ญี่ปุ่น...คงเป็นจุดหมายที่หลาย ๆ คนชื่นชอบและอยากจะไปสักครั้งแน่นอน เราก็หนึ่งในนั้นค่ะ ครั้งนี้เป็นการไปเที่ยวญี่ปุ่นที่ไม่ทันตั้งตัว จากโปรฯ แลกแต้ม Big Point ของแอร์เอเชียที่ถูกมาก ๆ และบังเอิญเข้าไปอีกที่เราไปชวนพี่สาวคนหนึ่ง เธอตอบตกลงไปด้วยกันในทันที ทริปนี้ของเราจึงเริ่มขึ้นด้วยความตื่นเต้นมาก แม้ว่าช่วงที่ไปเที่ยวนั้นเป็นหน้าร้อนและฝนตกแทบทุกวัน (เดือนสิงหาคม) แต่ก็ไม่ได้ทำให้เปลี่ยนใจเพราะเราอยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นในราคาประหยัด ๆ สักครั้ง ทริปนี้แผนการท่องเที่ยวเลยเป็นไปแบบหลวม ๆ คิดกันวันต่อวันว่าเราจะเดินทางไปไหนกันดี ทั้งทริปที่โตเกียวนี้ เราใช้ Tokyo subway 2-Days Ticket เป็นหลักค่ะ เพื่อความประหยัดและเท่าที่ List ที่เที่ยวมาก็สามารถเดินทางสะดวกด้วย Tokyo Subway ได้ทั้งหมด อาจจะมีเดินไกลบ้าง แต่ก็ถือว่าสะดวกสบายและเดินทางง่ายมาก ๆ ทริปนี้สนุกและประทับใจมากค่ะ ญี่ปุ่นไม่ได้แพงอย่างที่คิด ของถูกก็มีให้ช้อปเยอะมาก ๆ ผู้คนก็น่ารักมีน้ำใจ จะสนุกแค่ไหนไปชมด้วยกันเลยนะคะ
การเดินทาง : เราเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เวลา 11.45 PM. เดินทางถึงนาริตะ 08.00 AM. ลงจากเครื่องก็พร้อมเที่ยวได้เลย
การเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง : เราใช้ Keisei Skyliner เดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าสู่ใจกลางโตเกียวที่รวดเร็ว ใช้เวลาแค่ 36 นาที ถึงสถานี Nippori (และ 41 นาที ถึงสถานี Ueno) ในราคาที่ไม่สูงมาก
ซื้อตั๋วที่ Narita Terminal 2 ลงมาที่ 1F จะมีบูธของ Keisei ซึ่งเราสามารถซื้อตั๋วแบบต่าง ๆ ได้ที่จุดนี้
การซื้อตั๋วของ Keisei Skyliner ราคาจะยิ่งคุ้มค่ามากขึ้นเมื่อซื้อ "SKYLINER & METRO PASS" เป็นตั๋วลดราคาพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยว ถ้าซื้อตั๋ว Keisei Skyliner แบบเที่ยวเดียวหรือไป-กลับ สามารถซื้อตั๋วรถไฟ Metro Pass ได้ในราคาพิเศษ ซึ่ง Metro Pass สามารถขึ้นได้หมดทั้ง 9 สายของ Tokyo Metro และ 4 สายของ Toei Subway มีให้เลือกตั้งแต่ ตั๋ว 1 วัน 2 วัน หรือ 3 วัน
ราคาแพ็กเกจตามนี้
ตารางเวลาของ Keisei Styliner
keisei.co.jp
ของเราเลือกเป็น Skyliner แบบไป-กลับ และตั๋ว Metro Pass แบบ 2 วัน ราคา 5,100 เยน ได้ตั๋วมาทั้งหมด 3 ใบ
ใบที่ 1 เป็นตั๋วที่ใช้ขาไป เดินทางจาก Narita Airport เข้าสู่โตเกียว
ใบที่ 2 Tokyo Subway ใช้สำหรับเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro และ Toei Subway ** ตั๋ว Tokyo Metro Pass แบบ 2 วัน ต้องใช้ 2 วัน ติดต่อกัน
ใบที่ 3 ตั๋วขากลับของ Keisei Skyliner ซึ่งใช้ในวันกลับ (มีระยะเวลาในการใช้ 6 เดือน หลังจากออกบัตร) บัตรใบนี้เราต้องใช้ในการออกตั๋วและจองที่นั่งที่สถานี Ueno ในวันกลับค่ะ
ราคาสำหรับซื้อเฉพาะ Tokyo Subway Ticket มีราคาตามนี้
Tokyo Subway 1-Day Ticket- Adult : 800 yen, Child : 400 yen
Tokyo Subway 2-Day Ticket-Adult : 1,200 yen, Child : 600 yen
Tokyo Subway 3-Day Ticket-Adult : 1,500 yen, Child : 750 yen
ราคานี้จะใช้สำหรับขึ้นรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro and Toei Subway lines ทุกสายได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว สามารถซื้อได้ที่สนามบินฮาเนดะและสนามบินนาริตะ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
tokyometro.jp
ด้วยความที่เรามี Tokyo Metro Subway 2 Day Ticket การเดินทางของเราก็จะใช้รถไฟใต้ดินของ Tokyo Metro และ Toei Line ทั้งทริปนะคะ
Asakusa
Asakusa นี้ถือเป็นจุดที่เราค่อนข้างชอบมากที่สุด เพราะมีอะไรให้ท่องเที่ยวหลาย ๆ อย่าง ทั้งวัด แหล่งช้อปปิ้งที่มีทั้งห้างร้าน ช้อปเพลิน เที่ยวเพลิน อยู่ตรงนี้กันได้ทั้งวันไม่มีเบื่อเลยทีเดียว
การเดินทาง
Tokyo Metro สาย G-Ginza Line (สีส้ม) ลงสถานี G19-Asakusa ทางออก 1, 3
Toei Line สาย A-Asakusa Line (สีส้มแดง) ลงสถานี A18-Asakusa ทางออก A4
วัดเซนโซ (Sensoji) หรือที่บางคนเรียกว่าวัดอาซากุสะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตและเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งหนึ่งของโตเกียว เป็นวัดที่สวยงามเก่าแก่ มีพื้นที่กว้างใหญ่ ด้านในเป็นที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิม
ไหว้พระกันได้ที่จุดนี้ รับธูปจากด้านข้าง ชุดละ 100 Yen
กระถางธูปนี้มีความเชื่อว่าถ้ากวักควันธูปเข้าหาตัวจะนำความโชคดีมาให้
ถนนนากามิเซะ (Nakamise dori) ถนนเส้นนี้ยาวไปจนถึงวัดเซ็นโซจิ จะเป็นถนนแห่งการช้อปปิ้งที่มีสินค้าให้เลือกเยอะมาก ทั้งขนม ของฝาก ของที่ระลึก และมีขนมแบบที่ทานได้เลย เช่น Soft ice cream, ซาลาเปาทอด ซึ่งทางร้านจะให้เรายืนทานกันที่หน้าร้านเท่านั้นจะเดินไปทานไปไม่ได้ ถือเป็นกฎของที่นี่เลย ตรงโซนนี้ก็มักจะเห็นคนยืนทานขนมกันเป็นกลุ่ม ๆ ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
ซาลาเปาทอดไส้ถั่วแดง อร่อยชิ้นเล็ก ๆ กำลังดี
เมลอนปัง สอดไส้ไอศกรีม หลาย ๆ คนชอบมาก แต่เราชิมแล้วเฉย ๆ แฮะ
Shin-Nakamise ถนนช้อปปิ้งอีกแห่งเป็นถนนที่ตัดกับนากามิเซะ แต่ส่วนนี้จะมีหลังคาเดินช้อปปิ้งร่ม ๆ สบาย ๆ มีขายของฝากของที่ระลึกคล้ายกับถนนนากามิเซะ แต่ที่แตกต่างคือมีร้านอาหาร เสื้อผ้า มินิมาร์ท เครื่องสำอางดรักสโตร์ราคาย่อมเยาด้วย
นอกจากนั้นบริเวณรอบ ๆ ก็ยังมีร้านอาหารแหล่งช้อปปิ้งอีกเยอะมาก ๆ ค่ะ เดินกันเพลิน ๆ เกือบหมดวันค่ะ
มาที่ร้านอาหารที่อร่อยประทับใจมาก ๆ จนทำให้เราต้องมาทานซ้ำ ๆ กันถึง 2 รอบ Isomaru Suisan Asakusa Kannondori ร้านนี้จะเป็นแนว Seafood แบบปิ้งย่างและอาหารทั่วไป บรรยากาศในร้านตกแต่งสวยออกแนวร้านกินดื่มสังสรรค์ ร้านกว้าง นั่งสบาย ๆ
เมนูเด็ด ๆ ที่ทำให้เราติดใจมากคือ Kani (crab) Miso เป็นมันปูที่หอมมาก ๆ เวลาย่างจะเดือดปุด ๆ รสชาติหอมมันไม่เลี่ยนเท่าไร ทานกับข้าวสวยอร่อยกำลังดีเลย ชิ้นละ 499 yen อร่อยลืมอ้วนเลยอะ แนะนำว่าถ้ามาแล้วห้ามพลาดนะคะ
หอยเชลล์ อีกสิ่งหนึ่งที่ติดใจไม่แพ้กัน ตัวใหญ่ เนื้อเด้งดึ๋ง หวาน ราคาไม่แพงด้วย สองตัว 699 Yen
มาที่เมนูข้าวกันบ้าง เท่าที่สั่งคือรสชาติอร่อยทั้งคู่เลย ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 699-799 Yen มาทริปนี้สั่งแต่ข้าวหน้าแซลมอนตลอดทริปเลย
ปลาทอดกรอบอร่อย เคี้ยวได้ทั้งตัว
นัตโตะ
** ราคายังไม่รวม tax นะคะ โดยรวมร้านนี้ถือว่าประทับใจมาก ถ้ามีโอกาสต้องกลับไปทานอีกแน่ ๆ ทั้งรสชาติอร่อย บรรยากาศร้านสวยและราคาอาหารไม่แพงด้วยค่ะ
ประตู Kaminarimon หรือ Thunder Gate เป็นประตูทางเข้าวัดเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันเยอะมาก จนเราก็ไม่สามารถจะแทรกตัวเข้าไปถ่ายได้
จุดชมวิวแบบฟรี ๆ
จากประตูข้ามมาอีกฝั่งจะเป็นจุดบริการนักท่องเที่ยวศูนย์นักท่องเที่ยวและวัฒนธรรมย่านอาซากุสะ (Asakusa Culture Tourist Information Center) มีเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลภาษาอังกฤษและแนะนำการท่องเที่ยวได้ดีมาก ๆ ซึ่งเราสามารถขึ้นไปชมวิวบนชั้น 6 ของอาคารนี้ได้ด้วย วิวนี้จะมองเห็นความสวยงามรอบ ๆ ย่าน Asakusa ได้
มุมนี้เห็นแม่น้ำ Sumida และตึกอาซาฮี
อีกฝั่งมองเห็นวัดเซ็นโจจิ
Panda Bus
วันนี้นอกจากจะเดินช้อปปิ้งแล้ว เรายังจะไปนั่งรถ Panda Bus กันด้วยค่ะ ซึ่งเป็นรถที่ให้บริการฟรีวิ่งรอบ ๆ Asakusa มีรถตามรอบเวลาสามารถเช็กได้ที่จุดบริการนักท่องเที่ยวหรือตรงป้ายรถที่ตั้งอยู่ ฝั่งเดียวกับประตู Kaminarimon จะเห็นป้ายรถเมล์อยู่ค่ะ ก็มารอตรงนั้นได้เลย ตรงป้ายจะมีเขียนรอบเวลาต่าง ๆ บอกไว้ค่ะ แต่ละรอบจะห่างกันประมาณ 40-60 นาที
รถจะวิ่งไปรอบ ๆ สามารถลงได้หลายจุด ถ้าจะไปเที่ยวที่โตเกียวทาวเวอร์ก็จะมีจุดจอดที่หน้าตึกด้วยค่ะ ส่วนของเราก็ใช้บริการนั่งชมวิวแล้วกลับมาลงที่จุดเดิม
หรือจะนั่งรถลากแบบนี้ชมเมืองก็น่าสนุกดี แต่ราคาน่าจะสูงนะคะ
ปิดท้ายด้วยบรรยากาศ Senjoji Temple ช่วงกลางคืนก็สวยไปอีกแบบนะคะ เป็นการยืนยันเลยว่า Asakusa จุดเดียวนี่สามารถอยู่ได้เช้ายันค่ำเลยจริง ๆ ^__^
Tsukiji Fish Market
ตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่นี่จะมีทั้งปลาและอาหารทะเลสด ๆ เครื่องปรุงต่าง ๆ อาหารนานาชนิด ที่พลาดไม่ได้สำหรับสายกินอย่างเราก็คือการตะลุยชิมความสดอร่อย โดยเฉพาะโซนยอดฮิตด้านหน้าตลาดปลาที่เป็นแหล่งรวมร้านอร่อยขึ้นชื่อ ที่มีร้านอาหารให้เลือกเยอะมาก ๆ
การเดินทาง
Tokyo Metro สาย H-Hibiya Line (สีเทา) ลงสถานี H10-Tsukiji (ทางออก 1)
Toei Line สาย E-Oedo Line (สีชมพู) ลงสถานี E18-Tsukijishijo (ทางออก A1) *แนะนำว่ามาลงที่ Tsukijishijo จะเดินใกล้กว่า ออกจากสถานีเลี้ยวขวาเดินมานิดเดียวก็ถึงค่ะ
มาถึงตลาดช่วงริมถนนจะเห็นร้านอาหารเล็ก ๆ อยู่เยอะมาก ๆ ส่วนใหญ่ก็จะยืนทานกันหน้าร้านเลย มีอาหารให้เลือกแทบจะทุกประเภททีเดียวค่ะ
ร้านแรกที่เราจะชิมก็คือร้าน Sushi Zanmai ร้านค่อนข้างใหญ่พอสมควร มีทั้งหมด 2 ชั้น คิวหน้าร้านค่อนข้างยาวแต่รอไม่นานค่ะ
เมนูอาหารมีให้เลือกเยอะมากในราคาที่ไม่แพง ซุปปูราคาประมาณ 400 Yen ซูชิแซลมอน 98 Yen ที่ชิมวันนี้มีซุปปู, ซุปหอยลาย, ซูชิ อร่อยถูกใจมาก ๆ ทุกเมนูเลย มื้อนี้สั่งเบา ๆ ก่อนเดี๋ยวไปต่อร้านอื่นอีกค่ะ
ร้านไข่หวาน มีให้เลือกเยอะมาก
ตลาดนี้ค่อนข้างใหญ่นะคะ มีของให้เลือกเยอะมาก ทั้งอาหาร เครื่องปรุง ขนมต่าง ๆ
เดินไปแวะชิมไปเพลินมากค่ะย่านนี้ หอยเชลล์ตัวโต ๆ ย่างและราดด้วยไข่หอยเม่น ราคา 600 Yen
เดินกันสักพักก็ได้เวลาชิมร้านที่ 2 ร้านนี้เราไม่ทราบชื่อนะคะ แต่ถ่ายภาพหน้าร้านมาให้เผื่อใครอยากจะลองชิม
ร้านนี้รสชาติของข้าวจะแตกต่างจากที่เคยทานมาเลยค่ะ ตัวข้าวจะออกสีน้ำตาล ๆ รสชาติค่อนข้างเปรี้ยวและออกเค็มหน่อย ๆ จะไม่เหมือนซูชิที่เคยทานมาก่อนเลยค่ะ ร้านนี้จะมีเป็นเซตเมนูซะส่วนใหญ่ ราคาจะสูงหน่อย ๆ (ชุดนี้ 2,500 Yen)
จานนี้เป็นปลาค็อด ราดด้วยน้ำซีอิ๊วรสชาติออกหวาน ๆ หอม เนื้อปลานุ่มอร่อยมาก ๆ
สำหรับคนที่จะมาเที่ยวตลาดแห่งนี้ควรจะมาตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงบ่าย ๆ น่าจะเหมาะค่ะ เพราะที่เราเดินช่วงบ่าย ๆ หลาย ๆ ร้านก็เริ่มเก็บแล้ว แต่ร้านอาหารหลายแห่งก็เปิดถึงช่วงเย็นนะคะ
Ueno
ย่านอุเอโนะ เป็นย่านที่ค่อนข้างใหญ่และมีที่น่าสนใจเหมาะกับการท่องเที่ยวหลายแห่ง ทั้งสวนขนาดใหญ่, สวนสัตว์อุเอโนะ, พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ และพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกหลายแห่งบริเวณนี้ และที่เราชอบที่สุดก็คือแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ หมดเงินช้อปที่นี่เยอะเลยทีเดียว
การเดินทาง
Tokyo Metro สาย Ginza Line (สายสีส้ม) ลงสถานี UENO (G16), H-Hibiya Line (สีเทา) ลงสถานี H17-Ueno
Toei Line สาย E-Oedo Line (สีชมพู) ลงสถานี Ueno-okachimachi (E09)
และถ้าพูดถึง Ueno แล้วที่แรก ๆ ที่เรานึกถึงเลยก็คือตลาด Ameyoko ค่ะ เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่น่าสนใจมาก ๆ มีทั้ง เสื้อผ้า อาหาร ขนม ของฝาก เรียกได้ว่ามาที่เดียวก็หมดตัวได้ และที่เห็นเยอะ ๆ มาก ๆ เลยก็คือรองเท้าผ้าใบค่ะ มีแทบจะทุกมุมเลย
แต่เราเดินได้สักพักฝนก็ตกหนักแล้วค่ะ เลยมีภาพมาฝากแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะ
นอกจากแหล่งช้อปปิ้งแล้ว ใกล้ ๆ สถานี Ueno นี้ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ให้ชมหลายแห่งเลยค่ะ ครั้งนี้เราได้ไปชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโตเกียว (Tokyo National Museum) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ภายในสวนอุเอโนะ บัตรเข้าชมจะมีหลายแบบหลายราคา ซึ่งจะเข้าชมในส่วนต่าง ๆ ได้มากกว่ากันค่ะ ของเราเป็นบัตรราคา 620 Yen
ภายในกว้างใหญ่ มีของเก่า ๆ ให้ชมเยอะมาก ๆ สวยงามคุ้มค่ากับค่าเข้าที่จ่ายไป ขอถ่ายเป็นมุมกว้างมาให้แล้วกันนะคะ ส่วนด้านในต้องมาชมเอง
วิวสวนจากจุดนั่งพักในพิพิธภัณฑ์ร่มรื่นมาก ๆ
อีกหนึ่งอาคารที่สามารถเข้าชมได้ ภายในตกแต่งได้สวยงามทันสมัยมาก ๆ ด้านในจะเป็นพระพุทธรูปในยุคต่าง ๆ ของต่างประเทศ
สำหรับค่าเข้า 620 Yen นี้เราว่าคุ้มมาก ๆ ค่ะ ได้ชมของเก่า ๆ และได้ศึกษาประวัติความเป็นมาหลาย ๆ อย่างของญี่ปุ่น ในบรรยากาศที่สวย สะอาด เย็นสบาย ๆ
มาชมวิวสวย ๆ ของเมืองโตเกียวแบบฟรี ๆ กันบ้าง
ตึกศาลาว่าการกรุงโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government Building) อาคาร 1 (TMG Building No.1) สูง 243 เมตร มีทั้งหมด 51 ชั้น ตึกนี้สามารถขึ้นมาชมวิวได้ฟรีที่ชั้น 45 สามารถมองวิวเมืองโตเกียวได้โดยรอบ ถ้าอากาศดี ๆ จะมองเห็นฟูจิซังได้ด้วยค่ะ
การเดินทาง
Toei subway สายสีชมพูเข้ม Oedo Line ลงสถานี Tochomae [E28] สถานีนี้จะอยู่ใต้ตึก Tokyo Metropolitan Government เลยค่ะ
บนจุดชมวิวก็จะเห็นวิวเมืองโตเกียวรอบ ๆ ถ้าอากาศดี ๆ ก็จะมองเห็นฟูจิซังด้วย
Shinjuku
แหล่งละลายทรัพย์อีกที่ ย่านนี้เป็นแหล่งบันเทิงและแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่มาก ๆ เป็นศูนย์รวมแฟชั่นเก๋ ๆ ถ้าชอบสินค้าแฟชั่น ๆ หน่อย ที่นี่ก็มีให้ดูเยอะเลยค่ะ ห้างต่าง ๆ ก็มีให้เลือกเดินหลายแห่ง ร้านค้ามากมายเต็มไปทุกตรอกซอกซอยเป็นอีกแหล่งช้อปปิ้งที่เราชอบมาก ๆ เดินได้ไม่มีเบื่อ
การเดินทาง
Tokyo Metro สาย M-Marunouchi Line (สีแดง) M09-Shinjuku Sanchome
Toei Line สาย E-Oedo Line (สีชมพู) สถานี (E27) Shinjuku
Don Quijote
และเมื่อเจอดองกี้ แพลนทุกอย่างก็หายไป ลุยช้อปเครื่องสำอางกันจนน้ำหนักกระเป๋าที่ซื้อมาเกือบไม่พอ
ราคาถูกโดนใจมาก ๆ
Roppongi
Roppongi เป็นย่านที่ดูค่อนข้างสมัยใหม่ ไฮโซนิด ๆ เต็มไปด้วยอาคารสำนักงาน, ร้านอาหาร, โรงแรม, พิพิธภัณฑ์ศิลปะ ผู้คนไม่พลุกพล่านมากนัก
Tokyo Metro สาย H-Hibiya Line (สีเทา) ลงสถานี (H04)-Roppongi ทางออก 1
Toei Line สาย E-Oedo Line (สีชมพู) ลงสถานี (E23)-Roppongi ทางออก 1
วันนี้เรามาเที่ยวที่ Roppongi Hill ตึกนี้เป็นแหล่งช้อปปิ้งหรูหรามีระดับ ชั้นบนมีจุดชมวิวสวย ๆ ด้วย ถ้าหากใครสนใจชมก็สามารถซื้อบัตรขึ้นไปชมได้ ช่วงที่เรามามีการนำโดราเอมอนมาโชว์พอดี บรรยากาศน่ารักมาก ๆ
Shibuya
ชิบูย่า (Shibuya) ก็เป็นย่านช้อปปิ้ง แหล่งรวมเสื้อผ้าแฟชั่น วัยรุ่น ร้านอาหาร เป็นย่านที่คึกคัก ผู้คนพลุกพล่านมาก ๆ ขนาดเป็นวันธรรมดานี่ก็แทบจะเดินเบียดกันแล้ว ข้อดีของการมาเที่ยวช่วงหน้าร้อนก็คือของเซลค่ะ เราได้เสื้อผ้าจาก H&M ในราคา 200-500 เยน กลับบ้านไปเพียบ
การเดินทาง
Tokyo Metro : เดินทางได้หลายสาย ทั้งสาย G-Ginza Line : สาย F-Fukutoshin Line : สาย Z-Hanzomon Line : ลงสถานี Shibuya
มาถึงนี่ต้องไม่พลาดการข้ามถนนห้าแยกชิบูย่า เป็นอะไรที่สนุกมาก
นอกจากแหล่งช้อปปิ้งร้านค้าจะเยอะแล้ว ร้านอาหารก็มีเยอะมาก ทั้งซูชิจานหมุน ราเมน หลายร้านติด ๆ กันเลยค่ะ เหมาะแก่การตะลุยกินมาก ๆ
Pablo ร้านชีสเค้กยอดฮิต
วันนี้เราชิมซูชิจานหมุนที่ร้าน Sushi go-round เป็นร้านเล็ก ๆ ร้านนี้จะอยู่ใกล้ ๆ กับร้าน Bershka
ในร้านเป็นร้านเล็ก ๆ มีหลายราคาแตกต่างกันตามสีของจาน โดยรวมรสชาติอร่อยค่ะ ปลาสดดี
ปิดท้ายด้วยซุปมิโซะปูร้อน ๆ ถ้วยนี้ราคา 400 yen
ทั้งหมดนี้เราใช้เวลาเที่ยว 3 วันค่ะ โตเกียวเป็นเมืองที่เที่ยวไม่ยากและไม่ได้แพงอย่างที่เราคิดมาก่อนเลย รถไฟใต้ดินแม้จะมีหลายสาย แต่ก็ไม่ยากเลยค่ะ แล้วถ้าใช้ Pass แบบเหมาวัน ก็ถือว่าประหยัดมาก อยากไปตรงไหนก็ไป ติดใจตรงไหนอยากไปซ้ำก็ไปได้อีกไม่ต้องกลัวจะเปลืองค่ารถด้วย หลงได้ตามสบายเลยค่ะ
แถมท้ายด้วย 2 ที่พักที่เราพักในทริปนี้นะคะ
Hotel MyStays Asakusa
เป็นโรงแรมที่ราคาไม่สูงมากนัก การเดินทางก็ถือว่าสะดวกดีค่ะ จากสถานี Ueno ขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Oedo line ลงสถานี kuramae ทางออก A7 เดินตรงข้ามสะพานไป 400 เมตร เจอแยกไฟแดง ก็จะพบโรงแรมอยู่ด้านซ้ายมือ ถือว่าเดินไม่ไกลนะคะ ชมวิวเพลิน ๆ จากโรงแรมสามารถเดินไปย่าน Asakusa ได้ด้วย
ห้องพักสะอาด สะดวกสบาย แต่มีขนาดเล็กไปนิด ถ้าแค่นอนพักก็ถือว่าโอเคมาก ๆ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ
ห้องน้ำมีอ่างน้ำเล็ก ๆ ด้วยค่ะ เดินมาเหนื่อย ๆ แล้วได้นอนแช่นี่รู้สึกสบายมาก ๆ
Kangaroo Hotel Tokyo
เป็นโรงแรมเล็ก ๆ ราคาประหยัด ๆ ในโตเกียว ที่เราจองมาแค่พันกว่าบาทเท่านั้นเองค่ะ
การเดินทาง : ใช้เวลาเดินมาที่โรงแรมประมาณ 10 นาที ด้วยการเดินจากสถานีรถไฟ Minami-Senju ซึ่งมีรถไฟของ JR และ Tokyo Metro ถือว่าค่อนข้างสะดวก เดินข้ามสะพานลอยมาแล้วเดินต่อมาอีกโรงแรมจะอยู่ในซอย อาจจะหายากเล็กน้อยแต่แผนที่โรงแรมก็พอช่วยได้
โรงแรมมีขนาดเล็ก ตกแต่งสไตล์ modern เป็นปูนเปลือย ในห้องต้องบอกเลยว่าเล็กมาก ๆ คือเข้ามาเจอแค่ที่นอนแบบพอดีตัว สำหรับนอน 2 คน อึดอัดเล็กน้อย
ภายในห้องมีแอร์ มี TV ตู้เย็นครบครัน ความสะอาดดีเยี่ยมทั้งห้องพัก บริเวณรอบ ๆ โรงแรมและห้องน้ำ ข้อเสียก็คงเป็นที่พักที่มีขนาดเล็กมาก ทั้งตัวโรงแรมและภายในห้อง แต่ด้วยราคาที่ประหยัดก็ถือว่าคุ้มมาก ๆ
ภายในที่พักมีมุมครัวเล็ก ๆ มีไมโครเวฟกับกาน้ำร้อนให้ด้วย บริเวณโดยรอบก็สะอาดปลอดภัย มีซูเปอร์มาร์เกตหลายแห่ง สบายเรื่องปากท้องแน่นอน (แนะนำซื้อหลังสามทุ่มจะลด 50%)
ทริปญี่ปุ่นนี้พอได้มาแล้วทำให้เปลี่ยนความรู้สึกไปได้เยอะเหมือนกัน จากที่เราเคยกลัวเรื่องการเดินทาง กลัวหลง กลัวแพง แต่พอได้มาแล้วรู้เลยว่าโตเกียวเที่ยวง่ายมาก ๆ การเดินทางและข้าวของก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด ถ้าเราวางแผนดี ๆ เป็นเมืองที่สะอาดปลอดภัย และที่ประทับใจมากที่สุดก็คือผู้คนที่มีน้ำใจมาก เราเคยได้ยินว่าถ้าไปถามทางเค้าจะเดินมาส่งถึงที่ ซึ่งทริปนี้เราก็เจอแบบนี้จากทุกคนที่เราไปถามจริง ๆ บางคนพูดไม่ได้ได้แต่พยักหน้าแล้วพาเราเดินมาไกลมาก ๆ เพื่อมาส่งถึงโรงแรม ยืนดูจนเราไปถึงจุดหมาย เป็นอะไรที่ประทับใจมาก ๆ ทำให้เป็นอีกประเทศที่ไปแล้วต้องไปซ้ำ ๆ อีกหลาย ๆ รอบแน่นอน
รีวิวหน้าจะพาไปชม Nikko แบบชุ่มฉ่ำสายฝนกันนะคะ ขอบคุณที่แวะมาชมและทักทายกันค่ะ
ถ้ามีคำถามหรืออยากชมทริปอื่น ๆ ที่ไม่ได้รีวิวที่ Pantip เข้าไปชมได้ที่ เฟซบุ๊ก gagagigy นะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ gagagigy สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก gagagigy