ข้อมูลและภาพประกอบโดยกระปุกดอทคอม
สายฝนเริ่มโรยราจากฟากฟ้า เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าฤดูท่องเที่ยวกำลังมาเยือนอีกครั้ง ทะเลสีครามสดใส หาดทรายขาวสะอาดเม็ดละเอียด ยิ้มแย้มรอต้อนรับให้นักเดินทางไปสัมผัส ... และเชื่อว่าหลาย ๆ คนกำลังมองหา สถานที่ท่องเที่ยว เพื่อไปชาร์ตแบตเติมพลังชีวิตให้กับตัวเอง ก็แหม...เรียนมาทั้งปี ทำงานมาเกือบทุกวัน หลบไปพักตาพักใจบ้างอะไรบ้าง
วันนี้กระปุกดอทคอมเลยมีแหล่งท่องเที่ยว แจ่ม ๆ เจ๋ง ๆ แถมเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่วโลกถึงความสวย ใช่แล้ว! เราจะพาไปนั่งเรือล่องทะเลอันดามัน เยี่ยมชมเกาะน้อยใหญ่ ณ จังหวัดสตูล แต่จะมีที่ไหนบ้างนั้น ... นับ 1 2 3 ไปเที่ยวกันเลย
ทริปนี้เราออกตัวกันที่ "ท่าเทียบเรือปากบารา" จังหวัดสตูล เพื่อนั่งเจ้าทรัพย์อุมมา เรือสปีดโบ๊ทพาหนะยอดฮิต ออกเดินทางไปสัมผัสความงดงามของท้องและอันดามัน โดยปลายทางที่เราจะไปเยือนเป็นอันดับแรกคือ "เกาะตะรุเตา" หรือ "อุทยานแห่งชาติตะรุเตา" อุทยานแห่งชาติลำดับที่ 8 ของประเทศไทย
อะ ๆ ก่อนอื่นขอแนะนำไกด์ประจำทริป "หาบี๋" หนุ่มใต้คนเก่ง จากท่าเรือเราใช้เวลาไปชื่นชมความสวยของ เกาะตะรุเตา ประมาณ 1.30 ชั่วโมง เกาะเลืองชื่อลือนามอย่าง ตะรุเตา ก็ปรากฏโฉมให้เห็น เพียงแค่มองไกล ๆ ก็รับรู้ได้ถึงความงดงามที่ซ้อนตัวอยู่กลางท้องทะเล ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ 72 กิโลเมตร
ทันทีที่เรือเทียบ ท่าเรือพันเตมะละกา สายตาก็ไปเตะกับทิวสนเรียงราย แต่ก่อนที่จะออกไปลัลลาเล่นน้ำทะลใส ๆ สิ่งแรกที่ควรจะทำคือ การไปสักการะ "เจ้าพ่อตะรุเตา" และ "พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองปกป้องรักษาพื้นดินแห่งนี้ จน Unesco ยกให้เป็น มรดกแห่งอาเชียน (Asean Heritage Parks and Reserves)
บน เกาะตะรุเตา มีที่เที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อ่าวเมาะและ, อ่าวตะโลวาว, อ่าวตะโละอุดัง, อ่านพันเตมะละกา, ผาโต๊ะบู ฯลฯ และที่ขาดไม่ได้คือ อ่าวตะโละอุดัง และ อ่าวตะโละวาว สถานที่ที่อดีตเคยเป็นทัณฑสถาน และเป็นนิคมฝึกอาชีพของนักโทษเด็ดขาด, นักโทษผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย และนักโทษการเมือง ก่อนจะยกเลิกไปในที่สุด
สำรวจทั่ว เกาะตะรุเตา แล้วก็ได้เวลาออกเดินทางไป เกาะไข่ เกาะเล็ก ๆ แต่ฮอตฮิตสำหรับคู่รัก เพราะมีหนุ่มสาวหลายคู่ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเกาะแห่งนี้ เพื่อลอด "ซุ้มประตูหิน" ปรากฎกาณณ์ทางธรรมชาติ ที่ทอดโค้งจากผืนทรายจรดน้ำ ตามความเชื่อที่ปรากฎบนป้ายว่า
... ประตูหินโค้ง...ตะรุเตา จุดเพิ่มพูนตำนานรักหนุ่มสาว แดนประเดิม เสริมรักให้ยืนยาว สองเราก้าวสู่ประตู...นิรันดร์ ...
ทั้งนี้ทั้งนั้น มีเคลัดลับเสริมอยู่เล็ก ๆ น้อย ๆ หากคู่รักหนุ่มสาวจูงมือกันลอดซุ้มประตูหิน แล้ววกกลับมาลอดซุ้มประตูหินเล็ก ๆ ที่อยู่เคียงข้างกัน เพียงเท่านี้ความรักของทั้งคู่ก็จะยืนยาวมั่นคงยิ่งขึ้น (เขาว่ากันแบบนั้นนะ) ส่วนชื่อ เกาะไข่ มีที่มาจากเต่าทะเลมักขึ้นมาวางไข่ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ จนทำให้ถูกขนานนามว่า "เกาะไข่"
ลอด "ซุ้มประตูหิน" ณ เกาะไข่ กันแล้ว ก็ออกเดินทางไป "เกาะหินซ้อน" ชมปรากฎการณ์ที่ธรรมชาติที่พระเจ้ารังสรรค์ให้มนุษย์อย่างเรา ๆ ตื่นตาตื่นใจกันต่อ นั่งเรือเพียงแค่ 30 นาที ภาพของหินก้อนโตทับซ้อนกันอย่างน่าอัศจรรย์ ตั้งเรียงกันอย่างงดงามแปลกตา ก็ปรากฎให้ประหลาดใจ โดยเฉพาะหิน 2 ก้อนขนาดบิ๊กไซส์ ที่ทับซ้อนตั้งฉากกับทะเลสีคราม แถมบริเวณรอบ ๆ ยังสามารถดำดิ่งชมความงามปะการัง และโลกใต้ทะเลได้อีกด้วย หาบี๋ ไกด์คนเก่งของเราบอกอีกว่า "เกาะหินซ้อน" ถือเป็นประตูทางทะเลสู่จังหวัดตรัง เมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นเกาะแห่งนี้ ชาวเรือจะรับรู้ได้ทันทีว่ากำลังเดินทางเข้าเขตจังหวัดสตูลแล้ว
อลังการงานสร้างกับ "เกาะหินซ้อน" กันแล้ว ก็ถึงเวลาไปสัมผัสหาดทรายขาว ๆ น้ำทะเลสีมรกตที่ "เกาะรอกลอย" ซึ่งห่างออกไปเพียงแค่ประมาณ 15 นาที เกาะเล็กพริกขี้หนูแต่งามจนได้รับฉายา "ทะเลหยก" นักท่องเที่ยวมักแวะเวียนทักทาย เกาะรอกลอย เพื่อเติมพลังก่อนไปตะลุยยังเกาะอื่น ๆ เพราะบนเกาะคราคร่ำไปด้วยแมกไม้ร่มรื่น แถมยังมีเก้าอี้ไม้ตั้งรอต้อนรับอยู่เพียบ หรือจะปีนขึ้นไปชมวิวบริเวณด้านบนเกาะ หรือใครอยากเล่นน้ำทะเลก็สามารถกระโดดไปแหวกว่ายได้
นั่งทอดอารมณ์อยู่พักใหญ่ ก็ถึงเวลาไปโล้ชิงช้าที่ "เกาะราวี" เกาะที่มีนักท่องเที่ยวหลาย ๆ คนอยากมานอนกลิ้งเกลือก หยอกเย้าปูเสฉวนตัวเอ้เดินต้วมเตี้ยมบน "หาดทรายขาว" แต่ทันทีที่เดินทางมาถึง เกาะราวี เท้าเจ้ากรรมกลับตรงดิ่งไปโพสต์ท่าถ่ายรูปคู่ขอนไม้สีขาวนวล สัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าได้มาเยือน เกาะราวี แล้ว ก่อนจะกระโจนลงทะเลสีใสแจ่ว เล่นน้ำอย่างครึกครื้น เพราะบริเวณนี้ชายหาดไม่ลาดเอียงมากนัก เหมาะสำหรับลงไปเล่นน้ำทะเลสุด ๆ
แหม...เล่นน้ำจนฉ่ำปอดแล้ว ก็ไปเรียงก้อนหินขอพรที่ "เกาะหินงาม" กันต่อ จาก เกาะราวี มุ่งหน้าสู่ เกาะหินงาม ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หาดทรายถูกแทนที่ด้วยก้อนหินสีดำแวววับ กลมเกลี้ยงจากการถูกขัดสีฉวีวรรณของน้ำทะเล เรียงรายนับล้านก้อน ก็ค่อย ๆ เผยโฉมให้สายตาต้องมนต์สะกด พร้อม ๆ กับความมุ่งมั่นเล็ก ๆ หลังฟัง ไกด์เล่าถึงความเชื่อเรื่องการนำก้อนหินบนเกาะ มาเรียงซ้อนกันให้ได้ 13 ก้อน และจะสามารถอธิษฐานขอพรให้สมประสงค์ได้
ก่อนที่หูจะสะดุดกับคำเตือน "ห้ามหยิบก้อนหินบนเกาะติดมือกลับไปเด็ดขาด!" และตามมาด้วยเรื่องราวอาถรรพ์ "คำสาปเจ้าพ่อตะรุเตา" ที่ถูกถ่ายทอดให้ฟังจนขนลุก (ความเชื่อส่วนบุคคล) ผสมกับความกลัวหน่อย ๆ อิอิ แต่เมื่อสองเท้าได้ยืนอยู่บน เกาะหินงาม ความน่ามองที่เข้ากันดีของน้ำทะเลกับก้อนหินสีดำขนาดน้อยใหญ่ ก็ทำให้ลืมความกลัวไปชั่วขณะ และหันไปดื่มด่ำกับก้อนหินลวดลายสวยงามแทน ยิ่งเวลาน้ำทะเลซัดซาดเข้าใส่ ก้อนหินจะเกิดประกายแวววับงดงามจับใจ
เรียงก้อนหินกันหนำใจ ก็ถึงเวลาไปเยือนเกาะสุดท้าย ซึ่งเป็นไฮไลท์เพราะได้ฉายา "มัลดีฟส์เมืองไทย" ใช่แล้วเรากำลังพาเพื่อนๆ ไปเที่ยว "เกาะหลีเป๊ะ" หรือ "เกาะสิเป๊ะ" เกาะที่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่เป็นที่พักพิงของชุมชนชาวเลหลายครอบครัว ที่ยังดำเนินวิถีชีวิตตามแบบดั่งเดิม แม้ว่าความความเจริญของเทคโนโลยีจะค่อย ๆ กลืนกิน
จุดเด่นอีกหนึ่งอย่างของ เกาะหลีเป๊ะ ก็คือความเนียนนุ่มของหาดทรายสีขาว ที่ถูกโอบล้มด้วยน้ำทะลสีเขียวมรกต ท้ายที่สุดเมื่อไปเยือน เกาะหลีเป๊ะ ต้องไปชิม "ชาชัก" เคล้า "โรตี" ไส้ต่าง ๆ ของขึ้นชื่อของเขาล่ะ แถมบน เกาะหลีเป๊ะ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รอต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย
อะ ๆ เริ่มอยากเก็บกระเป๋ามุ่งหน้าสู่จังหวัดสตูล ไปสัมผัสความงามของเกาะน้อยใหญ่แบบเราแล้วใช่ไหม...จะช้าอยู่ใย เที่ยวเมืองไทยไม่ไปไม่รู้นะจ๊ะ
ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานตรัง โทร. 075-215867, 075-211085, 075-211058 หรือ 1672 Email : tattrang@tat.or.th และ www.tourismthailand.org
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ และสนับสนุนการเดินทางโดย