ปากเซ ...เมืองเอกของแขวงจำปาศักดิ์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติให้ไปสัมผัสกับความงดงามมากมาย รวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนก็ยังเรียบง่าย เราเลยจะชวนเพื่อน ๆ ตามบันทึกการเดินทางของ คุณช่างถ่ายพลาด สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ไปเที่ยวปากเซกันค่ะ และนอกจากจะนำประสบการณ์การท่องเที่ยว "ปากเซ" มาแชร์ให้เราได้ชมกันแล้ว ยังได้แนะนำสิ่งที่ควรรู้ก่อนเป็น Backpacker เที่ยวประเทศลาวมาบอกกันด้วย เอาเป็นว่าลองไปดูกันค่ะ ^^
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นนำก่อนว่าทริปนี้เป็นทริปการเดินทางออกนอกประเทศด้วยตัวเองครั้งแรกที่ผมวางแผนเอาไว้นานมาก ทั้งหาข้อมูลที่ท่องเที่ยว ที่พัก การเดินทางและกำหนดการต่าง ๆ แต่ก่อนกำหนดการทุกอย่างจะเริ่มขึ้น 1 สัปดาห์ ผมก็มีความคิดว่าจะล้มเลิกแผนการเดินทางในครั้งนี้ เนื่องจากปัญหาทางด้านการเงินของผมเอง แต่ก็มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนใจเพราะผมเล่าเรื่องทริปปากเซในครั้งนี้ให้รุ่นน้องคนหนึ่งฟัง ปรากฏว่าน้องผมขอไปด้วย ผมก็ต้องเลยตามเลย บอกมันว่าไปก็ไป พอใกล้วันแล้วค่อยไปเจอกันที่อุบลฯ เลย ผมได้แต่นับถอยหลังรอแล้วรอเล่า ใจจดใจจ่อ จนในที่สุด...ทริปของผมก็มาถึงซะที
Day 1 วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2558
หลังจากที่ผมและน้องผู้ร่วมทริปเก็บกระเป๋าออกจากบ้านของผมที่อุบลฯ เราก็มุ่งหน้าไปสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุบลฯ ทันที เราเดินทางถึงสถานีขนส่งประมาณ 8 โมงครึ่ง (เมื่อวานเรามาขอจองตั๋วที่นี่ แต่คนขายตั๋วบอกว่าไม่รับจอง เค้าบอกให้เรามาซื้อที่ช่องขายตั๋วตอนเช้าเลย) ผมก็ไปซื้อตั๋วรถบัสและรอเวลาที่รถจะเข้ามาจอดเทียบชานชาลา
รถที่เราจะใช้เดินทางเพื่อไปยังเมืองปากเซก็คือรถบัสคันนี้ เป็นรถโดยสารระหว่างประเทศไทย-ลาวของบริษัทขนส่ง(มั้งนะ) ค่ารถ 200 บาทต่อคน จะเดินทางต่อเดียวพาเราไปส่งถึงสถานีขนส่งหลักแปด เมืองปากเซ การเดินรถจากไทยไปลาวมีเพียง 2 รอบต่อวัน คือ 09.30 น. และ 15.30 น. โดยขึ้นรถที่สถานีขนส่งเท่านั้น ระหว่างทางจะมีเด็กรถมาถามว่าใครไม่มีพาสปอร์ตบ้าง หากใครไม่มีเขาจะพาลงไปทำ Boarding Pass ก่อนถึงด่าน ตม. แต่ถ้าใครไม่ชอบการเดินทางด้วยรถบัสก็มีรถตู้ให้บริการเช่นกัน แต่จะเป็นรถตู้อุบล-ช่องเม็ก รถจะส่งท่านแค่ที่ด่านผ่านแดน แล้วเราต้องไปต่อรถตู้จากด่านถึงปากเซอีกต่อหนึ่ง ค่ารถก็ต่อละ 100 บาท มีรถตู้วิ่งหลายรอบ หากใครสนใจลองวิธีการนี้สามารถทำได้ เพียงแต่ผมไม่ค่อยแนะนำเท่าไร เพระเมื่อถึงด่านช่องเม็กรถตู้ที่จะต่อไปลาวออกไม่ตรงเวลา ต้องรอจนกว่าผู้โดยสารจะเต็มคันรถ คนขับถึงจะได้ฤกษ์สตาร์ทเครื่องยนต์
หลังจากที่เราเดินทางมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองรถบัสจะจอดให้เราลง เพื่อเดินทางไปประทับตราหนังสือเดินทาง ในจุดนี้ก็ไม่ต้องอะไรมากครับ เดินตามผู้โดยสารคนอื่นเข้าไปในตึก กรอกแบบฟอร์มขาออก แล้วรอต่อแถวออกนอกประเทศไทยได้เลย พอเราประทับตราหนังสือเดินทางฝั่งไทยเสร็จแล้ว เราต้องเดินไปปั๊มวีซ่าที่ด่าน ตม. ของลาวอีกครับ โดยเดินลอดทางขาเข้า-ขาออก (ที่เห็นในรูปนั่นแหละครับ) แล้วเดินตรงตามถนนไปเรื่อย ๆ จะเห็นสำนักงานของ ตม. ลาว อยู่ฝั่งขวามือ พอเจอแล้วก็เดินขึ้นไปแล้วเดินต่อไปข้างหลัง (ข้างหน้าจะเป็นการประทับขาออกครับ) พอถึงจุดนี้เราก็เอาเอกสารมากรอกข้อมูลให้ครบถ้วนและยื่นเข้าช่องได้เลยครับ
ตรงนี้ต้องขอเล่าหน่อยนะครับว่า ผมเก็บข้อมูลจากหลายที่ว่าค่าเข้าลาวจริง ๆ นั้นแค่ 40-50 บาทเท่านั้น ให้เราถือเงินให้พอกับที่เราต้องจ่ายแล้วจะได้ราคาจริง ๆ แต่ปรากฏว่าตอนนี้ไม่ได้แล้วนะครับ ผมยังไม่ทันจะได้หยิบเงินขึ้นมาจ่าย เจ้าหน้าที่ในตู้ก็พูดออกมาก่อนที่ผมจะอ้าปากพูดอะไรซะอีก "100 บาท" โถ่ว !! พี่เล่นดักผมแบบนี้เลยเหรอครับ ? แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ถือว่ายอม ๆ จ่ายไป เราไม่ได้มาที่นี่ทุกวันซะหน่อย ตรงจุดทำวีซ่านี้เองที่ทำให้เราพบกับเพื่อนร่วมเดินทางชาวไทยอีก 2 คน พวกเขาขอตามไปเที่ยวกับพวกผมด้วย ผมก็ไม่อะไรมากอยู่แล้วครับ ไปได้ก็ไป ค่อยคุยกันใหม่ เพราะตอนนี้ต้องไปขึ้นรถแล้วเนื่องจากรถบัสกำลังจะออกเดินทางต่อ แต่พอผ่านมาได้สัก 400 เมตร ก็จะมีด่านตรวจของตำรวจฝั่งลาวมาตรวจสัมภาระใต้ท้องรถอีกที จุดนี้ไม่มีอะไรมากพอผ่านได้แล้วก็ยาว ๆ ครับ รอเจอปากเซได้เลย
เราเดินทางมาถึงปากเซเวลาประมาณเที่ยงกว่า ๆ ตรงนี้เราจะสามารถขอลงที่ตัวเมืองปากเซได้เลย แต่เนื่องด้วยความที่ผมยังไม่รู้อะไรมากพอ จุดหมายปลายทางของผมก็เลยยังคงเป็นที่ "สถานีขนส่งผู้โดยสารหลักแปด" พอรถบัสเดินทางมาถึงสถานีโดยยังไม่ทันจะจอดสนิทดี จะมีเหล่าคนขับรถสองแถวรับจ้างมารุมล้อมกันที่ประตูรถ ทันทีที่ประตูรถเปิดออกเราจะได้ยินเสียงคนเหล่านี้แย่งลูกค้ากัน และขอบอกเลยว่า "ราคาไม่เบาครับ" พอผมและคณะลงจากรถก็มีคนขับสองแถวเข้ามารุมล้อมเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ผมเดินแหวกออกมาทันทีเพราะรู้ดีว่า "ยิ่งเราต่อรองเรื่องเวลาเท่าไร ค่าโดยสารก็ยิ่งถูกลงเท่านั้น"
คนขับรถสองแถวคนแรกเข้ามาเสนอราคา 80 บาทต่อคน ไปที่ไหนก็ได้ในตัวเมือง และก็อย่างที่รู้ ๆ กัน ผมบอกขอเดินดูตลาดก่อน (สถานีขนส่งที่นี่มีตลาดขายของเล็ก ๆ ข้างสถานี แต่ก็ไม่ค่อยน่าเดินเท่าไร) พวกผมเดินต่อ แต่ก็ยังไม่คลาดสายตาของคนขับรถสองแถวคนแรกก็มีชายอีกคนเดินมาเสนอราคา 40 บาทต่อคนให้พวกผมในทันที แต่ผมก็ยังดึงเช็งต่อไป เพราะในใจคิดว่าอาจได้ราคาที่ถูกกว่านี้ จึงตอบไปตามเดินว่า ขอเดินดูตลาดก่อน ทันทีที่พวกผมเดินจากมาคนขับรถสองแถวคนแรกก็ปรี่เข้ามาหาชายผู้นั้นทันที ผมก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปเป็นอย่างไร ก็ได้แต่เพียงเดินชมตลาดต่อไป จนสุดท้ายคนขับรถสองแถวคนที่สองก็ขับรถมาถามผมอีกครั้ง "ไปมั้ย ? 40 บาท" จังหวะนี้คงไม่ต้องถามครับว่าพวกเราจะเอายังไง ในเมื่อตลาดก็ไม่มีอะไรให้เดินแล้ว กอปรกับในตลาดดูเหมือนกำลังจะมีมวยสด พวกผมเลยไม่รอช้าครับ กระโดดขึ้นรถทันที จุดหมายปลายทางที่จะเดินทางต่อคือ "โรงแรมลานคำ"
# ราคา 40 บาท ถือเป็นราคาปกติที่สุดแล้วสำหรับนักท่องเที่ยว โปรดตกลงราคากับคนขับให้แน่ชัดก่อนขึ้นรถ
พอรถสองแถวส่งเราถึงที่แล้ว ผมคุยกับคนขับรถพักหนึ่งเรื่องการท่องเที่ยวในละแวกใกล้เคียง แล้วเราก็เข้าเช็กอินกัน โรงแรมนี้ผมเห็นข้อมูลจากหลายที่แนะนำมาเลยมาลองตามเค้าบ้าง เราเลือกห้อง 2 คน แยกกัน 2 ห้อง ค่าห้องก็อยู่ที่ 424 บาทต่อคืน ห้องพักที่นี่ไม่ใหญ่มาก อาจจะเรียกว่าเล็กไปเลยก็ได้ ในห้องมีทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น แอร์ ตู้เย็น ฯลฯ โดยรวมก็ไม่ถือว่าขี้เหร่เท่าไร และก็เป็นไปตามแผน เราเลือกที่จะอยู่ปากเซแค่คืนเดียวก่อน เพราะตามกำหนดการพวกผมจะออกเดินทางไปดอนเดดพรุ่งนี้เช้า
พอเราเก็บสัมภาระกันเรียบร้อยแล้วก็ลงมาแลกเงิน ซึ่งมีไว้บริการที่หน้าโรงแรม (อัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น 242.2 กีบ/บาท) หลังจากแลกเงินกันเรียบร้อยอาหารในลาวมื้อแรกที่วางแผนมาหลายเดือนก็คือ "เฝอลานคำ" ซึ่งทั้งคนนอกและในพื้นที่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็น "เฝอที่อร่อยที่สุดในปากเซ" สำหรับผมเองคิดว่าคนที่รู้จักรสชาติของเฝอน่าจะเข้าใจได้ดี เพราะผมก็ไม่ใช่กูรูด้านอาหาร ไว้ถ้ามีโอกาสมาลองดูแล้วกันครับ สนนราคาเฝอลานคำก็อยู่ที่ ชามเล็กไม่ใส่เนื้อ 15 พันกีบ = 60 บาท ใส่เนื้อถ้วยเล็ก 20 พันกีบ ถ้วยใหญ่ 25 พันกีบ (ที่ลาวนับเงินเป็นพันตามฝรั่งเศส เช่น 15000 = สิบห้าพัน ส่วนหลักอื่น ๆ เรียกตามปกติ ฝึกไว้ครับเพราะถ้าไปจริง ๆ อาจจะงง)
หลังจากอิ่มหมีพีมันกินกันแทบไม่หวาดไม่ไหว เราก็เดินทางไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์เพื่อเดินทางท่องเที่ยวในภาคบ่าย ซึ่งจุดหมายปลายทางในวันนี้คือ "น้ำตกผาส้วม" ร้านเช่ารถที่เราใช้บริการวันนี้อยู่ใกล้ ๆ โรงแรมครับ ไม่ต้องเดินไกล สนนราคาค่าเช่าก็...
หากเป็นฮอนด้า เวฟ จะมีค่าเช่าอยู่ที่ 60 พันกีบต่อวัน หากเช่า 2 วัน ขึ้นไปอยู่ที่วันละ 50 พันกีบ สำหรับออโต้ 1 แสนกีบต่อวัน เรื่องน้ำมันเติมเองครับ คนให้เช่าบอกว่าเรื่องน้ำมันขากลับจะเหลือหรือไม่เหลือไว้ก็ได้ แต่หากรถมีการเสียหายต้องรับผิดชอบ เป็นอันว่าเราเลือกฮอนด้า เวฟ เนื่องจากทางที่เราจะไปลำบากพอสมควร กลัวว่าออโต้จะเป็นภาระแทนพาหนะเอาซะก่อน อ้อ...ผมลืมบอกไปว่าที่ลาวขับรถทางขวานะครับ แรก ๆ อาจจะงง ๆ หน่อย แต่หลัง ๆ เดี๋ยวก็ชินครับ ☺ ค่าน้ำมันแนะนำให้เติมแค่ 20 พันกีบ พอนะครับ ขนาดผมขับแบบยับ ๆ ยังเหลือน้ำมันอาน ไม่ต้องกลัวว่าน้ำมันจะไม่พอเพราะระหว่างทางมีปั๊มน้ำมันอยู่บ้างตลอดทางที่ไป ไม่ปั๊มใหญ่ก็ปั๊มหลอดครับ
# ผมจองตั๋วไปดอนเดดที่เดียวกันกับที่เช่ารถเลย เพราะราคาถูก สนนราคา 55 พันกีบต่อคน รถออกเวลา 8 โมงเช้า
การเดินทางไปตาดผาส้วมจะใช้เส้นทางเดียวกันกับที่เราเดินทางไปหลักแปด (หลักในภาษาลาว = หลักกิโลเมตร) ตรงนี้ต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าพอถึงวงเวียนแล้วให้ขวาตามวงเวียนไป จะเจอสี่แยกแล้วค่อยเลี้ยวซ้าย แต่ถ้าใครอยากไปแบบพายุหมุนฝุ่นตลบกลบแผ่นดินทันที...อังกอร์ เอ้ยยยยยย ไปทางลัด แต่ไม่ค่อยแนะนำเท่าไร เพราะถนนเส้นนี้เค้ากำลังทำถนนกันอยู่ แต่ถ้าใจพอก็ถึงวงเวียนตรงยาวเลยครับ
หลังจากที่ขับรถมาถึงหลัก 21 (เลยโรงงานกาแฟดาวมาไม่ไกลมาก สังเกตได้จากป้ายหมู่บ้านหรือถามคนแถวนั้น) เราจะมองเห็นสามแยกตรงหลัก 21 พอดี ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าไป ขับตรงไปเรื่อย ๆ ประมาณ 18 กิโลเมตร จนถึงเมืองบาเจียง สังเกตได้จากจะมีหมู่บ้านชนเผ่าปลูกอยู่เยอะอย่างผิดหูผิดตา หรือถ้าตาดีหน่อยก็ดูป้ายครับ เพราะขนาดผมเองที่อ่านออกเขียนได้ยังอาศัยว่าถามคนในพื้นที่อยู่เลยครับ พอถึงหมู่บ้านนี้จะมีสามแยกให้เราเลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าไปสู่น้ำตกผาส้วม
**** ถ้ากลัวหลงก็ถามครับ คนที่นี่ใจดีกับนักท่องเที่ยวแทบทุกคน ****
และแล้วเราก็มาถึงจุดหมายแรกครับ.... "น้ำตกผาส้วม" แค่ทางเข้านี่ผมก็บอกได้เลยครับว่าธรรมชาติสุด ๆ มีลำธาร มีป่า มีภูเขา ขับมาเรื่อย ๆ จะเจอทางเข้าซึ่งเป็นด่านเก็บเงิน ค่าเข้าค่าเข้าชมที่นี่ก็คนละ 5,000 กีบ ค่าฝากรถคันละ 3,000 กีบ (มารู้ทีหลังว่าที่นี่ได้รับการสัมปทานโดยคนไทยครับ) ทันทีที่ลงจากรถ... ผมสัมผัสได้ถึงเสียงธรรมชาติที่กำลังร้องเรียกเราอยู่ มีเสียงน้ำไหล นกร้อง พระอาทิตย์กำลังอ่อนแสง แหม... มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมซะเหลือเกิน ไม่ทันที่จะพักหายเหนื่อยผมรีบจ้ำอ้าวลงไปดูน้ำตกก่อนเลย อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล เคยเห็นแต่ในรูปไม่เคยเห็นของจริง วันนี้เดี๋ยวได้เห็นจริง ๆ แล้วครับ
และแล้ว...และแล้ว และแล้วเราก็มาถึงครับ "น้ำตกผาส้วม" บอกเลยครับว่าครั้งแรกที่เห็นคือมันสวยมากกกกกกกก (ก.ไก่ประมาณล้านตัว) มันสวยกว่าในรูปที่ผมเห็นอีก เสียงน้ำ เสียงสัตว์ป่ามากันครบ แทบจะเรียกได้ว่าที่ขับรถมาเหนื่อย ๆ แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง
ผมเดินดูรอบ ๆ หลังจากที่ให้ชาวคณะใช้เวลาส่วนตัวที่นี่ จนเดินมาถึงทางที่จะเดินเข้าไปชมน้ำตกอีกฝั่งหนึ่งก็ได้พบกับสิ่งนี้....มันคงจะเป็นความเชื่อที่เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ จนชินตา ที่นี่ก็ไม่ต่างกันครับ ที่น้ำตกผาส้วมแห่งนี้จะมีศาลเพียงตา (แต่หลังใหญ่) เอาไว้เป็นที่สิงสถิตของเจ้าป่าเจ้าเขา ตอนผมเดินมาคนเดียวนี่แอบหลอน ๆ นะครับ เพราะช่วงที่ไปรู้สึกจะมีแค่กลุ่มผมกลุ่มเดียวที่เข้าไปเที่ยวน้ำตกในเวลานั้น
สะพานที่ใช้เดินข้ามมายังจุดชมวิวน้ำตกไม่ได้มีแค่สะพานที่เราเห็นไปก่อนหน้านี้เท่านั้นนะครับ แต่จะมีสะพานไม้ไผ่อีกอันหนึ่งเอาไว้ให้เราข้ามไปชมน้ำตกได้เช่นเดียวกัน ซึ่งสะพานนี้จะเป็นทางไปชมวิวน้ำตกที่ใกล้กว่า สะพานนี้สวยดีนะครับ เหมาะสำหรับการถ่ายรูปเล่นมาก ๆ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วจัดสักรูปครับ
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า... เป็นสัญญาณบอกว่าพวกเราต้องเดินทางกลับ เพราะตอนนั้นก็เป็นเวลา 6 โมงกว่าแล้ว เจอกันใหม่นะ "ผาส้วม"
โดยหลัก ๆ แล้วคนที่นี่ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ โดยที่แม่น้ำและลำธาร ต้นไม้ ใบหญ้าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา ผมมีโอกาสจอดรถถ่ายรูปเล่นกันเลยมีโอกาสได้เห็นว่าพวกเขาใช้น้ำในลำธารในการทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง บางคนอาบน้ำ บ้างซักผ้า บลา ๆๆ แต่ก็อย่างว่าแหละครับว่าน้ำพวกนี้มาจากป่าจากเขา ความสะอาดก็ยังพอไว้วางใจได้
เผลอแป๊บเดียวฟ้ามืดแล้วครับ ถึงโรงแรมก็เลยแยกย้ายกันไปอาบน้ำก่อนออกไปหา Nightlife ในปากเซทำกันครับ เราเริ่มต้นด้วยอาหารริมแม่น้ำโขง โดยเลือกจากร้านที่เราเห็นคนพื้นที่นั่งเยอะสุด จังหวะนี้ไม่มีกระจิตกระใจจะถ่ายรูป ขอโซ้ยแหลกแจกโชคกันก่อน อาหารที่เราสั่งมาก็รสชาติใช้ได้นะครับ ถือว่าอร่อยดี แต่ผมขอแนะนำสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการไปร้านอาหารคือ "เบียร์ลาว" อันนี้เป็นสิ่งที่สิงห์นักดื่มต้องไม่พลาด เพราะผมบอกเลยครับว่ารสชาติถูกปาก ราคาถูกใจ ตามร้านอาหารราคาอยู่ที่ขวดละ 10 พันกีบ ส่วนมินิมาร์ทอยู่ที่ 8,000 กีบครับ หลังจากที่เรากินข้าวอิ่มแล้วว่าจะไปหาบาร์นั่งกินต่อเบา ๆ กันครับ แต่ปรากฏว่าเต็มทุกที่ ประกอบกับหน้าบาร์แห่งหนึ่งกำลังจะวางมวยกัน พวกเราเลยขอบาย เพราะอยากกลับบ้านแบบสมประกอบอยู่ เลยลงความเห็นว่ากลับไปกินที่โรงแรมกันดีกว่า หลังจากดื่มกันอีกนิดหน่อยก็เข้านอนครับ แยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนเดินทางไปดอนเดดพรุ่งนี้เช้า
End of Day 1
Day 2 วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2558
ผมตื่นมาเช้าหน่อยเวลา 05.45 น. เพราะวันนี้กะไว้ว่าจะขับรถเที่ยวเล่นในปากเซสักนิดหน่อย ก่อนไปขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังดอนเดด พอขับรถออกมาได้สักพัก เมื่อมองข้ามสะพานลาว-ญี่ปุ่น (สะพานที่เราข้ามมาตอนแรก) จะมองเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ ประดิษฐานอยู่บนภูเขา ผมเลยเลือกที่จะไปที่นั่นทันที ที่นี่มีชื่อเรียกว่า "ภูสะเหลา" เป็นภูเขาเล็ก ๆ ที่มีวัดอยู่ข้างบน พอเราขับรถมาถึงที่นี่มันจะมีทางเลือกให้เราเดินทางขึ้นไปที่วัดและชมวิวเมืองปากเซ 2 ทาง คือ 1. เดินขึ้นบันได 2. ขับรถตามทางขึ้นไปยังวัด ผมเลือกที่จะเดินครับ เพราะไม่ได้คิดว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้ รู้สึกว่าจะเดินขึ้นบันไดไปประมาณ 300 กว่าขั้นได้มั้ง กว่าที่จะเดินไปถึงจุดชมวิวหน้าองค์พระ แต่พอเดินขึ้นมาถึงบอกเลยครับว่า "คุ้ม"
หลังจากที่เดินลงจากภูแล้วเราก็ขับรถเปิดแผนที่ต่อไป จุดนี้เองทำให้รู้ว่ามันมีถนนที่สามารถขับรถขึ้นไปยังตัววัดได้เลย (รู้สึกตัวผมเองโง่ลงประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์) ระหว่างทางนี่ก็สวยครับ มองเห็นวิวเมืองได้รอบทิศ แถมภูมิประเทศก็ดูแปลกตา เป็นหิน เป็นแอ่งตามแบบฉบับภูเขานั่นแหละครับ
8 โมงเช้า ถึงเวลาเดินทางไปยังดอนเดดตามที่เราได้จองตั๋วไว้ การเดินทางครั้งนี้เราเดินทางโดยรถตู้ของบริษัททัวร์ไปนากะสัง เพื่อขึ้นเรือต่อไปยังดอนเดด รถตู้จะจอดส่งผู้โดยสารอยู่หลายจุด เราอย่าเผลอลงระหว่างทางนะครับ เพราะนากะสังคือสถานีสุดท้ายที่รถพวกนี้จะไปถึง รถจะจอดให้เราลงทำธุระส่วนตัวที่จุดพักรถหนึ่งครั้ง ก่อนเดินทางต่อ จุดนี้ผมได้คุยกับเด็ก ๆ ที่มานั่งเก็บเงินหน้าห้องน้ำ เด็ก ๆ น่ารัก อัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส พอดีกับที่มีนักท่องเที่ยวเดินมาเข้าห้องน้ำพร้อมกับพูดกับเด็กน้อยเป็นภาษาอังกฤษ ประมาณว่าขอเข้าห้องน้ำก่อนได้มั้ย ? เดี๋ยวออกมาจ่ายตังค์ ผมก็มองไปที่เด็ก ๆ แต่ไม่ทันจะมีคำใดเอื้อนเอ่ยออกจากปากผมไป เด็กผู้ชายเลยพูดขึ้นมาว่า "บ่ข่าวจายยยยยยย" ผมนี่ลั่นเลยครับ อดหัวเราะในความน่ารักของเด็กไม่ได้ ก่อนจากกันผมเลยขอชักภาพเป็นที่ระลึกไว้สักภาพครับ
เมื่อเราเดินทางมาถึงนากะสัง เราจะต้องต่อเรือเพื่อข้ามไปยังดอนเดด แดนสี่พันเกาะ ค่าเรือข้ามฟากราคา 15 พันกีบต่อคน เรือจะไปส่งเราถึงเกาะดอนเดดเลย (พอเราลงจากรถเดินตรงเข้าไปเรื่อย ๆ สุดท้ายเลี้ยวขวาจะมีห้องไว้ขายตั๋วเรือข้ามฟากอยู่) ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงกันแล้วครับ กระโดดลงเรือแล้วไปพบกับดอนเดดกันเลย
พอเราลงจากเรือก็เดินเข้าเกาะดอนเดด หาที่พักหลบแดดกันก่อน แล้วค่อยออกมาหาอะไรกินกัน ที่พักที่ดอนเดดก็มีหลายราคาให้เลือก มีทั้งแบบเป็นโรงแรม เกสต์เฮ้าส์ หรือแม้กระทั่งบ้านเป็นหลัง ๆ ริมน้ำก็มีเช่นกัน ราคาก็จะแตกต่างกันไป ตามระดับสิ่งอำนวยความสะดวก คืนนี้เราเลือกนอนกันที่บ้านริมน้ำสนนราคาคืนละ 160 บาท พอเราเก็บสัมภาระเสร็จก็เดินออกมาหาอะไรกินกันที่ร้านอาหารแถว ๆ นั้น ซึ่งเท่าที่ผมสังเกตตอนที่เดินหาที่พัก ร้านอาหารทุกร้านจะมี Wi-Fi ไว้บริการฟรี จังหวะนี้ใครจะเช็กเฟซบุ๊ก อัพโหลดรูป ก็ทำได้ครับ แต่อาจรอนานหน่อย อินเทอร์เน็ตเร็วกว่าหอยทากนิดหนึ่ง ระหว่างที่รออาหาร ลองสั่งอะไรมาดับร้อนกันก่อนละกันเนอะ
หลังจากที่อิ่มหนำทั้งท้องและสังคมออนไลน์กันเรียบร้อยแล้ว เราเดินต่อมาเช่าจักรยานเพื่อปั่นชมสถานที่ต่าง ๆ ในเกาะดอนเดดและรอบข้าง โดยมีเป้าหมายอยู่ที่น้ำตกสัมพันธมิตรหรือ "หลี่ผี" ที่เรารู้จักกันนั่นแหละครับ ค่าเช่าจักรยานเท่าที่ผมเดินดูในละแวกนั้น ราคาทุกร้านจะเท่ากันที่คันละ 10 พันกีบ เช่าได้ตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกา ไปจนถึง 22 นาฬิกา จึงต้องนำมาส่งคืน พอเราเช่าจักรยานเสร็จเราสามารถขอแผนที่การเดินทางเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และสามารถสอบถามวิธีการเดินทางจากร้านเช่าจักรยานได้ เค้าจะบอกการเดินทางว่าต้องไปยังไง ผ่านอะไร พอได้ข้อมูลพอสังเขปแล้วพวกเราก็เข้าที่พักเตรียมตัวเดินทางท่องเที่ยวกัน ซึ่งขณะนั้นก็เป็นเวลาเที่ยงกว่า ๆ เห็นจะได้
ตอนแรกผมบอกกับคณะว่าให้ใส่เสื้อแขนยาวกันแดด เนื่องจากแดดที่นั่นแรงมาก ทุกคนเตรียมตัวใส่ชุดกันอย่างมิดชิด และเริ่มออกเดินทางกันในเวลาเที่ยงครึ่ง จุดหมายแรกที่จะไปคือ "ขัว" หรือสะพานข้ามไปยังดอนโคน ทางไปหลี่ผี ถือว่าเป็นลางดีตั้งแต่พวกเราออกเดินทาง...ระหว่างทางเราต้องผ่านหมู่บ้านริมน้ำโขง ขณะที่ผมปั่นอยู่ดี ๆ ก็มีผู้คนต่างพากันวิ่งกรูออกมาที่ถนน พร้อมกับเสียงอึกทึกครึกโครมดังอยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไรนัก ชัดเจนนนนนนนนน !! วางมวยกันอีกแล้วครับผม ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องปกติของที่นี่หรือมันเป็นเพราะการมาเยือนของพวกผม แต่ก็ช่างมันเถอะครับ ผมปั่นผ่านไปโดยไม่ได้มองอะไรเท่าไร ปั่นไปจนถึงทางแยกที่จะมีป้ายเขียนว่า "บ้านพัฒนาดอนเดด" ให้ตรงต่อไปเรื่อย ๆ ผ่านทุ่งนาไปเรื่อย ๆ จนพบกับสะพาน (ถ้าไม่เจอสะพานแสดงว่าไปผิดทางแล้วนะครับ)
หลังจากจอดพักถ่ายรูปกันอยู่พักหนึ่ง เราก็ปั่นจักรยานต่อไปอีกประมาณ 500 เมตร จะพบกับหัวรถจักรสมัยสงครามโลกที่ฝรั่งเศสนำเข้ามาประเทศลาวในสมัยนั้น จุดนี้ผมว่าหัวรถจักรไม่เท่าไรหรอก สู้รถสองแถวคันที่จอดอยู่ข้าง ๆ กันไม่ได้ เฟี้ยวกว่ากันเยอะ 5555
หลังจากเรียนวิชาประวัติศาสตร์จนพอใจแล้ว พวกเราก็กระโดดขึ้นอานแล้วสวมวิญญาณ แลนซ์ อาร์มสตรอง กันต่อไป จุดต่อไปที่เราจะไปคือพระเอกของที่นี่ "หลี่ผี มหานทีสี่พันดอน" ใช้เวลาปั่นจากหัวรถจักรที่เราเพิ่งผ่านมาเมื่อกี้ 15 นาที โดยประมาณ (อย่าถามว่าไกลเท่าไร ผมไม่รู้เลยครับ 5555) เราจะมาเจอ 3 แยก ให้เราสังเกตป้ายดี ๆ จะเห็นป้ายบอกทางเข้าสู่น้ำตก (อย่าลืมนะครับ !! อ่านป้ายเวลาถึงทางแยก อันนี้สำคัญจริง ๆ) พอถึงที่หมายพวกเราก็ไม่รอช้าครับ จอดจักรยานแล้วมุ่งตรงเข้าสู่อุทยาน แค่ถึงจุดนี้ก็จะมองเห็นลำธารหลายสาย ได้ยินเสียงน้ำตกกระทบหิน เสียงน้ำไหลดังซู่ ๆ ซ่า ๆ อยู่เบื้องหน้า โอ้ววววว อยากจะเข้าไปไว ๆ แล้วสิครับ ค่าเข้าชมที่นี่ก็ราคาเดียวครับ 35 พันกีบ ไม่มีค่าฝากรถ (ค่าเข้าแพงมากครับ TT”) หลังจากเราได้บัตรแล้วก็สามารถเข้าไปชมไนแองการาแห่งเอเชียได้แล้ว
ภายในสงบร่มรื่น มีต้นไม้อยู่ประปราย ตอนที่เราไปแทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวเลย อาจเป็นเพราะยังเป็นช่วงที่แดดร้อน ๆ อยู่ล่ะมั้ง (ก็นั่นสิเนอะ ใครมันจะมาบ้าปั่นจักรยานตากแดดตอนเที่ยง ๆ กันล่ะ โถ่วววว) พอเราเดินมาได้นิดหน่อยเราก็จะเห็นน้ำตกหลายสายที่คนที่นี่เรียกกันว่า "น้ำตกสัมพันธมิตร" หรือเราอาจรู้จักกันในนาม "หลี่ผี" สวยไม่สวยก็ดูกันเอาเองแล้วกันนะครับ ผมไม่ขอตัดสิน
ในอุทยาน...พอเราเดินตรงเข้าไปที่ชายหาดจะพบบังกะโลเล็ก ๆ แบบโอเพนแอร์ โดยที่นั่นมีร่มและที่นอนอาบแดด บาร์ไว้บริการนักท่องเที่ยวฟรี (แต่ของที่บาร์ไม่ฟรีนะครับ)
ในรอบ ๆ บาร์ก็มีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง ทั้งวอลเลย์บอลชายหาด ลงเล่นน้ำที่หาดทรายข้างล่าง จะเล่นพูลหรือจะนอนพักผ่อนสบาย ๆ ในที่พักก็ทำได้ ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ฟรีหมด ถ้ากระหายก็มีน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มเย็น ๆ ไว้บริการ ไหน ๆ เราก็มาถึงที่นี่แล้วแถมปั่นจักรยานมาเหนื่อย ๆ อีก ขอหลับตาฟังเสียงนก เสียงน้ำที่นี่สักพักก่อนค่อยไปต่อแล้วกัน
รู้ตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็บ่ายแก่แล้ว...ผมเดินออกมาถ่ายรูปต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะเดินทางออกจากหลี่ผีแห่งนี้ ถ้าจะให้ผมอธิบายความสวยงามของที่นี่ ผมว่าถ้าช่วงน้ำเยอะมันน่าจะสวยกว่าที่ผมเห็น น้ำน่าจะใสกว่านี้ สำหรับผู้ที่ตั้งความหวังสำหรับที่แห่งนี้ผมขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับ ว่าท่านอาจผิดหวังกับสถานที่แห่งนี้เล็กน้อย ก่อนที่พระอาทิตย์จะคล้อยตกไปมากกว่านี้ พวกเราจำใจต้องออกเดินทางกันต่อ สถานที่ต่อไปคือ "จุดดูโลมาอิรวดี"
ผมปั่นออกมาได้สักพักเราก็จะมาเจอกับแยกเดิมที่เราปั่นเข้าไปน้ำตกเมื่อตะกี้นี้ รอบนี้ไม่ต้องเลี้ยวอะไรแล้วครับ ตรงยาว ๆ โลด ก่อนถึงที่หมายจะพบบ้าน 2-3 หลัง จังหวะนี้นี่เองที่ผมได้ยินเสียงเล็ก ๆ เสียงหนึ่งดังออกมาจากในบ้านว่า "เก็บเงิน ๆ" ซึ่งมาติด ๆ กันกับ "บ่ใช่ ๆ ล้อเล่น ๆ" อ้อ...เด็กที่อยู่ในบ้านนั่นเอง ไอ้เราก็ตกใจนึกว่าต้องเก็บตังค์ค่าเข้าจริง ๆ (คือแอบหลอนค่าเข้าชมครับ ที่ลาวคือมีค่าเข้านั่นเข้านี่เยอะมาก แทบจะเรียกว่าเก็บทุกอย่างเลยก็ว่าได้)
ปั่นไปจนสุดทางเราจะพบกับร้านอาหารและหาดทราย พอมาถึงที่นี่ผมเลยรู้ว่าการที่เราจะไปดูโลมานั้น เราต้องว่าจ้างชาวบ้านพานั่งเรือออกไป ด้วยความที่พวกเราไม่รู้มาก่อน กอปรกับช่วงที่เรามาถึงก็เย็นมากแล้ว พวกเราเลยไม่ไปดูโลมากัน แต่ก็ไม่วายที่จะหยุดถ่ายรูปเล่นกัน ผมมองไปเห็นลุงชาวประมงที่พายเรือเลียบมาตามน้ำเลยขอกดกับเค้าสักแชะ ก่อนเดินทางต่อแบบไร้จุดหมายปลายทาง 5555
พอเราเดินทางออกมาจากที่นั่นก็ไปแบบไม่มีจุดหมายครับ ปั่นตามทางไปเรื่อย ๆ เข้าป่าเข้าดงไปหลายกิโลเมตร จนต้องหยุดถามทางครับผม ปรากฏว่าทางที่ผมคิดว่ามันวนกันนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ครับ ถ้าปั่นต่ออีกประมาณ 7-8 กิโลเมตร ก็จะไปสุดที่ดอนคอนซึ่งเป็นจุดดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ไหน ๆ เราก็ปั่นมาขนาดนี้แล้ว....ไปกันต่อเลยครับผม
ระหว่างทางที่ปั่นรอบนี้จะเป็นป่าล้วน ๆ ไม่มีบ้านผู้คนอยู่อาศัย และที่สำคัญคือเราไม่รู้ว่าทางนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ จนตะวันเริ่มลับขอบฟ้าและแล้วพวกเราก็เดินทางมาถึง "ดอนคอน" จนได้ ที่นี่มีโรงเรียนที่เรียกว่าได้ว่า "คลาสสิกมาก" เพราะที่บ้านเราหาดูได้ยากมากแล้ว แต่น่าเสียดายที่ผมไปในช่วงที่โรงเรียนที่นั่นปิดภาคเรียน อีกทั้งโรงเรียนกำลังสร้างใหม่ เค้าเลยขนโต๊ะมาไว้ที่ตึกเรียนอีกหลัง (ไม่รู้เรียกตึกได้มั้ยนะ) สภาพโต๊ะและอุปกรณ์การเรียนที่นี่ ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปสมัยเด็ก ๆ ที่มีโต๊ะไม้ กระดานดำ อาคารเรียนเป็นไม้ ทุกอย่างทำมาจากวัสดุธรรมชาติ แต่น่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นการเรียนการสอนของระบบโรงเรียนที่นั่น ไม่งั้นคงทำให้ผมสามารถซึมซับบรรยากาศ แนวทางการสอนและนำเอามาเป็นแนวทางในการทำงานได้ในอนาคต
พอดื่มด่ำกับบรรยากาศกันเรียบร้อยแล้ว คราวนี้แหละครับ... "ความโหดร้ายของประเทศลาว"
ตอนที่พวกเราเดินทางออกจากดอนคอนก็เป็นเวลาเดียวกันกับเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า
ในใจตอนแรกผมคิดว่าตอนที่ผมไปเป็นเดือนหงาย น่าจะพอมองเห็นทางได้บ้าง
แต่ผิดถนัดครับท่านผู้ชม !!!
ทันทีที่ปั่นมาถึงชาวบ้านที่พวกเราถามทางกันไปตอนแรก
กล่าวร่ำลาแล้วปั่นต่อไปอีกสักพักความมืดก็เริ่มเข้าปกคลุม
จนผมต้องใช้โทรศัพท์มาเป็นไฟฉายนำทาง
คือผมลืมบอกไปว่าทางที่ใช้สัญจรส่วนใหญ่แล้ว
สภาพผิวการจราจรเรียกได้ว่าน้อง ๆ ดาวอังคารกันเลยทีเดียว
ระหว่างทางก็ต้องปั่นไปหลบทั้งหลุม หลบรถที่สวนมาบ้าง
ขนาดว่าพวกเราปั่นกันแบบไม่หยุดหย่อนยิ่งกว่าการแข่งขันตูร์เดอฟร็องส์ผสมกันกับแรลลี่ดาการ์แท้
ๆ แต่กว่าที่เราจะปั่นกลับมาถึงที่พักก็เป็นเวลาทุ่มเศษ ๆ แล้ว
สรุปวันนี้พวกเราก็ปั่นจักรยานกันไปประมาณ 30 กว่ากิโลเมตรได้
พักผ่อนอาบน้ำอาบท่าแล้วเราก็ออกหาอะไรกินกันครับ
# รูปนี้ผมถ่ายขณะกำลังปั่นจักรยาน แต่กดได้แค่ 2 รูปเท่านั้นแหละครับ จักรยานเจ้ากรรมพาลงข้างทาง แต่โชคยังดีที่ผมยังพอมีสกิลการควบคุมจักรยานระดับ 7 ทุกอย่างเลยอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ (จริง ๆ คือห่วงกล้อง นึกในใจตอนนั้นถ้าล้มลงไปจริง ๆ จะรักษากล้องก่อน ตัวเองเจ็บไม่เป็นไร 5555)
และร้านอาหารที่เราให้ความไว้วางใจในค่ำคืนนี้ที่ดอนเดดคือ "Reggae Bar"
ร้านอาหารร้านนี้ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการ (ก็แหงอยู่แล้วเนอะ) ตอนผมเข้าไปมีกลุ่มชาวต่างชาติกลุ่มใหญ่นั่งเล่นไพ่กันอยู่กลางร้าน ด้วยความเมื่อยล้าและความหิวโหย พวกผมไม่ได้สนใจอะไรจนเด็กเสิร์ฟซึ่งเป็นชาวอิสราเอลนำเอาเมนูมาให้พวกเรา ผมก็กวาดสายตามองเมนูไปเรื่อย ๆ เมนูทุกอย่างก็ปกติเหมือนร้านอาหารอื่น ๆ มีอาหารไทย ลาว อิตาเลียน ฯลฯ จนผมไปสะดุดตากับชื่อเมนูหนึ่ง "Happy Pizza" เปิดแผ่นต่อ ๆ ไปก็เจออีก "Tom Yam Happy"
เฮ้ยยยยยยย !! มันไม่ใช่ละ แฮปปงแฮปปี้ไรวะ ทันใดนั้นผมเรียกเด็กเสิร์ฟคนเดิมมาทันที พร้อมกับถามถึงชื่ออาหารแปลกที่อยู่ในเมนู
"Happy - What does it mean?"
"Weed"
ผมทำหน้าเหรอหราใส่ ทั้งที่จริงก็รู้อยู่แก่ใจตั้งแต่แรกแล้วว่าคำว่าแฮปปี้ในเมนูนั้นหมายถึงอะไร
"ใส่ชา.....กัญชานั่น กัญชา"
555555 พูดชัดเชียวนะพ่อหนุ่ม และเป็นที่แน่ชัดว่าเมนูอาหารเหล่านั้นจะ "ใส่กัญชาลงไปเป็นส่วนผสม" แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้สั่งกันนะครับ คือพอดียังอยากเดินบนพื้นดี ๆ ไม่อยากตัวลอยกลับที่พัก
หลังจากที่เรากินข้าวกันเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปนอน แต่ก่อนจะกลับพวกเราก็ไม่ลืมที่จะซื้อตั๋วเพื่อกลับไปยังปากเซนะครับ ร้านขายตั๋วที่ว่าเนี่ยมีอยู่เต็มไปหมด จะเลือกซื้อจากเจ้าไหนก็ได้ เพราะสุดท้ายก็ขึ้นเรือรวม ๆ กันอยู่แล้ว ราคาค่าเรือข้ามฟากพร้อมรถบัสเดินทางเข้าปากเซก็จะอยู่ที่คนละ 50 พันกีบครับ ทีนี้ก็ได้เวลาพักผ่อนหลับตานอน จบแล้วสำหรับวันอันแสนทรหด ณ ดอนเดด
End of Day 2
ขอนอกเรื่องนิดหนึ่งนะครับ...ที่ประเทศลาวเราจะสังเกตเห็นร้านให้บริการอย่างหนึ่งซึ่งพบได้เป็นอย่างมาก นั่นก็คือ "ร้านตาบยาง" นั่นก็คือร้านปะยางในบ้านเรานั่นเองแหละครับ ร้านปะยางที่นี่มีอยู่ทั่วทุกสารแหง อาจเป็นเพราะสภาพถนนที่นี่คล้ายคลึงกับสนามแข่งมอเตอร์ครอสล่ะมั้ง ถึงได้มีกันอยู่เป็นดอกเห็ดขนาดนี้ รูปที่ท่านเห็นต่อไปนี้ ผมถ่ายมาจากในป่าระหว่างทางไปดอนคอน เล็งอยู่นานจนคนในบ้านแซวผมว่า "คือเล็งใส่คักแท้ ?" ผมนี่ได้แต่อมยิ้ม พร้อมกับเงยหน้ามองเข้าไปในบ้าน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวที่มองเห็นลูกของเจ้าของบ้าน แต่น่าเสียดายที่น้องเค้าไม่บ้ากล้อง ผมเลยอดได้ภาพเด็ก ๆ ที่นู่นมาให้ชมกัน
//////////////////////////
______" ซำบายดีที่ปากเซ " ทัวร์เละ ๆ แบบกัง ๆ ไปกัน 5 วัน 4 คน______
______" ซำบายดีที่ปากเซ " ทัวร์เละ ๆ แบบกัง ๆ ไปกัน 5 วัน 4 คน______
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นนำก่อนว่าทริปนี้เป็นทริปการเดินทางออกนอกประเทศด้วยตัวเองครั้งแรกที่ผมวางแผนเอาไว้นานมาก ทั้งหาข้อมูลที่ท่องเที่ยว ที่พัก การเดินทางและกำหนดการต่าง ๆ แต่ก่อนกำหนดการทุกอย่างจะเริ่มขึ้น 1 สัปดาห์ ผมก็มีความคิดว่าจะล้มเลิกแผนการเดินทางในครั้งนี้ เนื่องจากปัญหาทางด้านการเงินของผมเอง แต่ก็มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนใจเพราะผมเล่าเรื่องทริปปากเซในครั้งนี้ให้รุ่นน้องคนหนึ่งฟัง ปรากฏว่าน้องผมขอไปด้วย ผมก็ต้องเลยตามเลย บอกมันว่าไปก็ไป พอใกล้วันแล้วค่อยไปเจอกันที่อุบลฯ เลย ผมได้แต่นับถอยหลังรอแล้วรอเล่า ใจจดใจจ่อ จนในที่สุด...ทริปของผมก็มาถึงซะที
Day 1 วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2558
หลังจากที่ผมและน้องผู้ร่วมทริปเก็บกระเป๋าออกจากบ้านของผมที่อุบลฯ เราก็มุ่งหน้าไปสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุบลฯ ทันที เราเดินทางถึงสถานีขนส่งประมาณ 8 โมงครึ่ง (เมื่อวานเรามาขอจองตั๋วที่นี่ แต่คนขายตั๋วบอกว่าไม่รับจอง เค้าบอกให้เรามาซื้อที่ช่องขายตั๋วตอนเช้าเลย) ผมก็ไปซื้อตั๋วรถบัสและรอเวลาที่รถจะเข้ามาจอดเทียบชานชาลา
รถที่เราจะใช้เดินทางเพื่อไปยังเมืองปากเซก็คือรถบัสคันนี้ เป็นรถโดยสารระหว่างประเทศไทย-ลาวของบริษัทขนส่ง(มั้งนะ) ค่ารถ 200 บาทต่อคน จะเดินทางต่อเดียวพาเราไปส่งถึงสถานีขนส่งหลักแปด เมืองปากเซ การเดินรถจากไทยไปลาวมีเพียง 2 รอบต่อวัน คือ 09.30 น. และ 15.30 น. โดยขึ้นรถที่สถานีขนส่งเท่านั้น ระหว่างทางจะมีเด็กรถมาถามว่าใครไม่มีพาสปอร์ตบ้าง หากใครไม่มีเขาจะพาลงไปทำ Boarding Pass ก่อนถึงด่าน ตม. แต่ถ้าใครไม่ชอบการเดินทางด้วยรถบัสก็มีรถตู้ให้บริการเช่นกัน แต่จะเป็นรถตู้อุบล-ช่องเม็ก รถจะส่งท่านแค่ที่ด่านผ่านแดน แล้วเราต้องไปต่อรถตู้จากด่านถึงปากเซอีกต่อหนึ่ง ค่ารถก็ต่อละ 100 บาท มีรถตู้วิ่งหลายรอบ หากใครสนใจลองวิธีการนี้สามารถทำได้ เพียงแต่ผมไม่ค่อยแนะนำเท่าไร เพระเมื่อถึงด่านช่องเม็กรถตู้ที่จะต่อไปลาวออกไม่ตรงเวลา ต้องรอจนกว่าผู้โดยสารจะเต็มคันรถ คนขับถึงจะได้ฤกษ์สตาร์ทเครื่องยนต์
หลังจากที่เราเดินทางมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองรถบัสจะจอดให้เราลง เพื่อเดินทางไปประทับตราหนังสือเดินทาง ในจุดนี้ก็ไม่ต้องอะไรมากครับ เดินตามผู้โดยสารคนอื่นเข้าไปในตึก กรอกแบบฟอร์มขาออก แล้วรอต่อแถวออกนอกประเทศไทยได้เลย พอเราประทับตราหนังสือเดินทางฝั่งไทยเสร็จแล้ว เราต้องเดินไปปั๊มวีซ่าที่ด่าน ตม. ของลาวอีกครับ โดยเดินลอดทางขาเข้า-ขาออก (ที่เห็นในรูปนั่นแหละครับ) แล้วเดินตรงตามถนนไปเรื่อย ๆ จะเห็นสำนักงานของ ตม. ลาว อยู่ฝั่งขวามือ พอเจอแล้วก็เดินขึ้นไปแล้วเดินต่อไปข้างหลัง (ข้างหน้าจะเป็นการประทับขาออกครับ) พอถึงจุดนี้เราก็เอาเอกสารมากรอกข้อมูลให้ครบถ้วนและยื่นเข้าช่องได้เลยครับ
ตรงนี้ต้องขอเล่าหน่อยนะครับว่า ผมเก็บข้อมูลจากหลายที่ว่าค่าเข้าลาวจริง ๆ นั้นแค่ 40-50 บาทเท่านั้น ให้เราถือเงินให้พอกับที่เราต้องจ่ายแล้วจะได้ราคาจริง ๆ แต่ปรากฏว่าตอนนี้ไม่ได้แล้วนะครับ ผมยังไม่ทันจะได้หยิบเงินขึ้นมาจ่าย เจ้าหน้าที่ในตู้ก็พูดออกมาก่อนที่ผมจะอ้าปากพูดอะไรซะอีก "100 บาท" โถ่ว !! พี่เล่นดักผมแบบนี้เลยเหรอครับ ? แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ถือว่ายอม ๆ จ่ายไป เราไม่ได้มาที่นี่ทุกวันซะหน่อย ตรงจุดทำวีซ่านี้เองที่ทำให้เราพบกับเพื่อนร่วมเดินทางชาวไทยอีก 2 คน พวกเขาขอตามไปเที่ยวกับพวกผมด้วย ผมก็ไม่อะไรมากอยู่แล้วครับ ไปได้ก็ไป ค่อยคุยกันใหม่ เพราะตอนนี้ต้องไปขึ้นรถแล้วเนื่องจากรถบัสกำลังจะออกเดินทางต่อ แต่พอผ่านมาได้สัก 400 เมตร ก็จะมีด่านตรวจของตำรวจฝั่งลาวมาตรวจสัมภาระใต้ท้องรถอีกที จุดนี้ไม่มีอะไรมากพอผ่านได้แล้วก็ยาว ๆ ครับ รอเจอปากเซได้เลย
เราเดินทางมาถึงปากเซเวลาประมาณเที่ยงกว่า ๆ ตรงนี้เราจะสามารถขอลงที่ตัวเมืองปากเซได้เลย แต่เนื่องด้วยความที่ผมยังไม่รู้อะไรมากพอ จุดหมายปลายทางของผมก็เลยยังคงเป็นที่ "สถานีขนส่งผู้โดยสารหลักแปด" พอรถบัสเดินทางมาถึงสถานีโดยยังไม่ทันจะจอดสนิทดี จะมีเหล่าคนขับรถสองแถวรับจ้างมารุมล้อมกันที่ประตูรถ ทันทีที่ประตูรถเปิดออกเราจะได้ยินเสียงคนเหล่านี้แย่งลูกค้ากัน และขอบอกเลยว่า "ราคาไม่เบาครับ" พอผมและคณะลงจากรถก็มีคนขับสองแถวเข้ามารุมล้อมเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ผมเดินแหวกออกมาทันทีเพราะรู้ดีว่า "ยิ่งเราต่อรองเรื่องเวลาเท่าไร ค่าโดยสารก็ยิ่งถูกลงเท่านั้น"
คนขับรถสองแถวคนแรกเข้ามาเสนอราคา 80 บาทต่อคน ไปที่ไหนก็ได้ในตัวเมือง และก็อย่างที่รู้ ๆ กัน ผมบอกขอเดินดูตลาดก่อน (สถานีขนส่งที่นี่มีตลาดขายของเล็ก ๆ ข้างสถานี แต่ก็ไม่ค่อยน่าเดินเท่าไร) พวกผมเดินต่อ แต่ก็ยังไม่คลาดสายตาของคนขับรถสองแถวคนแรกก็มีชายอีกคนเดินมาเสนอราคา 40 บาทต่อคนให้พวกผมในทันที แต่ผมก็ยังดึงเช็งต่อไป เพราะในใจคิดว่าอาจได้ราคาที่ถูกกว่านี้ จึงตอบไปตามเดินว่า ขอเดินดูตลาดก่อน ทันทีที่พวกผมเดินจากมาคนขับรถสองแถวคนแรกก็ปรี่เข้ามาหาชายผู้นั้นทันที ผมก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปเป็นอย่างไร ก็ได้แต่เพียงเดินชมตลาดต่อไป จนสุดท้ายคนขับรถสองแถวคนที่สองก็ขับรถมาถามผมอีกครั้ง "ไปมั้ย ? 40 บาท" จังหวะนี้คงไม่ต้องถามครับว่าพวกเราจะเอายังไง ในเมื่อตลาดก็ไม่มีอะไรให้เดินแล้ว กอปรกับในตลาดดูเหมือนกำลังจะมีมวยสด พวกผมเลยไม่รอช้าครับ กระโดดขึ้นรถทันที จุดหมายปลายทางที่จะเดินทางต่อคือ "โรงแรมลานคำ"
# ราคา 40 บาท ถือเป็นราคาปกติที่สุดแล้วสำหรับนักท่องเที่ยว โปรดตกลงราคากับคนขับให้แน่ชัดก่อนขึ้นรถ
พอรถสองแถวส่งเราถึงที่แล้ว ผมคุยกับคนขับรถพักหนึ่งเรื่องการท่องเที่ยวในละแวกใกล้เคียง แล้วเราก็เข้าเช็กอินกัน โรงแรมนี้ผมเห็นข้อมูลจากหลายที่แนะนำมาเลยมาลองตามเค้าบ้าง เราเลือกห้อง 2 คน แยกกัน 2 ห้อง ค่าห้องก็อยู่ที่ 424 บาทต่อคืน ห้องพักที่นี่ไม่ใหญ่มาก อาจจะเรียกว่าเล็กไปเลยก็ได้ ในห้องมีทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น แอร์ ตู้เย็น ฯลฯ โดยรวมก็ไม่ถือว่าขี้เหร่เท่าไร และก็เป็นไปตามแผน เราเลือกที่จะอยู่ปากเซแค่คืนเดียวก่อน เพราะตามกำหนดการพวกผมจะออกเดินทางไปดอนเดดพรุ่งนี้เช้า
พอเราเก็บสัมภาระกันเรียบร้อยแล้วก็ลงมาแลกเงิน ซึ่งมีไว้บริการที่หน้าโรงแรม (อัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น 242.2 กีบ/บาท) หลังจากแลกเงินกันเรียบร้อยอาหารในลาวมื้อแรกที่วางแผนมาหลายเดือนก็คือ "เฝอลานคำ" ซึ่งทั้งคนนอกและในพื้นที่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็น "เฝอที่อร่อยที่สุดในปากเซ" สำหรับผมเองคิดว่าคนที่รู้จักรสชาติของเฝอน่าจะเข้าใจได้ดี เพราะผมก็ไม่ใช่กูรูด้านอาหาร ไว้ถ้ามีโอกาสมาลองดูแล้วกันครับ สนนราคาเฝอลานคำก็อยู่ที่ ชามเล็กไม่ใส่เนื้อ 15 พันกีบ = 60 บาท ใส่เนื้อถ้วยเล็ก 20 พันกีบ ถ้วยใหญ่ 25 พันกีบ (ที่ลาวนับเงินเป็นพันตามฝรั่งเศส เช่น 15000 = สิบห้าพัน ส่วนหลักอื่น ๆ เรียกตามปกติ ฝึกไว้ครับเพราะถ้าไปจริง ๆ อาจจะงง)
หลังจากอิ่มหมีพีมันกินกันแทบไม่หวาดไม่ไหว เราก็เดินทางไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์เพื่อเดินทางท่องเที่ยวในภาคบ่าย ซึ่งจุดหมายปลายทางในวันนี้คือ "น้ำตกผาส้วม" ร้านเช่ารถที่เราใช้บริการวันนี้อยู่ใกล้ ๆ โรงแรมครับ ไม่ต้องเดินไกล สนนราคาค่าเช่าก็...
หากเป็นฮอนด้า เวฟ จะมีค่าเช่าอยู่ที่ 60 พันกีบต่อวัน หากเช่า 2 วัน ขึ้นไปอยู่ที่วันละ 50 พันกีบ สำหรับออโต้ 1 แสนกีบต่อวัน เรื่องน้ำมันเติมเองครับ คนให้เช่าบอกว่าเรื่องน้ำมันขากลับจะเหลือหรือไม่เหลือไว้ก็ได้ แต่หากรถมีการเสียหายต้องรับผิดชอบ เป็นอันว่าเราเลือกฮอนด้า เวฟ เนื่องจากทางที่เราจะไปลำบากพอสมควร กลัวว่าออโต้จะเป็นภาระแทนพาหนะเอาซะก่อน อ้อ...ผมลืมบอกไปว่าที่ลาวขับรถทางขวานะครับ แรก ๆ อาจจะงง ๆ หน่อย แต่หลัง ๆ เดี๋ยวก็ชินครับ ☺ ค่าน้ำมันแนะนำให้เติมแค่ 20 พันกีบ พอนะครับ ขนาดผมขับแบบยับ ๆ ยังเหลือน้ำมันอาน ไม่ต้องกลัวว่าน้ำมันจะไม่พอเพราะระหว่างทางมีปั๊มน้ำมันอยู่บ้างตลอดทางที่ไป ไม่ปั๊มใหญ่ก็ปั๊มหลอดครับ
# ผมจองตั๋วไปดอนเดดที่เดียวกันกับที่เช่ารถเลย เพราะราคาถูก สนนราคา 55 พันกีบต่อคน รถออกเวลา 8 โมงเช้า
การเดินทางไปตาดผาส้วมจะใช้เส้นทางเดียวกันกับที่เราเดินทางไปหลักแปด (หลักในภาษาลาว = หลักกิโลเมตร) ตรงนี้ต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าพอถึงวงเวียนแล้วให้ขวาตามวงเวียนไป จะเจอสี่แยกแล้วค่อยเลี้ยวซ้าย แต่ถ้าใครอยากไปแบบพายุหมุนฝุ่นตลบกลบแผ่นดินทันที...อังกอร์ เอ้ยยยยยย ไปทางลัด แต่ไม่ค่อยแนะนำเท่าไร เพราะถนนเส้นนี้เค้ากำลังทำถนนกันอยู่ แต่ถ้าใจพอก็ถึงวงเวียนตรงยาวเลยครับ
หลังจากที่ขับรถมาถึงหลัก 21 (เลยโรงงานกาแฟดาวมาไม่ไกลมาก สังเกตได้จากป้ายหมู่บ้านหรือถามคนแถวนั้น) เราจะมองเห็นสามแยกตรงหลัก 21 พอดี ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าไป ขับตรงไปเรื่อย ๆ ประมาณ 18 กิโลเมตร จนถึงเมืองบาเจียง สังเกตได้จากจะมีหมู่บ้านชนเผ่าปลูกอยู่เยอะอย่างผิดหูผิดตา หรือถ้าตาดีหน่อยก็ดูป้ายครับ เพราะขนาดผมเองที่อ่านออกเขียนได้ยังอาศัยว่าถามคนในพื้นที่อยู่เลยครับ พอถึงหมู่บ้านนี้จะมีสามแยกให้เราเลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าไปสู่น้ำตกผาส้วม
**** ถ้ากลัวหลงก็ถามครับ คนที่นี่ใจดีกับนักท่องเที่ยวแทบทุกคน ****
และแล้วเราก็มาถึงจุดหมายแรกครับ.... "น้ำตกผาส้วม" แค่ทางเข้านี่ผมก็บอกได้เลยครับว่าธรรมชาติสุด ๆ มีลำธาร มีป่า มีภูเขา ขับมาเรื่อย ๆ จะเจอทางเข้าซึ่งเป็นด่านเก็บเงิน ค่าเข้าค่าเข้าชมที่นี่ก็คนละ 5,000 กีบ ค่าฝากรถคันละ 3,000 กีบ (มารู้ทีหลังว่าที่นี่ได้รับการสัมปทานโดยคนไทยครับ) ทันทีที่ลงจากรถ... ผมสัมผัสได้ถึงเสียงธรรมชาติที่กำลังร้องเรียกเราอยู่ มีเสียงน้ำไหล นกร้อง พระอาทิตย์กำลังอ่อนแสง แหม... มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมซะเหลือเกิน ไม่ทันที่จะพักหายเหนื่อยผมรีบจ้ำอ้าวลงไปดูน้ำตกก่อนเลย อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล เคยเห็นแต่ในรูปไม่เคยเห็นของจริง วันนี้เดี๋ยวได้เห็นจริง ๆ แล้วครับ
และแล้ว...และแล้ว และแล้วเราก็มาถึงครับ "น้ำตกผาส้วม" บอกเลยครับว่าครั้งแรกที่เห็นคือมันสวยมากกกกกกกก (ก.ไก่ประมาณล้านตัว) มันสวยกว่าในรูปที่ผมเห็นอีก เสียงน้ำ เสียงสัตว์ป่ามากันครบ แทบจะเรียกได้ว่าที่ขับรถมาเหนื่อย ๆ แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง
ผมเดินดูรอบ ๆ หลังจากที่ให้ชาวคณะใช้เวลาส่วนตัวที่นี่ จนเดินมาถึงทางที่จะเดินเข้าไปชมน้ำตกอีกฝั่งหนึ่งก็ได้พบกับสิ่งนี้....มันคงจะเป็นความเชื่อที่เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ จนชินตา ที่นี่ก็ไม่ต่างกันครับ ที่น้ำตกผาส้วมแห่งนี้จะมีศาลเพียงตา (แต่หลังใหญ่) เอาไว้เป็นที่สิงสถิตของเจ้าป่าเจ้าเขา ตอนผมเดินมาคนเดียวนี่แอบหลอน ๆ นะครับ เพราะช่วงที่ไปรู้สึกจะมีแค่กลุ่มผมกลุ่มเดียวที่เข้าไปเที่ยวน้ำตกในเวลานั้น
สะพานที่ใช้เดินข้ามมายังจุดชมวิวน้ำตกไม่ได้มีแค่สะพานที่เราเห็นไปก่อนหน้านี้เท่านั้นนะครับ แต่จะมีสะพานไม้ไผ่อีกอันหนึ่งเอาไว้ให้เราข้ามไปชมน้ำตกได้เช่นเดียวกัน ซึ่งสะพานนี้จะเป็นทางไปชมวิวน้ำตกที่ใกล้กว่า สะพานนี้สวยดีนะครับ เหมาะสำหรับการถ่ายรูปเล่นมาก ๆ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วจัดสักรูปครับ
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า... เป็นสัญญาณบอกว่าพวกเราต้องเดินทางกลับ เพราะตอนนั้นก็เป็นเวลา 6 โมงกว่าแล้ว เจอกันใหม่นะ "ผาส้วม"
โดยหลัก ๆ แล้วคนที่นี่ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ โดยที่แม่น้ำและลำธาร ต้นไม้ ใบหญ้าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา ผมมีโอกาสจอดรถถ่ายรูปเล่นกันเลยมีโอกาสได้เห็นว่าพวกเขาใช้น้ำในลำธารในการทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง บางคนอาบน้ำ บ้างซักผ้า บลา ๆๆ แต่ก็อย่างว่าแหละครับว่าน้ำพวกนี้มาจากป่าจากเขา ความสะอาดก็ยังพอไว้วางใจได้
เผลอแป๊บเดียวฟ้ามืดแล้วครับ ถึงโรงแรมก็เลยแยกย้ายกันไปอาบน้ำก่อนออกไปหา Nightlife ในปากเซทำกันครับ เราเริ่มต้นด้วยอาหารริมแม่น้ำโขง โดยเลือกจากร้านที่เราเห็นคนพื้นที่นั่งเยอะสุด จังหวะนี้ไม่มีกระจิตกระใจจะถ่ายรูป ขอโซ้ยแหลกแจกโชคกันก่อน อาหารที่เราสั่งมาก็รสชาติใช้ได้นะครับ ถือว่าอร่อยดี แต่ผมขอแนะนำสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการไปร้านอาหารคือ "เบียร์ลาว" อันนี้เป็นสิ่งที่สิงห์นักดื่มต้องไม่พลาด เพราะผมบอกเลยครับว่ารสชาติถูกปาก ราคาถูกใจ ตามร้านอาหารราคาอยู่ที่ขวดละ 10 พันกีบ ส่วนมินิมาร์ทอยู่ที่ 8,000 กีบครับ หลังจากที่เรากินข้าวอิ่มแล้วว่าจะไปหาบาร์นั่งกินต่อเบา ๆ กันครับ แต่ปรากฏว่าเต็มทุกที่ ประกอบกับหน้าบาร์แห่งหนึ่งกำลังจะวางมวยกัน พวกเราเลยขอบาย เพราะอยากกลับบ้านแบบสมประกอบอยู่ เลยลงความเห็นว่ากลับไปกินที่โรงแรมกันดีกว่า หลังจากดื่มกันอีกนิดหน่อยก็เข้านอนครับ แยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนเดินทางไปดอนเดดพรุ่งนี้เช้า
End of Day 1
//////////////////////////
Day 2 วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2558
ผมตื่นมาเช้าหน่อยเวลา 05.45 น. เพราะวันนี้กะไว้ว่าจะขับรถเที่ยวเล่นในปากเซสักนิดหน่อย ก่อนไปขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังดอนเดด พอขับรถออกมาได้สักพัก เมื่อมองข้ามสะพานลาว-ญี่ปุ่น (สะพานที่เราข้ามมาตอนแรก) จะมองเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ ประดิษฐานอยู่บนภูเขา ผมเลยเลือกที่จะไปที่นั่นทันที ที่นี่มีชื่อเรียกว่า "ภูสะเหลา" เป็นภูเขาเล็ก ๆ ที่มีวัดอยู่ข้างบน พอเราขับรถมาถึงที่นี่มันจะมีทางเลือกให้เราเดินทางขึ้นไปที่วัดและชมวิวเมืองปากเซ 2 ทาง คือ 1. เดินขึ้นบันได 2. ขับรถตามทางขึ้นไปยังวัด ผมเลือกที่จะเดินครับ เพราะไม่ได้คิดว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้ รู้สึกว่าจะเดินขึ้นบันไดไปประมาณ 300 กว่าขั้นได้มั้ง กว่าที่จะเดินไปถึงจุดชมวิวหน้าองค์พระ แต่พอเดินขึ้นมาถึงบอกเลยครับว่า "คุ้ม"
หลังจากที่เดินลงจากภูแล้วเราก็ขับรถเปิดแผนที่ต่อไป จุดนี้เองทำให้รู้ว่ามันมีถนนที่สามารถขับรถขึ้นไปยังตัววัดได้เลย (รู้สึกตัวผมเองโง่ลงประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์) ระหว่างทางนี่ก็สวยครับ มองเห็นวิวเมืองได้รอบทิศ แถมภูมิประเทศก็ดูแปลกตา เป็นหิน เป็นแอ่งตามแบบฉบับภูเขานั่นแหละครับ
8 โมงเช้า ถึงเวลาเดินทางไปยังดอนเดดตามที่เราได้จองตั๋วไว้ การเดินทางครั้งนี้เราเดินทางโดยรถตู้ของบริษัททัวร์ไปนากะสัง เพื่อขึ้นเรือต่อไปยังดอนเดด รถตู้จะจอดส่งผู้โดยสารอยู่หลายจุด เราอย่าเผลอลงระหว่างทางนะครับ เพราะนากะสังคือสถานีสุดท้ายที่รถพวกนี้จะไปถึง รถจะจอดให้เราลงทำธุระส่วนตัวที่จุดพักรถหนึ่งครั้ง ก่อนเดินทางต่อ จุดนี้ผมได้คุยกับเด็ก ๆ ที่มานั่งเก็บเงินหน้าห้องน้ำ เด็ก ๆ น่ารัก อัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส พอดีกับที่มีนักท่องเที่ยวเดินมาเข้าห้องน้ำพร้อมกับพูดกับเด็กน้อยเป็นภาษาอังกฤษ ประมาณว่าขอเข้าห้องน้ำก่อนได้มั้ย ? เดี๋ยวออกมาจ่ายตังค์ ผมก็มองไปที่เด็ก ๆ แต่ไม่ทันจะมีคำใดเอื้อนเอ่ยออกจากปากผมไป เด็กผู้ชายเลยพูดขึ้นมาว่า "บ่ข่าวจายยยยยยย" ผมนี่ลั่นเลยครับ อดหัวเราะในความน่ารักของเด็กไม่ได้ ก่อนจากกันผมเลยขอชักภาพเป็นที่ระลึกไว้สักภาพครับ
เมื่อเราเดินทางมาถึงนากะสัง เราจะต้องต่อเรือเพื่อข้ามไปยังดอนเดด แดนสี่พันเกาะ ค่าเรือข้ามฟากราคา 15 พันกีบต่อคน เรือจะไปส่งเราถึงเกาะดอนเดดเลย (พอเราลงจากรถเดินตรงเข้าไปเรื่อย ๆ สุดท้ายเลี้ยวขวาจะมีห้องไว้ขายตั๋วเรือข้ามฟากอยู่) ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงกันแล้วครับ กระโดดลงเรือแล้วไปพบกับดอนเดดกันเลย
พอเราลงจากเรือก็เดินเข้าเกาะดอนเดด หาที่พักหลบแดดกันก่อน แล้วค่อยออกมาหาอะไรกินกัน ที่พักที่ดอนเดดก็มีหลายราคาให้เลือก มีทั้งแบบเป็นโรงแรม เกสต์เฮ้าส์ หรือแม้กระทั่งบ้านเป็นหลัง ๆ ริมน้ำก็มีเช่นกัน ราคาก็จะแตกต่างกันไป ตามระดับสิ่งอำนวยความสะดวก คืนนี้เราเลือกนอนกันที่บ้านริมน้ำสนนราคาคืนละ 160 บาท พอเราเก็บสัมภาระเสร็จก็เดินออกมาหาอะไรกินกันที่ร้านอาหารแถว ๆ นั้น ซึ่งเท่าที่ผมสังเกตตอนที่เดินหาที่พัก ร้านอาหารทุกร้านจะมี Wi-Fi ไว้บริการฟรี จังหวะนี้ใครจะเช็กเฟซบุ๊ก อัพโหลดรูป ก็ทำได้ครับ แต่อาจรอนานหน่อย อินเทอร์เน็ตเร็วกว่าหอยทากนิดหนึ่ง ระหว่างที่รออาหาร ลองสั่งอะไรมาดับร้อนกันก่อนละกันเนอะ
หลังจากที่อิ่มหนำทั้งท้องและสังคมออนไลน์กันเรียบร้อยแล้ว เราเดินต่อมาเช่าจักรยานเพื่อปั่นชมสถานที่ต่าง ๆ ในเกาะดอนเดดและรอบข้าง โดยมีเป้าหมายอยู่ที่น้ำตกสัมพันธมิตรหรือ "หลี่ผี" ที่เรารู้จักกันนั่นแหละครับ ค่าเช่าจักรยานเท่าที่ผมเดินดูในละแวกนั้น ราคาทุกร้านจะเท่ากันที่คันละ 10 พันกีบ เช่าได้ตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกา ไปจนถึง 22 นาฬิกา จึงต้องนำมาส่งคืน พอเราเช่าจักรยานเสร็จเราสามารถขอแผนที่การเดินทางเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และสามารถสอบถามวิธีการเดินทางจากร้านเช่าจักรยานได้ เค้าจะบอกการเดินทางว่าต้องไปยังไง ผ่านอะไร พอได้ข้อมูลพอสังเขปแล้วพวกเราก็เข้าที่พักเตรียมตัวเดินทางท่องเที่ยวกัน ซึ่งขณะนั้นก็เป็นเวลาเที่ยงกว่า ๆ เห็นจะได้
ตอนแรกผมบอกกับคณะว่าให้ใส่เสื้อแขนยาวกันแดด เนื่องจากแดดที่นั่นแรงมาก ทุกคนเตรียมตัวใส่ชุดกันอย่างมิดชิด และเริ่มออกเดินทางกันในเวลาเที่ยงครึ่ง จุดหมายแรกที่จะไปคือ "ขัว" หรือสะพานข้ามไปยังดอนโคน ทางไปหลี่ผี ถือว่าเป็นลางดีตั้งแต่พวกเราออกเดินทาง...ระหว่างทางเราต้องผ่านหมู่บ้านริมน้ำโขง ขณะที่ผมปั่นอยู่ดี ๆ ก็มีผู้คนต่างพากันวิ่งกรูออกมาที่ถนน พร้อมกับเสียงอึกทึกครึกโครมดังอยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไรนัก ชัดเจนนนนนนนนน !! วางมวยกันอีกแล้วครับผม ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องปกติของที่นี่หรือมันเป็นเพราะการมาเยือนของพวกผม แต่ก็ช่างมันเถอะครับ ผมปั่นผ่านไปโดยไม่ได้มองอะไรเท่าไร ปั่นไปจนถึงทางแยกที่จะมีป้ายเขียนว่า "บ้านพัฒนาดอนเดด" ให้ตรงต่อไปเรื่อย ๆ ผ่านทุ่งนาไปเรื่อย ๆ จนพบกับสะพาน (ถ้าไม่เจอสะพานแสดงว่าไปผิดทางแล้วนะครับ)
หลังจากจอดพักถ่ายรูปกันอยู่พักหนึ่ง เราก็ปั่นจักรยานต่อไปอีกประมาณ 500 เมตร จะพบกับหัวรถจักรสมัยสงครามโลกที่ฝรั่งเศสนำเข้ามาประเทศลาวในสมัยนั้น จุดนี้ผมว่าหัวรถจักรไม่เท่าไรหรอก สู้รถสองแถวคันที่จอดอยู่ข้าง ๆ กันไม่ได้ เฟี้ยวกว่ากันเยอะ 5555
หลังจากเรียนวิชาประวัติศาสตร์จนพอใจแล้ว พวกเราก็กระโดดขึ้นอานแล้วสวมวิญญาณ แลนซ์ อาร์มสตรอง กันต่อไป จุดต่อไปที่เราจะไปคือพระเอกของที่นี่ "หลี่ผี มหานทีสี่พันดอน" ใช้เวลาปั่นจากหัวรถจักรที่เราเพิ่งผ่านมาเมื่อกี้ 15 นาที โดยประมาณ (อย่าถามว่าไกลเท่าไร ผมไม่รู้เลยครับ 5555) เราจะมาเจอ 3 แยก ให้เราสังเกตป้ายดี ๆ จะเห็นป้ายบอกทางเข้าสู่น้ำตก (อย่าลืมนะครับ !! อ่านป้ายเวลาถึงทางแยก อันนี้สำคัญจริง ๆ) พอถึงที่หมายพวกเราก็ไม่รอช้าครับ จอดจักรยานแล้วมุ่งตรงเข้าสู่อุทยาน แค่ถึงจุดนี้ก็จะมองเห็นลำธารหลายสาย ได้ยินเสียงน้ำตกกระทบหิน เสียงน้ำไหลดังซู่ ๆ ซ่า ๆ อยู่เบื้องหน้า โอ้ววววว อยากจะเข้าไปไว ๆ แล้วสิครับ ค่าเข้าชมที่นี่ก็ราคาเดียวครับ 35 พันกีบ ไม่มีค่าฝากรถ (ค่าเข้าแพงมากครับ TT”) หลังจากเราได้บัตรแล้วก็สามารถเข้าไปชมไนแองการาแห่งเอเชียได้แล้ว
ภายในสงบร่มรื่น มีต้นไม้อยู่ประปราย ตอนที่เราไปแทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวเลย อาจเป็นเพราะยังเป็นช่วงที่แดดร้อน ๆ อยู่ล่ะมั้ง (ก็นั่นสิเนอะ ใครมันจะมาบ้าปั่นจักรยานตากแดดตอนเที่ยง ๆ กันล่ะ โถ่วววว) พอเราเดินมาได้นิดหน่อยเราก็จะเห็นน้ำตกหลายสายที่คนที่นี่เรียกกันว่า "น้ำตกสัมพันธมิตร" หรือเราอาจรู้จักกันในนาม "หลี่ผี" สวยไม่สวยก็ดูกันเอาเองแล้วกันนะครับ ผมไม่ขอตัดสิน
ในอุทยาน...พอเราเดินตรงเข้าไปที่ชายหาดจะพบบังกะโลเล็ก ๆ แบบโอเพนแอร์ โดยที่นั่นมีร่มและที่นอนอาบแดด บาร์ไว้บริการนักท่องเที่ยวฟรี (แต่ของที่บาร์ไม่ฟรีนะครับ)
ในรอบ ๆ บาร์ก็มีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง ทั้งวอลเลย์บอลชายหาด ลงเล่นน้ำที่หาดทรายข้างล่าง จะเล่นพูลหรือจะนอนพักผ่อนสบาย ๆ ในที่พักก็ทำได้ ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ฟรีหมด ถ้ากระหายก็มีน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มเย็น ๆ ไว้บริการ ไหน ๆ เราก็มาถึงที่นี่แล้วแถมปั่นจักรยานมาเหนื่อย ๆ อีก ขอหลับตาฟังเสียงนก เสียงน้ำที่นี่สักพักก่อนค่อยไปต่อแล้วกัน
รู้ตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็บ่ายแก่แล้ว...ผมเดินออกมาถ่ายรูปต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะเดินทางออกจากหลี่ผีแห่งนี้ ถ้าจะให้ผมอธิบายความสวยงามของที่นี่ ผมว่าถ้าช่วงน้ำเยอะมันน่าจะสวยกว่าที่ผมเห็น น้ำน่าจะใสกว่านี้ สำหรับผู้ที่ตั้งความหวังสำหรับที่แห่งนี้ผมขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับ ว่าท่านอาจผิดหวังกับสถานที่แห่งนี้เล็กน้อย ก่อนที่พระอาทิตย์จะคล้อยตกไปมากกว่านี้ พวกเราจำใจต้องออกเดินทางกันต่อ สถานที่ต่อไปคือ "จุดดูโลมาอิรวดี"
ผมปั่นออกมาได้สักพักเราก็จะมาเจอกับแยกเดิมที่เราปั่นเข้าไปน้ำตกเมื่อตะกี้นี้ รอบนี้ไม่ต้องเลี้ยวอะไรแล้วครับ ตรงยาว ๆ โลด ก่อนถึงที่หมายจะพบบ้าน 2-3 หลัง จังหวะนี้นี่เองที่ผมได้ยินเสียงเล็ก ๆ เสียงหนึ่งดังออกมาจากในบ้านว่า "เก็บเงิน ๆ" ซึ่งมาติด ๆ กันกับ "บ่ใช่ ๆ ล้อเล่น ๆ" อ้อ...เด็กที่อยู่ในบ้านนั่นเอง ไอ้เราก็ตกใจนึกว่าต้องเก็บตังค์ค่าเข้าจริง ๆ (คือแอบหลอนค่าเข้าชมครับ ที่ลาวคือมีค่าเข้านั่นเข้านี่เยอะมาก แทบจะเรียกว่าเก็บทุกอย่างเลยก็ว่าได้)
ปั่นไปจนสุดทางเราจะพบกับร้านอาหารและหาดทราย พอมาถึงที่นี่ผมเลยรู้ว่าการที่เราจะไปดูโลมานั้น เราต้องว่าจ้างชาวบ้านพานั่งเรือออกไป ด้วยความที่พวกเราไม่รู้มาก่อน กอปรกับช่วงที่เรามาถึงก็เย็นมากแล้ว พวกเราเลยไม่ไปดูโลมากัน แต่ก็ไม่วายที่จะหยุดถ่ายรูปเล่นกัน ผมมองไปเห็นลุงชาวประมงที่พายเรือเลียบมาตามน้ำเลยขอกดกับเค้าสักแชะ ก่อนเดินทางต่อแบบไร้จุดหมายปลายทาง 5555
พอเราเดินทางออกมาจากที่นั่นก็ไปแบบไม่มีจุดหมายครับ ปั่นตามทางไปเรื่อย ๆ เข้าป่าเข้าดงไปหลายกิโลเมตร จนต้องหยุดถามทางครับผม ปรากฏว่าทางที่ผมคิดว่ามันวนกันนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ครับ ถ้าปั่นต่ออีกประมาณ 7-8 กิโลเมตร ก็จะไปสุดที่ดอนคอนซึ่งเป็นจุดดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ไหน ๆ เราก็ปั่นมาขนาดนี้แล้ว....ไปกันต่อเลยครับผม
ระหว่างทางที่ปั่นรอบนี้จะเป็นป่าล้วน ๆ ไม่มีบ้านผู้คนอยู่อาศัย และที่สำคัญคือเราไม่รู้ว่าทางนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ จนตะวันเริ่มลับขอบฟ้าและแล้วพวกเราก็เดินทางมาถึง "ดอนคอน" จนได้ ที่นี่มีโรงเรียนที่เรียกว่าได้ว่า "คลาสสิกมาก" เพราะที่บ้านเราหาดูได้ยากมากแล้ว แต่น่าเสียดายที่ผมไปในช่วงที่โรงเรียนที่นั่นปิดภาคเรียน อีกทั้งโรงเรียนกำลังสร้างใหม่ เค้าเลยขนโต๊ะมาไว้ที่ตึกเรียนอีกหลัง (ไม่รู้เรียกตึกได้มั้ยนะ) สภาพโต๊ะและอุปกรณ์การเรียนที่นี่ ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปสมัยเด็ก ๆ ที่มีโต๊ะไม้ กระดานดำ อาคารเรียนเป็นไม้ ทุกอย่างทำมาจากวัสดุธรรมชาติ แต่น่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นการเรียนการสอนของระบบโรงเรียนที่นั่น ไม่งั้นคงทำให้ผมสามารถซึมซับบรรยากาศ แนวทางการสอนและนำเอามาเป็นแนวทางในการทำงานได้ในอนาคต
# รูปนี้ผมถ่ายขณะกำลังปั่นจักรยาน แต่กดได้แค่ 2 รูปเท่านั้นแหละครับ จักรยานเจ้ากรรมพาลงข้างทาง แต่โชคยังดีที่ผมยังพอมีสกิลการควบคุมจักรยานระดับ 7 ทุกอย่างเลยอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ (จริง ๆ คือห่วงกล้อง นึกในใจตอนนั้นถ้าล้มลงไปจริง ๆ จะรักษากล้องก่อน ตัวเองเจ็บไม่เป็นไร 5555)
และร้านอาหารที่เราให้ความไว้วางใจในค่ำคืนนี้ที่ดอนเดดคือ "Reggae Bar"
ร้านอาหารร้านนี้ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการ (ก็แหงอยู่แล้วเนอะ) ตอนผมเข้าไปมีกลุ่มชาวต่างชาติกลุ่มใหญ่นั่งเล่นไพ่กันอยู่กลางร้าน ด้วยความเมื่อยล้าและความหิวโหย พวกผมไม่ได้สนใจอะไรจนเด็กเสิร์ฟซึ่งเป็นชาวอิสราเอลนำเอาเมนูมาให้พวกเรา ผมก็กวาดสายตามองเมนูไปเรื่อย ๆ เมนูทุกอย่างก็ปกติเหมือนร้านอาหารอื่น ๆ มีอาหารไทย ลาว อิตาเลียน ฯลฯ จนผมไปสะดุดตากับชื่อเมนูหนึ่ง "Happy Pizza" เปิดแผ่นต่อ ๆ ไปก็เจออีก "Tom Yam Happy"
เฮ้ยยยยยยย !! มันไม่ใช่ละ แฮปปงแฮปปี้ไรวะ ทันใดนั้นผมเรียกเด็กเสิร์ฟคนเดิมมาทันที พร้อมกับถามถึงชื่ออาหารแปลกที่อยู่ในเมนู
"Happy - What does it mean?"
"Weed"
ผมทำหน้าเหรอหราใส่ ทั้งที่จริงก็รู้อยู่แก่ใจตั้งแต่แรกแล้วว่าคำว่าแฮปปี้ในเมนูนั้นหมายถึงอะไร
"ใส่ชา.....กัญชานั่น กัญชา"
555555 พูดชัดเชียวนะพ่อหนุ่ม และเป็นที่แน่ชัดว่าเมนูอาหารเหล่านั้นจะ "ใส่กัญชาลงไปเป็นส่วนผสม" แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้สั่งกันนะครับ คือพอดียังอยากเดินบนพื้นดี ๆ ไม่อยากตัวลอยกลับที่พัก
หลังจากที่เรากินข้าวกันเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปนอน แต่ก่อนจะกลับพวกเราก็ไม่ลืมที่จะซื้อตั๋วเพื่อกลับไปยังปากเซนะครับ ร้านขายตั๋วที่ว่าเนี่ยมีอยู่เต็มไปหมด จะเลือกซื้อจากเจ้าไหนก็ได้ เพราะสุดท้ายก็ขึ้นเรือรวม ๆ กันอยู่แล้ว ราคาค่าเรือข้ามฟากพร้อมรถบัสเดินทางเข้าปากเซก็จะอยู่ที่คนละ 50 พันกีบครับ ทีนี้ก็ได้เวลาพักผ่อนหลับตานอน จบแล้วสำหรับวันอันแสนทรหด ณ ดอนเดด
End of Day 2
ขอนอกเรื่องนิดหนึ่งนะครับ...ที่ประเทศลาวเราจะสังเกตเห็นร้านให้บริการอย่างหนึ่งซึ่งพบได้เป็นอย่างมาก นั่นก็คือ "ร้านตาบยาง" นั่นก็คือร้านปะยางในบ้านเรานั่นเองแหละครับ ร้านปะยางที่นี่มีอยู่ทั่วทุกสารแหง อาจเป็นเพราะสภาพถนนที่นี่คล้ายคลึงกับสนามแข่งมอเตอร์ครอสล่ะมั้ง ถึงได้มีกันอยู่เป็นดอกเห็ดขนาดนี้ รูปที่ท่านเห็นต่อไปนี้ ผมถ่ายมาจากในป่าระหว่างทางไปดอนคอน เล็งอยู่นานจนคนในบ้านแซวผมว่า "คือเล็งใส่คักแท้ ?" ผมนี่ได้แต่อมยิ้ม พร้อมกับเงยหน้ามองเข้าไปในบ้าน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวที่มองเห็นลูกของเจ้าของบ้าน แต่น่าเสียดายที่น้องเค้าไม่บ้ากล้อง ผมเลยอดได้ภาพเด็ก ๆ ที่นู่นมาให้ชมกัน
//////////////////////
Day 3 วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2558
วันนี้ผมตื่นแต่เช้า ล้างหน้า แปรงฟัน แล้วออกมาดูวิถีชีวิตยามเช้าของคนที่นี่ครับ คณะเดินทางยังไม่มีใครตื่น เช้านี้ผมเลยต้องรับหน้าที่ฉายเดี่ยว เดินเปิดแผนที่ไปเรื่อย ๆ ภาพแรกที่ผมเห็นคือเด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตื่นกันแต่เช้า พากันออกมาเดินเล่นนอกบ้านตอนเช้า ๆ กัน เด็กที่นี่แทบจะเรียกได้ว่ารู้จักกันแทบจะทุกคนเลยนะครับ พอผมเห็นเด็ก ๆ แบบนี้ทำให้นึกถึงสังคมบ้านนอกที่ผมเติบโตมา ความรู้สึกเหมือนมาย้อนเวลาดูวัยเด็กของตัวเองซะอย่างงั้น
ที่นี่มีระบบน้ำประปาภายในหมู่บ้านเหมือนกันนะครับ ถึงแม้ด้วยภูมิประเทศจะเป็นเกาะกลางลำน้ำโขงก็เถอะ ถึงแม้ว่าคุณภาพน้ำที่ได้จะไม่ค่อยสะอาดเท่าไร แต่ก็ถือว่าเวิร์กพอสมควรครับกับพื้นที่แบบนี้
การเดินทางของที่นี่ส่วนใหญ่จะใช้เรือ การเดิน และจักรยาน
ด้วยเหตุนี้เราเลยจะเห็นจักรยานจอดอยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วทั้งเกาะ
ไม่ว่าจะเป็นของชาวบ้านเองหรือของนักท่องเที่ยวที่เช่ามาก็ตามแต่
เท่าที่ผมเดินสำรวจไปเรื่อย ๆ แทบจะเรียกได้ว่า "ทุกๆ 20 เมตร เราจะเห็นจักรยานหนึ่งคัน"
คนที่นี่มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่คล้ายกับคนในชนบทของบ้านเรา คือมีการปลูกบ้านที่ทำจากไม้ ใต้ถุนสูง อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ บางครอบครัวมีบ้านหลายหลังติดกัน ทำมาหากินด้วยการหาปลา ทำนา เลี้ยงสัตว์และทำธุรกิจกับนักท่องเที่ยว เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งก็ทำให้ผมคิดอยู่เหมือนกันว่าที่นี่ก็มีความอบอุ่นอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาตลอด 2 วันที่ลาว ผมจะได้เจอมวยไปหลายคู่แล้วก็ตามเถอะ
สุดท้ายก็ถึงเวลาที่ผมต้องเดินทางกลับออกมาจากดอนเดด เราขึ้นเรือเวลา 11.30 น. เพื่อข้ามกลับมายังนากะสังและนั่งรถบัสกลับปากเซ จังหวะนี้นี่เองที่ทำให้ผมรู้ว่า...คนที่มาเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มาจากฝั่งยุโรปเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคนไทยที่มาเที่ยวที่นี่รู้สึกว่าจะมีแค่พวกผม 4 คนเท่านั้น เอเชียชาติอื่น ๆ ก็มีบ้างประปราย บ๊ายบายดอนเดด...แล้วเราอาจจะได้พบกันอีก
พอขึ้นฝั่งที่นากะสังเราจะต้องเดินมาขึ้นรถบัสเพื่อกลับปากเซ ขากลับนี่ชิล ๆ ครับ นั่งรถดูระหว่างทางเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็ถึงปากเซแล้ว รถจะเดินทางมาจอดส่งผู้โดยสารที่หลักแปดก่อน จุดนี้เราไม่ต้องลงนะครับเพราะรถจะไปส่งเราถึงที่ในตัวเมืองเลย รถของบริษัทผมจะมาส่งที่ข้างวัด ไม่ห่างจากโรงแรมลานคำมากนัก ทันทีที่เราลงจากรถเราเดินไปหาที่พักกันก่อนสำหรับคืนนี้ ซึ่งเราก็ได้วางแผนกันตั้งแต่ก่อนไปดอนเดดแล้วว่าเราจะพักกันที่อาลิสาเกสต์เฮ้าส์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมลานคำเท่าไรนัก ระหว่างที่พวกผมจะถึงที่พักก็ได้ผ่านร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งขณะที่พวกเราเดินผ่าน พนักงานในร้านทุกคนจะทักทายด้วยคำว่า "สะบายดี" ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้จะเข้าไปนั่งกินอาหารร้านเค้า แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรนอกจากยิ้มตอบไปเพียงเท่านั้น พอเรามาถึงที่พักก็เปิดห้องเหมือนเดิม คือห้อง 2 คน 2 ห้อง ตกราคาห้องละ 500 บาทต่อคืน แต่ขอบอกเลยครับว่าห้องพักของที่นี่ใหญ่กว่าโรงแรมลานคำประมาณ 2 เท่า มีแอร์ ตู้เย็น เคเบิล Wi-Fi เครื่องทำน้ำอุ่น มีแม่บ้านมาเปลี่ยนของใช้ พับผ้าปูที่นอนให้ เอาง่าย ๆ ว่าบริการถูกใจ ราคาไม่แพงครับ
พอเก็บข้าวของเราก็ออกหาอะไรกินกัน น้องผมที่มาด้วยกันลองถามไกด์ที่รู้จักให้ลองแนะนำร้านอาหารที่น่ากินให้เรา เท่าที่ผมจำได้มีกาแฟเดลต้า แหนมเนือง แล้วก็ที่สุดท้ายคือ “ร้านอาหารดาวลิน” พวกเราตกลงกันว่าจะไปกินแหนมเนืองกัน การเดินทางก็เหมือน ๆ เดิมคือเช่ามอเตอร์ไซค์ขับไป แต่รอบนี้ดีหน่อยที่ด้านล่างของที่พักของผมมีบริการเช่ารถอยู่แล้ว หลังจากที่เช่ารถกันเสร็จก็ไปกันเลยครับ ถามทางเล็กน้อยแล้วบิดคันเร่งออกจากที่พักไปประมาณ 45 นาที ปรากฏว่าไม่เจอร้านแหนมเนืองครับ แถมหลงไปมั่วอีกต่างหาก สุดท้ายเอาไปเอามาเลยมาลงกันที่ร้านอาหาร "ดาวลิน"
ทันทีที่เราจอดรถและก้าวเท้าเข้าไปในร้าน พนักงานทุกคนในร้านก็กล่าวคำว่า "สะบายดี" เพื่อเป็นการทักทาย หลังจากนั้นจึงเอาเมนูอาหารมาให้พวกเรา และจังหวะนี้นี่เองที่ทำให้ผมรู้จักกับพี่เจ้าของร้าน ซึ่งแกเป็นนักฟุตบอลของลาวเก่า มาเปิดร้านอาหารที่ปากเซนี้มา 10 กว่าปีแล้ว ตอนแรกแกคิดว่าพวกเราเป็นคนมาเลย์ แต่พอผมพูดลาวเท่านั้นแหละ คุยกันน้ำลายแตกฟองครับ จนได้รู้มาว่ามีบาร์ริมโรงที่หนึ่งที่เปิดบริการโดยคนไทย เราสามารถติดต่อเจ้าของร้านเพื่อให้เค้าช่วยจัดการเรื่องได้ พอได้ยินแบบนี้แล้วผมก็ไม่รอช้าสิครับ รีบเร่งไปดูร้านที่พี่เจ้าของร้านอาหารบอกไว้ แต่ปรากฏว่าไปถึงร้านปิดครับ ปิดในที่นี้ไม่ใช่ปิดบริการนะครับ ปิดในที่นี้คือย้ายกิจการไปเลย จบสิครับงานนี้ ไนท์ไลฟ์ที่ใฝ่ฝัน คืนนี้เราคงจะได้กินเบียร์ที่ร้านอาหารเหมือนเช่นเคย (รู้มาทีหลังว่าทางลาวจะให้ชาวเกาหลีเข้ามาทำธุรกิจ จึงทำให้ย้ายร้านอาหารเหล่านี้ไปอีกที่หนึ่งแทน)
หลังจากที่ผิดหวังจากไนท์ไลฟ์แล้ว...ผมก็ขับรถเล่นไปเรื่อยเปื่อยจนรู้สึกอยากกินกาแฟขึ้นมา ไม่ต้องถามครับมุ่งหน้าไปเดลต้าทันที ร้านเดลต้าคอฟฟี่เป็นร้านกาแฟและเค้ก ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวังเก่า (โรงแรมจำปาศักดิ์พาเลซ) พวกผมไปในเวลาบ่ายแก่ ๆ ไม่ค่อยมีคนเท่าไรแล้ว บรรยากาศในร้านเงียบสงบเหมาะสำหรับการนั่งจิบกาแฟเสียนี่กระไร แต่กว่าผมจะสั่งกาแฟได้ต้องต่อล้อต่อเถียงกับพนักงานสาวในร้านอยู่นาน กวนกันไปกวนกันมาไม่ได้สั่งซะที แต่สุดท้ายก็ได้กินครับ "กาแฟนมของปากเซ" รสชาตินี่กำลังพอดี กลิ่นนี่หอมอย่าบอกใคร
จังหวะนี้ขอใช้ชีวิตช้า ๆ พ่นควัน กินกาแฟ คุยเรื่องอะไรเรื่อยเปื่อยกับน้องผมที่มาด้วยกัน และคุยเรื่องนักท่องเที่ยวตลอดจนเรื่องราวต่าง ๆ ของเมืองปากเซกับพนักงานภายในร้าน พอกาแฟหมดแก้วหลังจากจ่ายตังค์พร้อมทิป 1,000 กีบ ให้กับพนักงาน พวกเราก็ย้ายสังขารกลับมายังที่พัก แต่ก่อนที่ผมจะออกจากร้านก็มีเสียงพนักงานคนที่คุยกับผมตะโกนออกมาว่า "คือให้ทิปน้อยแท้ ซื้อลูกซี้นยังบ่ได้เลย" ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้า พร้อมกันกับมือบิดกุญแจและสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์เพื่อเดินทางกลับที่พัก
หลังจากที่เราอาบน้ำอาบท่ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอเราลงมาเพื่อจะไปกินข้าวกันมันก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม บรรยากาศภายในเมืองปากเซและรอบบริเวณที่พักของผมเริ่มมืด พวกผมเลือกที่จะเดินไปร้านอาหารเพราะอยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไร ซึ่งแน่นอนว่าสถานที่ฝากท้องและไนท์ไลฟ์สำหรับคืนนี้คือที่ "ดาวลิน"
คืนนี้เราเลือกฝากท้องที่นี่เนื่องจากเมื่อกลางวันพูดกันถูกคอ ไม่ใช่แค่พี่ตี๋เจ้าของร้านที่มาคุยกับเราเพียงแค่คนเดียว แต่รอบนี้แฟนของแกก็มาคุยกับเราด้วยเช่นกัน พร้อมกับแนะนำเมนูพิเศษซึ่งไม่มีอยู่ในรายการอาหาร พวกเราก็ไม่รอช้า สั่งมาทั้งกับข้าวและกับแกล้มหลาย ๆ อย่างที่ต้องเสิร์ฟพร้อมกับ "เบียร์ลาว" เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมเหลือบไปเห็นป้าย "Tripadvisor" ซึ่งที่ร้านดาวลินแห่งนี้ก็เพิ่งจะได้รับใบประกาศมาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าร้านอาหารร้านนี้จะได้ระดับใบประกาศถึง 4 ดาว (พอมาใช้บริการบ่อย ๆ ถึงรู้ครับว่า แค่ 4 ดาว ไม่พอสำหรับร้านนี้จริง ๆ) ถ้าพูดถึงรสชาติอาหารต้องบอกได้เลยครับว่าถูกปากทั้งคณะ ไม่ว่าจะเป็นเปาะเปี๊ยะทอด ไก่ทอดพริกเผา หรืออาหารคาวหวานอื่น ๆ
หลังจากที่คุยกันไปกันมาตั้งแต่ 1 ทุ่ม จนถึงสี่ทุ่มกว่าเกือบห้าทุ่มทำให้เรารู้ว่า...สำหรับประเทศลาวกิจการทุกอย่างจะต้องปิดบริการก่อนเวลาห้าทุ่ม และหลังเวลาห้าทุ่มห้ามเดินทางเพ่นพ่านออกมานอกที่พักหรือเคหสถาน เนื่องจากจะมีความผิดอาจถูกขังคุกได้ (และเรื่องราวอีกมากมายที่จะสรุปไว้ในตอนท้ายเป็นสิ่งที่ต้องรู้ก่อนไปเที่ยวลาว) พอถึงเวลาร้านปิด พวกเราเดินกลับมาที่พักอย่างสบายใจ ผมให้คนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปนอนก่อน ส่วนผมขอนั่งคุยกับพนักงานโรงแรมก่อน ช่วงนี้เองทำให้ผมได้รู้รายละเอียดการเดินทางและข้อควรระวังในการไปเที่ยวน้ำตกของผมในวันพรุ่งนี้มากขึ้น ก่อนจะขอตัวแยกย้ายไปนอน
End of Day 3
พวกเรานัดรวมพลกันในเวลา 07.30 น. เพื่อไปกินอาหารเช้าก่อนออกเดินทางไปตามแผนการที่วางไว้ในวันนี้ "ทัวร์น้ำตก" หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเดินทางกันอีกครั้ง โดยสถานที่แรกที่เราจะไปคือ "ตาดอีตู้" การเดินทางก็จะใช้เส้นทางเดียวกันกับที่เราเดินทางไปยังผาส้วม โดยครั้งนี้เราจะต้องเลยหลัก 21 ไปอีกจนถึงหลัก 38 จะมีทางเข้าเล็ก ๆ ทางซ้ายมือ มีป้ายเขียนไว้ว่าน้ำตาดอีตู้ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าไป พอเข้าไปในซอยเราจะเจอถนนที่สภาพเหมือนกับพื้นผิวดาวอังคาร ซึ่งนั่นหมายความว่า... คุณมาถูกทางแล้ว พอเดินทางมาถึงตาดอีตู้ข้างในนี้จะเป็นรีสอร์ท (ซึ่งก็รับสัมปทานโดยคนไทยอีกนั่นแหละ) ค่าเข้าชมตาดอีตู้แห่งนี้ก็จะแบ่งแยกออกเป็นค่าเข้าชมคนละ 10 พันกีบ ค่าฝากรถ 5,000 กีบ ภายในจะมีร้านอาหาร บ้านพักซึ่งอยู่ติดกันกับน้ำตก และที่สำคัญคือถึงจะอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร ที่นี่ก็มี Wi-Fi ฟรีไว้ให้ใช้งานนะครับผม
ตาดอีตู้ เป็นน้ำตกชั้นเดียวที่ตั้งอยู่ในตาดอีตู้รีสอร์ท น้ำที่นี่ใสไม่เหมือนกับน้ำตกที่เราไปมาแล้วก่อนหน้านี้ พอเราเดินผ่านจุดชมวิวแรกมาจะมองเห็นบันไดเพื่อเดินลงไปชมน้ำตกที่ชั้นล่าง โดยจุดนี้สามารถลงเล่นน้ำได้ แต่กระแสน้ำอาจแรงไปนิดหนึ่ง
เนื่องด้วยที่พวกเรามาถึงที่นี่เป็นกลุ่มแรกของวัน
ทำให้ทั้งน้ำตกเป็นของพวกเรา ผมก็เริ่มหามุมถ่ายภาพตามประสา
ส่วนชาวคณะก็ลงเล่นน้ำกันตามอัธยาศัย
ก่อนที่เราจะชักภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกกันสักนิดสักหน่อย
หลังจากอิ่มหนำกับบรรยากาศข้างล่างกันแล้ว เราก็เดินขึ้นมาที่ชั้นบนของน้ำตก (ตอนแรกคือพวกเราจะกลับแล้ว แต่บังเอิญผมเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนไปเจอทางขึ้นไปต้นน้ำ) ตอนแรกที่คิดว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรก แต่เอาเข้าจริงกลับไม่เป็นไปอย่างที่ผมคิด มีฝรั่งหนุ่มคนหนึ่งผู้มีกล้องประจำกายคือโกโปร (จำฝรั่งคนนี้ไว้ให้ดีนะครับ) มายืนแบบไม่กลัวความเสี่ยงอยู่ตรงหน้าผาเหนือน้ำตกอยู่ก่อนแล้ว ที่ชั้นบนของน้ำตกจะเป็นลำธารที่น้ำไหลเชี่ยว มีสะพานที่ทำจากท่อนไม้ขนาดใหญ่ไว้ให้เราเดินข้ามฝั่งได้ ลักษณะที่เป็นแอ่ง มีชั้นหินที่ทำให้เกิดน้ำตกไหลลดหลั่นกันลงมาแต่ไม่สูงมาก น้ำที่นี่ก็น่าลงเล่นเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ระวังแล้วเผลอไหลไปตามน้ำก็อาจได้เล่นบันจี้จั๊มพ์ก่อนได้ไปเกิดใหม่ เพราะหากพลาดไหลตามน้ำลงไปจุดจบคือ "ตกหน้าผา" ที่สูงกว่า 30 เมตรแน่นอน
หลังจากพอใจกับตาดอีตู้แล้วเราเดินทางไปต่อกันที่เยือง น้ำตกที่อยู่ใกล้ ๆ กันกับตาดอีตู้ ห่างออกไปประมาณ 4 กิโลเมตร (หลัก 42) โดยทางเข้าตาดเยืองจะอยู่ทางขวามือของเรา (สามารถเข้าได้ 2 ซอย จะเข้าซอยไหนก็ได้ พาไปถึงน้ำตกได้เหมือนกัน เอิ๊ก ๆ) ให้ขับตรงเข้าไปจนถึงทางเข้าน้ำตก ค่าเข้าชมที่นี่แบ่งออกเป็น 2 ราคา คือ คนในประเทศ ค่าเข้าชมก็ 5,000 กีบต่อคน ชาวต่างชาติ 10 พันกีบต่อคน ค่าฝากรถ 3,000 กีบต่อคัน (ผมเสียค่าเข้าแค่ 5000 กีบ เพราะตอนผมไปถึงผมพูดภาษาท้องถิ่นใส่คนเก็บขายบัตรหน้าทางเข้าทันที หลังจากทั้งคู่ถกเถียงกันอยู่พักหนึ่ง จึงลงความเห็นว่า "ผมเป็นคนลาว" แน่นอน 5555) พอเราเข้าประตูมาได้แล้ว ต้องเดินเท้าต่อลงไปยังน้ำตกที่อยู่ลึกลงไปประมาณ 300 เมตร
น้ำตกตาดเยือง...เราจะสามารถเดินขึ้นไปชมต้นน้ำตกและสามารถเดินลงไปชมน้ำตกข้างล่างได้ สภาพของตาดเยืองคือน้ำตกชั้นเดียวที่ไหลลงมาสู่แอ่งข้างล่าง เป็นน้ำตกสายใหญ่ สามารถลงเล่นได้เฉพาะข้างบนต้นน้ำเท่านั้น เนื่องจากแอ่งข้างล่างกระแสน้ำเชี่ยวกราก หากลงเล่นจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แต่พูดถึงที่ชั้นล่างของน้ำตกเราไม่จำเป็นต้องลงเล่นน้ำหรอกนะผมว่า ขอแค่คุณไปยืนที่ชั้นล่างของน้ำตกแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถเปียกโชกไปทั้งตัวได้แล้วครับ เวลาที่เดินลงไปชมน้ำตกก็ขอให้ระมัดระวังกันด้วยนะครับ เนื่องจากข้างล่างมีไอน้ำตกกระทบตลอดเวลา ทำให้หินหรือทางเดินลื่น สามารถทำให้หกล้มได้ง่าย เผื่อตกน้ำตกท่าไปจะแย่เอา เดี๋ยวหาว่าผมไม่บอกอีกล่ะ
พอเราเดินขึ้นมาจากน้ำตกก็พบกับคณะนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่ที่ลงมาดูที่ทางบริเวณน้ำตก
สงสัยคงจะมาทำธุรกิจที่นี่ในอนาคตกันแน่ ๆ แต่ช่างเค้าครับ
ไปต่อกับทริปของเรากันดีกว่า
เราเดินขึ้นมาข้างบนต้นน้ำก่อนที่จะไหลลงไปข้างล่าง
ในจุดนี้เราจะมองเห็นฝรั่งหลายคนไปนั่งอยู่ตรงหน้าผาข้าง ๆ น้ำตก
จะว่าไปฝรั่งพวกนี้ก็ใจกล้าเกินไปนะบางที แค่ลมแรง ๆ
พัดวูบเดียวมีสิทธิ์ได้เห็นน้ำตกสีเลือดกันอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นพวกเราก็เหลือบไปเห็นไอ้หนุ่มโกโปร (เฮ้ยยยยยย
มันมาเร็วกว่าเราได้ไงวะ ?) พวกเราต่างทักทายกันพร้อมกับตั้งคำถามไปต่าง ๆ
นานาว่าฝรั่งผู้นี้เค้าเดินทางมาถึงที่นี่ก่อนพวกผมได้ยังไง ?
เค้าเดินป่ามา ? หรือมุดน้ำ ดำนา ปลูกป่า ทำสปา ดูปะการัง ฯ (อันหลัง ๆ
นี่เอาฮาละ)
ข้างบนต้นน้ำมีซากปรักหักพังของรีสอร์ทที่ปัจจุบันนี้ปิดทำการแบบถาวร
กลายเป็นที่เลี้ยงวัวเลี้ยงควายของชาวบ้านไป
ผมพยายามเดินขึ้นไปยังต้นน้ำที่ที่เป็นน้ำตกอีกชั้นหนึ่ง
แต่ด้วยความพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว
ผมไม่มีทางที่จะสามารถไปถึงได้เพราะมีทางเดียวจะไปถึงคือ "ว่ายน้ำ" แต่โดยรอบก็ถือว่าสวยครับ น้ำใสและเย็นมาก มีนักท่องเที่ยวหลายคนเลือกมาปิกนิกที่นี่ บ้างก็มานอนอาบแดด ถ่ายรูป ฯลฯ
พวกเราตกลงกันว่าจะแยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย ผมขอตัวข้ามไปถ่ายรูปรีสอร์ทร้างที่อยู่อีกฟากหนึ่งสักหน่อย พอข้ามไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้เท่านั้นแหละ ผมรู้สึกว่าอะไรติดอยู่ที่หลังเท้าออกอาการเจ็บนิด ๆ ในตอนแรกผมก็คิดว่ามันคือเศษใบไม้ใบหญ้า เลยลองเอาไปจุ่มน้ำปรากฏว่ามันไม่ออกครับท่านผู้ชมมมมมม !! หลังจากเพิ่งพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งทำให้ผมรู้ว่า...เจ้านี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ปลิง" ตอนแรกผมกะว่าจะฝืนไว้ถือว่าบริจาคเลือดให้มัน แล้วไปถ่ายรูปก่อน แต่คิดไปคิดมา....ไม่ได้ครับผม ต้องเอาออกเดี๋ยวนี้เลยเพราะถ้าปล่อยไว้นาน มันอาจเป็นภาพที่ผมเองรับมันไม่ได้ ผมข้ามสะพานกลับมาร้องเรียกหาน้องชายผมให้เอาไฟแช็กในกระเป๋ากล้องส่งมาให้ที ทำเอาฝรั่งที่นอนอาบแดดหรือนั่งอยู่ริมหน้าผามองผมเป็นตาเดียว แต่ผมไม่สนใจหรอกครับ ตอนนั้นต้องการแค่เอาปลิงออกจากเท้าไปก่อน หลังจากที่เอาไฟลนมันอยู่นานทำให้รู้ว่า... มันคงหิวโหยมากเพราะขนาดผมเองหนังแทบไหม้กว่ามันจะยอมถอนปากออกไปแต่โดยดี
ตอนแรกเราว่าจะกินข้าวกันที่นี่ แต่เนื่องจากคณะนักธุรกิจได้เหมาร้านอาหารภายในไว้หมดแล้ว (อันนี้ก็ไม่ใช่หรอกครับ เพียงแค่พวกเค้ามากันเยอะเลยทำให้ดูเหมือนยึดร้านอาหารไปเลยแค่นั้น) สุดท้ายพวกผมเลยตัดสินใจออกไปเที่ยวต่อที่ "ตาดฟาน" โดยเดินทางย้อนกลับมาที่ หลัก 40 ทางเข้าขากลับมาจะอยู่ซ้ายมือเรา เข้าตรงไปเรื่อย ๆ จะพบทางเข้าพร้อมร้านของฝาก น้ำตกตาดฟานเป็นน้ำตกสองสายที่ไหลลงมาที่เดียวกัน ในตอนกลางวันที่มีแสงตกกระทบน้ำตก เราจะมองเห็นสายรุ้งที่น้ำตกทั้งสองอย่างชัดเจน
"แต่ที่นี่ไม่เปิดให้ลงเล่นน้ำหรือลงไปชมน้ำตกข้างล่าง"
พนักงานที่โรงแรมในปากเซเล่าให้ผมฟังว่าเคยมีคู่รักชาวยุโรปลงไปด้านล่างแล้วไม่กลับขึ้นมาอีกเลย
ไม่มีใครกล้าลงไปตามหรือนำศพขึ้นมา
เนื่องจากที่ชั้นล่างสุดของน้ำตกแทบไม่มีอากาศอยู่เลย
จะมีก็เพียงไอน้ำที่กระทบตัวเราอยู่ตลอดเวลาจนทำให้ไม่ต่างอะไรกับลูกหมาตกน้ำ
คนที่ลงไปอาจมีโอกาสเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจได้
บรรยากาศในเขตน้ำตกมีความร่มรื่น แมกไม้นานาพรรณขึ้นอยู่เต็มไปหมด ในเขตน้ำตกมีโรงแรม บ้านพัก ร้านอาหาร ร้านค้า ตลอดจนเปลญวณ ที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจไว้ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวอย่างครบครัน
หลังจากที่เยี่ยมชมตาดฟานเรียบร้อยแล้วเราก็ออกมาหาอะไรกินกันข้างนอก โดยเราไม่มีตัวเลือกมากนัก มื้อนี้เลยต้องจบลงที่ร้านลาบหน้าทางเข้าน้ำตก รสชาติที่ได้รับก็ถือว่าผ่านนะครับ ถูกปากคนอีสานเลย แถมป้าคนขายยังใจดีลดค่าอาหารให้อีกตั้ง 16 พันกีบ แถมพอผมชวนคุยหน่อยก็ได้ยืนคุยกันยาว ป้าแกยังแนะนำแหล่งท่องเที่ยวต่อไปให้เราอีกด้วย ซึ่งการเดินทางหลังจากนี้เป็นการเดินทางแบบหลงทางจริง ๆ จึงไม่ขอเล่าไว้ ณ ที่นี้ เนื่องจากมันจะยืดยาวเกินไป เอาสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่าผมขับรถต่อไปจนถึงเมืองปากซอง และเดินทางกลับมาที่ปากเซ เรื่องว่าเดินทางไปที่ไหนนั้นผมจะไม่เล่า แต่จะเล่าประสบการณ์การขับรถในประเทศลาวให้ฟังแทน เนื่องจากวันนี้ผมต้องขับทางไกล ทำให้ต้องเจอรถมากมาย ทั้งเก๋ง กระบะ ซีดาน รถบรรทุก รถพ่วง ฯลฯ
ที่ผมจะบอกก็คือ...เวลาที่รถทุกคันจะแซงมอเตอร์ไซค์เค้าจะบีบแตรตอนใกล้จะแซงเรา ซึ่งการแซงในที่นี้คือ “ชิด” ไม่รู้ว่าพวกพี่แกจะเบียดมอเตอร์ไซค์ไปไหน จังหวะขากลับมาปากเซจึงทำให้ผมหัวเสียเป็นอย่างมาก ใครที่ขับมอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยวก็ระวังหน่อยนะครับ พอชนมามันไม่ค่อยคุ้ม ถ้าเค้าอยากแซงก็ปล่อยให้แซงไป อย่าไปเปรี้ยวใส่เพราะส่วนใหญ่จบไม่ค่อยสวย
หลังจากกลับมาถึงพวกเราก็แวะจิบน้ำชา กาแฟกันที่ร้านดาวลินเหมือนเดิม ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว พอถึงเวลาฟ้ามืดเราเดินออกมาจากที่พักเหมือนเดิม สั่งอาหารพร้อมกับเบียร์อย่างเช่นทุกวัน บรรยากาศคืนนี้เป็นไปอย่างครึกครื้น เราได้รู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับที่แห่งนี้ ประเทศแห่งนี้ จากปากคำของคนในพื้นที่แท้ ๆ ผมซึมซับเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ ก่อนที่ร้านจะปิดและเราก็ต้องแยกย้ายกันไปในตอนท้ายที่สุด
End of Day 4
"สิ่งที่ควรรู้ก่อนเป็น Backpacker เที่ยวประเทศลาว"
+ 1. ถามราคาสิ่งของและบริการก่อนตัดสินใจทุกครั้ง ถ้าไม่อยากมาเงิบทีหลังตอนคิดตังค์ บางอย่างเราสามารถต่อรองราคาได้ อย่าใจร้อนแล้วท่านจะได้ของถูกใจในราคามิตรภาพ
+ . ค่าเข้าเหยียบประเทศลาว หากถือพาสปอร์ตขาเข้าเสีย 100 บาท ขาออกเสีย 40 บาท หากเป็น Boarding Pass ไม่ทราบเหมือนกัน
+ 3. ถือพาสปอร์ตอยู่ได้ 30 วัน หนังสือผ่านแดนชั่วคราวไม่แน่ใจว่า 3 วัน , 7 วัน หรือ 15 วัน เพราะได้ข้อมูลมาไม่ตรงกันเท่าไร
+ 4. บุหรี่ปลอม เหล้าปลอม ของป่า ยาเสพติดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ถือเข้าไทยไม่ได้
+ 5. อย่ามีเรื่องกับคุณตำรวจ ใส่หมวกตลอดเวลา ปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจร หากถูกจับให้รีบเคลียร์ตรงนั้นให้จบ อย่าให้เรื่องบานปลาย และห้ามทำเป็นหัวหมอหากไม่อยากนอนมุ้งสายบัว
+ 6. หลีกเลี่ยง Nightlife เนื่องจากวัยรุ่นที่ลาวส่วนใหญ่มีประสาทสัมผัสเรื่อง "ส้นเท้า" ไวมาก หากยังอยากกลับไทยแบบอวัยวะครบ 32 แนะนำให้หลีกเลี่ยง โดยเฉพาะหลังจากที่ย้ายสถานบันเทิงเหล่านี้ไปอยู่หลัก 3 ซึ่งจะกล่าวเป็นข้อต่อไป
+ 7. หลัก 3 เป็นสถานที่ที่ Backpacker ไม่ควรจะไปเที่ยวหรือไปวอแวแถวนั้นมากนัก เพราะเท่าที่รู้จากคนในมา หลักสามคือสถานที่รวบรวมกลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อนและเหล่านักเลงหัวไม้ไว้พอสมควร
+ 8. เวลา 5 ทุ่ม คือเวลาปิดกิจการของธุรกิจทุกอย่าง (ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านเหล้าที่ไม่ใช่ผับ) ถ้าเกิดหิวต้องหาของกินภายในโรงแรม (ซึ่งก็ปิดห้าทุ่มเช่นกัน) ห้ามออกไปเพ่นพ่านข้างนอกหลังจากเวลานี้ เพราะอาจถูกจับกุมและคุมขังทันที (อารมณ์คล้ายประมาณเคอร์ฟิวบ้านเรา แต่ดุเดือดกว่า)
+ 9. ข้าวของที่ขายส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศไทย ไม่ต้องแปลกใจหากพบว่ามันมีราคาแพงกว่าที่ไทย เช่น โยเกิร์ต ขนม สบู่ อาหารกระป๋อง มาม่า
+ 10. แมลงที่นั่นเยอะมาก กรุณาเตรียมยากันยุงไปด้วยสำหรับท่านที่ผิวบอบบางแพ้ง่าย
+ 11. ทริปดอนเดดไม่แนะนำให้ท่านผู้ไม่มีจิตใจรักในการปั่นจักรยานเดินทางไป เพราะการเดินทางลำบากมาก อาจทำให้ท่านเกลียดชีวิตสโลว์ไลฟ์ไปเลยก็ได้
+ 12. ชุดที่เตรียมไปควรพร้อมเลอะได้ทุกขณะ เพราะส่วนใหญ่ทางเป็นดินลูกรังหรือถนนที่มีดินแดงอยู่เต็มไปหมด หากเป็นช่วงหน้าฝนทางจะเละมาก จึงควรเตรียมใจไว้ให้ดี
+ 13. ร้านอาหารดาวลิน เป็นร้านอาหารที่อยู่หัวมุมแยกก่อนถึงอาลิสา ป้ายร้านสีเหลือง ๆ ถ้าไปไม่ถูกสังเกตเวลาเราเดินผ่าน จะมีเสียงดังออกมาจากร้าน “สะบายดี” ถ้าได้ยินแบบนี้แล้วละก็แสดงว่าใช่เลยครับ อีกอย่างคือพี่เจ้าของร้านใจดีมาก ถ้าบอกว่าเป็นคนไทยแกจะดูแลดีเป็นพิเศษ หรือไม่งั้นก็ลองบอกว่าผมแนะนำมาก็ได้ ประเด็นเด็ด ๆ คือชาที่นี่ขอได้ไม่อั้นจนกว่าเราจะพอใจ นั่งนานเท่าไรก็ได้ไม่เก็บตังค์เพิ่ม
+ 14. ราคาอาหารของประเทศลาวจะเริ่มต้นที่ 10 พันกีบ ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ อาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึง 60 พันกีบ หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับเมนูที่เราสั่ง (อย่าลืมถ้าไม่มีป้ายราคาให้ "ถามก่อน")
+ 15. ที่ลาวเรามีโอกาสโดนโกงได้ทุกเวลา อย่าเชื่อใจผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการท่องเที่ยว ทัวร์ รถตู้ รถสองแถว สามล้อ บุคคลเหล่านี้พร้อมจะฟันท่านหัวแบะได้ทุกเมื่อ โปรดใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่หากเป็นชาวบ้านร้านตลาดแล้วนั้นจะให้ความช่วยเหลือแก่ท่านด้วยมิตรไมตรีและความเต็มใจ
"ขอขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน... ที่เสียสละเวลาอ่านกระทู้นี้จนจบ หวังว่าสิ่งที่ผมนำเสนอไปนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจเดินทางท่องเที่ยวในปากเซ หากมีข้อสงสัยประการใดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในปากเซ... ติดต่อสอบถามผมได้ตลอดเวลา ตลอดจนหากกระทู้นี้มีข้อผิดพลาดประการใด กระผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ"
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คุณช่างถ่ายพลาด สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
วันนี้ผมตื่นแต่เช้า ล้างหน้า แปรงฟัน แล้วออกมาดูวิถีชีวิตยามเช้าของคนที่นี่ครับ คณะเดินทางยังไม่มีใครตื่น เช้านี้ผมเลยต้องรับหน้าที่ฉายเดี่ยว เดินเปิดแผนที่ไปเรื่อย ๆ ภาพแรกที่ผมเห็นคือเด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตื่นกันแต่เช้า พากันออกมาเดินเล่นนอกบ้านตอนเช้า ๆ กัน เด็กที่นี่แทบจะเรียกได้ว่ารู้จักกันแทบจะทุกคนเลยนะครับ พอผมเห็นเด็ก ๆ แบบนี้ทำให้นึกถึงสังคมบ้านนอกที่ผมเติบโตมา ความรู้สึกเหมือนมาย้อนเวลาดูวัยเด็กของตัวเองซะอย่างงั้น
ที่นี่มีระบบน้ำประปาภายในหมู่บ้านเหมือนกันนะครับ ถึงแม้ด้วยภูมิประเทศจะเป็นเกาะกลางลำน้ำโขงก็เถอะ ถึงแม้ว่าคุณภาพน้ำที่ได้จะไม่ค่อยสะอาดเท่าไร แต่ก็ถือว่าเวิร์กพอสมควรครับกับพื้นที่แบบนี้
คนที่นี่มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่คล้ายกับคนในชนบทของบ้านเรา คือมีการปลูกบ้านที่ทำจากไม้ ใต้ถุนสูง อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ บางครอบครัวมีบ้านหลายหลังติดกัน ทำมาหากินด้วยการหาปลา ทำนา เลี้ยงสัตว์และทำธุรกิจกับนักท่องเที่ยว เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งก็ทำให้ผมคิดอยู่เหมือนกันว่าที่นี่ก็มีความอบอุ่นอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาตลอด 2 วันที่ลาว ผมจะได้เจอมวยไปหลายคู่แล้วก็ตามเถอะ
สุดท้ายก็ถึงเวลาที่ผมต้องเดินทางกลับออกมาจากดอนเดด เราขึ้นเรือเวลา 11.30 น. เพื่อข้ามกลับมายังนากะสังและนั่งรถบัสกลับปากเซ จังหวะนี้นี่เองที่ทำให้ผมรู้ว่า...คนที่มาเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มาจากฝั่งยุโรปเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคนไทยที่มาเที่ยวที่นี่รู้สึกว่าจะมีแค่พวกผม 4 คนเท่านั้น เอเชียชาติอื่น ๆ ก็มีบ้างประปราย บ๊ายบายดอนเดด...แล้วเราอาจจะได้พบกันอีก
พอขึ้นฝั่งที่นากะสังเราจะต้องเดินมาขึ้นรถบัสเพื่อกลับปากเซ ขากลับนี่ชิล ๆ ครับ นั่งรถดูระหว่างทางเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็ถึงปากเซแล้ว รถจะเดินทางมาจอดส่งผู้โดยสารที่หลักแปดก่อน จุดนี้เราไม่ต้องลงนะครับเพราะรถจะไปส่งเราถึงที่ในตัวเมืองเลย รถของบริษัทผมจะมาส่งที่ข้างวัด ไม่ห่างจากโรงแรมลานคำมากนัก ทันทีที่เราลงจากรถเราเดินไปหาที่พักกันก่อนสำหรับคืนนี้ ซึ่งเราก็ได้วางแผนกันตั้งแต่ก่อนไปดอนเดดแล้วว่าเราจะพักกันที่อาลิสาเกสต์เฮ้าส์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมลานคำเท่าไรนัก ระหว่างที่พวกผมจะถึงที่พักก็ได้ผ่านร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งขณะที่พวกเราเดินผ่าน พนักงานในร้านทุกคนจะทักทายด้วยคำว่า "สะบายดี" ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้จะเข้าไปนั่งกินอาหารร้านเค้า แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรนอกจากยิ้มตอบไปเพียงเท่านั้น พอเรามาถึงที่พักก็เปิดห้องเหมือนเดิม คือห้อง 2 คน 2 ห้อง ตกราคาห้องละ 500 บาทต่อคืน แต่ขอบอกเลยครับว่าห้องพักของที่นี่ใหญ่กว่าโรงแรมลานคำประมาณ 2 เท่า มีแอร์ ตู้เย็น เคเบิล Wi-Fi เครื่องทำน้ำอุ่น มีแม่บ้านมาเปลี่ยนของใช้ พับผ้าปูที่นอนให้ เอาง่าย ๆ ว่าบริการถูกใจ ราคาไม่แพงครับ
พอเก็บข้าวของเราก็ออกหาอะไรกินกัน น้องผมที่มาด้วยกันลองถามไกด์ที่รู้จักให้ลองแนะนำร้านอาหารที่น่ากินให้เรา เท่าที่ผมจำได้มีกาแฟเดลต้า แหนมเนือง แล้วก็ที่สุดท้ายคือ “ร้านอาหารดาวลิน” พวกเราตกลงกันว่าจะไปกินแหนมเนืองกัน การเดินทางก็เหมือน ๆ เดิมคือเช่ามอเตอร์ไซค์ขับไป แต่รอบนี้ดีหน่อยที่ด้านล่างของที่พักของผมมีบริการเช่ารถอยู่แล้ว หลังจากที่เช่ารถกันเสร็จก็ไปกันเลยครับ ถามทางเล็กน้อยแล้วบิดคันเร่งออกจากที่พักไปประมาณ 45 นาที ปรากฏว่าไม่เจอร้านแหนมเนืองครับ แถมหลงไปมั่วอีกต่างหาก สุดท้ายเอาไปเอามาเลยมาลงกันที่ร้านอาหาร "ดาวลิน"
ทันทีที่เราจอดรถและก้าวเท้าเข้าไปในร้าน พนักงานทุกคนในร้านก็กล่าวคำว่า "สะบายดี" เพื่อเป็นการทักทาย หลังจากนั้นจึงเอาเมนูอาหารมาให้พวกเรา และจังหวะนี้นี่เองที่ทำให้ผมรู้จักกับพี่เจ้าของร้าน ซึ่งแกเป็นนักฟุตบอลของลาวเก่า มาเปิดร้านอาหารที่ปากเซนี้มา 10 กว่าปีแล้ว ตอนแรกแกคิดว่าพวกเราเป็นคนมาเลย์ แต่พอผมพูดลาวเท่านั้นแหละ คุยกันน้ำลายแตกฟองครับ จนได้รู้มาว่ามีบาร์ริมโรงที่หนึ่งที่เปิดบริการโดยคนไทย เราสามารถติดต่อเจ้าของร้านเพื่อให้เค้าช่วยจัดการเรื่องได้ พอได้ยินแบบนี้แล้วผมก็ไม่รอช้าสิครับ รีบเร่งไปดูร้านที่พี่เจ้าของร้านอาหารบอกไว้ แต่ปรากฏว่าไปถึงร้านปิดครับ ปิดในที่นี้ไม่ใช่ปิดบริการนะครับ ปิดในที่นี้คือย้ายกิจการไปเลย จบสิครับงานนี้ ไนท์ไลฟ์ที่ใฝ่ฝัน คืนนี้เราคงจะได้กินเบียร์ที่ร้านอาหารเหมือนเช่นเคย (รู้มาทีหลังว่าทางลาวจะให้ชาวเกาหลีเข้ามาทำธุรกิจ จึงทำให้ย้ายร้านอาหารเหล่านี้ไปอีกที่หนึ่งแทน)
หลังจากที่ผิดหวังจากไนท์ไลฟ์แล้ว...ผมก็ขับรถเล่นไปเรื่อยเปื่อยจนรู้สึกอยากกินกาแฟขึ้นมา ไม่ต้องถามครับมุ่งหน้าไปเดลต้าทันที ร้านเดลต้าคอฟฟี่เป็นร้านกาแฟและเค้ก ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวังเก่า (โรงแรมจำปาศักดิ์พาเลซ) พวกผมไปในเวลาบ่ายแก่ ๆ ไม่ค่อยมีคนเท่าไรแล้ว บรรยากาศในร้านเงียบสงบเหมาะสำหรับการนั่งจิบกาแฟเสียนี่กระไร แต่กว่าผมจะสั่งกาแฟได้ต้องต่อล้อต่อเถียงกับพนักงานสาวในร้านอยู่นาน กวนกันไปกวนกันมาไม่ได้สั่งซะที แต่สุดท้ายก็ได้กินครับ "กาแฟนมของปากเซ" รสชาตินี่กำลังพอดี กลิ่นนี่หอมอย่าบอกใคร
จังหวะนี้ขอใช้ชีวิตช้า ๆ พ่นควัน กินกาแฟ คุยเรื่องอะไรเรื่อยเปื่อยกับน้องผมที่มาด้วยกัน และคุยเรื่องนักท่องเที่ยวตลอดจนเรื่องราวต่าง ๆ ของเมืองปากเซกับพนักงานภายในร้าน พอกาแฟหมดแก้วหลังจากจ่ายตังค์พร้อมทิป 1,000 กีบ ให้กับพนักงาน พวกเราก็ย้ายสังขารกลับมายังที่พัก แต่ก่อนที่ผมจะออกจากร้านก็มีเสียงพนักงานคนที่คุยกับผมตะโกนออกมาว่า "คือให้ทิปน้อยแท้ ซื้อลูกซี้นยังบ่ได้เลย" ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้า พร้อมกันกับมือบิดกุญแจและสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์เพื่อเดินทางกลับที่พัก
หลังจากที่เราอาบน้ำอาบท่ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอเราลงมาเพื่อจะไปกินข้าวกันมันก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม บรรยากาศภายในเมืองปากเซและรอบบริเวณที่พักของผมเริ่มมืด พวกผมเลือกที่จะเดินไปร้านอาหารเพราะอยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไร ซึ่งแน่นอนว่าสถานที่ฝากท้องและไนท์ไลฟ์สำหรับคืนนี้คือที่ "ดาวลิน"
คืนนี้เราเลือกฝากท้องที่นี่เนื่องจากเมื่อกลางวันพูดกันถูกคอ ไม่ใช่แค่พี่ตี๋เจ้าของร้านที่มาคุยกับเราเพียงแค่คนเดียว แต่รอบนี้แฟนของแกก็มาคุยกับเราด้วยเช่นกัน พร้อมกับแนะนำเมนูพิเศษซึ่งไม่มีอยู่ในรายการอาหาร พวกเราก็ไม่รอช้า สั่งมาทั้งกับข้าวและกับแกล้มหลาย ๆ อย่างที่ต้องเสิร์ฟพร้อมกับ "เบียร์ลาว" เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมเหลือบไปเห็นป้าย "Tripadvisor" ซึ่งที่ร้านดาวลินแห่งนี้ก็เพิ่งจะได้รับใบประกาศมาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าร้านอาหารร้านนี้จะได้ระดับใบประกาศถึง 4 ดาว (พอมาใช้บริการบ่อย ๆ ถึงรู้ครับว่า แค่ 4 ดาว ไม่พอสำหรับร้านนี้จริง ๆ) ถ้าพูดถึงรสชาติอาหารต้องบอกได้เลยครับว่าถูกปากทั้งคณะ ไม่ว่าจะเป็นเปาะเปี๊ยะทอด ไก่ทอดพริกเผา หรืออาหารคาวหวานอื่น ๆ
หลังจากที่คุยกันไปกันมาตั้งแต่ 1 ทุ่ม จนถึงสี่ทุ่มกว่าเกือบห้าทุ่มทำให้เรารู้ว่า...สำหรับประเทศลาวกิจการทุกอย่างจะต้องปิดบริการก่อนเวลาห้าทุ่ม และหลังเวลาห้าทุ่มห้ามเดินทางเพ่นพ่านออกมานอกที่พักหรือเคหสถาน เนื่องจากจะมีความผิดอาจถูกขังคุกได้ (และเรื่องราวอีกมากมายที่จะสรุปไว้ในตอนท้ายเป็นสิ่งที่ต้องรู้ก่อนไปเที่ยวลาว) พอถึงเวลาร้านปิด พวกเราเดินกลับมาที่พักอย่างสบายใจ ผมให้คนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปนอนก่อน ส่วนผมขอนั่งคุยกับพนักงานโรงแรมก่อน ช่วงนี้เองทำให้ผมได้รู้รายละเอียดการเดินทางและข้อควรระวังในการไปเที่ยวน้ำตกของผมในวันพรุ่งนี้มากขึ้น ก่อนจะขอตัวแยกย้ายไปนอน
End of Day 3
///////////////////////
Day 4 วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2558พวกเรานัดรวมพลกันในเวลา 07.30 น. เพื่อไปกินอาหารเช้าก่อนออกเดินทางไปตามแผนการที่วางไว้ในวันนี้ "ทัวร์น้ำตก" หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเดินทางกันอีกครั้ง โดยสถานที่แรกที่เราจะไปคือ "ตาดอีตู้" การเดินทางก็จะใช้เส้นทางเดียวกันกับที่เราเดินทางไปยังผาส้วม โดยครั้งนี้เราจะต้องเลยหลัก 21 ไปอีกจนถึงหลัก 38 จะมีทางเข้าเล็ก ๆ ทางซ้ายมือ มีป้ายเขียนไว้ว่าน้ำตาดอีตู้ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าไป พอเข้าไปในซอยเราจะเจอถนนที่สภาพเหมือนกับพื้นผิวดาวอังคาร ซึ่งนั่นหมายความว่า... คุณมาถูกทางแล้ว พอเดินทางมาถึงตาดอีตู้ข้างในนี้จะเป็นรีสอร์ท (ซึ่งก็รับสัมปทานโดยคนไทยอีกนั่นแหละ) ค่าเข้าชมตาดอีตู้แห่งนี้ก็จะแบ่งแยกออกเป็นค่าเข้าชมคนละ 10 พันกีบ ค่าฝากรถ 5,000 กีบ ภายในจะมีร้านอาหาร บ้านพักซึ่งอยู่ติดกันกับน้ำตก และที่สำคัญคือถึงจะอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร ที่นี่ก็มี Wi-Fi ฟรีไว้ให้ใช้งานนะครับผม
ตาดอีตู้ เป็นน้ำตกชั้นเดียวที่ตั้งอยู่ในตาดอีตู้รีสอร์ท น้ำที่นี่ใสไม่เหมือนกับน้ำตกที่เราไปมาแล้วก่อนหน้านี้ พอเราเดินผ่านจุดชมวิวแรกมาจะมองเห็นบันไดเพื่อเดินลงไปชมน้ำตกที่ชั้นล่าง โดยจุดนี้สามารถลงเล่นน้ำได้ แต่กระแสน้ำอาจแรงไปนิดหนึ่ง
หลังจากอิ่มหนำกับบรรยากาศข้างล่างกันแล้ว เราก็เดินขึ้นมาที่ชั้นบนของน้ำตก (ตอนแรกคือพวกเราจะกลับแล้ว แต่บังเอิญผมเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนไปเจอทางขึ้นไปต้นน้ำ) ตอนแรกที่คิดว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรก แต่เอาเข้าจริงกลับไม่เป็นไปอย่างที่ผมคิด มีฝรั่งหนุ่มคนหนึ่งผู้มีกล้องประจำกายคือโกโปร (จำฝรั่งคนนี้ไว้ให้ดีนะครับ) มายืนแบบไม่กลัวความเสี่ยงอยู่ตรงหน้าผาเหนือน้ำตกอยู่ก่อนแล้ว ที่ชั้นบนของน้ำตกจะเป็นลำธารที่น้ำไหลเชี่ยว มีสะพานที่ทำจากท่อนไม้ขนาดใหญ่ไว้ให้เราเดินข้ามฝั่งได้ ลักษณะที่เป็นแอ่ง มีชั้นหินที่ทำให้เกิดน้ำตกไหลลดหลั่นกันลงมาแต่ไม่สูงมาก น้ำที่นี่ก็น่าลงเล่นเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ระวังแล้วเผลอไหลไปตามน้ำก็อาจได้เล่นบันจี้จั๊มพ์ก่อนได้ไปเกิดใหม่ เพราะหากพลาดไหลตามน้ำลงไปจุดจบคือ "ตกหน้าผา" ที่สูงกว่า 30 เมตรแน่นอน
หลังจากพอใจกับตาดอีตู้แล้วเราเดินทางไปต่อกันที่เยือง น้ำตกที่อยู่ใกล้ ๆ กันกับตาดอีตู้ ห่างออกไปประมาณ 4 กิโลเมตร (หลัก 42) โดยทางเข้าตาดเยืองจะอยู่ทางขวามือของเรา (สามารถเข้าได้ 2 ซอย จะเข้าซอยไหนก็ได้ พาไปถึงน้ำตกได้เหมือนกัน เอิ๊ก ๆ) ให้ขับตรงเข้าไปจนถึงทางเข้าน้ำตก ค่าเข้าชมที่นี่แบ่งออกเป็น 2 ราคา คือ คนในประเทศ ค่าเข้าชมก็ 5,000 กีบต่อคน ชาวต่างชาติ 10 พันกีบต่อคน ค่าฝากรถ 3,000 กีบต่อคัน (ผมเสียค่าเข้าแค่ 5000 กีบ เพราะตอนผมไปถึงผมพูดภาษาท้องถิ่นใส่คนเก็บขายบัตรหน้าทางเข้าทันที หลังจากทั้งคู่ถกเถียงกันอยู่พักหนึ่ง จึงลงความเห็นว่า "ผมเป็นคนลาว" แน่นอน 5555) พอเราเข้าประตูมาได้แล้ว ต้องเดินเท้าต่อลงไปยังน้ำตกที่อยู่ลึกลงไปประมาณ 300 เมตร
น้ำตกตาดเยือง...เราจะสามารถเดินขึ้นไปชมต้นน้ำตกและสามารถเดินลงไปชมน้ำตกข้างล่างได้ สภาพของตาดเยืองคือน้ำตกชั้นเดียวที่ไหลลงมาสู่แอ่งข้างล่าง เป็นน้ำตกสายใหญ่ สามารถลงเล่นได้เฉพาะข้างบนต้นน้ำเท่านั้น เนื่องจากแอ่งข้างล่างกระแสน้ำเชี่ยวกราก หากลงเล่นจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แต่พูดถึงที่ชั้นล่างของน้ำตกเราไม่จำเป็นต้องลงเล่นน้ำหรอกนะผมว่า ขอแค่คุณไปยืนที่ชั้นล่างของน้ำตกแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถเปียกโชกไปทั้งตัวได้แล้วครับ เวลาที่เดินลงไปชมน้ำตกก็ขอให้ระมัดระวังกันด้วยนะครับ เนื่องจากข้างล่างมีไอน้ำตกกระทบตลอดเวลา ทำให้หินหรือทางเดินลื่น สามารถทำให้หกล้มได้ง่าย เผื่อตกน้ำตกท่าไปจะแย่เอา เดี๋ยวหาว่าผมไม่บอกอีกล่ะ
พวกเราตกลงกันว่าจะแยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย ผมขอตัวข้ามไปถ่ายรูปรีสอร์ทร้างที่อยู่อีกฟากหนึ่งสักหน่อย พอข้ามไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้เท่านั้นแหละ ผมรู้สึกว่าอะไรติดอยู่ที่หลังเท้าออกอาการเจ็บนิด ๆ ในตอนแรกผมก็คิดว่ามันคือเศษใบไม้ใบหญ้า เลยลองเอาไปจุ่มน้ำปรากฏว่ามันไม่ออกครับท่านผู้ชมมมมมม !! หลังจากเพิ่งพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งทำให้ผมรู้ว่า...เจ้านี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ปลิง" ตอนแรกผมกะว่าจะฝืนไว้ถือว่าบริจาคเลือดให้มัน แล้วไปถ่ายรูปก่อน แต่คิดไปคิดมา....ไม่ได้ครับผม ต้องเอาออกเดี๋ยวนี้เลยเพราะถ้าปล่อยไว้นาน มันอาจเป็นภาพที่ผมเองรับมันไม่ได้ ผมข้ามสะพานกลับมาร้องเรียกหาน้องชายผมให้เอาไฟแช็กในกระเป๋ากล้องส่งมาให้ที ทำเอาฝรั่งที่นอนอาบแดดหรือนั่งอยู่ริมหน้าผามองผมเป็นตาเดียว แต่ผมไม่สนใจหรอกครับ ตอนนั้นต้องการแค่เอาปลิงออกจากเท้าไปก่อน หลังจากที่เอาไฟลนมันอยู่นานทำให้รู้ว่า... มันคงหิวโหยมากเพราะขนาดผมเองหนังแทบไหม้กว่ามันจะยอมถอนปากออกไปแต่โดยดี
ตอนแรกเราว่าจะกินข้าวกันที่นี่ แต่เนื่องจากคณะนักธุรกิจได้เหมาร้านอาหารภายในไว้หมดแล้ว (อันนี้ก็ไม่ใช่หรอกครับ เพียงแค่พวกเค้ามากันเยอะเลยทำให้ดูเหมือนยึดร้านอาหารไปเลยแค่นั้น) สุดท้ายพวกผมเลยตัดสินใจออกไปเที่ยวต่อที่ "ตาดฟาน" โดยเดินทางย้อนกลับมาที่ หลัก 40 ทางเข้าขากลับมาจะอยู่ซ้ายมือเรา เข้าตรงไปเรื่อย ๆ จะพบทางเข้าพร้อมร้านของฝาก น้ำตกตาดฟานเป็นน้ำตกสองสายที่ไหลลงมาที่เดียวกัน ในตอนกลางวันที่มีแสงตกกระทบน้ำตก เราจะมองเห็นสายรุ้งที่น้ำตกทั้งสองอย่างชัดเจน
บรรยากาศในเขตน้ำตกมีความร่มรื่น แมกไม้นานาพรรณขึ้นอยู่เต็มไปหมด ในเขตน้ำตกมีโรงแรม บ้านพัก ร้านอาหาร ร้านค้า ตลอดจนเปลญวณ ที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจไว้ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวอย่างครบครัน
หลังจากที่เยี่ยมชมตาดฟานเรียบร้อยแล้วเราก็ออกมาหาอะไรกินกันข้างนอก โดยเราไม่มีตัวเลือกมากนัก มื้อนี้เลยต้องจบลงที่ร้านลาบหน้าทางเข้าน้ำตก รสชาติที่ได้รับก็ถือว่าผ่านนะครับ ถูกปากคนอีสานเลย แถมป้าคนขายยังใจดีลดค่าอาหารให้อีกตั้ง 16 พันกีบ แถมพอผมชวนคุยหน่อยก็ได้ยืนคุยกันยาว ป้าแกยังแนะนำแหล่งท่องเที่ยวต่อไปให้เราอีกด้วย ซึ่งการเดินทางหลังจากนี้เป็นการเดินทางแบบหลงทางจริง ๆ จึงไม่ขอเล่าไว้ ณ ที่นี้ เนื่องจากมันจะยืดยาวเกินไป เอาสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่าผมขับรถต่อไปจนถึงเมืองปากซอง และเดินทางกลับมาที่ปากเซ เรื่องว่าเดินทางไปที่ไหนนั้นผมจะไม่เล่า แต่จะเล่าประสบการณ์การขับรถในประเทศลาวให้ฟังแทน เนื่องจากวันนี้ผมต้องขับทางไกล ทำให้ต้องเจอรถมากมาย ทั้งเก๋ง กระบะ ซีดาน รถบรรทุก รถพ่วง ฯลฯ
ที่ผมจะบอกก็คือ...เวลาที่รถทุกคันจะแซงมอเตอร์ไซค์เค้าจะบีบแตรตอนใกล้จะแซงเรา ซึ่งการแซงในที่นี้คือ “ชิด” ไม่รู้ว่าพวกพี่แกจะเบียดมอเตอร์ไซค์ไปไหน จังหวะขากลับมาปากเซจึงทำให้ผมหัวเสียเป็นอย่างมาก ใครที่ขับมอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยวก็ระวังหน่อยนะครับ พอชนมามันไม่ค่อยคุ้ม ถ้าเค้าอยากแซงก็ปล่อยให้แซงไป อย่าไปเปรี้ยวใส่เพราะส่วนใหญ่จบไม่ค่อยสวย
หลังจากกลับมาถึงพวกเราก็แวะจิบน้ำชา กาแฟกันที่ร้านดาวลินเหมือนเดิม ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว พอถึงเวลาฟ้ามืดเราเดินออกมาจากที่พักเหมือนเดิม สั่งอาหารพร้อมกับเบียร์อย่างเช่นทุกวัน บรรยากาศคืนนี้เป็นไปอย่างครึกครื้น เราได้รู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับที่แห่งนี้ ประเทศแห่งนี้ จากปากคำของคนในพื้นที่แท้ ๆ ผมซึมซับเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ ก่อนที่ร้านจะปิดและเราก็ต้องแยกย้ายกันไปในตอนท้ายที่สุด
End of Day 4
/////////////////////////
+ 1. ถามราคาสิ่งของและบริการก่อนตัดสินใจทุกครั้ง ถ้าไม่อยากมาเงิบทีหลังตอนคิดตังค์ บางอย่างเราสามารถต่อรองราคาได้ อย่าใจร้อนแล้วท่านจะได้ของถูกใจในราคามิตรภาพ
+ . ค่าเข้าเหยียบประเทศลาว หากถือพาสปอร์ตขาเข้าเสีย 100 บาท ขาออกเสีย 40 บาท หากเป็น Boarding Pass ไม่ทราบเหมือนกัน
+ 3. ถือพาสปอร์ตอยู่ได้ 30 วัน หนังสือผ่านแดนชั่วคราวไม่แน่ใจว่า 3 วัน , 7 วัน หรือ 15 วัน เพราะได้ข้อมูลมาไม่ตรงกันเท่าไร
+ 4. บุหรี่ปลอม เหล้าปลอม ของป่า ยาเสพติดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ถือเข้าไทยไม่ได้
+ 5. อย่ามีเรื่องกับคุณตำรวจ ใส่หมวกตลอดเวลา ปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจร หากถูกจับให้รีบเคลียร์ตรงนั้นให้จบ อย่าให้เรื่องบานปลาย และห้ามทำเป็นหัวหมอหากไม่อยากนอนมุ้งสายบัว
+ 6. หลีกเลี่ยง Nightlife เนื่องจากวัยรุ่นที่ลาวส่วนใหญ่มีประสาทสัมผัสเรื่อง "ส้นเท้า" ไวมาก หากยังอยากกลับไทยแบบอวัยวะครบ 32 แนะนำให้หลีกเลี่ยง โดยเฉพาะหลังจากที่ย้ายสถานบันเทิงเหล่านี้ไปอยู่หลัก 3 ซึ่งจะกล่าวเป็นข้อต่อไป
+ 7. หลัก 3 เป็นสถานที่ที่ Backpacker ไม่ควรจะไปเที่ยวหรือไปวอแวแถวนั้นมากนัก เพราะเท่าที่รู้จากคนในมา หลักสามคือสถานที่รวบรวมกลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อนและเหล่านักเลงหัวไม้ไว้พอสมควร
+ 8. เวลา 5 ทุ่ม คือเวลาปิดกิจการของธุรกิจทุกอย่าง (ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านเหล้าที่ไม่ใช่ผับ) ถ้าเกิดหิวต้องหาของกินภายในโรงแรม (ซึ่งก็ปิดห้าทุ่มเช่นกัน) ห้ามออกไปเพ่นพ่านข้างนอกหลังจากเวลานี้ เพราะอาจถูกจับกุมและคุมขังทันที (อารมณ์คล้ายประมาณเคอร์ฟิวบ้านเรา แต่ดุเดือดกว่า)
+ 9. ข้าวของที่ขายส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศไทย ไม่ต้องแปลกใจหากพบว่ามันมีราคาแพงกว่าที่ไทย เช่น โยเกิร์ต ขนม สบู่ อาหารกระป๋อง มาม่า
+ 10. แมลงที่นั่นเยอะมาก กรุณาเตรียมยากันยุงไปด้วยสำหรับท่านที่ผิวบอบบางแพ้ง่าย
+ 11. ทริปดอนเดดไม่แนะนำให้ท่านผู้ไม่มีจิตใจรักในการปั่นจักรยานเดินทางไป เพราะการเดินทางลำบากมาก อาจทำให้ท่านเกลียดชีวิตสโลว์ไลฟ์ไปเลยก็ได้
+ 12. ชุดที่เตรียมไปควรพร้อมเลอะได้ทุกขณะ เพราะส่วนใหญ่ทางเป็นดินลูกรังหรือถนนที่มีดินแดงอยู่เต็มไปหมด หากเป็นช่วงหน้าฝนทางจะเละมาก จึงควรเตรียมใจไว้ให้ดี
+ 13. ร้านอาหารดาวลิน เป็นร้านอาหารที่อยู่หัวมุมแยกก่อนถึงอาลิสา ป้ายร้านสีเหลือง ๆ ถ้าไปไม่ถูกสังเกตเวลาเราเดินผ่าน จะมีเสียงดังออกมาจากร้าน “สะบายดี” ถ้าได้ยินแบบนี้แล้วละก็แสดงว่าใช่เลยครับ อีกอย่างคือพี่เจ้าของร้านใจดีมาก ถ้าบอกว่าเป็นคนไทยแกจะดูแลดีเป็นพิเศษ หรือไม่งั้นก็ลองบอกว่าผมแนะนำมาก็ได้ ประเด็นเด็ด ๆ คือชาที่นี่ขอได้ไม่อั้นจนกว่าเราจะพอใจ นั่งนานเท่าไรก็ได้ไม่เก็บตังค์เพิ่ม
+ 14. ราคาอาหารของประเทศลาวจะเริ่มต้นที่ 10 พันกีบ ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ อาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึง 60 พันกีบ หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับเมนูที่เราสั่ง (อย่าลืมถ้าไม่มีป้ายราคาให้ "ถามก่อน")
+ 15. ที่ลาวเรามีโอกาสโดนโกงได้ทุกเวลา อย่าเชื่อใจผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการท่องเที่ยว ทัวร์ รถตู้ รถสองแถว สามล้อ บุคคลเหล่านี้พร้อมจะฟันท่านหัวแบะได้ทุกเมื่อ โปรดใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่หากเป็นชาวบ้านร้านตลาดแล้วนั้นจะให้ความช่วยเหลือแก่ท่านด้วยมิตรไมตรีและความเต็มใจ
"ขอขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน... ที่เสียสละเวลาอ่านกระทู้นี้จนจบ หวังว่าสิ่งที่ผมนำเสนอไปนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจเดินทางท่องเที่ยวในปากเซ หากมีข้อสงสัยประการใดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในปากเซ... ติดต่อสอบถามผมได้ตลอดเวลา ตลอดจนหากกระทู้นี้มีข้อผิดพลาดประการใด กระผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ"
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คุณช่างถ่ายพลาด สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม