนาเลย หาทางที่จะมายังที่จุดนี้เล่นเอาลำบากเหมือนกัน
จุดนี้สำหรับผมมันสวยมาก ๆ วิวตรงหน้ามันเหมือนทำให้ผมหยุดทุกอย่างไว้ตรงนี้
และผมยังได้เห็นชาวบ้านที่นี่กำลังสีข้าวกันอยู่เลย ให้น้อง ๆ ที่มาด้วยและอยากลองทำดูไปช่วยชาวบ้านขนข้าว
เราถ่ายรูปที่ทุ่งนี้กันสักพักก่อนจะลาชาวบ้านและปั่นกลับที่พัก แต่ระหว่างทางได้เห็นบอลลูนระยะใกล้ ๆ เลยแวะถ่ายกันอีกสักหน่อย
บอลลูนลอยต่ำเห็นใกล้มาก ๆ เลยสวยสุด ๆ อยากลองนั่งนะแต่คนละ 80 เหรียญสหรัฐ เอาเงินไปทำอย่างอื่นจะดีกว่านะพี่ว่า
บรรยากาศบ้าน ๆ มีนักเรียนชาวลาวปั่นจักรยานไปเรียน มีฝูงควายกำลังเดินอยู่ มีบอลลูนลอยอยู่ด้านหลัง มันช่างคลาสสิกจริง ๆ
ระหว่างที่ปั่นกลับที่พักก็ไม่ลืมที่จะหาอะไรรองท้องกันก่อน ไหน ๆ ก็มาถึงลาวจะไม่ลองข้าวเปียกก็กระไรอยู่เลยจัดสักหน่อย
ร้านนี้ชื่อร้านแม่โอเล เห็นคนเยอะดีเลยแวะกินที่นี่แหละ
ข้าวเปียกชามนี้รสชาติเยี่ยมสุด ๆ ไม่ต้องปรุงอะไรเลย ราคาก็ชามละ 15,000 กีบ หรือ 60 บาท หลังจากที่ทานกันเสร็จเราก็กลับที่พักไปเก็บสัมภาระ รอรถที่จองไว้กับทางที่พักมารับตอน 10 โมง ค่ารถคนละ 50,000 กีบ หรือ 200 บาท
หลังจากที่อาบน้ำและแพ็กกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยก็ได้เวลาที่จะต้องจากลาวังเวียงกันสักที แต่ก่อนจากก็ต้องถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระทึกกับ พี่นุช และ พี่สิทธิ์ เจ้าของจำปาลาววิลล่าที่แสนใจดีคอยช่วยเหลือและเป็นธุระให้เราระหว่างที่อยู่วังเวียง ใครมาวังเวียงแล้วมองหาที่พักน่ารัก ๆ บรรยากาศดี ๆ แนะนำที่นี่ "จำปาลาววิลล่า"
ออกจากวังเวียงมารถวิ่งประมาณ 3-4 ชั่วโมง เราก็หลับ ๆ ตื่น ๆ คนขับรถก็ขับได้เยี่ยมมาก ๆ เหวี่ยงซ้ายที่ขวาที่ ขับดีขนาดไหนเล่นเอาเพื่อนผมอ้วกแตกกันเลยทีเดียว
เนื่องจากเราเหมารถกันมาเราจึงให้รถมาส่งพวกเราที่วัดพระธาตุหลวงแทนที่จะส่งเราที่ขนส่งสายเหนื อ(จะได้ไม่ต้องเสียค่ารถเข้ามาในตัวเวียงจันทร์อีก)
เรามาไหว้พระธาตุหลวงและอนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเพื่อความเป็นสิริมงคล ก็จะเดินทางต่อไปยังประตูชัย
ประตูชัยอยู่ไม่ไกลเท่าไร แต่อากาศที่เวียงจันทน์ร้อนมาก ๆ
ในที่สุดเราก็มาถึงประตูชัยกันสักที...ไชโย ๆ
ประตูชัยดูสวยงามยิ่งใหญ่อลังการมาก ๆ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเวียงจันทน์
มาแล้วก็ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยมาสร้างแลนด์มาร์กที่นี่...ประตูชัย
จากประตูชัยเราก็เดินไปหาของกินกัน...ท้องเริ่มส่งเสียงร้องกันแล้วเราจึงเดินกันมายังร้านข้าวเปียกเป็ดเจ้าดังร้านพิมพร แต่มีบางส่วนไม่อยากกินข้าวเปียกก็แยกตัวไปหาข้าวกิน (ประมาณว่าอยากกินข้าวมากกว่า) แต่เราเลือกที่จะกินที่ร้านนี้
เราสั่งข้าวเปียกจานน้อยมาทาน นี่ขนาดน้อยยังเยอะขนาดนี้ ที่นี่มีชามน้อย (ชามเล็ก) ราคา 17,000 กีบ ชามใหญ่ 22,000 กีบ และชามใหญ่พิเศษ 28,000 กีบ
หลังจากทานกันอิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินไปขึ้นรถที่จะกลับฝั่งไทยที่ตลาดเช้า
เราใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาที ก็มาถึงตลาดเช้า เรามาถึงหลังสุดเพราะมัวแต่เดินถ่ายรูปและรอเพื่อนเข้าห้องน้ำอยู่ (รอนานมากจึงเดินไปถามร้านที่เพื่อนแวะไปเข้าห้องน้ำ ได้ความว่าเขาเดินกันไปตั้งนานแล้ว ไอ้เราก็รอไปเหอะ)
หลายคนแวะถ่ายรูปเป็นที่ระถึกกับสามล้อ (ขนาดถ่ายกับสามล้อยังมีเสียงตะโกนมาว่า 20 บาท ค่าถ่ายรูป) นี้กะจะเอาทุกเม็ดเลยใช่ไหม แต่ไม่จ่ายมีอะไรไหม
เรามาถึงตลาดเช้าประมาณ 5 โมงเย็น เรานั่งรถคันนี้สาย 155 ปลายทางสะพานมิตรภาพ ราคาคนละ 6,000 กีบ ถ้าไม่มีเงินกีบจ่ายเป็นเงินไทยเขาคิด 30 บาท รถออกประมาณ 5 โมง 10 นาที
นั่งมาประมาณ 40 นาที เราก็มาถึงด่านสะพานมิตรภาพฝั่งลาวตอน 17.45 น. โดยประมาณ (ประมาณนี่ใคร) ได้เห็นแสงสุดท้ายพดดิบพอดี ช่วงนี้มืดเร็วมาก ๆ เลย
เราทำเรื่องออกจากด่านลาวเพื่อจะนั่งรถต่อไปฝั่งไทย ค่าผ่านด่านคนละ 10,000 กีบ หรือ 40 บาท แพงกว่าขามาอีก (ขามาเสียคนละ 1,000 กีบ หรือ 5 บาท) ช่องก็ช่องเดิม บัตรก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรต่างกันเล่นเอางงกันเลยทีเดียว
ออกจากด่านก็ต้องมาซื้อตั๋วเพื่อรอรถเมล์ข้ามฝั่งจากลาวไปไทย ค่ารถก็คนละ 4,000 กีบ ถ้าไม่มีเงินกีบจ่ายเป็นเงินไทยคิด 20 บาท (มีเงินกีบจ่ายเงินกีบถูกกว่า)
รถคันนี้แหละที่วิ่งรับ-ส่งจากฝั่งไทยไปลาวและลาวไปไทย ค่ารถจากไทย 15 บาท แต่ถ้าจากลาว 20 บาท
มาถึงด่านไทยกันสักที รถวิ่งตดยังไม่ทันหายเหม็นเลยแต่คนเบียดกันเต็มคันรถ (จะได้เสียเป็นผัวเมียกันอยู่แล้ว)
ทำเรื่องเข้าประเทศไทยดูว่าใครเป็นต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองกันหรือเปล่า
หลังจากที่ออกจากด่านฝั่งไทยมาเรียบร้อยแล้วและรอทีมงานครบเราก็เดิน ๆ จากสะพานมิตรภาพฝั่งไทยไปยังสถานีรถไฟ ดูเวลาก็ประมาณ 18.30 น. ตอนนี้เรายังไม่มีตั๋วรถไฟและยังไม่รู้ว่าจะเดินไปทันไหม ทางก็มืดมาก ๆ แต่ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีรถไฟและรับตั๋วรถไฟฟรีเพื่อจะกลับกรุงเทพฯ (มีบางส่วนแยกกันกลับเพราะจองตั๋วรถทัวร์ไว้แล้ว)
รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟสายวัชลาวลี (ไม่ใช่แล้ว) รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟฟรีเพื่อประชาชน เป็นรถเร็วขบวนที่ 134 ต้นทางสถานีหนองคายปลายทางกรุงเทพฯ ผู้ที่มีตั๋วโดยสารแล้วกรุณาขึ้นรถใกล้เวลาที่รถขบวนนี้จะออกเดินทางแล้ว
ขากลับจากหนองคายคนไม่เยอะเท่าขามา ได้นั่งมองดาวข้างทางแต่ละคนในทริปหลับท่าแปลก ๆ ไม่ขอเอามาลงนะ (แบบว่าสงสารตัวเอง) หลับตื่น ๆ เหมือนเคย ตื่นมาก็ได้เห็นแสงแรกของวันอีกที
ได้นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งดูกี่ทีมันก็สวยงาม
รถไฟโล่งมาก ๆ แต่ก็มีคนขึ้นในตอนเช้าเพื่อจะเดินทางมาทำงานก็มี (หลายคนเลือกที่จะใช้รถไฟในการเดินทางเพราะถูกและประหยัด)
เราเลือกลงที่สถานีบางซื่อกับเพื่อนอีกหนึ่ง คนส่วนที่เหลือไปลงที่หัวลำโพง มาถึงที่บางซื่อก็ประมาณ 07.40 น. กลับไปอาบน้ำพร้อมไปทำงานต่อ (ฟิตปะล่ะ) เป็นอันสิ้นสุดทริปแบกเป้ไปวังเวียง 3 วัน 2 คืน ในครั้งนี้
สรุปค่าใช้จ่าย : วังเวียง 3 วัน 2 คืน
Day 1
- รถไฟฟรีจากกรุงเทพฯ มาหนองคาย รอบเวลา 20.45 น. ถึง 09.30 น.
- รถบัสข้ามมาด่านลาว 15 บาท
- ค่าผ่านด่าน 5 บาท หรือ 1,000 กีบ
- ค่ารถบัสจากด่านลาวมาตลาดเช้า 6,000 กีบ หรือ 24 บาท
- ค่ารถจากตลาดเช้ามาขนส่งสายเหนือ 5,000 กีบ หรือ 20 บาท
- ค่ารถจากขนส่งสายเหนือมาวังเวียง 50,000 กีบ หรือ 200 บาท
- ค่าที่พักจำปาลาว วิลล่า คืนละ300 บาท
- ค่าอาหารเย็น 150 บาท หรือ 38,000 กีบ
- รวม 715 บาท
Day 2
- ค่าอาหาร 29,000 กีบ หรือ 116 บาท
- ค่าเช่าจักรยานเมาเท่นไบค์ 25,000 กีบ หรือ 100 บาท
- ค่าเข้าบลูลากูน 10,000 กีบ หรือ 40 บาท
- ค่าผ่านทางวังเวียงรีสอร์ท 2,000 กีบ หรือ 8 บาท
- ค่าเข้าถ้ำจัง 15,000 กีบ หรือ 60 บาท
- ค่าอาหารเย็น 25,000 กีบ หรือ 100 บาท
- ค่าอาหารค่ำ 37,000 กีบ หรือ 148 บาท
- ค่าห้อง 300 บาท
- รวม 872 บาท
Day 3
- ค่าอาหารเช้าข้าวเปียกเส้นกับปาท่องโก๋ 15,000 กีบ หรือ 60 บาท
- ค่ารถจากวังเวียงมาเวียงจันทน์ 50,000 กีบ หรือ 200 บาท
- ค่าข้าวเปียกมื้อบ่าย 15,000 กีบ หรือ 60 บาท
- ค่ารถเมล์จากตลาดเช้ามาด่านสะพานมิตรภาพ 6,000 กีบ หรือ 24 บาท
- ค่าผ่านด่านออกจากลาว 10,000 กีบ หรือ 40 บาท
- ค่ารถเมล์จากด่านลาวมาด่านไทย 4,000 กีบ หรือ 16 บาท
- รวม 400 บาท
ยอดรวม 715 + 872 + 400 = 1987 บาท เหลือเงินกีบกลับมา 3,000 กีบ (1 บาท = 250 กีบ)
หลายคนอาจจะสงสัยว่า 2,000 บาท ทำได้จริง ๆ เหรอ ผมกล้าบอกเลยว่าได้ ถ้าไม่กินจุกจิก ไม่กินตามใจชอบ ผมว่าเหลือด้วยซ้ำ ผมยังแอบเสียดายที่หมดไปกับค่าอาหารมื้อค่ำตั้งเยอะไม่อย่างนั้นเหลือกว่านี้แน่ ๆ
ขอบคุณทุกการติดตาม คราวหน้าจะมีเรื่องเล่าของที่ไหนมารอชมกันได้นะ สามารถพูดคุยหรือติดตามพวกเราหรืออยากจะมาร่วมทริปกับเราก็ได้นะ ตามนี้เลย https://www.facebook.com/thetravelerz สำหรับคนที่สนใจเรื่องท่องเที่ยว