เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel เมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เชื่อว่า "ประเทศญี่ปุ่น"  ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ ของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการออกเดินทางไปท่องโลกกว้าง เพราะดินแดนแห่งนี้มีความงดงามหลายหลากให้ได้สัมผัส อีกทั้งไม่ว่าจะเมืองไหน ๆ ก็มีเสน่ห์เย้ายวนเฉพาะตัว ดังนั้นวันนี้กระปุกดอทคอมเลยจะพาเพื่อน ๆ ตาม คุณ nucleon สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบ Slow Travel ณ เกียวโต (Kyoto) เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นที่มีความเป็นมายาวนานนับพันปี พร้อมเก็บรายละเอียดทุกซอกทุกมุมของเกียวโตที่น่าประทับใจมาแชร์ให้เราได้ชมกัน อ๊ะ ๆ แต่ส่วนจะสนุกสนานแค่ไหนนั้น ลองตามรีวิวดี ๆ นี้ไปเที่ยวเกียวโตกันเลยค่ะ

+++++++++++++++++

          "แม้มีคนบอก Tokyo นั้นไม่มีขา แต่ผมว่ายังมีอีกเมืองที่น่าค้นหา หากมีเวลาอยากให้ลองเดินชิล ๆ ช้า ๆ แล้วจะหลงเสน่ห์เมืองเก่าที่ชื่อว่า....Kyoto"

          —Kyoto..Let’s go for a walk—


          สวัสดีเพื่อน ๆ นักเดินทางทุกท่าน ผม บอนด์ นะครับ คราวนี้จะชวนทุกท่านไปเดินเล่นใน Kyoto เมืองที่ผมหลงรักอีกเมืองหนึ่ง นอกจากจะเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความเป็นญี่ปุ่นแบบสุด ๆ แล้ว บรรยากาศของเมืองและผู้คนที่นี่ยังมีความน่ารักมาก ๆ อีกด้วย ใครที่เคยไปเยือนเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นแห่งนี้มาแล้วก็คงคิดถึงที่นี่กันทุกคน จริงไหมครับ ?                                                            

          ป.ล. แม้ว่าผมจะเดินทางไปช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่กระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่วางแผนจะไปเที่ยว Kyoto ไม่ว่าในฤดูไหน ๆ ก็ตาม ส่วนคนที่เคยไปมาแล้วกระทู้นี้น่าจะช่วยบรรเทาความคิดถึง Kyoto ไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อยครับ

          ก่อนจะเริ่มสะพายเป้ออกเดินเที่ยว ผมขอฝาก 3 กระทู้ ที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้ไว้หน่อยครับ

          กระทู้ที่ 1 : คู่มือเที่ยว นครวัด นครธม เสียมราฐ ด้วยตัวเอง: A Practical Guide to Angkor Wat, Angkor Thom and Around 

          กระทู้ที่ 2: คู่มือเที่ยวชมภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji) และทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) ด้วยตัวเอง: A Practical Guide To Fujikawaguchiko

          กระทู้ที่ 3: คู่มือวางแผนชมซากุระที่ญี่ปุ่นด้วยตัวเอง: A Practical Plan for Sakura Viewing in Japan- Beginner’s Guide 

          การเดินทางที่ Kyoto ในรีวิวนี้ เป็นส่วนหนึ่งของทริปที่ผมเดินทางไปชม Mt.Fuji ที่ Kawaguchiko ครับ ตอนแรกคิดว่าจะไม่ทำรีวิวใน Kyoto เพราะทริปนี้ผมพาคุณแม่ไปเที่ยวด้วย (เพื่ออรรถรสในการรับชม เพื่อน ๆ ย้อนกลับไปอ่านรีวิวเที่ยว Fuji และ Kawaguchiko ก่อนหน้านี้ได้เลยครับ) นอกจากนี้น้องของผมไม่สบายระหว่างเดินทางอยู่ใน Kyoto จนต้องไปโรงพยาบาลที่นั่น ทำให้แผนการเดินทางที่ผมวางไว้ต้องปรับเปลี่ยนกันหลายครั้ง สุดท้ายผมเลยมานั่งคิดว่าเราจะรีบเที่ยวให้ครบตามแผนที่วางไว้ก็ได้ แต่มันจะกลายเป็นชะโงกทัวร์และทุกคนจะเหนื่อย สู้เปลี่ยนมาเป็นการเลือกสถานที่ที่อยากไปจริง ๆ แล้วเดินเที่ยวอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ ซึมซับบรรยากาศ ชอบที่ไหนก็ให้เวลากับที่นั่นนานหน่อย แล้วปล่อยใจสบาย ๆ ดื่มด่ำกับความเป็น Kyoto น่าจะดีกว่า...และแล้ว จึงกลายมาเป็น Kyoto..Let’s go for a walk กระทู้นี้ละครับ !

          ป.ล. มีเพื่อนๆ หลังไมค์ขอแผนการเดินทางของผมที่วางไว้ในตอนแรกกันเยอะ เดี๋ยวผมจะใส่ไว้ให้ในตอนท้ายของรีวิวนี้นะครับ เผื่อใครมีเวลามากกว่านี้ จะได้เอาไปปรับแผนเที่ยวเมื่อไป Kyoto

          หากคิดว่ากระทู้นี้เป็นประโยชน์ ช่วยกดโหวต กดไลค์ ให้หน่อยนะครับ จะเป็นกำลังใจให้กับคนเขียนกระทู้มาก ๆ เลย ^^

*******************************

          แวะเข้ามาพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูล สอบถาม หรือเป็นเพื่อนกันได้ที่นี่เลย

           Facebook : เฟซบุ๊ก Bond Gallery
           Instagram : BondGallery
   

          วิธีการนำเสนอของรีวิวนี้จะแบ่งเป็น 3 ส่วน หลัก ๆ ดังนี้ครับ
         
          ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปที่ควรรู้เกี่ยวกับ Kyoto

          ส่วนที่ 2 เป็นการบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในเกียวโต โดยจะมีการแทรก Practical points ของแต่ละจุด ซึ่งข้อมูลอาจจะมาจากประสบการณ์ตรงที่ผมได้เจอหรือจากข้อมูลที่ผมค้นมา และคิดว่าเป็นประโยชน์ในการวางแผนเที่ยวมาก ๆ ครับ

          ส่วนที่ 3 แผนการเดินทางท่องเที่ยวใน Kyoto ของผม (เอาไปปรับใช้กันได้เลยครับ) และแนะนำแหล่งเดินเล่นสำหรับ hipster ใน Tokyo

*******************************

          เริ่มกันเลยนะครับ เรามาดูข้อมูลเบื้องต้นที่น่ารู้ของ Kyoto กันก่อนครับ

          ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปที่ควรรู้เกี่ยวกับ Kyoto

          Kyoto อยู่ตรงไหน ?

          - Kyoto (京都, Kyōto) ชื่อเก่าคือ Meaco ตั้งอยู่บนเกาะ Honshu ที่อยู่ตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น
         
          - ปัจจุบัน Kyoto เป็นเมืองหลวงของ Kyoto Prefecture ที่อยู่ใน Kansai region

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel
ภาพจาก www.gojapango.com

          ความสำคัญทางประวัติศาสตร์

          ข้อมูลตรงนี้เยอะมาก และสามารถค้นคว้าหาอ่านได้ง่ายทั้งจากหนังสือและอินเทอร์เน็ต ผมจะขอสรุปสาระสำคัญสั้น ๆ ที่น่ารู้ก่อนไปเที่ยวที่ Kyoto กันครับ
         
          - Kyoto เคยเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น (เช่นเดียวกับ Nara) และเป็นที่ประทับของ emperor ตั้งแต่ปี ค.ศ. 794-1868

          - เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 7 ของประเทศ (ในอดีตเคยเป็นเมืองใหญ่อันดับ 1 ของญี่ปุ่นด้วยครับ) และมีประชากรประมาณ 1.4 ล้านคน

          - ชื่อเล่น (historical nickname) ของ Kyoto คือ City of Ten Thousand Shrines

          - Kyoto เป็นเมืองที่ครอบครอง Japan’s National Treasures ถึง 20% และ Japan’s Important Cultural Properties อีก 14%

          - สถานที่ 17 แห่งต่อไปนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น UNESCO World Heritage Site Historic Monuments of Ancient Kyoto (Kyoto, Uji and Otsu Cities) ใครที่สนใจประวัติศาสตร์เก็บสถานที่ต่อไปนี้ไว้ใน list ได้เลยนะครับ

          Kamowakeikazuchi Shrine
          Kamomioya Shrine
          Kyōōgokoku-ji
          Kiyomizu-dera
          Enryaku-ji
          Daigo-ji
          Ninna-ji
          Byōdō-in
          Ujigami Shrine
          Kōzan-ji
          Saihō-ji
          Tenryū-ji
          Rokuon-ji
          Jishō-ji
          Ryōan-ji
          Nishi Hongan-ji
          Nijō Castle

          - Kyoto รอดพ้นจากจากการเป็นเป้าหมายของ atomic bomb ได้ก็เพราะเต็มไปด้วยสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์นี่แหละครับ

          - เว็บ Wikipedia เขียนไว้น่าสนใจครับ ว่าเมืองนี้ถูกถอดออกจากการเป็นเป้าหมายในการทิ้งระเบิดโดย Henry L. Stimson ที่มีตำแหน่งเป็น Secretary of War ในสมัยนั้น เหตุเพราะนาย Stimson เคยมา honeymoon ที่ Kyoto แล้วพบว่าที่นี่เป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรมที่สำคัญ เลยอยากจะขอเว้นไว้ สุดท้ายเมือง Nagasaki เลยต้องรับกรรมกลายเป็นเป้าระเบิดแทนในที่สุด

          ภูมิอากาศ

          ตารางด้านล่างนี้ (จาก Wikipedia) มีประโยชน์มากครับ แสดงถึงอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน หิมะ ความชื้น และช่วงเวลาที่มีแดด (sunshine hours) ในแต่ละเดือนของ Kyoto ครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          - Kyoto มีภูมิอากาศแบบ Subtropical Climate ที่อุณหภูมิในแต่ละฤดูจะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากครับ เช่น ในฤดูร้อนอาจจะมีอุณหภูมิสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส ในขณะที่เราอาจจะเจอหิมะตกได้ในฤดูหนาว

          - ฤดูฝนจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนไปจนถึงปลายเดือนกรกฎาคม

          - ช่วงที่มักจะมีพายุไต้ฝุ่นเข้า Kyoto คือ เดือนกันยายนและตุลาคมนะครับ ควรเช็กพยากรณ์อากาศดี ๆ หากจะเดินทางในช่วงดังกล่าว

          - Lonely Planet บอกไว้ว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไปเที่ยว Kyoto คือ Spring (มีนาคม-พฤษภาคม) และ Autumn (ปลายเดือนกันยายน-พฤศจิกายน) ที่จะมี Highlight คือ ซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีตามลำดับ (ทำใจกันไว้ก่อนนะครับว่าจะต้องไปเจอฝูงชนแน่ ๆ เพราะเมืองนี้ Popular ทั้งในหมู่คนญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ)

          การคมนาคม

          1. การเดินทางภายใน Kyoto

          Kyoto เป็นเมืองที่มีระบบการขนส่งสาธารณะที่หลากหลายและซับซ้อน การเดินทางใน Kyoto ดูจะเป็นอะไรที่สับสน งุนงง สำหรับมือใหม่หัดเที่ยว Kyoto เป็นอย่างมาก ผมจะขอสรุปข้อมูลสำคัญมาให้สั้น ๆ ดังนี้ครับ

          1) การเดินทางโดย Bus : มีผู้ให้บริการ Bus หลายรายใน Kyoto แต่ที่สะดวกที่สุดขอแนะนำสองรายครับ


          1.1 Kyoto City Bus: Bus สีเขียวอ่อนคาดด้วยสีเขียวเข้ม ให้บริการในศูนย์กลางเมือง Kyoto (ตามภาพด้านล่าง)

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel
ภาพจาก www.city.kyoto.jp

          1.2 Kyoto Bus: Bus สีแดงอ่อนคาดด้วยสีแดงเข้ม บริการรอบนอกเมืองเป็นหลัก แต่มีในเมืองบ้างเพื่อเชื่อมเส้นทางระหว่าง Kyoto bus และ Kyoto city bus

          ** การขึ้นรถบัสใน Kyotoให้ขึ้นทางประตูหลังและออกทางประตูหน้านะครับ

          2) การเดินทางโดยรถไฟใต้ดิน : มีให้บริการสองสายดังนี้ (ตามภาพด้านล่าง)

          2.1 Karasuma (K) : วิ่งในแนวทิศเหนือ-ใต้

          2.2 Tozai (T) : วิ่งในแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก

          ** รถทั้งสองสายวิ่งตัดกันที่สถานี Karasuma-Oike ที่ K08 และ T13

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel
ภาพจาก www.city.kyoto.jp

          3) การเดินทางด้วยรถไฟ JR : ส่วนมากใช้วิ่งรอบนอกเมืองหรือระหว่างเมือง โดยรถไฟ JR ทุกขบวนที่วิ่งผ่านเกียวโต (รวมถึง Shinkansen) จะหยุดรับ-ส่งผู้โดยสารที่ Kyoto station

          4) การเดินทางด้วยรถไฟ : รถไฟของเอกชนมีหลายบริษัท ดังนี้

          4.1 Hankyu : เชื่อมระหว่างเมือง Kyoto และ Osaka

          4.2 Keifuku : มีเส้นทางเดินรถไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือสู่ Arashiyama

          4.3 Keihan : วิ่งขนานตามเส้นทางแม่น้ำกาโม่ จากเหนือลงใต้ของ Kyoto ไปสู่ Osaka (ไม่จอดที่สถานี Kyoto)

          4.4 Eizan: เป็นรถไฟสายที่วิ่งทางตอนเหนือของ Kyoto ต่อจากสาย Keihan มีสองเส้นทาง คือ ไปภูเขา Kurama และ Hieizan

          4.5 Kintetsu: เชื่อมระหว่าง Kyoto กับ Nara โดยตั้งต้นที่ Kyoto station วิ่งลงใต้ไปสุดทางที่ Kintetsu Nara station ซึ่งอยู่ตรงข้าม JR Nara Station

          5) Sagano Kanko Tetsudo : ชื่อที่เรารู้จักกันดีคือ Sagano Scenic Railway วิ่งขนานไปตาม Hozu river บริเวณ Arashiyama area ปิดทำการในวันพุธและในฤดูหนาว

          6) Taxi : ราคาแพงกว่าการเดินทางแบบอื่น แต่ถ้าเดินทางกันเป็นกลุ่ม 4-5 คน ก็น่าจะคุ้มและสะดวกสบายครับ

          2. การเดินทางมา Kyoto จากเมืองอื่น ๆ

          ขอสรุปสั้น ๆ ได้ดังนี้ครับ

          - From Kansai International Airport : 75 min. by train and app.85 min. by bus)

          - From Osaka International Airpot : Itami, domestic lines

          - By Shinkansen : using NOZOMI 140 min. from Tokyo; 40 min. from Nagoya; 100 min. from Hiroshima; 170 min. from -Fukuoka/Hakata)

          - From Osaka/Kobe/Nara/Otsu(Lake Biwa)/Hokuriku/other areas : by JR line
          - From Osaka or Kobe : by Hankyu line

          - From Osaka or Otsu(Lake Biwa) by Keihan line (link)

          - From Osaka or Nara or Ise-Shima(Mie) or Nagoya by Kintetsu line (link)

          เรียบเรียงจาก

          Lonely Planet Guide to Japan
          เที่ยวไม่ง้อทัวร์ตีตั๋วตะลุยญี่ปุ่น2
          Wikipedia
          www.city.kyoto.jp/koho/eng/access/transport.html
          www.jrpass.com
          www.yokoso-japan.jp/en/28795.html
          www.japan-guide.com/e/e2158.html
          www.city.kyoto.jp/koho/eng/access/access.html

          ส่วนที่ 2 การเดินทางไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในเกียวโต และ Practical point’s ของแต่ละจุด

          "Suvarnabhumi Airport : Thailand’s Gateway to the World"

          ทริปไปญี่ปุ่นครั้งนี้ผมมีโอกาสบินด้วยสายการบินแห่งชาติ ซึ่งในตอนนั้นเพิ่งได้มีการนำ Airbus A380-800 มาใช้ในการลำเลียงผู้โดยสารไปสู่ Narita Airport ครับ ไหน ๆ ก็บินด้วย TG แล้ว ก็ขอเข้าไปใช้บริการใน Royal Silk Lounge บนชั้น 3 ของสนามบินสุวรรณภูมิกันซะหน่อยครับ ^^

          ภาพนี้เป็นภาพที่คุ้นเคย เป็นที่ที่ผมชอบไปนั่งมองดูนักเดินทางจากทั่วโลก ที่ซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายรูปแบบ...บ้างก็ดีใจ ตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทาง บ้างก็เศร้าโศกเสียใจที่จะต้องจากคนที่รัก บ้างก็เหงาเพราะคิดถึงใครบางคน บ้างก็ร้อนรน หงุดหงิด เพราะกลัวตกเครื่อง !! แต่สำหรับผมไม่ว่าจะอารมณ์ไหนสนามบินก็เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นแห่งความทรงจำและประตูสู่โลกกว้าง ^^

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เอาละครับเราไปสำรวจ Royal Silk Lounge กันดีกว่า
         
          พื้นที่ภายใน Lounge กว้างขวาง เพดานที่สูงทำให้รู้สึกว่าอากาศถ่ายเทได้สะดวกและไม่อึดอัด นอกจากนี้ยังมีการจัดโซนที่นั่งอย่างเป็นสัดส่วน แม้ว่าจะไม่ได้มีมุมส่วนตัวมากนัก

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ที่นั่งบริเวณด้านในสุดของ Lounge สามารถมองดูเครื่องบินได้อย่างเต็มตาเลยครับ ภาพนี้เป็นบรรยากาศยามเช้า จำได้เลยว่ามันเป็นเช้าที่ผมตื่นเต้นสุด ๆ (ความจริงเวลาจะได้เที่ยวก็ตื่นเต้นทุกทีละครับ)

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บรรยากาศที่นั่งโซนด้านในกันอีกสักรูปครับ ถ้าต้องการความสงบบริเวณนี้เหมาะมากครับ เพียงแต่ว่าจะอยู่ห่างจากอาหารและเครื่องดื่มออกมาหน่อย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          มาดูมุมอาหารกันบ้างครับ บริการตนเองได้ตามอัธยาศัย ^^

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          หนึ่งในมุมเครื่องดื่มครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          มื้อเช้าผมขอแบบเบา ๆ และ Healthy ซะหน่อย (ค่อยไปจัดหนักที่ญี่ปุ่น)

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          Practical Points : Royal Orchid Lounge

          1. เวลาทำการ 05.00-02.00 am

          2. Facilities (อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละ concourse นะครับ)     

          - Buffet Bar with variety of food, snacks and refreshment               
          - Wi-fi Internet Corner with 4 PCs                             
          - Showers                                                     
          - Toilets with Wheelchair                              Accessibility                                                                                                                                
          - Private Rooms     

          3. สามารถใช้สิทธิ์จากบัตรเครดิตของบางธนาคารร่วมกับตั๋วเครื่องบินการบินไทย เพื่อเข้าไปใช้บริการได้ ซึ่งมีรายละเอียดเยอะและข้อมูลอาจเปลี่ยนแปลงได้ สามารถเข้าไปดูข้อมูลส่วนหนึ่งได้ที่นี่เลยครับ www.checkraka.com

          4. ส่วนระเบียบการเข้า Lounge โดยทั่ว ๆ ไปจากเว็บของ thaiairways ว่าไว้ดังนี้ครับ

          • Royal First Class passengers departing the same day on TG operating flight

          - One guest departing same day on any Star Alliance operating flight allowed

          • First Class passengers departing same day on any Star Alliance operating flight

          - One guest departing same day on any Star Alliance operating flight allowed

          • Royal Orchid Plus Platinum card holder departing same day on TG operating international flights

          - One guest departing same day on TG operating flight allowed

          เอาล่ะครับได้เวลาเดินทางกันแล้ว มาสำรวจ A380-800 ของการบินไทยสักหน่อย (ป.ล. เฉพาะส่วน Economy class เท่านั้นนะครับ ส่วน class อื่น ๆ กระผมมิอาจเอื้อม)

          บริเวณที่นั่งชั้นประหยัดอยู่บริเวณส่วนท้ายของห้องโดยสารชั้นบนและบริเวณชั้นล่างทั้งหมด การบินไทยเขาบอกว่ามีการจัดวางที่นั่งให้มีพื้นที่กว้างขวางเพื่อความสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิม ไฟด้านบนก็สวยขึ้นด้วยครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ข้อดีอีกอย่างหนึ่งที่ผมรอมานาน คือการมีช่องเสียบ USB ให้ทุกที่นั่งครับ ซึ่งจะอยู่ตรงมุมขวาล่างของพนักเก้าอี้ตรงหน้าเรา

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          อาหารเช้าถูกนำมาเสิร์ฟแล้วครับ รสชาติงั้น ๆ แต่ก็ทานจนหมด ^__^

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าระบบ lighting และ cabin pressurization ของ A380-800 มันทำให้เรารู้สึกสบาย ไม่ค่อยเพลียเท่าไร ดูหนังจนเพลินถึงญี่ปุ่นแบบไม่รู้ตัว ^___^

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินทางมาถึง Narita International Airport ผมก็ใช้บริการ Narita Express  ที่ใช้เวลาเพียงแค่ 90 นาที (ราคา 3,190 yen) ก็ถึง Shinjuku station เลยครับ สภาพภายใน Narita Express ที่ยังใหม่และสะอาดแบบสุด ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ในภาพจะเห็นว่าเราสามารถเก็บกระเป๋าเดินทางใบไม่ใหญ่มากบริเวณที่ว่างเหนือที่นั่ง ส่วนใบใหญ่ ๆ ผมแนะนำให้วางไว้ตรงที่เก็บบริเวณหัวและท้ายของแต่ละขบวนครับ ผมนั่ง Narita Express เมื่อ 1 ปีก่อน บริเวณที่วางกระเป๋าดังกล่าวยังไม่มีสายล็อก แต่มารอบนี้มีแล้วครับ ใช้งานก็ง่าย มีภาพอธิบายบอกวิธีการใช้ล็อกไว้ให้เรียบร้อย เราจะได้กลับไปนั่งที่ได้อย่างหายห่วง

          ผมลืมบอกไปว่าใครมี JR Kanto Pass สามารถใช้ในการเดินทางจากทั้ง Narita และ Haneda Airports ไปในตัวเมือง Tokyo ได้เลยนะครับ ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มอีก

          Practical Points : JR Kanto Pass บัตรเดียวเที่ยวคุ้มใน Tokyo และเมืองใกล้เคียง

          1. JR Kanto Pass ซึ่งสามารถซื้อได้ที่ Narita Airport Terminal 1 ซึ่งเป็น terminal ที่สายการบินจากไทยไปลง ที่ counter ต่อไปนี้

          - JR EAST Travel Service Center : เปิดทุกวัน (08.15 am-07.00 pm)
          - JR Ticket Office : เปิดทุกวัน (06.30-08.15 am, 07.00-09.45 pm)

          2. ใช้ได้ 3 วัน (ต้องติดกันนะครับ แยกวันใช้ไม่ได้) ผู้ใหญ่ ราคา 8,300 yen เด็ก 6-11 ปี ราคา 4,200 yen

          3. ใช้เดินทางใน Tokyo และบริเวณเมืองใกล้เคียงใน Kanto ได้แบบ Unlimited ในระยะเวลา 3 วัน (ดูภาพประกอบด้านล่าง)

          4. ใช้เดินทางได้กับ Ordinary cars of Shinkansen, limited express, express, rapid และ local trains-JR East Lines, Tokyo Monorail, Izu Kyuko Line, Fuji Kyuko Line, Joshin Dentetsu Line, Saitama New Urban Transit Line (New Shuttle)-ระหว่าง Omiya และ Railway Museum

          5. ไม่สามารถใช้ขึ้น Tokaido Shinkansens และ JR buses ได้นะครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travelภาพจาก www.jreast.co.jp

          ทริปนี้ไม่ได้อยู่ที่ Tokyo นานนัก ขอเอาแสงสีย่าน Shinjuku ที่ไปถึงในวันแรกมาฝากกันสักเล็กน้อยครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินเที่ยวดูแสงสีกันจนเหนื่อย ตอนนั้นค่ำแล้วแต่อยากขอเติมพลังด้วยชาเขียวเย็น ๆ สักแก้ว เดินไปเจอร้านกาแฟร้านหนึ่ง มาทราบทีหลังว่าเป็นร้านซึ่งมีสาขาอยู่หลายแห่งทั่วญี่ปุ่น ที่ชื่อว่า "Caffé Veloce" ผมชอบ Hot Chocolate และ Green Tea Latte ของร้านนี้มากเลยครับ เอาเป็นว่าขอสรุปคำแนะนำมาให้เลยละกัน อยากให้ทุกคนที่ไปญี่ปุ่นแล้วมีโอกาสได้ไปลิ้มลองกัน

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          Practical Points : Caffé Veloce ร้านชา-กาแฟดี ๆ ที่มีไว้เติมพลังเที่ยว !

          ร้านกาแฟแห่งนี้เป็นร้านกาแฟแบบ Franchise ซึ่งมีสาขาอยู่กว่า 200 แห่งทั่วญี่ปุ่น แต่จะกระจุกตัวอยู่ตามเมืองใหญ่ ๆ เยอะเลยครับ ที่ผมไปมาก็เจออยู่หลายร้านทั้งใน Tokyo และ Kyoto

          ข้อดี

          1. ราคาสมเหตุสมผล ราคาเครื่องดื่มอยู่ที่ประมาณ 180-460 yen

          2. เป็นร้านกาแฟที่เปิดดึกกว่าร้านอื่น ๆ (เปิดถึงประมาณสี่ทุ่มครับ)

          3. รสชาติดีมาก ที่ผมแนะนำเลยก็คือ Hot Chocolate และ Mattcha Latte Float ที่เห็นภาพครับ (Float = vanilla Ice cream ที่ลอยอยู่บน Mattcha green tea latte) มันสุดยอดมากในราคาเบา ๆ (ผมไม่ดื่มกาแฟครับเลยไม่รู้ว่ารสชาติดีไหม)

          4. บรรยากาศดีเอาไว้นั่งพักจิบเครื่องดื่มกันให้สดชื่นระหว่างเดินเที่ยว หรือจะนั่งคุยวางแผนเที่ยวกับเพื่อน ๆ ก็ได้ (แต่ร้านไม่ได้หรูหรานะครับ)

          5. มีตามย่านสำคัญ ๆ ในเมืองใหญ่ ๆ เช่น Shinjuku (Tokyo), downtown of Kyoto ข้อมูลจาก en.japantravel.com บอกว่าถึง 210 แห่งทั่วญี่ปุ่น)

          6. ที่นั่งมีทั้งแบบเป็นบาร์สำหรับคนเดียวและเป็นโต๊ะสำหรับมาเป็นกลุ่ม

          7. มี Cake, Sandwich และขนมอื่น ๆ ขายด้วย

          ข้อเสีย

          1. บางสาขาการแยก Smoking Zone และ Non-Smoking Zone ยังไม่ชัดเจน อาจมีกลิ่นบุหรี่มารบกวน (ซึ่งจะมีการปรับให้แยกกันชัดเจนขึ้นในอนาคต)

          2. ร้านไม่ได้หรูหรามากนะครับ (แต่ถ้าเทียบกับราคาแล้วถือว่าดีเลยล่ะ)

          3. พนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ดีเหมือนที่ Starbucks (แต่เราสั่งจากรูปภาพในเมนูได้เลย)

          ลองดูนะครับผมว่าลองเข้าร้านกาแฟที่ไม่ใช่แบรนด์จากต่างชาติดูบ้าง จะให้อารมณ์แบบคนท้องถิ่นมากกว่า

          จาก Tokyo ผมเดินทางต่อไป Kawaguchiko เพื่อชม Fuji ริมทะเลสาบ ที่เคยรีวิวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว สามารถเข้าไปรับชมได้ที่นี่ครับ pantip.com/topic/32999895

          จาก Kawaguchiko ผมกลับไปนอนค้างคืนที่ Tokyo อีกคืนหนึ่ง ก่อนจะเดินทางด้วย Shinkansen ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็ไปถึง Kyoto เมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์

          ตามมาเลยครับ ผมจะพาเพื่อน ๆ ไปเดินเล่นใน Kyoto แบบ Slow Slow

          "Kyoto Station : Kyoto’s Transportation Hub"

          เริ่มกันที่บริเวณ Kyoto Station กันก่อนครับ ผมเลือกย่านนี้เพราะ Kyoto Station เสมือนเป็น hub ของการเดินทางไปหลาย ๆ แห่งทั้งภายใน Kyoto และเมืองอื่น ๆ ใกล้เคียง อีกอย่างผมพาคุณแม่มาด้วยจึงเลือกโรงแรมที่แทบจะอยู่ติดกับ Kyoto Station เลยครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          Practical Points  : Kyoto station

          Kyoto Station เป็น hub ที่ใหญ่ มาลองดูข้อมูลแบบสรุปของที่นี่กันครับ น่าจะช่วยทำให้เพื่อน ๆ ตัดสินใจได้ว่าหากพักที่ย่านนี้แล้วคุ้ม/สะดวกหรือไม่

          1. เส้นทางเดินรถที่ผ่าน Kyoto station : Railway line ต่อไปนี้ทั้งหมดครับ

          - Central Japan Railway Company (JR Central)
          - Tōkaidō Shinkansen
          - West Japan Railway Company (JR West)
          - Tōkaidō Main Line (Biwako Line and JR Kyoto Line)
          - San\'in Main Line (Sagano Line)
          - Nara Line
          - Kintetsu
          - Kyoto Line
          - Kyoto Municipal Subway
          - Karasuma Line

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          นอกจากนี้ที่ Kyoto Station ยังเป็น hub ของ bus ต่อไปนี้ครับ

          - city buses

          - long distance และ overnight highway buses

          2. Kyoto station มีขนาดใหญ่ ซึ่งมี 2 ฝั่งด้วยกัน ดังนี้

          - Karasuma : อยู่ด้านเหนือ ฝั่งนี้คนจะเยอะและวุ่นวาย เป็นฝั่งที่หันออกสู่ Downtown และเป็นฝั่งที่จะนำไปสู่ main bus terminal, โรงแรม ร้านค้า ส่วน Kyoto tower ก็อยู่ฝั่งนี้นะครับ

          - Hachijo : อยู่ฝั่งทิศใต้ ด้านนี้จะไม่ค่อยวุ่นวายนัก เป็นฝั่งที่มีโรงแรม (ไม่เยอะ), Toji temple และ highway  bus stops

          3. Counter สำหรับฝากกระเป๋าเดินทางอยู่ที่ชั้น basement ของสถานีนะครับ

          4. Coin lockers กระจายอยู่หลายจุดทั่วทั้งตัวอาคารเลยครับ ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลจริงก็มักจะมี locker ว่าง ๆ อยู่ตลอด

          5. แหล่ง Shopping ในนี้มีหลายแห่งเลยครับ นอกจากร้านค้าเล็ก ๆ ที่ขายขนมและของที่ระลึกแล้ว ห้าง Shopping ใหญ่ ๆ ที่ Kyoto Station มีดังนี้ (แหล่ง Shop เยอะแบบนี้มีหรือคุณแม่ของผมจะไม่ชอบ ?! 555)

          5.1 Isetan Department Store

          - เวลาทำการ : 10.00-20.00 น. (ร้านอาหารภายในเปิดนานกว่านี้ครับ)
          - สินค้ามีตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ อาหารสด ของที่ระลึก และอื่น ๆ
          - มี Art Museum เล็ก ๆ อยู่ที่ชั้น 7
          - ร้านอาหารอยู่บนชั้น 11

          5.2  Porta Underground Shopping Mall

          - อยู่ชั้นใต้ดินของ Kyoto Station
          - เวลาทำการ 10.00-20.00 น. (20.30 น. วันศุกร์และเสาร์)
          - ที่นี่มีร้านอาหารและร้านกาแฟน่ารัก ๆ เยอะครับ ราคาพอรับได้ เปิดตั้งแต่ 11.00-22.00 น.

          5.3 The Cube Shopping Mall

          - อยู่ชั้นใต้ดินของ Kyoto Station
          - เวลาทำการของห้าง 08.30-20.00 น. ส่วนร้านอาหารเปิดตั้งแต่ 11.00-22.00 น.
          - ของที่ขายมีตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ ขนม และของที่ระลึก

          6. Tax Refund หรือการขอคืนภาษี ทำได้สะดวกเลยครับ เพราะมีจุดสำหรับลงทะเบียนตั้งอยู่ในห้างที่ Kyoto Station เลย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          Kyoto Tower ในยามค่ำคืนจะมีการประดับไฟสวยงาม ส่วนบริเวณสวนเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหน้าก็จะมีการประดับไฟที่น้ำพุ ทำให้ย่านนี้ดูมีชีวิตชีวาและน่าเดินเล่นจริง ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินเล่นได้สักพักก็หิวแล้วครับ (แหะ ๆ พาผู้สูงอายุกับเด็ก ๆ มาด้วย ต้องอิ่มและได้ช้อปปิ้ง ท่องไว้ ๆๆ)

          ตรงบริเวณใกล้ ๆ กับ Kyoto Tower จะมีร้านอาหารแฟรนไชส์ของญี่ปุ่นที่ผมอยากจะแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้รู้จัก คือ ร้าน Sukiya ครับ สังเกตดู Logo สัญลักษณ์ของร้านจะเป็นรูปถ้วยสีแดง และมีคำว่า "Sukiya" อยู่ด้วยครับ เอาล่ะมาดูข้อมูลที่สำคัญกัน

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          Practical Points : Sukiya ร้านอาหารแฟรนไชส์ราคาถูก อิ่มท้อง และอร่อย !
         
          1. Sukiya Restaurant Chain มีหลายสาขาทั่วญี่ปุ่น (ปี 2012 มีทั้งหมด1856 ร้าน--ข้อมูลจาก wikipedia)

          2. อาหารที่ขายจะมีเฉพาะอาหารญี่ปุ่นครับ โดยจะมีพวก gyudon (ข้าวหน้าเนื้อสไลด์บาง ๆ), donburi (พวกข้าวหน้าต่าง ๆ ของญี่ปุ่นครับ เช่น ปลา หมู ผัก เนื้อวัว อาจจะใส่ไข่เพิ่มก็ได้) และข้าวราดแกงกะหรี่

          3. ข้อนี้สำคัญ ราคาถูกและอร่อยครับ (อร่อยกว่าอาหารญี่ปุ่นที่แพง ๆ ในเมืองไทยหลาย ๆ แห่งครับ) ราคาเริ่มตั้งแต่ไม่ถึง 300 yen ไปถึง 800 yen ครับ ราคาแบบนี้มันช่างเหมาะกับ backpacker แบบพวกเรายิ่งนัก !

          4. หลายสาขาเปิดตลอด 24 ชั่วโมง หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา...เซเว่นฯ เอ้ย ! ซุกิยะครับบบบบบ

          5. ข้อเสียมีนิดเดียวตรงที่พนักงานส่วนมากไม่เข้าใจภาษาอังกฤษครับ แต่เมนูดูเข้าใจง่ายและมีภาพประกอบ เราชี้นิ้วสั่งได้เลย

          6. แนะนำให้สั่งข้าวหน้าอะไรก็ได้แต่ใส่ไข่ด้วย เพราะมันอร่อยมากกกกกกก !!

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บรรยากาศภายในร้านที่สะอาดและเรียบง่ายตามสไตล์ญี่ปุ่น (ที่นี่คำว่าถูกไม่ได้แปลว่าไม่ดีนะครับ !)

          อ้อ ! ลืมบอกไปว่ารีวิวนี้จะไม่รีวิวเป็นวัน ๆ นะครับ ผมจะขอพาเพื่อน ๆ เดินเล่นไปเรื่อย ๆ ตามสถานที่เที่ยวสวย ๆ ใน Kyoto พร้อมกับแทรกข้อมูลสำคัญ ๆ ที่น่าจะเป็นประโยชน์ไว้ในแต่ละจุดที่เราเดินไปเที่ยวกันครับ (ส่วนในตอนท้ายผมจะให้ดูแผนเที่ยวที่วางเอาไว้ในตอนแรก ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ทำได้ไม่ถึง 50% ที่วางไว้ แต่ทุก ๆ คนในทริปกลับมาเมืองไทยด้วยหัวใจที่มีความสุข อันนี้สำคัญกว่าเนอะ) ตามผมมาเลยยยยยยยยย..

          ฟิตร่างกายให้พร้อม สวมรองเท้าหุ้มส้นคู่โปรด ทำจิตใจให้แจ่มใส เพราะเรากำลังจะเดินไปวัด !!!

          "Tenryuji- UNESCO World Heritage Site"

          Tenryuji Temple เป็นวัดที่ห้ามพลาดหากมาเที่ยวย่าน Arashiyama ใน Kyoto นะครับ วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดที่สำคัญที่สุดของ Arashiyama ซึ่งถูกจัดให้เป็น Zen temple ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Kyoto นอกจากนี้ยังถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วยครับ ตัววัดมีความเก่าแก่เนื่องจากถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1339 โดยโชกุน Ashikaga Takauji (สิ่งเหล่านี้รู้ไว้เอาไปบอกเพื่อน ๆ เวลาไปเที่ยววัดนี้ ผมรับรองคุณจะดูเท่มากขึ้น 25%)

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บริเวณรอบ ๆ ตัววัดจะมีทางเดินชมสวน และในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้ก็จะเหมาะมากๆ  ในมาเดินชมสวนที่เปรียบเสมือนสวรรค์บนดินเลยครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ช่วงที่ผมไปนั้นเป็นตอนปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นตอนปลายของช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแล้วล่ะครับ หากมาไวกว่านี้อีกหน่อยน่าจะสวยแบบสุด ๆ ไปเลย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บริเวณตรงนี้ไม่ใช่ Highlight ของ Tenryuji แต่ผมไม่ได้รีบไปไหน รู้สึกชอบการเดินช้า ๆ สูดอากาศดี ๆ และเก็บภาพความงดงามแบบนี้ไว้ในความทรงจำให้มากที่สุด

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ด้านข้างของทางเดินมีการเรียงก้อนหินอย่างสวยงามและมีการจัดลำธารน้ำใสขนาดเล็กไว้อีกด้วย เดินชมต้นไม้แล้วยังได้ยินเสียงน้ำไหล...รู้สึกสดชื่นเป็นที่สุดครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ตรงไหนที่มีต้นไม้สีสวย ๆ ก็จะมีนักท่องเที่ยวเยอะเป็นพิเศษ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          นอกจากคนญี่ปุ่นจะเป็นชนชาติที่มีความเป็นระเบียบสูงแล้ว ใบไม้ที่ขี้นอยู่ในสวนยังขึ้นแบบเป็นระเบียบเรียงเดี่ยวแบบนี้อีกด้วย !! ไม่น่าเชื่อ ^___^

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ตามผมมาเรื่อย ๆ เลยครับ บรรยากาศสวย ๆ แบบนี้ทำให้ไม่อยากรีบร้อนไปไหนเลยจริง ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          แม้แต่ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาจากต้นยังสวยจนผมต้องกดชัตเตอร์เก็บเป็นความทรงจำเอาไว้เลยครับ อยากให้ธรรมชาติสวย ๆ แบบนี้อยู่กับเราไปอีกนานแสนนาน

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินต่อกันมาด้านในเลยครับ 

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          จะเห็นว่ามีการทำทางเดินในสวนอย่างดีและเป็นสัดส่วน ผู้สูงอายุที่ร่วมเดินทางมากับเราก็สามารถมาเที่ยวได้อย่างสบายครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ส่วนตรงนี้ไม่ใช่ทางเดินหลัก แต่ก็เป็นเส้นทางเดินของนักท่องเที่ยวบางคนที่อยากเห็นสวนสวย ๆ แบบใกล้ชิดและในมุมมองอื่นบ้าง

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          อีกไม่ไกลแล้วครับ เดี๋ยวจะพาไปดูส่วน Highlight ของที่นี่กัน ว่าแต่ทำไมมองไปทางไหนมันถึงได้สวยไปหมด !! 

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เมเปิลสีแดงที่บ้านเราไม่ค่อยมีให้เห็นครับ ผมเคยเห็นอยู่สองที่ คือ ภูกระดึง และ ดอยภูคา มาที่ญี่ปุ่นคราวนี้ได้เห็นแบบจุใจไปเลย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ไม่ได้มาแค่สีแดงนะครับ สีเหลืองก็ไม่ยอมน้อยหน้า

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เอาล่ะครับเดินต่อไปดูบริเวณสวนหน้าวัดที่จัดว่าเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาชมครับ ป้ายบริเวณสวนสวย ๆ หน้าวัด (ใครทราบความหมายบอกกันหน่อยนะครับ --")

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          การจัดสวนรอบบ่อน้ำและวิวทิวทัศน์ที่เห็นจากบริเวณนี้ ถือว่าสุดยอดจริง ๆ ครับ ข้อกำจัดของภาพถ่าย คือ มันไม่สามารถจะทำให้เห็นแบบ 360 องศาได้ ยังไงลองจินตนาการกันหน่อยนะครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          การจัดสวนแบบญี่ปุ่นที่มีฉากหลังเป็นภูเขาที่สวยงาม (โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้) ซึ่งลักษณะภูมิสถาปัตยกรรมที่ผมคิดว่าฉลาดแบบสุด ๆ อย่างนี้เรียกว่า "Borrowed Scenery" (ซึ่งผมขอเรียกเองแบบง่าย ๆ ว่าสถาปัตยกรรมแบบ "ขโมยซีน") หลักการนั้นไม่ยากเลยครับ เพียงแค่เรา "ขโมยซีน" Landscape ที่อยู่ด้านหลัง แล้วมาจัดองค์ประกอบให้เข้ากับการจัดสวนของเรา ทว่าการจะทำให้ออกมาแล้วดูสมบูรณ์ สวยงาม และกลมกลืนนั้น ผมว่ายากจริง ๆ ครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          การจัดสวนใน Tenryuji Temple แห่งนี้ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของภูมิสถาปัตยกรรมแบบ "ขโมยซีน" (ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า Shakkei) ซึ่งเป็นลักษณะการจัดสวนแบบดั้งเดิมในแถบ East Asia ครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เพียงแค่ได้มานั่งมองดูวิวในสวนญี่ปุ่น ซึ่งกลมกลืนไปกับฉากหลังของเนินเขาที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี บวกกับอากาศเย็นสดชื่นเท่านี้ ก็ทำให้เราสงบและมีความสุขแล้วครับ ^^

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          แม้แต่สวนที่อยู่ด้านในอาคารก็ยังสวย ดูเป็นญี่ปุ่นซะจริง ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ได้เวลาออกจาก Tenryuji กับแล้วครับ เดี๋ยวผมจะพาเดินไป Arashiyama กันต่อ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          Practical Points : Tenryuji Temple

          - เวลาทำการ : เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 08.30-17.30 น. (ปิดเวลา 17.00 น. ช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนมีนาคม)

          - ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดย UNESCO ให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994

          - Highlight ห้ามพลาดการชมสวนรอบบ่อน้ำที่มีฉากหลังเป็นภูเขานะครับ

          - ใช้เวลาเดินเล่นอยู่ที่นี่อย่างน้อย 1 ชั่วโมงครับ ถ้ามีเวลาน้อยกว่านี้อาจจะต้องรีบนิดหนึ่ง

          - พระอาทิตย์จะตกที่ด้านหลังภูเขาซึ่งเป็นฉากหลังของวัดครับ

          - ค่าเข้าชม : 500 yen (จ่ายเพิ่ม 100 yen หากต้องการเข้าชมภายในอาคารวัด)

          - การเดินทาง : สามารถเดินมาจากสถานีใกล้ ๆ ต่อไปนี้ครับ

          1 Min Walk จาก Arashiyama Station, Keifuku Arashiyama line (สายสีเหลืองจากภาพ)

          13 Min Walk จาก Saga Arashiyama Station, JR Sagano line (สายสีแดงจากภาพ สายนี้เชื่อมกับ Kyoto Station ด้วยครับ)

          15 Min Walk จาก Arashiyama Station, Henkyu railway (สายสีเขียวอ่อนจากภาพ)

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel
ภาพจาก: www.japan-guide.com

          เรียบเรียงข้อมูลจาก : www.insidekyoto.com, www.japan-guide.com และ en.wikipedia.org

          "Arashiyama : The Colorful Mountains"

          เดินตามผมมาเลยครับ อยู่ไม่ไกลจาก Tenryuji เลย เอาแบบเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ดูวิวสวย ๆ ระหว่างทาง เผลอ ๆ จะได้เพื่อนร่วมทางอีกด้วย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          Arashiyama ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของ Kyoto ที่นี่ถือว่าเป็นย่านท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดในช่วง Sakura season และ Autumn ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีกำลังพีคครับ ก่อนจะไปดูหุบเขาที่เป็น Highlight ของที่นี่ ผมจะพาไปเดินชมป่าไผ่ (Bamboo groves) ที่อยู่ใกล้ ๆ กันก่อนครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ป่าไผ่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยต้นไผ่สูงหลายพันต้น มีทางเดินผ่านตรงกลาง ซึ่งเหมาะกับการปั่นจักรยานเที่ยวมากครับ แต่หากขี้เกียจก็นั่งเกวียนไปเลยครับ ออกแนวไฮโซนิดหนึ่ง

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บริเวณนี้สวยจนคู่บ่าวสาวนิยมมาถ่าย Pre-Wedding กันด้วยครับ คู่นี้กลายเป็นดาราหน้ากล้องให้นักท่องเที่ยวไปหลายคนเลย (ผมเพิ่งมาสังเกตว่าไปญี่ปุ่นทริปนี้เจอคู่บ่าวสาวชาวญี่ปุ่นถ่าย Pre-Wedding ถึงสองคู่ ภายในช่วงเวลาที่ผมเที่ยวญี่ปุ่นแค่ 7 วัน ซึ่งอีกคู่หนึ่งไปเจอที่ Kawaguchiko ครับ ^^)

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          อันนี้น่าจะเป็นสุสานนะครับ เป็นทางผ่านหากเดินเที่ยวป่าไผ่ครับ เห็นฉากหลังสีหวานมากเลยเก็บมาชอตหนึ่ง

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ว่ากันว่าเวลาที่มีลมพัดแผ่ว ๆ ผ่านป่าไผ่แห่งนี้จะเกิดเป็นเสียงของใบไผ่เสียดสีกัน เสียงดังกล่าวเป็นหนึ่งในเสียงที่ไพเราะที่สุดของญี่ปุ่นครับ ! ผมก็พยายามจะฟังให้มันซาบซึ้งนะ ลองหลับตายืนนิ่ง ๆ เงี่ยหูฟัง แต่ยังไม่ติสต์ขนาดนั้นเลยยังเข้าไม่ถึงครับ ^___^

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ออกจากป่าไผ่ก็จะผ่านย่านร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกมากมาย ให้เดินตรงไปทางภูเขาเราก็จะเจอ Landmark ที่สำคัญของย่านนี้ ซึ่งก็คือ Togetsukyo Bridge (แปลตามตัวได้ว่า Moon Crossing Bridge) เป็นสะพานไม้ที่สร้างขึ้นในสมัย Heian (794-1185) และได้รับการบูรณะอีกรอบในช่วง 1930s ผมเก็บบรรยากาศยามเย็นบนสะพาน Togetsukyo มาให้ชม ที่นี่จะมีเกวียนบริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่อยากเดินเยอะ ก็สามารถนั่งเกวียนที่ให้อารมณ์ย้อนยุคและชมวิวสวย ๆ ได้อย่างชิล ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          สาวญี่ปุ่นกับสะพาน Togetsukyo ดูเข้ากันซะจริง ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ผมนี่อยากจะเข้าไปช่วยถ่ายรูปให้จริง ๆ :p

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          วิวภูเขาสีลูกกวาดในยามเย็นวันหนึ่งของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่แสนจะมีความสุขครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          โรแมนติกไหมครับ ?

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ภาพของต้นไม้หลากสีสันที่ค่อย ๆ เปลี่ยนสีไปในฤดูกาลที่กำลังหมุนเวียน ถึงแม้จะเป็นความงดงามที่ไม่จีรัง ทว่ามันกลับทำให้เกิดเป็น "ความพิเศษ" ที่ทุกคนพร้อมที่จะรอคอย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ความงาม ณ เวลานั้นจะถูกเก็บเป็นความทรงจำของการเดินทางที่ดีไปอีกนานแสนนานครับ เป็นภาพที่ต้องมาเห็นด้วยตาของตัวเองให้ได้จริง ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บรรยากาศบริเวณอีกฝั่งของสะพาน Togetsukyo ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวเบาบางกว่าครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          และเมื่อพระอาทิตย์ตกด้านหลังภูเขา ขอบฟ้าก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสี เหมือนเราเฝ้าดูการแสดงของธรรมชาติเลยครับ นี่คงเป็นข้อดีอีกอย่างของการเที่ยวแบบ Slow Travel ^^

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          จากสีส้มค่อย ๆ กลายเป็นสีชมพูและม่วงอ่อน ๆ แล้วครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บริเวณริมแม่น้ำก็น่าเดินเล่นนะครับ มีร้านค้าน่ารัก ๆ เต็มไปหมด

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ยังไง ๆ ผมก็แนะนำว่าหากมา Kyoto ไม่ควรพลาดการมาเดินเล่นบนสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำแห่งนี้นะครับ เพราะนอกจากจะได้รู้สึกว่าใกล้ชิดกับธรรมชาติ อากาศที่สดชื่น และได้ฟังเสียงธารน้ำไหลแล้ว เราก็จะได้เห็นภาพของภูเขาหลากสีสันในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หรือหากมาในช่วงใบไม้ผลิก็จะเห็นซากุระที่อยู่บริเวณสวนข้างสะพานครับ

          Practical Points : Arashiyama-The Colorful Mountains

          1) ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีและใบไม้ผลิ (ซากุระ) นักท่องเที่ยวจะเยอะ ควรมาถึงไม่เกิน 10.00 น. นะครับ

          2) ถ้ามาก่อนเที่ยงเวลาถ่ายรูปจะไม่ย้อนแสง และได้ภาพภูเขาสีลูกกวาดที่สดใสครับ (ผมไปถึงตอนเย็นแล้วครับ --")

          3) ย่าน Arashiyama มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่น Bamboo Groves (ป่าไผ่), Tenryuji Temple, Jojakkoji Temple, Nisonin Temple, Saga Scenic Railway เป็นต้น เลือกที่เที่ยวได้ตามเวลาที่เรามีเลยครับ

          4) Saga Scenic Railway ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน จะปิดทำการทุกวันพุธและในฤดูหนาวนะครับ
         
          5) ย่านนี้มีร้านค้าขายของที่ระลึกและร้านอาหารน่ารัก ๆ หลายร้านเลยครับ

          6) ที่นี่จะมีลมแรงเพราะเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ดังนั้นอากาศที่เย็นสบายอาจจะหนาวได้โดยเฉพาะในช่วงเย็น ๆ อย่าลืมพกเสื้อ jacket กันหนาวมาด้วยนะครับ

          7) หลายคนสงสัยว่าสะพาน Togetsukyo ทอดข้ามแม่น้ำชื่ออะไร ? คำตอบคือแม่น้ำ Hozu และแม่น้ำ Katsura ครับ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสะพานแห่งนี้เป็น Landmark ในการแบ่งชื่อเรียกของแม่น้ำสายเดียวกันเป็น Hozu ที่อยู่ด้านตะวันตกของสะพาน และ Katsura ที่อยู่ทางทิศตะวันออกครับ

          อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เราไปเดินดูการประดับไฟสวย ๆ ที่วัดอันลือชื่อของ Kyoto กันดีกว่าครับ กับวัดที่มีชื่อว่า Kiyomizu

           "Kiyomizu-dera with the Famous Light Up"

          Kiyomizu-dera หรือวัดน้ำใส เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดวัดหนึ่งของ Kyoto และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ในปี ค.ศ. 1994 ไม่ว่าการเยือน Kiyomizu dera ในครั้งไหน ๆ เราก็มักจะเจอนักท่องเที่ยวหนาแน่นทุก ๆ ครั้ง แต่สำหรับผมแล้ววัดแห่งนี้ยังมีเสน่ห์และมนตร์ขลังอยู่เสมอ ในตอนที่ผมไปเที่ยวที่นี่เมื่อปลายปีที่แล้ว ใบไม้แดงที่วัดเพิ่งจะผ่านช่วงพีคมาไม่นานครับ ถ้าไปช่วงกลางวันก็จะพบว่าเมเปิลบางต้นใบไม้ร่วงแล้ว แต่ในช่วง Light up กลางคืนยังสวยมาก ๆ ครับ เราไปเที่ยว (วัด) กลางคืนพร้อม ๆ กันเลยครับ

          เมื่อลงจากสถานีใกล้เคียงเราก็ต้องเดินต่ออีกหน่อย ไม่เกิน 20 นาทีครับ เดินไม่ยาก มีป้ายเป็นระยะ ๆ ถ้ากลัวหลงก็ใช้วิธีเดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ได้เลย สักพักก็จะต้องเดินขึ้นเนินเพื่อเข้าวัด ตรงนี้ต้องมีวิทยายุทธ์ขั้นสูงนะครับ จึงจะสามารถเดินผ่านร้านค้าและร้านขายขนมตลอดสองข้างทางได้อย่างไม่เสียทรัพย์ :p และแน่นอนครับผมเสียไปหลายเลย --"

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          มาถึงบริเวณปากทางเข้าวัดจนได้ เราเข้าไปด้านในกันครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ช่วงเวลา Light Up ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้คนเยอะครับ เราสามารถเอาขาตั้งกล้องเข้ามาได้ แต่แทบจะไม่มีที่ให้กางขาตั้งเลยล่ะครับ ภาพนี้เอามาให้ดูบรรยากาศตรงบริเวณที่ยืนถ่ายภาพแล้วจะได้ภาพมุมมหาชนของวัดครับ ผมไม่ได้เอาขาตั้งกล้องไป ภาพเลยจะดูสีทึม ๆ นิดหนึ่งครับ T^T ถ่ายไปได้ไม่นานก็จะโดนคลื่นมหาชนผลักให้เดินต่อไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ณ จุดนี้อาจจะ Slow Travel ยากสักหน่อย :p

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ทีนี้มาดูตรงฝั่งที่ผมกำลังยืนถ่ายรูปกันบ้าง ตรงนี้คนก็เยอะเหมือนกันครับ แต่ก็ยังไม่หนาแน่นเท่าอีกฝั่งหนึ่งที่ผมกำลังจะเดินไปเพื่อเก็บภาพมุมมหาชนครับ ภาพนี้ตึกสูงเล็ก ๆ สีขาว คือ Kyoto Tower นะครับ มองเห็นไหม ?

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ผมซูมเข้าไปใกล้ ๆ อีกนึดหนึ่ง พระจันทร์เสี้ยวคู่กับ Kyoto Tower สัญลักษณ์ของเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ กับบรรยากาศ Light up ต้นเมเปิลสีแดงสดใส ^__^

          ป.ล. ถ้าไม่มีขาตั้งกล้องแบบผมก็เอากล้องวางบนคานไม้ช่วยครับ กันภาพเบลอ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เมื่อเราเดินต่อไปตามทางเพื่อออกมาชมตัววัดที่เราเพิ่งไปยืนถ่ายรูปมา ก็จะค่อย ๆ เห็นภาพที่คุ้นตาของ Kiyomizu-dera กันแล้วละครับ ตรงบริเวณนี้จะมีเจ้าหน้าที่ยืนประกาศเลยครับว่าห้ามหยุดยืนถ่ายรูป ให้เดินไปเรื่อย ๆ ครับ เนื่องจากนักท่องเที่ยวเยอะมาก ไม่อย่างนั้นการจราจรจะติดขัด  -*-

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินกันต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอกับมุมมหาชนของวัดแล้วครับ วัดโบราณทำด้วยไม้ที่ดูขลัง ล้อมรอบด้วยต้นเมเปิลสีแดง ด้านหลังจะเห็น Kyoto Tower อยู่ลิบ ๆ ตอนนี้ผมอยากได้ขาตั้งกล้องซะจริง ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ขออีกหนึ่งรูปจากมุมมหาชนครับ อยู่ตรงนี้นานกว่านี้ไม่ไหวละครับ โดนคลื่นชาวจีนซัด --" (ตอนนั้นก็ฮัม ...แต่อยู่ตรงนี้ นานกว่านี้จะได้ไหม... ของ Getsunova ไปด้วย หวังลึก ๆ ว่าแก๊งอาม่าจะเข้าใจผมบ้างงงงงง T^T)

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะลงไปถึงด้านล่างที่มีน้ำจากภูเขาไหลลงมาสามสาย และสามารถดื่มเพื่อความเป็นสิริมงคลได้ (ชมภาพได้ที่ commons.wikimedia.org)

          มองขึ้นไปที่อาคารวัดอีกที ผมชอบวัดไม้แบบนี้ครับ มันสวยแบบคลาสสิกจริง ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ลงมาด้านล่างนักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะแล้วครับ มีโอกาสสูดอากาศได้เต็มปอดซะที เราไปเดินดูบรรยากาศรอบ ๆ กันหน่อย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          นอกจาก Highlight ที่เป็นอาคารไม้เก่าของวัดที่สวยงามแล้ว การเดินดู Light Up ของต้นเมเปิลสีเหลืองและแดงก็ทำให้มีความสุขได้เช่นกันครับ

          ป.ล. กลางคืนจะหนาวกว่ากลางวันพอสมควรเลยครับ เตรียมผ้าพันคอไปเผื่อด้วยนะครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินไปเรื่อย ๆ อยากหยุดตรงไหนนานหน่อยก็หยุด ไม่ต้องรีบร้อนครับ (ด้านล่างคนไม่เยอะแล้ว)

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เก็บบรรยากาศความสุขไว้ให้นาน ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินตามทางไปเรื่อย ๆ ครับ เราใกล้จะถึงทางออกแล้ว มาถึงจุดที่ทำให้ผมต้องตะลึงในความสวยงามอีกแห่ง ตอนนี้ผมนึกว่าบริเวณนี้เป็นเนินเตี้ย ๆ ที่มีต้นเมเปิลขึ้นสูงต่ำลดหลั่นกันมา แต่เห็นมีคนมุงดูเยอะมาก เลยเข้าไปดูใกล้ ๆ....ที่ไหนได้มันคือบ่อน้ำที่สะท้อนเงาของต้นเมเปิลที่ถูก Light Up ครับ สวยมาก !! อยากจะถ่ายภาพให้สวยได้สักครึ่งหนึ่งของที่ตาเห็นจริง ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          น้ำในบ่อมันใสและนิ่งมากจนกลายเป็นกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนต้นเมเปิลซึ่งถูกจัดไว้ในสวนอย่างสวยงามครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เป็นมุมมองที่แปลกตา เพราะของจริงเราแทบมองไม่ออกเลยว่ากำลังดูเงาสะท้อนจากบ่อน้ำ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บ่อน้ำมีขนาดใหญ่พอสมควรครับ ส่วนลำแสงด้านหลัง คือ Light Up บริเวณอาคารไม้ของวัดที่เราเดินผ่านมาแล้ว

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ทิ้งท้ายกันอีกรูปหนึ่ง ก่อนจะออกจากวัดที่ "น้ำใส" สมชื่อจริง ๆ ^___^

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ออกมาจากประตูวัดก็ต้องเดินลงเนินละลายทรัพย์กันอีกรอบ --" ต้องฝึกความอดทนกันอีกหนครับ ว่าแต่เครื่องเซรามิกที่นี่สวยและน่าซื้อมากเลยครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          มีคำแนะนำ/ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาฝากครับ

          Practical Points : Light Up of Kiyomizu-dera Temple

          1) เวลาทำการ : วัดเปิดตั้งแต่ 06.00-17.30 น. (ค่าเข้าชม 300 เยน) การไปช่วงเช้า ๆ คนจะน้อยและไม่ย้อนแสงเวลาถ่ายรูป Main Hall ครับ

          2) Light Up จัดขึ้นในช่วง 14 พฤศจิกายน-7 ธันวาคม 2014 เวลา 18.30-21.30 น. (ค่าเข้าชมเพิ่ม 400 เยน) ปีอื่น ๆ ก็จะจัดงานในช่วงเวลาประมาณนี้ละครับ *ไม่ควรพลาด*

          3) วิธีการเดินทาง

          - จากสถานี Kyoto นั่งรถบัสสาย 100 หรือ 206 ลงที่ป้าย Gojo-zaka หรือ Kiyomizu-michi (ประมาณ 20นาที) และเดินต่ออีก 10 นาที โดยจะมีป้ายบอกทางเป็นระยะ ๆ หรืออาจใช้วิธีเดินไปทางที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไปกันก็ได้ครับ ไม่หลงแน่ ๆ

          - อีกวิธีหนึ่ง คือ เดินประมาณ 20 นาทีจาก Kiyomizu-Gojo Station (Keihan Railway Line)

          4) ก่อนจะถึงตัววัดจะเป็นการเดินขึ้นเนินเตี้ย ๆ ที่สองข้างทางจะเป็นร้านขายของที่ระลึกและของทานเล่น แนะนำว่าค่อยลงมาช้อปปิ้งตรงนี้ตอนขากลับก็ได้ครับ ไม่อย่างนั้นอาจจะเสียเวลาเป็นชั่วโมงได้ (ช่วง Light Up ร้านปิดประมาณ 21.00-21.30 น.)

          5) ทำใจไว้ก่อนว่าจะเจอคนเยอะนะครับ ถ้ามีเด็กเล็กหรือคนชราเดินทางไปด้วยควรมีจุดนัดเจอกันกรณีเดินพลัดหลงกันครับ

          6) ด้านล่างของวัดจะมีธารน้ำจาก Otowa Waterfall ที่แบ่งเป็น 3 สาย ให้นักท่องเที่ยวดื่มได้ โดยแต่ละสายจะมีความหมายต่างกัน คือ อายุยืน, ประสบความสำเร็จ และ Lucky in Love ครับ

          7) หากกำลังมองหาของฝากเป็นพวกเซรามิก เช่น ถ้วย ชาม หรือแก้วดื่มชา ตรงสองข้างทางหน้าวัดมีเยอะครับ เลือกซื้อกันได้เลย

          คืนนั้นเป็นอีกคืนที่ผมนอนหลับไปอย่างมีความสุข

          ตัดมาที่ช่วงเช้าวันใหม่เลยนะครับ วันนี้ผมจะพาไปวัดอีกวัดที่โด่งดังและเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติครับ วัดแห่งนี้แนะนำว่าควรไปตั้งแต่เช้ากันเลยครับ คนจะได้ไม่เยอะมากนัก

          "Fushimi Inari- The Shrine with Thousands of Torii Gates"

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          Fushimi Inari Shrine แห่งนี้ได้รับการโหวตให้เป็นอันดับ 1 ใน "Top 30 Tourist Destinations in Japan in 2014"  โดยเว็บไซต์ท่องเที่ยว Trip Advisor ครับ !! (ปี 2013 ได้เป็นอันดับ 2) 

          ถามว่าคนญี่ปุ่นจะเห่อกับการจัดอันดับแบบนี้ไหม ? ไม่เห่อเลยยยยยยยยครับ ปักธงเชิดชูกันให้เห็นตั้งแต่ก่อนผมจะเดินเข้าประตูศาลเจ้าเสียอีก !

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เราไปดูกันดีกว่าครับว่าที่นี่มีอะไรดี ถึงได้ตำแหน่งอันดับ 1 ของ Tourist Destination in Japan

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel
         
          ศาลเจ้า (Shrine) ที่เก่าแก่ของ Shinto แห่งนี้ อยู่ทางตอนใต้ของ Kyoto และเดินทางไปไม่ยากเลยครับ นี่ขนาดผมมาถึงตอนแปดโมงเช้านักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยมากันหลายคนแล้วครับ มองไปทางด้านหน้า.....เจอมหาชน

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ครั้นหันหลังมามองด้านหลัง....ก็เจอมหาชน ดังนั้นถ้ามาเช้ากว่านี้ได้ก็จะดีครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เข้ามาถึงข้างในกันแล้วเดินดูบรรยากาศกันเรื่อย ๆ ครับ เช้า ๆ แบบนี้อากาศดีมาก Fushimi Inari คือ Shrine ที่สร้างแด่ Inari ที่มีความสำคัญมากที่สุด จาก Shrine ทั้งหมดกว่า 30,000 Shrine ที่อุทิศให้พระเจ้าองค์เดียวกัน

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          Inari จากชื่อของศาลเจ้า Fushimi Inari หมายถึง god of rice and business ของชินโตครับ ดังนั้นชาวญี่ปุ่นก็จะมาสักการะที่ศาลเจ้าแห่งนี้ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจและการงานของตนประสบความสำเร็จ และเจริญรุ่งเรือง

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          มองไปทางไหนก็จะเจอแต่สีส้มแดงทั่วศาลเจ้าเลยครับ ดังนั้นอยากถ่ายรูปคู่ Torii gate แบบเท่ ๆ อย่าใส่สีส้มมานะครับ :p

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินเล่นรอบวัดไปเรื่อย ๆ เราจะสังเกตว่าที่วัดแห่งนี้มีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกอยู่หลายจุด นั่นเป็นเพราะว่าชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็น messenger ของ Inari ครับ อย่างสองตัวนี้ยืนเฝ้าอยู่สองด้านตรงทางเข้า Torii gate

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          อีกตัวหนึ่งครับ ตัวนี้ท่าจะดุกว่าแฮะ

เกียวโต

          แม้แต่การอธิษฐานขอพรก็ทำบนป้ายรูปสุนัขจิ้งจอกครับ เพราะเชื่อว่ามันจะส่งสารไปถึง Inari ได้นั่นเอง เห็นจินตนาการในการแต่งหน้าสุนัขจิ้งจอกของชาวญี่ปุ่นแล้วนับถือจริง ๆ สามารถทำให้สุนัขจิ้งจอกดูแบ๊ว ๆ คิกขุได้ด้วย !

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel       
          บรรยากาศแบบญี่ปุ่นสวย ๆ ในบริเวณศาลเจ้าครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ปล่อยให้ภาพถ่ายบรรยายบรรยากาศละกันครับ ^___^ รู้สึกเงียบสงบ...แบบเป็นระเบียบ ไม่รู้จะพูดยังไง

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          แม้แต่สิ่งนี้ก็ยังไม่ทิ้งธีมของ Fushimi Inari ครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ใบไม้แดงดูจะเข้ากันดีกับโทนสีของศาลเจ้าแห่งนี้ ทางด้านซ้ายมือของภาพที่เห็นนักท่องเที่ยวเดินขึ้นไป ก็จะเป็นทางเดินไปสู่ไฮไลท์ของที่นี่ครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เราก็เดินชิล ๆ ตามกันไปเลยครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บริเวณลานทางขึ้นแห่งนี้ผมได้ยืนเฝ้ามองคุณลุงที่ทำหน้าที่คอยกวาดลานวัดอยู่พักหนึ่งเลยครับ มันเป็นอะไรที่ผมรู้สึกและสัมผัสได้มาหลายครั้งแล้วว่า ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรแต่ชาวญี่ปุ่นจะตั้งใจทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ และพวกเขาเชื่อว่าทุก ๆ อาชีพล้วนเป็นฟันเฟืองที่สำคัญของสังคมทั้งสิ้น นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชมชาวญี่ปุ่นจริง ๆ ครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินเล่นกันต่อนะครับ ผมไม่ทราบว่าอาคารหลังเล็กหลังน้อยในศาลเจ้าแบบนี้เรียกว่าอะไร แต่มันดูสวยและขลังดีครับ ใครทราบบอกผมทีนะครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          อีกหลังหนึ่งครับ  สวยเนอะ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เรามาถึงไฮไลท์ของที่นี่กันแล้วละครับ จากนี้ไปก็จะเป็น Torii Gate นับพันต้นไปตลอดทางเลย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ไหน ๆ ก็มาที่นี่แล้ว มารู้จักกับ "Torii Gate" กันสักหน่อยครับ เวลาไปเที่ยวจะได้เข้าใจและสนุกมากขึ้น

          Torii Gate (อ่านว่า โทะ-ริ-อิ นะครับ) : เป็นซุ้มประตูสไตล์ญี่ปุ่นที่ตั้งไว้เพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ว่า อาณาเขตเบื้องหลังจากนี้ถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า เพื่อที่เราจะได้ไม่เผลอทำการที่จะเป็นการดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครับ (Torii แปลตามตัวได้ว่า ที่ของนก ทั้งนี้เพราะชาวญี่ปุ่นเชื่อว่านกเป็นสัตว์ที่มีความเกี่ยวข้องกับโลกหลังความตายนั่นเอง)

          Torii สามารถพบได้ตามศาลเจ้าชินโตอย่างเช่นที่นี่ หรืออาจจะมีในวัดพุทธบางแห่งของญี่ปุ่นก็ได้ครับ โดยTorii แบบดั้งเดิมจะสร้างด้วยไม้หรือหิน แต่ในปัจจุบันอาจจะสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กครับ ซึ่งจะมีทั้งแบบทาสีและไม่ทาสี...นี่เป็นครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่น่ารักครับ คุณพ่อและคุณแม่ที่ชอบถ่ายรูปทั้งคู่ พาลูกตัวเล็กมาเที่ยวศาลเจ้าครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เหตุผลหลักที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาที่นี่กันเยอะ เป็นเพราะว่าอยากจะมาเดินสำรวจ Mountain Trail ที่มีความยาวประมาณ 2.61 mile ที่ตลอดข้างทางมี Torii Gate ใช้เวลาเดิน ไป-กลับ 2-3 ชั่วโมงครับ ถ้าเพื่อน ๆ อยากจะมาเดินจนสุดทางควรจะสวมรองเท้าหุ้มส้นที่มีน้ำหนักเบาหน่อยนะครับ จะได้เดินสบายเท้าและไม่เหนื่อย สำหรับคนที่ไม่อยากเดินเยอะไม่ต้องกังวลครับ เราสามารถเดินกลับเมื่อไหร่ก็ได้

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บริเวณ Torii Gate นี่ผมมีข้อมูลที่น่ารู้มาฝากครับ จะสังเกตว่าด้านหลังของ Torii Gate จะมีตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นสลักอยู่ มันคือชื่อของบุคคล/บริษัท ที่บริจาคเงินให้วัดแห่งนี้ เพราะเชื่อว่า Inari จะบันดาลให้เกิดความสุขและประสบความสำเร็จในธุรกิจของตนครับ

          Torii Gate ทุกต้นที่อยู่ตลอดทางเดินนั้น มีคนบริจาคหมดเลยเลย โดยเงินบริจาคขั้นต่ำอยู่ที่ 400,000 yen สำหรับ Gate ขนาดเล็ก และมากกว่า 1,000,000 yen สำหรับ Gate ขนาดใหญ่ !! เวลาถ่ายรูป Gate เหล่านี้ลองอ้อมมาถ่ายจากทางด้านหลังด้วยนะครับ จะติดตัวอักษรญี่ปุ่น ผมว่ามันดูสวยกว่าถ่ายจากทางด้านหน้าซึ่งจะเรียบไปหน่อยครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ผมคาดว่านี่น่าจะเป็นการสลักรายนามผู้บริจาคเงินสร้าง Torii ครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เราเดินเล่นไปเรื่อย ๆ ครับ คนยังไม่เยอะเท่าไร พอจะถ่ายทางเดินแบบไม่มีนักท่องเที่ยวได้ไม่ยากนัก...โคมไฟญี่ปุ่น

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เนื่องจากทางเดินมีระยะไกลพอสมควร ใครที่เร่งรีบหรือมีเวลาจำกัดแต่อยากจะสำรวจให้ครบ ลองแวะไปดูแผนผังคร่าว ๆ ตรงบริเวณทางเข้าTorii Gate ก่อนนะครับ จุดที่ผมยืนถ่ายรูปนี้ คือ จุดสีแดงใหญ่ ๆ ตรงมุมขวาล่างของภาพครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          มีอีกรูปหนึ่งครับ เผื่อจะช่วยในการวางแผนเดิน Trail แบบคร่าว ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินเล่นกันต่อครับ วิวสองข้างทางช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษครับ จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทางเดินแยกเป็นสองสาย จะไปทางไหนก็ได้ครับ ได้อารมณ์ญี่ปุ่นคล้าย ๆ กัน

          เดินเข้าไปด้านในกันต่อครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ระหว่างเดินจะได้ยินเสียงนกร้องบ้างครับ สดชื่น

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินไปได้สักพักจะเจอ Torii จิ๋วครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ตลอด Trail ก็จะมี Torii ขนาดเล็กไปเรื่อย ๆ แต่จะค่อย ๆ หนาแน่นน้อยลงเมื่อเราเดินไกลออกไปมากขึ้น สำหรับร้านอาหารบริเวณ Trail ก็มีอยู่ 2-3 แห่ง โดยจะเสิร์ฟเมนูให้เข้ากับบรรยากาศวัดที่ชื่อ Inari Sushi และ Kitsune Udon (ที่แปลว่าอูด้งสุนัขจิ้งจอก)  ซึ่งเมนูทั้งคู่นี้จะประกอบด้วย เต้าหู้ทอด ที่เชื่อว่าเป็นอาหารโปรดของสุนัขจิ้งจอกครับ (คนญี่ปุ่นเขาไม่หลุดธีมเลยจริง ๆ)

          เมื่อเดินมาได้ประมาณครึ่งทางก็จะถึง Yotsutsuji intersection ซึ่งถือเป็นจุดชมวิวเมือง Kyoto ที่สวยงามจุดหนึ่งเลยครับ นักท่องเที่ยวหลายคนเมื่อมาถึงจุดนี้ก็จะเริ่มเดินกลับกันครับ เพราะหลังจากจุดนี้วิวทิวทัศน์ก็จะไม่ได้แตกต่างไปมากนัก และ Torii Gate ก็จะความหนาแน่นลงลงเรื่อย ๆ

          ผมใช้เวลาที่นี่นานพอสมควร นักท่องเที่ยวเริ่มมากันเยอะขึ้นแล้วครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          นักเรียนญี่ปุ่นเองก็ยังมาทัศนศึกษากันที่นี่ด้วย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          แสงแดดที่แรงขึ้นและส่องผ่าน Torii เข้ามา เป็นตัวบอกผมว่าได้เวลาเดินทางไปยังจุดหมายถัดไปแล้วล่ะครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          Practical Points : Fushimi Inari- The Shrine with Thousands of Torii Gates

          1. เวลาทำการ : เปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงครับ

          2. แนะนำว่าควรจะมาที่วัดนี้เป็นที่แรกของวัน เพราะเปิดตลอดครับ โดยควรมาถึงก่อน  9 โมงเช้า ถ้าหลังจากนี้นักท่องเที่ยวจะเยอะ อาจจะต้องรอนานเวลาจะถ่ายรูปคู่กับ Torii Gate นอกจากนี้วิธีนี้จะทำให้เรามาเวลาเที่ยววัดอื่น ๆ (ที่มักจะมีเวลาเปิด-ปิด) ได้มากขึ้นอีกด้วย

          3. ค่าเข้าชม : ฟรี

          4. การเดินทาง : จาก Kyoto Station นั่ง JR Nara Line มาลงสถานีที่สอง ชื่อ Inari station (5 นาที, 140 yen เที่ยวเดียว ) จากนั้นเดินต่ออีกนิดเดียวก็จะเห็นทางเข้าวัดที่เป็น Torii Gate สีส้มขนาดใหญ่ครับ

          5. แนะนำให้จัดโปรแกรมไว้วันเดียวกับ Tofukuji Temple ครับ เพราะอยู่ใกล้กัน โดยจาก Kyoto Station นั้น Tofujuki จะอยู่ก่อน Fushimi Inari แค่สถานีเดียว

          6. Highlight : จุดเด่นที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่คือ Torii Gate นับพัน ๆ ต้น ตลอด trail ที่เดินขึ้นเนินเขาครับ

          7. Mountain Trail มีระยะทางประมาณ 2.61 mile ใช้เวลาเดินไป-กลับ 2-3 ชั่วโมง ทางเดินทำไว้ดี เดินง่าย แต่แนะนำให้สวนรองเท้าหุ้มส้นนะครับ (นักท่องเที่ยวส่วนมากไม่ได้เดินจนสุดทางครับ)

          "Tofukuji Temple- A Famous Temple for Autumn Colors"

          ก่อนอื่นขอบอกเลยว่า ก่อนมาแทบจะไม่มีข้อมูลของที่นี่มาก่อน แต่เพื่อนคนไทยที่ไปทำงานที่ญี่ปุ่นบอกว่า ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kyoto ต้องมาวัดนี้ ไม่มาถือว่าผิด !! พูดซะขนาดนี้แล้วจะไม่มาก็คงไม่ได้ เลยคิดว่าจะมาเดินเล่นสักแป๊บหนึ่งครับ

          วัด Tofukuji อยู่ทางทิศใต้ของ Kyoto ครับ เดินทางไม่ยาก อยู่ก่อนถึง Fushimi Inari แค่สถานีเดียว หากเดินทางด้วย JR Nara Line จาก Kyoto Station ครับ ออกจากสถานีก็เดินมาอีกประมาณ 10 นาที ก็จะถึงทางเข้าวัดแล้วครับ ระหว่างเดินไปวัดได้เห็นใบเมเปิลสีแดงสด ๆ แบบนี้ ชักเริ่มตื่นเต้นแล้วครับ ^__^

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ที่นี่มีการเก็บค่าเข้าชมนะครับ ไม่เหมือน Fushimi Inari ที่เข้าฟรี แถมยังเปิด 24 ชั่วโมงอีกด้วย เดินมาไม่นานก็ถึงทางเข้าวัดแล้ว ว่าแต่...มันเกิดอะไรขึ้นครับ ! นี่มันยังเช้าอยู่แท้ ๆ แต่ทำไมคนแน่นแบบนี้ !??

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ตอนนั้นสารภาพเลยว่าผมแอบเซ็งเล็กน้อย อยากจะมาเดินเล่นชิล คนน้อย ๆ แต่มาเจอนักท่องเที่ยวและกรุ๊ปทัวร์มากมายแบบนี้คอตกเลยครับ...แต่พอหันไปทางซ้ายมือที่ที่มีนักท่องเที่ยวมุงกันถึงกับตะลึง....สวยมาก !!

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          อาการเซ็งเมื่อกี้หายไปทันทีเลยครับ รีบเดินมุด ๆ เข้าไปดูวิวทางด้านซ้ายมือดีกว่า ขนาดเห็นแวบ ๆ แค่นี้ยังสวยเลย โผล่ออกมาตรงนี้แทบลืมหายใจ นี่เป็น Autumn ครั้งที่สองที่ผมมาเยือน Kyoto แต่มันเป็น Autumn view ที่ดีที่สุดของผมเลยครับ !

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บริเวณที่เห็นนี้เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงครับ ชื่อว่า Tsutenkyo Bridge ครับผม

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ลองซูมเข้าไปนิดหนึ่ง ฝั่งโน้นก็มีคนเยอะครับ วิวน่าจะสุดยอดเช่นเดียวกัน และหากมาช่วงเช้าแล้วถ่ายรูปจากฝั่งโน้นก็จะไม่ย้อนแสงอีกด้วย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel
         
          สีของต้นไม้ที่ค่อยเปลี่ยนสีสลับกัน ทั้งเขียว เหลือง ส้ม แดง กับอาคารไม้เก่า ๆ ของวัดญี่ปุ่นที่เป็นฉากหลัง  มันทำให้ผมยืนอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุขอยู่นานเลยละครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          อะไรมันจะอลังการขนาดนี้ ! มันเหนือความคาดหมายของผมมาก จากที่กะว่าจะเกินเล่นสักครึ่งชั่วโมง ที่ไหนได้เผลอแป๊บเดียวผมอยู่ที่นี่มาชั่วโมงหนึ่งแล้ว ! ความสวยงามยังมีมากกว่านี้ครับ มองลงไปด้านล่างเห็นเป็นลำธารสายเล็ก ๆ ดูเข้ากันกับบรรยากาศมากเลยล่ะครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ลองสังเกตดูนะครับ ถึงแม้ที่นี่นักท่องเที่ยวจะเยอะแต่ทางวัดมีการจัดการในส่วนของทางเดินไว้อย่างดี ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินออกนอกเส้นทาง ซึ่งจะทำลายความสวยงามของธรรมชาติได้ครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เราเดินเข้าไปดูทางด้านในกันดีกว่าครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บริเวณทางเดินเข้ามาในวัดครับ สองข้างทางจะมีต้นเมเปิลสวย ๆ เป็นระยะ ๆ กำลังเป็นช่วงพีคของการเปลี่ยนสีเลยครับ (ถึงแม้จะอยู่ใน Kyoto เหมือนกัน แต่ละวัดจะมีช่วงพีคของการเปลี่ยนสีคลาดเคลื่อนกันเล็กน้อยครับ)

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          แม้จะมีแดดแต่อากาศช่วงนี้ดีมาก ๆ ครับ ไม่ร้อนเลย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ต้นเมเปิลสีแดงสดในวันฟ้าใสนี่มันสวยจริง ๆ ว่าไหม ?

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เวลาที่มันกระทบกับแสงแดดสีทอง ดูเหมือนดาวระยิบระยับเลยครับ ฟรุ้งฟริ้งสุด ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เมเปิลสีสวยกับวันฟ้าใสและอากาศที่เป็นใจ 

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยครับ สวยจนต้องกดชัตเตอร์รัว ๆ ขอเมเปิลชัด ๆ สักใบ เอาไว้ดูยามคิดถึง ช่วงเวลาสวย ๆ แบบนี้มีแค่เดือนเดียวเท่านั้นเองครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          จากนั้นพวกมันก็จะร่วงโรย เตรียมพร้อมกับหน้าหนาวและหิมะที่จะมาในไม่ช้า

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          กฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่ไม่มีมนุษย์คนไหนจะฝ่าฝืนได้

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          แต่หากเราเข้าใจและยอมรับมัน ทุก ๆ ความเปลี่ยนแปลง...ย่อมมีความงามอยู่เสมอ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เมเปิลสีเหลืองดูจะ Popular น้อยกว่าสีแดงที่มีแต่นักท่องเที่ยวรุมถ่ายรูป แต่ผมว่ามันก็สวยไม่แพ้กันนะ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เราเดินดูบริเวณสวนด้านในกันอีกสักหน่อยละกันครับ หากเหนื่อยก็นั่งพัก...ไม่รีบร้อน

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel
         
          ที่สวนด้านในนี้จะมีต้นเมเปิลใหญ่ ๆ เยอะมากครับ ช่วยเป็นร่มเงาและบังแดดได้ดีจริง ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ตรงบริเวณนี้มีการจัดทางเดินไว้อย่างดี แต่ผมก็ยังเห็นชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งเดินเข้าไปเด็ดใบเมเปิลจากต้นไม้เพื่อเก็บเป็นที่ระลึก เห็นแล้วรู้สึกไม่ค่อยดีเลยครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ผมว่าธรรมชาติจะสวยที่สุดก็เมื่อมันถูกจัดอยู่อย่างเป็น “ธรรมชาติ” ครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ถ้าอยากให้ความงดงามแบบนี้อยู่กับเราไปอีกนานแสนนาน เราต้องร่วมมือกันครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บริเวณสวนด้านล่างจะมีธารน้ำสายเล็ก ๆ ที่สามารถมองเห็นจากอาคารชมวิวที่อยู่ด้านบนตรงทางเข้าวัดครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ฟินมากครับ พูดเลย ! ^______^

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          มองขึ้นไปที่จุดชมวิวอีกด้านหนึ่ง สวยไม่แพ้กัน

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เผลอแป๊บเดียวผมเดินอยู่ในสวนของวัดมาชั่วโมงกว่า ๆ แล้ว เราเดินไปชมวิวจากอีกด้านหนึ่งกันบ้างดีกว่าครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          มองจากสวนด้านล่างที่ยืนอยู่ขึ้นไปยังจุดชมวิวที่อยู่ในอาคารอีกฝั่งหนึ่งครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ซูมเข้าไปใกล้ ๆ ก็จะเห็นคนยืนดูความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีกันเยอะเลยครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ขออีกรูปครับ ผมชอบมุมนี้มาก ๆ มันเห็นทั้งจุดชมวิว นักท่องเที่ยว ต้นไม้สวย ๆ และท้องฟ้าใส ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          อีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยไม่แพ้กันเลยทีเดียว

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เอาละครับตอนนี้ผมเดินขึ้นมายังจุดชมวิวอีกฝั่งหนึ่งแล้ว

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          อย่างที่บอกไปตอนแรก คือ ถ้าเรามาก่อนเที่ยงจากจุดนี้มองออกไปจะไม่ย้อนแสงครับ ถ่ายรูปยังไงก็ออกมาสวยไปหมด ไปดูวิวกันเลยยยยย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          แนวตั้งสักใบจะได้เห็นสวนด้านล่างครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ซูมเข้าไปอีกฝั่งก็จะเห็นจุดชมวิวที่เป็นทางเดินเข้าวัดในตอนแรก หรือจุดที่ผมตกตะลึงว่าทำไมนักท่องเที่ยวถึงได้เยอะขนาดนี้ และมาเจอกับความงดงามในเวลาต่อมานั่นเอง  :p

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          มาถึงตรงนี้หายกังขาเลยครับ ว่าทำไมเขาถึงยกย่องว่าวัดนี้เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีสุดแห่งหนึ่งของ Kyoto ช่วงเวลาก่อนเที่ยงหากเรายืนถ่ายรูปจากในอาคารที่เห็นในภาพ จะย้อนแสงเล็กน้อยครับ ยังไงลองวางแผนเรื่องเวลากันดี ๆ ครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          อีกสักภาพกับความทรงจำแห่งฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจาก Tofukuji ที่สุโค่ยสุด ๆ !!

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          Practical Points : Tofukuji Temple- A Famous Temple for Autumn Colors

          1. เวลาทำการ: เปิดทำการทุกวัน ส่วนเวลา แล้วแต่ฤดูกาล ดังนี้ครับ
         
          - 09.00-16.30 น. : เมษายนถึงตุลาคม
          - 08.30-16.30 น. : พฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม
          - 09.00-16.00 น. : ต้นเดือนธันวาคมถึงมีนาคม

          2. จะไม่ให้เข้าชมหากมาก่อนเวลาปิดไม่ถึง 30 นาที

          3. ค่าเข้า 400 yen (Tsutenkyo Bridge และ Kaisando Hall), 400 yen (Hojo and gardens)

          4. การเดินทาง

          - จาก Kyoto Station นั่ง JR Nara Line มาสถานีเดียว แล้วลงที่ Tofukuji Station (2 นาที, 140 yen) หรือจะนั่ง Keihan Main Line มาลงที่สถานีเดียวกันก็ได้ครับ จากนั้นเดินอีกสิบนาทีก็ถึงวัดครับ

          - อีกวิธีคือนั่ง Bus 208 จาก Kyoto Station (15 นาที, 230 yen) มาลงที่ Tofukuji bus stop แล้วเดินต่ออีกสิบนาทีครับ

          5. Tofukuji เป็นวัดเซ็นที่มีความสำคัญมากแห่งหนึ่งใน Kyoto ครับ

          6. Highlight ของที่นี่คือการมาชมใบไม้เปลี่ยนสี ดังนั้นช่วง Autumn นักท่องเที่ยวจะเยอะ ควรทำใจไว้ก่อน แต่ความสวยงามจะทำให้หายเซ็งแน่นอนครับ

          7. วิวที่มีชื่อเสียงที่สุดคือทิวทัศน์ของ Tsutenkyo Bridge ที่โอบล้อมด้วยใบเมเปิลแดง แต่การยืนชมวิวจากตัวสะพานดังกล่าวก็สวยไม่แพ้กันเลยครับ

          8. หากมาก่อนเที่ยงจุดชมวิวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับทางเข้าวัดจะถ่ายรูปแล้วไม่ย้อนแสงครับ...ห้ามพลาด !

          9. บริเวณสวนด้านล่างมีทางเดินไว้ชัดเจน แต่บางช่วงอาจจะชื้นและลื่นได้ ควรระวังหากมีเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุเดินทางมาด้วยครับ

          10. ให้เวลากับที่นี่อย่างน้อย 1 ชั่วโมงนะครับ จะได้ไม่ต้องรีบร้อนจนเกินไป

          11. Tofukuji อยู่ใกล้กับ Fushimi Inari Shrine ดังนั้นควรไปเที่ยวสองแห่งนี้วันเดียวกัน

          "Nanzenji Temple- A Famous Zen temple with Nice Garden"

          วัดสุดท้ายที่ผมจะพาไปเดินเล่นใน Kyoto เป็นวัดเซ็นอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงครับ ตั้งอยู่ในบริเวณของภูเขา Higashiyama ประวัติของที่นี่ก็น่าสนใจครับ เพราะเดิมทีที่นี่สร้างให้เป็นวิลล่าพักผ่อนหลังจากสำเร็จราชการแล้ว สำหรับ Emperor Kameyama ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 13 แต่ต่อมากลายมาเป็นวัดเซ็นครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          สวนส่วนกลางของวัดแห่งนี้สามารถเข้าชมได้ฟรี แต่จะมีค่าธรรมเนียมหากจะเข้าชมอาคารวัด เมื่อเราเดินเข้ามาในวัดก็จะเจอกับประตู Sanmon Gate ก่อนเลย ซึ่ง Gate นี้มีขนาดใหญ่และเก่าแก่มากครับ (สร้างใน ค.ศ. 1628) เราสามารถขึ้นไปชมวิวบนระเบียงด้านบน Gate ได้ด้วยนะครับ เมื่อเดินผ่าน Sanmon Gate เข้ามาผมก็อึ้งอีกครั้งครับ ! ต้นเมเปิลต้นใหญ่กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงต้อนรับผู้มาเยือนทุกคนพอดีเลย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          กดชัตเตอร์รัว ๆ เลยครับงานนี้ ว่าแต่ที่นี่นักท่องเที่ยวเยอะเหมือนกันแฮะ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เป็นต้นเมเปิลที่ดูสง่าและสวยงามมาก ขอเน้น ๆ อีกสักรูปครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          อาคารด้านหลังที่เห็นคือประตูทางเข้าวัดนั่นเอง

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เมเปิลต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งใบออกปกคลุมบริเวณทางเดินเข้าวัด จุดนี้ทำเอาผมเสียเวลาอยู่นานกว่าจะเดินถึงตัววัดจริง ๆ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินตามมาเรื่อย ๆ ครับ บริเวณทางเดินหลังจากผ่าน Sanmon Gate
         
เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel
         
          ดงเมเปิลที่สวยงามอีกสักรูปครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เดินไปเรื่อย ๆ ได้สักพักฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีและฤดูหนาวท้องฟ้าจะมืดเร็วนะครับ ควรจะวางแผนออกเดินทางตั้งแต่ตอนเช้าเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปในช่วงเย็น

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เห็นภาพนี้แล้วใจหาย รู้สึกว่าความสวยงามที่มีกำลังจะจากไป...เมเปิลใบสุดท้ายยืนหยัดสู้กับแรงโน้มถ่วงและฤดูหนาวที่กำลังมาเยือน

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          แต่ยังไงฤดูกาลย่อมมีวันเปลี่ยนแปลง สุดท้ายความสวยงามก็จะกลับมาเยือนอีกครั้ง เพียงแต่ต้องอดใจรอสักหน่อย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ความสวยงามแม้จะไม่จีรัง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครที่มีแต่ความเศร้าโศก อยู่เราว่าจะค้นพบกับความสุขได้เร็วแค่ไหน

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ...ในบางครั้งความแตกต่างอย่างถูกที่ถูกเวลา ก็ทำให้เกิดความงามและความโดดเด่น

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          เราเดินเข้าไปด้านในก็จะเจออาคารครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          บริเวณนี้ใบไม้เปลี่ยนสีกำลังสวยเลยทีเดียว

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ใบแปะก๊วยสวย ๆ ครับ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ด้านในอาคารมีพระพุทธรูปสำหรับสักการบูชา

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ใกล้ ๆ บริเวณนี้จะมีป้ายบอกทางไปยัง Hojo Garden สำหรับผมเห็นใบเมเปิลกับธารน้ำใส ๆ แล้วอดใจไม่ได้ ต้องกดชัตเตอร์มาทุกที

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          Hojo Garden ภายในมีสวนหินที่ขึ้นชื่อ (แต่ผมไม่ได้เข้าไปครับ)

          เดินออกมาด้านนอกก็จะเห็นสิ่งก่อสร้างด้วยอิฐขนาดใหญ่ คล้ายซุ้มประตูที่ดูไม่ค่อยเข้ากับวัดญี่ปุ่นเท่าไร มันคือท่อส่งน้ำ (aqueduct) ที่สร้างตั้งแต่สมัย Meiji Period (ค.ศ. 1868-1912) โดยเป็นส่วนหนึ่งของระบบคลองขนส่งสินค้าระหว่าง Kyoto และ Lake Biwa ที่อยู่ใกล้เคียงครับ

          เดินขึ้นมาดู Aqueduct ด้านบนกันครับ ตอนที่ผมขึ้นมาบริเวณนี้ฝนเริ่มลงเม็ดเล็กน้อย ต้องระวังลื่นครับ เพราะตะไคร่น้ำเยอะ

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ตอนเดินลงบันไดก็เช่นกัน บันไดค่อนข้างเล็กและชันต้องระวังกันสักหน่อย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          แม้ว่าเริ่มจะมืดค่ำและฝนลงเม็ดแล้ว แต่สาวญี่ปุ่นในชุดกิโมโนคนนี้ (และอีกหลาย ๆ คน) ก็ยังขอไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดกันสักหน่อย

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          นักท่องเที่ยวเริ่มเดินกลับ บ้างก็วิ่งเข้าไปหลบฝน ส่วนผมก็ยังเดินเล่นอยู่แถวนั้นอีกสักพัก โชคดีที่เตรียม raincoat มาด้วยครับ...ความชุ่มฉ่ำกลางสายฝนที่อ่อนโยน

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          มองจากภายนอกไปยังอาคารวัดสวย ๆ กับใบไม้หลากสี

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          หลังจากหมดแสงอาทิตย์นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติที่มุ่งมั่นมาชมวัดช่วงประดับไฟ ก็เริ่มตั้งแถวรอชม Light Up กันทันทีครับ แม้ว่าฝนจะตกอยู่ก็ตาม ^^

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          สำหรับผมได้เวลากลับกันแล้วละครับ

          Practical Point s: Nanzenji Temple- A Famous Zen temple with Nice Garden

          1. เวลาทำการและค่าเข้าชม

          Sanmon Gate

          - Hours : 08.40 to 17.00 (until 16.30 from December to February) Admission ends 20 minutes before closing time
          - Closed : December 28 to 31
          - Admission :500 yen

          Hojo

          - Hours : 08.40 to 17.00 (until 16.30 from December to February) Admission ends 20 minutes before closing time
          - Closed : December 28 to 31
          - Admission : 500 yen

          Nanzenin (เป็น Subtemple ของ Nanzenji Temple)

          - Hours : 08.40 to 17.00 (until 16.30 from December to February) Admission ends 20 minutes before closing time
          - Closed : December 28 to 31
          - Admission : 300 yen

          Konchi-in Temple (เป็น Subtemple ของ Nanzenji Temple)

          - Hours : 08.30 to 17.00 (entry until 16.30 from December to February)
          - Closed : No closing days
          - Admission : 400 yen

          Tenjuan Temple (เป็น Subtemple ของ Nanzenji Temple)

          - Hours : 09.00 to 17.00 (until 16.30 during winter) Special evening hours during the autumn illumination November 11 and 12 have limited opening hours
          - Closed : No closing days
          - Admission : 400 yen (500 yen during the evening illumination)

          2. การเดินทาง

          - จาก Kyoto Station นั่ง Subway มาลง Keage Station บน Tozai Line (via Karasuma-Oike station, 20 นาที, 260 yen) แล้วเดินต่ออีก 5-10 นาที

          - หรือนั่ง Kyoto City Bus number 5 จาก Kyoto Station มาลงที่ Nanzenji-Eikando-michi bus stop (35 นาที, 230 yen ) แล้วเดินต่ออีก 5-10 นาที

          3. Nanzenji ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับวัด Eikando Temple (ซึ่งเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามเช่นกัน) และอยู่ทางใต้ของ Philosopher’s Path สามารถเดินถึงกันได้ครับ ถ้ามีเวลาสามารถวางแผนไปชมทั้งสามแห่งในวันเดียวกันได้)

          เป็นยังไงกันบ้างครับเดินเที่ยว Kyoto ได้ทั้งบรรยากาศชิล ซึมซับความสวยงามแบบไม่ต้องรีบร้อนแบบนี้ เริ่มหลงเสน่ห์เมืองหลวงเก่าที่น่ารักเมืองนี้แบบผมกันบ้างหรือยัง ?

          มาถึงตอนสุดท้ายกันแล้วละครับ ส่วนที่ 3 แผนการเดินทางท่องเที่ยวใน Kyoto ของผม (เอาไปปรับใช้กันได้เลยครับ)

          รีวิว Kyoto นี้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง 7 วัน 7 คืน ในญี่ปุ่น ที่ผมพาคุณแม่และน้อง ๆ ไปเที่ยวครับ แผนเที่ยวด้านล่างเป็นการวางแผนคร่าว ๆ ของทริป ผมแนะนำว่าควรมี Plan B ไว้สำรองเสมอ (ถ้าให้ดีมี Plan C ไว้ด้วยเลย) นะครับ เพราะเดินทางกับผู้สูงอายุทำให้เรากำหนดเวลาได้ยากลำบาก อาจจะมีสถานที่ที่อยากไปมากจริง ๆ วันละ1 แห่ง ส่วนที่เหลือก็ใส่เผื่อไว้ถ้ามีเวลา จะได้เที่ยวอย่างมีความสุขและผู้ร่วมทริปไม่เหน็ดเหนื่อยจนเกินไปครับ

          ผมเชื่อว่าแต่ละคนคงมีสถานที่ในฝันแตกต่างกันไป ยังไงก็ลองเอาแผนเที่ยวของผมไปปรับใช้ดูนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์บ้าง

เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel

          ป.ล. เพื่อน ๆ คนไหนที่อยากวางแผนเที่ยว Kyoto ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี แนะนำให้เข้าไปเก็บข้อมูลจากรีวิวที่สุดยอดรีวิวนี้ด้วยนะครับ "Momiji Moment in Kyoto-แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีใน Kyoto พร้อมวิธีการเดินทางและข้อมูลต่าง ๆ"

หมายเหตุ

          1. ถ้าอยากได้รายละเอียดสถานที่แต่ละแห่งเพิ่มเติมแวะไปดูที่กระทู้ได้เลยครับ pantip.com/topic/30998297
         
          2. ที่เที่ยวข้างต้นเป็นสถานที่ที่สวยงามมากในช่วง Autumn ครับ ถ้าไปช่วงอื่นอาจจะลองสอดแทรกที่เที่ยวเด่น ๆ ของฤดูกาลนั้น ๆ เข้าไปด้วย

          เป็นอย่างไรกันบ้างครับ เดินเที่ยวจนเมื่อยกันไปเลยทีเดียว หวังว่ารีวิวนี้จะทำให้เพื่อน ๆ ได้มีไอเดียเกี่ยวกับการเดินเที่ยว Kyoto กันไปบ้างนะครับ ส่วนคนที่เคยไปมาแล้วหวังว่ารีวิวนี้จะทำให้คลายความคิดถึงลงบ้าง หรือไม่ก็ทำให้อยากไปเยือนเมืองเก่าแห่งนี้อีกครั้ง เพราะญี่ปุ่น...ไปกี่ครั้งก็ยังไม่พอ...ว่าไหม ? ^___^

          ผมเคยอยากจะให้ช่วงเวลาแห่งการท่องเที่ยวที่มีความสุข สนุกสนาน และเต็มไปด้วยรอยยิ้มยาวนานกว่านี้ แต่ตอนนี้ผมว่าเป็นแบบที่มันเป็นไปน่ะดีแล้วล่ะครับ

          ...เพราะการรอคอยนั้นทรมาน มันจึงเปี่ยมคุณค่า
          ...และเพราะเรารอคอยสิ่งที่ได้รับจึงกลายเป็น “สิ่งพิเศษ”
          …มองอีกแง่หนึ่งการรอคอยอาจเปรียบเสมือน “โรงบ่มเพาะความพิเศษ” ก็เป็นได้
         
          ดังนั้นในตอนนี้ผมพร้อมที่จะรอคอยการออกเดินทางครั้งใหม่ด้วยหัวใจที่พองโต แล้วเจอกันใหม่ในการสะพายเป้ออกสู่โลกกว้างในครั้งหน้า...สวัสดีครับ

          ขอขอบคุณทุก ๆ คนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ ถ้ากระทู้นี้มีข้อผิดพลาดใด ๆ เจ้าของกระทู้ต้องขออภัยและยินดีรับฟังข้อติชมครับ

****************************

          แวะเข้ามาพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูล สอบถาม หรือเป็นเพื่อนกันได้ที่นี่เลยครับ

          Facebook : เฟซบุ๊ก Bond Gallery
          Instagram : BondGallery

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คุณ nucleon สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก Bond Gallery





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เที่ยวเกียวโตแบบ Slow Travel เมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ อัปเดตล่าสุด 25 มีนาคม 2567 เวลา 17:17:59 27,613 อ่าน
TOP
x close