
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1452209 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก wasthereonce
เบื่อก็เที่ยว...เหงาก็เที่ยว...อกหักก็เที่ยว...มีความสุขหรือมีความรักก็เที่ยว ก็แหม...การออกเดินทางท่องเที่ยวสามารถไปได้ตลอดทั้งปี แต่ละสถานที่ก็มีเรื่องราวให้พบเจอแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือต่างประเทศ จึงไม่แปลกที่ใคร ๆ เมื่อมีโอกาสก็อยากออกไปท่องเที่ยวพักกายให้สบายใจกันทั้งนั้น (จริงไหม) และวันนี้เราได้หยิบเอาอีกหนึ่งประสบการณ์ของการเดินทางท่องเที่ยว ที่ทำให้คนคนหนึ่งสามารถคนพบว่าจริง ๆ แล้วเองได้อะไรจากการท่องเที่ยวมากมาย จากบันทึกการเดินทางของ คุณสมาชิกหมายเลข 1452209 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เผื่อเรื่องราวต่อไปนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรค่ะ ^__^
++++++++++++++++++++
ปิดเทอมตั้งหกเดือนจะทำอะไรดี ? คำถามที่ผมถูกถามบ่อยที่สุดในช่วงเกือบ ๆ เจ็ดเดือนก่อน เชื่อว่าหลายคนในที่นี้ก็น่าจะเคยถูกถามและอาจจะเป็นผู้ถามเองมาบ้าง คำตอบที่ว่าคืออะไรบ้างครับ ? จะผอม จะสวย จะเรียนพิเศษ จะทำงานพาร์ทไทม์ จะไปเที่ยว จะฝึกงาน บลา ๆๆๆ
ผมเป็นคนหนึ่งที่ถูกถามและเป็นคนถามคำถามนี้กับเพื่อนหลาย ๆ คน ถามบ่อยจนกระทั่งเพื่อนผมบอกว่า "ถามแต่คนอื่น แล้วเมิงอ่ะ…ปิดเทอมตั้งหกเดือนจะทำอะไร ?" อืมมมมมมม ไม่รู้อะ…ใช้ชีวิตไปวัน ๆ คงนิยามตัวตนผมในตอนนั้นได้ดีที่สุด ตื่นเช้า ไปเรียน กลับบ้าน เล่นเกม ดูหนัง นอน หนึ่งวันจบแล้ว…
"เรียนเก่ง ๆ โตไปจะได้สบาย" ประโยคที่ผู้ใหญ่รอบข้างพร่ำสอน ผมเชื่อครับว่ามันคือความจริง แต่จะเรียนเก่งไปเพื่ออะไรในเมื่อเป้าหมายก็ยังไม่มี ชอบอะไร ไม่ชอบอะไรก็ยังไม่รู้เลย จะทำอะไรก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะใส่ไปให้เต็มร้อย...เคว้ง…
เพราะเคว้งนี่แหละครับ ทำให้ผมตัดสินใจออกเดินทาง สิ่งเดียวที่คิดตอนนั้น คือ ทำยังไงก็ได้ให้ปิดเทอมหกเดือนข้างหน้านี้เจ๋งที่สุด คุ้มที่สุด จุดประสงค์ของกระทู้นี้คือผมอยากแชร์สิ่งที่ได้ไปเจอมาตลอดระยะเวลาเกือบหกเดือนจนทำให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น เรื่องราวที่ผมนำมาแชร์มันก็คือเรื่องทั่ว ๆ ไปที่พวกเราต่างก็รู้ดีกันอยู่แล้วทั้งนั้น มันไม่ได้พิเศษอะไรหรอกครับ แต่เพราะมันธรรมดานี่แหละ ที่ทำให้บางครั้งผมก็ลืมนึกไปบ้าง หลงลืมไปบ้าง เพิกเฉยกับมันไปบ้าง ลองอ่านดูนะครับ
ป.ล. ผมใช้เงินจากการทำงานพาร์ทไทม์หนึ่งปีเป็นทุน และโชคดีที่มีครอบครัวสนับสนุนด้วยครับ
_3.jpg)
ป.ล. 2 ผมเพิ่งจะสร้างเพจของตัวเอง เป็นเพจท่องเที่ยวที่ชอบแชร์เรื่องราวระหว่างทางเดิน ไม่ว่าจะเป็น ประสบการณ์หลงทางในป่า เฮฮาชวนคุณป้าข้างทางคุย นั่งหน้ามุ่ยเพราะโดนคนจีนต้ม แผนจะล่มเพราะเกือบตกเครื่องบิน แวะมาจอยกันได้นะครับ เฟซบุ๊ก wasthereonce จุ๊บ ๆ
01 เดือนเมษายน
ทำไมหลาย ๆ คนถึงเอาแต่ยี้ "จีน" น่าคิดแฮะ ผมตัดสินใจไปจีนด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง กอปรกับหนึ่งในนั้น คือ อยากลองของ ! หลังจากเซอร์เวย์จากคนรอบข้าง ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อย่าไป..เชื่อตรู” ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ไหน ๆ จะเผชิญโลกกว้างทั้งทีจะมาใช้ชีวิตง่าย ๆ ไม่ได้ มันต้องขอแบบจัดหนัก เอาวะ...มาลองกันสักตั้ง !
_4.jpg)
23 วันในจีนที่เป็นช่วงเวลาที่รวบรวมทุกความรู้สึกเท่าที่ผมจะรู้สึกได้ สุข สนุก ตื่นเต้น ระทึกขวัญ หวาดผวา เฉย ๆ ธรรมดา เบื่อ เซ็ง ไปจนถึงขั้นเฟลที่สุด ผมได้รับมิตรภาพน่ารัก ๆ จากชาวจีนตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง ส่วนวันถัดมาก็โดนต้มจนเสียหมา (เพื่อนสนิทเป็นคนนิยามให้) เล่นเอาเซไปหลายวัน
...ไม่เห็นจะแย่อย่างที่หลาย ๆ คนพูดเลย มันก็พอจะจริงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่แฟร์เท่าไรที่จะไปเหมารวมเขาว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้...คนจีนสกปรก...คนจีนไม่มีมารยาท...คนจีนมักง่าย ถามว่าได้เจอกับตัวเองจัง ๆ ไหม ตอบเลยว่าเจอเยอะมากกกกกกกกกกกกก พีคสุดของประสบการณ์เขย่าขวัญ คือ การเดินเข้าห้องน้ำไปเจออาแปะกำลังถ่ายหนักรัวคอมโบตดเป็นจังหวะสามช่า (เกือบจะเต้นตามล่ะ อันที่จริงมันจะไม่พีคติดตาขนาดนั้นถ้าอาแปะปิดประตูห้องน้ำสักนิดหนึ่ง)
_4.jpg)
มีเพื่อนเคยถามว่า "ไปจีนได้อะไรกลับมาบ้าง ?" ถ้าตอบว่าได้รับประสบการณ์จ้า มันจะดูเกร่อ ไม่ชิค ไม่เท่ สำหรับผม ถ้าอย่างนั้นขอข้ามนะ เอาเป็นว่าได้รู้ว่าจีนที่หลาย ๆ คนยี้มีดีกว่าที่คิดแล้วกัน แถมมีดีเยอะแยะมากด้วยนะ แต่ดันโดนเรื่องไม่ดีที่มีเยอะพอกันกลบซะมิดเชียว จริง ๆ ก็พอกันทั้งไทยและจีนก็มีดีและไม่ดีเหมือนกันนั่นแหละ เท่าที่เจอมาภาพที่คนจีนบางคนมองเราก็เป็นไปในแง่เดียวกับที่เรามองเขาส่วนหนึ่ง
เอาง่าย ๆ แล้วกัน พอคนจีนรู้ว่าผมเป็นคนไทย ก็เฮโลรีบชื่นชมประเพณีวัฒนธรรมไทยเรากันยกใหญ่ นี่ยู ๆ การแสดงประจำชาติยูนี่อะเมซิ่งมากเลยนะ ไอชอบมาก ๆ (สีหน้าฟินสูงสุด)…(ยิ้มกว้างมากพร้อมยืดอก) จริงเหรอ ยูชอบอันไหนล่ะ บ้านไอมีเยอะแยะเลยนะที่เจ๋ง ๆ อ๋อนี่ไง ๆๆ "ปิงปองโชว์"
02 เดือนกรกฎาคม
_5.jpg)
พระเอกหนึ่งในใจคุณยิ่งกว่าเบอร์ดี้ของผมในทริปนี้ คือ พี่ม้งสุดแนว พี่ม้งชื่อ "ชัยพร" พี่ม้งเป็นคนพูดน้อย นอกจากขับรถ (บรรทุกผมขึ้นภูทับเบิก) พี่แกก็ยิ้มลูกเดียว พี่ม้งเรียนจบคอมฯ ธุรกิจ ป.ตรี จากบางกอก มีไร่กะหล่ำปลีที่แกว่าเล็ก (แต่เราว่าไม่) อยู่บนภู พี่ม้งใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ผมติดรถหรอก) พี่ม้งแต่งงานแล้วและมีลูกวัยกำลังซนอยู่หนึ่งคน
_4.jpg)
(แต่นี่ไม่ใช่บ้านพี่ม้ง เมียพี่ม้งนะ)
ผมชอบคุยกับคนระหว่างการเดินทาง คนระหว่างทางมักจะมีสิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้น ประหลาดใจ และฉุกคิดอะไรใหม่ ๆ ได้เสมอ พี่ม้งก็เหมือนกัน...ระหว่างทางขึ้นภูทับเบิกผมชวนพี่ม้งคุยเป็นต่อยหอย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นในทำนองที่ว่าทำไมถึงทำอาชีพปลูกผักขาย ? ทำไมถึงไม่ชอบกรุงเทพฯ ? ถ้าไม่สบายบนภูจะทำอย่างไร ? น้ำมันหมดจะทำอย่างไร บนภูมีปั๊มไหม ? เวลาเรียนหนังสือต้องไปที่ไหน ? กะหล่ำปลีนี่ขายได้แพงที่สุดกิโลกรัมละเท่าไร ? (170 บาท) ช่วงไหนราคากะหล่ำปลีจะตก ? โดนหักราคาจากพ่อค้าคนกลางเยอะไหม ?...ก็ไม่รู้จะสงสัยอะไรกันนักกันหนา แต่พี่ม้งก็ยิ้มไปตอบไป
ผมถามไปถามมาจนมาถึงคำถามที่ว่า "ภูทับเบิกเจริญเร็วขนาดนี้ไม่กลัวเหรอครับ ?" พี่ม้งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนตอบว่า…มันเจริญก็ดีนะ แต่ก็กลัวเหมือนกัน...กลัวชาวม้งคนอื่น ๆ จะปรับตัวไม่ทัน
ความเจริญบางครั้งก็น่ากลัว น่ากลัว...เกินไป แต่จริง ๆ แล้วผมว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ สิ่งที่มาพร้อมกับความเจริญต่างหาก...คน
_5.jpg)
คนนี่แหละที่น่ากลัวที่สุด...โดยเฉพาะพี่ม้ง พี่ครับช้าหน่อยพี่ ซิ่งแบบนี้ผมเสียวววววววววววววววว
03 ขอคั่นด้วยการโชว์ทักษะถ่ายรูปยังไงให้ชิค ๆ คูล ๆ
_4.jpg)
ขออนุญาตพี่ม้งวิ่งขึ้นไปถ่าย อยากจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทุ่งกะหล่ำปลีเขียวขจี มีสายหมอกลอยระเรื่อเกือบสัมผัสผิวดิน โพสท่าเอียงหน้าทำมุม 45 องศา กับตากล้องสาวสวยน่ารักคอยกดชัตเตอร์อย่างแผ่วเบา หัวเราะยิ้มแย้มแก้มชมพูระเรื่อ
ในความเป็นจริง...
_4.jpg)
ป.ล.1 ผมใส่กางเกงแข่งวิ่งครับ พอดีชอบวิ่งมาราธอนเลยอยากโหดไปวิ่งขึ้นเขาดูบ้าง คอนักวิ่งรู้กันเนอะ
ป.ล. 2 จริง ๆ รูปนี้กำลังจะหันหน้ามายิ้มเข้ากล้องครับ แต่ภาพนั้นเบลอ 555555
04 เดือนสิงหาคม
ไม่รู้ทำไมตอนเด็กถึงอยากจะโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ กันนัก พอโตจะเป็นผู้ใหญ่กับเขาเข้ามาจริง ๆ ดันอ้อนวอนขอผัดผ่อนไปเรื่อย (แหม...ใช่ว่าจะทำได้) ตอนเด็ก ๆ "โตขึ้นอยากเป็นอะไร ?" เป็นหนึ่งในคำถามที่ถูกถามบ่อยมากที่สุด สำหรับผมเหรอครับ...เยอะแยะเลย อยากเป็นปลาจะได้ว่ายน้ำเร็ว ๆ อยากเป็นนกจะบินไปไกล ๆ อยากเป็นเสือจะได้เท่ ๆ อยากจะเป็นอะไรก็เป็นไม่ต้องกังวล ไม่มีความกดดัน ไม่มีความคาดหวัง ไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่ต้องกังวล แบกรับความกดดันจากคนรอบข้าง แบกรับความคาดหวัง พร้อมทั้งเงื่อนไขมากมาย
สนุกแบบเด็กเป็นสิ่งที่แทบจะลืมไปแล้วว่าเป็นอย่างไร (นี่ขนาดเพิ่งจะ 20 นะเนี่ย) นานมากแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทุกวันนี้นี่มีอะไรนักหนา ถึงขนาดยอมปล่อยให้ตัวเองลืมความรู้สึกดี ๆ แบบนี้ไปได้นานขนาดนั้น น่าเสียดายจัง...
_5.jpg)
บทสนทนาระหว่างผมกับเพื่อน
ผม : เฮ้ย เพิ่งไปเที่ยวสตูลมา อย่างมัน โคตรสนุกแบบเด็กอ่ะ
เพื่อน : ยังไงวะสนุกแบบเด็ก
ผม : สนุกที่เป็นสนุกจริง ๆ ไงวะ แบบอยากเป็นหมูก็ได้เป็น อยากเป็นหมาก็ได้เป็น อยากเป็นไก่ก็ได้เป็นงี้
เพื่อน : "....."
ผม : ทำไมวะ ยังงงเหรอ ?
เพื่อน : ไอ S-U-S เป็นคนอยู่ดี ๆ ไม่ชอบนะ
05 เดือนสิงหาคม
_4.jpg)
"โหพี่ไม่รู้เลยว่าไทยก็มีที่แบบนี้ !" ผมกำลังนั่งอ้าปากค้างกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าบนรถกระบะคันหนึ่ง เจอคนไทยใจดีอีกแล้ว พี่เขารู้ว่าผมมาตัวคนเดียวเลยบอกให้ติดรถจากอำเภอบ่อเกลือที่อยู่บนเขา ผ่านอำเภอสันติสุข เพื่อไปสู่ตัวเมืองน่าน (ตอนแรกจะนั่งรถจากอำเภอบ่อเกลือ ผ่านอำเภอปัวแล้วไปอำเภอเมืองน่าน เส้นทางอ้อมกว่า)
นางเอกของเราในทริปนี้ คือ พี่นาย (ผู้หญิงนะ)...ทำไมถึงมาทำอาชีพนักพัฒนาที่นี่ล่ะครับ ?...ทำไมถึงทำอาชีพนี้ล่ะครับ ?...เป็นคำถามที่ผมถามบ่อยที่สุดในรอบเกือบ ๆ สามปีที่ผ่านมา ผมถามมาหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะคนขับแท็กซี่ ช่างตัดผม คุณครู เกษตรกร และอีกมากมาย "แล้วพี่ทำงานอย่างนี้ทุกวันไม่เบื่อเหรอครับ?" เป็นคำถามที่มักจะตามมาเป็นสเต็ปที่สอง ที่ชอบถามแบบนี้เพราะผมกลัวว่าเมื่อถึงเวลาที่ผมเข้าสู่ช่วงชีวิตของวัยทำงานจริง ๆ ผมจะหลงทาง ผมเป็นคนเบื่ออะไรง่าย ๆ เลยชอบที่จะหาเหตุผลของการทำงานของผู้ใหญ่ อะไรที่ทำให้เขาไม่เบื่อในสิ่งที่ต้องทำอยู่ทุก ๆ วัน
โอ๊ยถ้าตรูมีเงิน คงไม่มาตัดผมหลังขดหลังแข็งอย่างนี้หรอก...เออก็จริง คำตอบที่ได้รับจากช่างตัดผมสุดจะแนว จริง ๆ คำตอบส่วนใหญ่จากที่ผมถามมานั่นคือเพราะ "เงิน" ไม่มีเงินก็เหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่ง เป็นประโยคที่แรงแต่ก็จริง ถ้าพูดในแบบหยาบ ๆ ผิวเผินอ่ะนะ สำหรับพี่นายเขาออกจากงานที่กรุงเทพฯ เพื่อกลับมาทำงานและใช้ชีวิตที่บ้านเกิด "สบายใจ" คือคำตอบเดียว หลังจากถามต่อว่าทำไมถึงลาออกล่ะครับ ? สบายใจเป็นคำตอบเดียวที่ลบล้างข้อแม้อื่น ๆ ที่เป็นปัญหาสารพัดสารเพที่ติดค้างทำให้เราลังเล เพราะสบายใจสินะ...แล้วสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ เราสบายใจกันจริง ๆ หรือเปล่านะ
_4.jpg)
06 เดือนสิงหาคม
_4.jpg)
การนัดรวมเพื่อน ม.ปลาย นี่ยากเย็นแสนเข็ญจริง ๆ นัดกันซะดิบดีแต่สุดท้ายมักลงเอยด้วย "ไว้คราวหน้าแล้วกัน" เพราะฉะนั้น "มากันแค่นี้เองหรอ" มักจะเป็นประโยคที่จะมีใครสักคนถามขึ้นกลางวงทุกครั้ง คงจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นทำให้ชายหาดเป็นของเรา (ชอบจริง ๆ อย่างกับจองไว้เป็นหาดส่วนตัว) ทะเลแบบเงียบ ๆ นี่แหละคลาสสิกสุด
ถ้าเป็นสมัยเพิ่งจะจบ ม.ปลาย แรก ๆ การนัดเจอกันมักจะมีคำถามที่ว่า "เนื่องในโอกาสอะไร" เสมอและการนัดกันจะต้องมีกิจกรรมที่ดูเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่อย่างนั้นทุกคนจะเซย์โนได้ แต่ทุกวันนี้การนัดเจอกันแทบไม่มีใครถามแล้วว่าเพื่ออะไร…ตรูว่าง เมิงว่าง Deal !
กิจกรรมที่เคยจะต้องเป็นอะไรที่คัดสรรมาอย่างดี ต้องวิเศษวิโสโก้เก๋เท่สาวกรี๊ด ก็เริ่มลดสเปคลงเรื่อย ๆ อย่างเช่นวันนี้…ไม่มีกิจกรรมอะไรพิเศษนอกจากการนั่งคุยข้างทะเล ก็แค่คุยแต่โคตรรู้สึกดีเลย
_4.jpg)
แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่ได้นั่งตากแดดตอนดวงอาทิตย์อยู่กลางหัวเนี่ย...จะมานั่งกลางแดดกันทำไม
07 เดือนสิงหาคม (อีกแล้ว)
_4.jpg)
คุณป้าสุนีย์และคุณลุงฟิลลิป ผมรู้จักทั้งสองท่านจากการไปเที่ยวจังหวัดสตูล คุณป้าสุนีย์คือเจ้าของรีสอร์ทเล็ก ๆ (มีบ้านสามหลัง) ที่เรามานอนในคืนนั้น ส่วนคุณลุงฟิลลิปคือแขกที่มาพร้อมภรรยาก่อนผมหนึ่งคืน ทั้งรีสอร์ทมีพนักงานทั้งหมดแค่สองคน คือ คุณป้าสุนีย์กับสามี ซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ทั้งคู่ ทั้งรีสอร์ทมีแขกเข้าพักแค่สองคน คือ คุณลุงฟิลลิปและภรรยา ซึ่งฟังภาษาไทยไม่ออกทั้งคู่
"อยากกินหมูก็วาดหมูลงในกระดาษ อยากพายเรือก็วาดเรือลงบนกระดาษ ไม่ยากหรอก มันก็สนุกดี" คุณลุงฟิลลิปบอกผมยิ้ม ๆ ส่วนคุณป้าสุนีย์เหรอ OK/Thank you แกว่าแกพูดอยู่แค่นี้ ที่เหลือยิ้มลูกเดียว
รีสอร์ทแห่งนี้จริง ๆ เป็นแค่บ้านพัก เราอาจจะเรียกว่าโฮมสเตย์น่าจะพอเห็นภาพมากยิ่งขึ้น ที่นี่เป็นที่พักเล็ก ๆ เป็นกิจการในครอบครัว คุณลุงกับคุณป้าดูจะดีใจมากที่มีแขกมาพัก บอกว่าจะได้หายเหงาเสียบ้าง...(ลูกสาวของคุณลุงคุณป้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ ครับ) อาหารการกินคุณป้าก็เป็นคนเข้าครัวเอง ส่วนคุณลุงจะคอยอำนวยความสะดวกอื่น ๆ จำพวกพายเรือนำล่องแก่ง ขับรถขนเรือ เป็นต้น
รูปภาพใบนี้คุณลุงฟิลลิปกำลังสอนคุณป้าสุนีย์ใช้กล้องดิจิตอลเพื่อที่จะถ่ายภาพรวมให้พวกเราก่อนจากลากัน ดวงตา คำพูด และการกระทำของคุณป้าสุนีย์และสามีตลอดสองวันที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่บรรยายอย่างไรก็ไม่จบ (สำนวนเริ่มจะนิยาย) ทุกการกระทำมันออกมาโดยปราศจากการปรุงแต่งใด ๆ มันมีแต่ความอิ่มใจที่จะให้ จะดูแลผม อยากกลับมาที่นี่อีกครั้ง ไม่ใช่เพราะที่นี่สวยที่สุด ดีที่สุด สบายที่สุด แต่เพราะที่นี่มีป้าสุนีย์…ฝีมืออาหารคุณป้าสุนีย์นี่เด็ดสะระตี่ ขอ Recommend
08 จะเปิดเทอมแล้ว...
ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี
ไม่รู้ว่าตัวเองทำได้ดีในด้านไหน
ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้เป็นสิ่งที่เราชอบจริง ๆ หรือไม่
คิดว่าบางคนที่มีโอกาสได้อ่านกระทู้นี้ก็อาจจะมีความคิดแบบนี้แวบเข้ามาในใจบ้างบางครั้ง ถามว่าหลังจากผมกลับมาจากการเดินทาง (เที่ยว) ผมค้นพบตัวเองเลยใช่ไหม เปล่าครับ ผมก็ยังกลับมาเคว้งเหมือนเดิม
อ้าว ! แต่ครับแต่ แต่หลังจากนั้นเมื่อเดือนที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้เล่าเรื่องราวของการไปแบ็คแพ็กจีนผ่านกระทู้หนึ่งในพันทิป ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากสำหรับผม (ขึ้นกระทู้แนะนำในห้องไกลบ้านและบลูฯ ด้วยนะ สุดจะซึ้ง)
เฮ้ย...มันใช่ว่ะ !
เฮ้ย...ชอบความรู้สึกแบบนี้
เฮ้ย...อยากเล่า อยากแชร์ เรื่องระหว่างทางที่ไปเจอมา
นี่แหละครับคือสิ่งที่ผมพึ่งค้นพบจากการเดินทางว่าตัวเองอยากจะทำอะไรต่อไป มันไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างในหนัง มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ผมก็ยังเป็นผมอยู่เหมือนเดิม ผมก็แค่รู้ว่าตัวเองชอบจะทำอะไร อยากที่จะทำอะไรต่อไป...โคตรดีใจครับ เพราะอย่างนี้นี่เองเขาถึงพูดกันว่า “คนที่รู้ใจตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก”
การเดินทางให้อะไรเยอะแยะมากจริง ๆ ครับ หากกำลังสับสน วุ่นวายใจ ลองยอมให้ตัวเองออกเดินทางดูบ้าง ผมว่ามันช่วยได้แน่ ๆ ไม่มากก็น้อยครับ
จากการแชร์ไปเที่ยวจีนครั้งแรกทั้งสองกระทู้ ทำให้ผมมีเพจชื่อ was there once ขึ้นมาได้ เพราะแรงเชียร์สนับสนุนจากเพื่อน ๆ รอบข้างและเพื่อน ๆ ในพันทิปนี่แหละครับ ขอบคุณมากนะครับ
ขอบคุณและราตรีสวัสดิ์ครับทุกคน
++++++++++++++++++
ขอฝากกระทู้เก่าด้วยนะครับ อิอิ
30 ข้อ แปลก ๆ จากการแบกเป้เที่ยว\'จีน\' (ที่หลาย ๆ คนยี้)
ไป "จีน" แล้วไม่โดนหลอก เขาบอกว่าไปไม่ถึง (จริง ๆ นะ)
ผมใช้มือถือ Sumsung S4 ถ่ายครับ (รูปวิว) ส่วนรูปที่ผมอยู่ในรูปจะเป็น Canon 550D+18-135 ครับ
ป.ล. กว่าผมจะหาเงินไปได้ก็ต้องเก็บเงินจากการทำพาร์ทไทม์หนึ่งปีครับ ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้มาง่าย ๆ เหมือนที่คนอื่นเห็นหรอกครับ อย่าโทษโชคชะตา พยายามทำให้ดีที่สุดโดยที่ไม่ต้องไปเทียบกับใคร จะสุขกว่านะ หากได้อ่านกระทู้ก่อน (เที่ยวจีน) จะเห็นว่าผมใช้เงินประหยัดมาก ส่วนที่เที่ยวในไทยผมโบกรถเอาครับ ทุกทริปที่ไปบังคับตัวเองไว้ว่าห้ามเกิน 2,000 บาท ซึ่งทุกทริปผมใช้ไป 1,900 บาทครับ เน้นกินลมชมวิว 5555 (ยกเว้นสตูลที่ไปกับครอบครัว)
สุดท้ายนะครับ ชีวิตทุกคนมีหลายด้าน พี่ ๆ เพื่อน ๆ เห็นผมมาโพสต์ตรงนี้อาจจะคิดว่าชีวิตน่าอิจฉา แต่ทุกคนครับกระทู้นี้มันแค่เสี้ยวเดียวของชีวิตผมเองนะครับ เวลาสุขเราแค่อยากแชร์ เวลาเศร้า เวลาทุกข์ไม่มีใครอยากจะป่าวประกาศหรอกครับ เราแค่อยากแชร์สิ่งดี ๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นไม่มากก็น้อยเท่านั้นเอง คิดว่ากระทู้นี้น่าจะมีวัยอายุเท่าผมหลายคนมาเจอแค่อยากบอกว่า ขอบใจมาก...ขอบใจที่เข้าใจสิ่งที่เราอยากจะสื่อจริง ๆ นะ