เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณฉันชอบสายลมๆแสงแดด สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
เกาะเชจู หรือ เกาะเจจู (Jeju Island) เป็นเกาะที่สำคัญของประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากมีตำแหน่งเป็นถึง 1 ใน 9 จังหวัดของประเทศ ที่มีภูมิประเทศตั้งอยู่ในบริเวณชายฝั่งทางตอนใต้ซึ่งอากาศค่อนข้างดีแทบตลอดทั้งปี จนทำให้ที่นี่ติดอันดับจุดหมายปลายทางในฝันยอดนิยมของคู่รักที่มักจะจูงมือกันมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ณ เกาะแห่งนี้ตลอดทั้งปี
และหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวฮอตฮิต ก็คือ ฮัลลาซาน (Hallasan) ภูเขาไฟที่ดับแล้ว ซึ่งมีความสูงถึง 1,950 เมตร จากระดับน้ำทะเล ถือว่าเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในเกาหลีใต้ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ kto.or.th) แต่ภูเขาแห่งนี้จะงดงามขนาดไหนนั้น ไม่ต้องจินตนาการไปไกลค่ะ ลองตามบันทึกการเดินทางและภาพถ่ายสวย ๆ ของ คุณฉันชอบสายลมๆแสงแดด สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มีโอกาสไปเที่ยวสัมผัสความงดงามเหล่านั้นกันดีกว่า
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสไปเที่ยวเกาะเชจูมาค่ะ เป็นเกาะที่น่าสนใจและสวยงามสมกับที่คนเกาหลีทุก ๆ คนแนะนำว่าต้องไปจริง ๆ แต่จะมารีวิวเฉพาะช่วงที่ได้ไปเดินขึ้น เขาฮัลลา หรือ Hallasan ในภาษาเกาหลี (ซัน แปลว่า เขา) เพราะว่ามันฟินมาก ฟินสุด ๆ สวยงามเหมือนความฝัน ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดหรือภาพถ่าย (หรือเพราะเราไม่มีฝีมือเอง -__-") อยากให้ทุกคนไปเห็นด้วยตาตัวเองจริง ๆ ค่ะ
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่ตั้งเป็นเรื่องเป็นราว ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ประเดิมด้วยภาพแรก พาโนรามาจากไอโฟนค่ะ วันที่ไปช่วงเช้าฟ้าค่อนข้างครึ้ม ภาพถ่ายออกมาสีอึมครึมหน่อยนะคะ
ปล. ไม่ได้เป็นเซียนถ่ายรูปนะคะ ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว มีเทคนิคอะไรจะสอนแนะนำได้เลยค่ะ กล้องที่ใช้เป็น canon s95 ค่ะ
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่ตั้งเป็นเรื่องเป็นราว ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ประเดิมด้วยภาพแรก พาโนรามาจากไอโฟนค่ะ วันที่ไปช่วงเช้าฟ้าค่อนข้างครึ้ม ภาพถ่ายออกมาสีอึมครึมหน่อยนะคะ
ปล. ไม่ได้เป็นเซียนถ่ายรูปนะคะ ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว มีเทคนิคอะไรจะสอนแนะนำได้เลยค่ะ กล้องที่ใช้เป็น canon s95 ค่ะ
ช่วงที่รู้ว่าจะได้ไปแอบเป็นห่วงค่ะ กลัวอากาศหนาวแล้วไม่ค่อยมีที่ให้เที่ยว มาเที่ยวเกาะมันก็ควรจะเป็นหน้าร้อนนี่นะ แต่ปรากฏว่าเป็นโชคดีเพราะเป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีพอดี เที่ยวตามพื้นราบตอนกลางวันอากาศเย็นสบายมีร้อนแดดบ้างแต่ลมพัดดีค่ะ ตอนกลางคืนจะหนาวลม ส่วนบนเขาอากาศจะค่อนข้างเย็นค่ะ ลมแรงด้วย
Hallasan เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในเกาหลี 1,950 เมตร จากระดับน้ำทะเล (ข้อมูลจาก wiki) มีทางเดินเขาทั้งหมด 7 ทาง ทางสั้นจะใช้เวลาเดินประมาณ 4-5 ชั่วโมง ได้แก่ เส้นออรีมก ยองชิล ทนเนโค และออซึงแซงอัก ทางยาวจะมีสองทาง ได้แก่ เส้นซองพานัก และกวานอึมซา (แปลว่า วัดกวนอิม นั่นเอง) ใช้เวลาเดินประมาณ 7-8 ชั่วโมง เห็นว่าต้องเดินทางนี้ถึงจะได้เจอทะเลสาบที่เกิดจากปากปล่องภูเขาไฟเรียกว่า แบงนกดัม (Baengnokdam) ถ้ามาจากทางสั้นจะไม่ถึง ส่วนอีกทางเป็นทางสั้นมาก เดินประมาณ 1-2 ชั่วโมง อย่าเรียกว่าเดินขึ้นเขาเลย เดินเข้าริม ๆ ป่าจะเหมาะกว่า คือ เส้นซอกกูรัมค่ะ
Hallasan เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในเกาหลี 1,950 เมตร จากระดับน้ำทะเล (ข้อมูลจาก wiki) มีทางเดินเขาทั้งหมด 7 ทาง ทางสั้นจะใช้เวลาเดินประมาณ 4-5 ชั่วโมง ได้แก่ เส้นออรีมก ยองชิล ทนเนโค และออซึงแซงอัก ทางยาวจะมีสองทาง ได้แก่ เส้นซองพานัก และกวานอึมซา (แปลว่า วัดกวนอิม นั่นเอง) ใช้เวลาเดินประมาณ 7-8 ชั่วโมง เห็นว่าต้องเดินทางนี้ถึงจะได้เจอทะเลสาบที่เกิดจากปากปล่องภูเขาไฟเรียกว่า แบงนกดัม (Baengnokdam) ถ้ามาจากทางสั้นจะไม่ถึง ส่วนอีกทางเป็นทางสั้นมาก เดินประมาณ 1-2 ชั่วโมง อย่าเรียกว่าเดินขึ้นเขาเลย เดินเข้าริม ๆ ป่าจะเหมาะกว่า คือ เส้นซอกกูรัมค่ะ
เข้าสู่การเดินทาง เพื่อน ๆ เราเลือกเดินจากยองชิลแล้วจะเดินกลับทางเดิมค่ะ ส่วนเราเลือกที่จะไปลงทางออรีมก เพราะระยะทางไม่ต่างกันมาก ออกจากที่พักที่ Jeju City นั่งรถบัส 1100 จากสถานีรถบัสมาที่ป้ายยองชิล โดยระหว่างทางรถบัสจะผ่านป้ายออรีมกด้วย ถ้าใครจะเริ่มที่เส้นออรีมกก็ลงที่ป้ายนี้ได้
จากป้ายรถเมล์ต้องเดินขึ้นไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จึงจะถึงทางเดินขึ้นเขา หรือถ้าไม่อยากเดินไกลก็มีรถแท็กซี่รอรับส่งขึ้นไปถึงทางขึ้นเขาเหมือนกันค่ะ ได้ยินแว่ว ๆ ว่า 8,000 วอน
วิวระหว่างทางขึ้น
วิวระหว่างทางขึ้น
เดินอีกสักพักจะถึงจุดจอดรถ หลังจากนี้ต้องเดินสถานเดียวแล้วค่ะ
หมายเหตุ ** ช่วงหลังจากนี้ส่วนใหญ่จะใช้ mode scene vivid ของกล้องซะส่วนใหญ่นะคะ เพราะทนความหม่นหมองของสภาพอากาศไม่ไหว
รูปภาพดูจืดไปมากเลยเมื่อเทียบกับความจริง
เดินต่อจากจุดจอดรถอีกหน่อยจะมาถึงจุดพักก่อนขึ้นเขาค่ะ มีร้านกาแฟ สัญลักษณ์เป็นรูปกาอยู่ด้วย
รูปภาพดูจืดไปมากเลยเมื่อเทียบกับความจริง
เดินต่อจากจุดจอดรถอีกหน่อยจะมาถึงจุดพักก่อนขึ้นเขาค่ะ มีร้านกาแฟ สัญลักษณ์เป็นรูปกาอยู่ด้วย
มีป้ายกระเบื้องเคลือบรูปกาหลากสีให้เขียนคำอวยพร (?) ลงไปด้วยนะคะ
จากนี้ไปเป็นทางเดินขึ้นเขาแล้วค่ะ
ปากทาง
ปากทาง
ระหว่างทาง
คนเดินเยอะเลยค่ะ
ทางเดินค่อนข้างดีเลยค่ะ ไม่ลำบาก
เดินขึ้นมาเรื่อย ๆ พอพ้นช่วงหุบเขามาก็จะเป็นวิวแบบนี้ค่ะ
ทางขึ้น
วิวข้างทาง มีต้นไม้ ดอกไม้สีสวย ๆ เยอะแยะ
เจ้าถิ่นเต็มไปหมด หวั่น ๆ อยู่ว่ามารอโจมตีคนหมดแรงป่าว
ข้างทางเป็นแบบนี้ค่ะ
เดินมาไกลขนาดไหนแล้วเนี่ย
มาถึงช่วงนี้ เพื่อนยอมแพ้แล้วค่ะ บอกว่าจะเดินกลับแล้ว ทิ้งให้เราเดินต่อคนเดียวตั้งแต่ยังไม่ถึงทางเข้าออรีมก แต่ไม่เสียใจอะไรค่ะ เดินคนเดียวก็เบาตัวไปอีกแบบ แถมแอบสมน้ำหน้าเพื่อนเล็ก ๆ เพราะถัดจากนี้ต่างหากล่ะของจริง อิอิ
ต้นไม้สีสวยจริง ๆ ค่ะ
ต้นไม้สีสวยจริง ๆ ค่ะ
เดินต่อมาอีกหน่อยก็จะเป็นช่วงเปลี่ยนวิวแล้วค่ะ ทางก็ไม่ชันเหมือนที่ไต่ ๆ มา ออกแนวป่าหิน
แม้แต่พืชพรรณก็เปลี่ยนไปด้วย
ตรงนี้เป็นทางหิน แอบเสียวก้าวพลาดแล้วหน้าฟาดเล็กน้อย
พ้นจากทางหินมาก็จะเจอวิวนี้ค่ะ อ้าปากค้างแล้วค้างอีก หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง มือนี่ไม่หยุดกดชัตเตอร์เลย
เป็นทางบนเขาแล้วค่ะ
รูปซ้ำอาจเยอะหน่อยนะคะ แบบว่ามันสวยมาก ไปคนเดียวไม่มีเพื่อนร่วมฟิน อยากแบ่งปันค่ะ
เดินต่ออีกหน่อยมีทางแยกขึ้นจุดชมวิว เนินชอนมังแด ขึ้นไป 160 เมตร
เดินต่ออีกหน่อยมีทางแยกขึ้นจุดชมวิว เนินชอนมังแด ขึ้นไป 160 เมตร
ระหว่างทางขึ้นชอนมังแด
วิวที่เห็นจากชอนมังแดค่ะ
จากนั้นลงมาเดินต่อตามทางหลัก
ที่ราบเขานี้ถ้ามาช่วงใบไม้ผลิจะเห็นดอกไม้บานเต็มทุ่ง
ระหว่างเดินต่อมีเสียงทักทาย อันยองฮาเซโย จากคนแปลกหน้าเป็นระยะ ๆ ราวกับรู้สึกได้ว่าแกก็ฟินใช่ไหม
เดินต่อมาอีกนิดจะมีจุดนั่งพัก มีม้านั่งให้นั่ง
วิวจากจุดนั่งพัก
มีให้เติมน้ำดื่มกันด้วย
เดินต่อมาอีกสักพักก็จะถึงที่พักที่เชื่อมปลายทางสามเส้นเอาไว้
ถ้าดูจากป้าย ก็คือ เพื่อนทิ้งตั้งแต่ช่วง 1.5 กิโลเมตร แรกเลย และดูเหมือนว่าถ้าจะเดินขึ้นไปแบงนกดัม ก็เดินจากที่นี่ขึ้นไปได้เหมือนกัน
บรรยากาศรอบ ๆ ที่พัก
นอนกันเพลินเลย
บอกก่อนว่าที่พักนี้ไม่มีน้ำอุปโภคนะคะ ซึ่งรวมไปถึงในห้องน้ำด้วย เตรียมทิชชูเปียกหรืออะไรพวกนี้ไปด้วยก็ดี ส่วนอาหารบนนั้นไม่แน่ใจว่าขายอะไร เห็นคนต่อคิวกันยาวเหยียด ส่วนตัวเตรียมข้าวปั้นไปสองลูกพร้อมค่ะ ที่ขาดไม่ได้เลยอีกอย่าง คือ เจ้าถิ่น
บอกก่อนว่าที่พักนี้ไม่มีน้ำอุปโภคนะคะ ซึ่งรวมไปถึงในห้องน้ำด้วย เตรียมทิชชูเปียกหรืออะไรพวกนี้ไปด้วยก็ดี ส่วนอาหารบนนั้นไม่แน่ใจว่าขายอะไร เห็นคนต่อคิวกันยาวเหยียด ส่วนตัวเตรียมข้าวปั้นไปสองลูกพร้อมค่ะ ที่ขาดไม่ได้เลยอีกอย่าง คือ เจ้าถิ่น
เยอะมากกก มารอกินเศษอาหารกัน
ใช้เวลาอยู่ที่จุดพักช่วงเที่ยงถึงเที่ยงครึ่งก็เดินต่อ ลืมบอกไปว่าเริ่มเดินทางจากป้ายรถยองชิลตอนเก้าโมง รวมใช้เวลากับเส้นทางยองชิลไปสามชั่วโมง (รวมเดินไป พักไป ถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ ด้วยนะคะ) เข้าสู่เส้นทางออรีมก
เจอจุดเติมน้ำอีกแล้ว
เดินต่อสักพักเริ่มเห็นหมอกอยู่ไกล ๆ
กำลังจะเดินตัดหมอกแล้วจ้า
ช่วงเดินตัดหมอกนี่สวยงามมากเลยค่ะ เหมือนเดินอยู่ในความฝัน แถววิวข้างทางก็เปลี่ยนเป็นระยะ ๆ บรรยายยังไงก็ไม่เหมือนที่รู้สึกเลยค่ะ
ต่อ ๆ
ต่อ ๆ
เดินไปสักพักถึงได้รู้ว่า ไอ้รางที่เห็นตลอดทางมีไว้ทำอย่างนี้ได้ด้วย นึกว่าไว้ส่งของขึ้นที่พักอย่างเดียว
เจอที่พักเติมน้ำอีกที่
เดินต่อมาอีกก็จะเห็นข้างทางเป็นดอกหญ้าสีเหลืองทอง สวยงามมมมมอีกแล้ว
ลืมบอกไปอีกอย่าง คือ ช่วงเดินตัดหมอกนี่ประมาณ 15-20 นาทีได้ ออกมาหัวเปียกเลย เพราะไม่ได้ใส่หมวก ผ้าพันคอก็ชื้นไปหมด ใครจะไปก็เตรียมอุปกรณ์กันหนาวดี ๆ ไม่งั้นเป็นหวัดได้ง่าย ๆ นะ ถ้ามีเสื้อที่เป็นผ้ากันลมกันฝนด้วยจะดีมาก
พ้นช่วงทุ่งก็จะเข้าสู่ช่วงป่าอีกแล้วค่ะ เป็นทางเดินลงอย่างเดียวเลย
พ้นช่วงทุ่งก็จะเข้าสู่ช่วงป่าอีกแล้วค่ะ เป็นทางเดินลงอย่างเดียวเลย
ขนาดมาพร้อมไม้เท้าก็ยังมาเดินเขาเลยนะเนี่ย หลัง ๆ ได้คุยกันสักพักด้วยช่วงที่พยายามจะเดินแซง
ช่วงนี้จะเห็นใบไม้แดง ส้ม เหลืองหลากสี สวยไปอีกแบบ
ใบไม้ที่ร่วงลงพื้นก็ทำให้ทางเดินเปลี่ยนไป อารมณ์ก็เปลี่ยนตาม
วิวข้างทาง
ช่วงเดินทางออรีมกไม่ค่อยได้ถ่ายรูปนะคะ เพราะต้องเร่งฝีเท้าเพื่อไปขึ้นรถเมล์ให้ทันเพื่อนตอน 14.15 น. และรอบถัดไปต้องรอเป็นชั่วโมงเลยค่ะ 15.45 น.
แต่ทว่า...ไฮไลท์ของเส้นทางออรีมกอยู่ตรงนี้ค่ะ
แต่ทว่า...ไฮไลท์ของเส้นทางออรีมกอยู่ตรงนี้ค่ะ
สะพานอะไรสักอย่างไม่ได้หยุดอ่านชื่อที่เขาเขียนไว้เพราะมัวแต่รีบ
ต่อค่ะ
สวยมากจนยั้งมือไม่ให้ถ่ายไม่ได้
จัดมาซะหลายรูปเลย
ขอจบกระทู้ด้วยภาพนี้นะคะ หลังจากนี้ไม่มีแล้วเพราะแทบจะวิ่งลงเขาเพื่อไปให้ทันรถเมล์กันเลยทีเดียว แต่ก็ตามคาดค่ะ ช้าไป 15 นาที แต่ก็นับว่าคุ้มค่ะ ไม่ผิดหวังเลยที่เลือกเดินสายนี้และอดทนมาจนสุดทาง รวมระยะเวลาที่เดินไปถ่ายรูปไป 5 ชั่วโมงครึ่งค่ะ ประทับใจทุกนาที อยากให้ได้มาสัมผัสกัน
เป็นการเดินทางที่ได้ทั้งชื่นชมความสวยงามตามธรรมชาติ และความภาคภูมิใจในตัวเองที่ได้บรรลุเป้าหมายเล็ก ๆ ที่ตั้งใจไว้ ในอนาคตกลับมาอีกแน่นอนค่ะ ต้องมาซ้ำช่วงใบไม้ผลิให้ได้ ^^
เป็นการเดินทางที่ได้ทั้งชื่นชมความสวยงามตามธรรมชาติ และความภาคภูมิใจในตัวเองที่ได้บรรลุเป้าหมายเล็ก ๆ ที่ตั้งใจไว้ ในอนาคตกลับมาอีกแน่นอนค่ะ ต้องมาซ้ำช่วงใบไม้ผลิให้ได้ ^^