เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Bigsolution สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
ใครจะคาดคิดว่า "อุ้มผาง" อำเภอที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวอำเภอเมืองมากที่สุดในประเทศไทย ดินแดนผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ จะมีสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับโลกอย่าง "น้ำตกทีลอซู" ที่มีความงดงามจนถูกขนานนามว่าราชินีแห่งผืนป่าเอเชียอาคเนย์ซุกซ่อนอยู่ ทำให้ในแต่ละปีมีผู้คนทั้งไทยและต่างชาติ เดินทางเข้าไปสัมผัสกับความสวยงามเหล่านั้นไม่ขาดสาย ถึงแม้ว่าจะต้องเดินทางไปไกลแค่ไหน ใช้เวลานานเท่าไหร่ แต่ภาพของน้ำตกและทิวทัศน์สองข้างทางก็สร้างความประทับใจให้ไม่รู้เลย เช่นเดียวกับ คุณ Bigsolution สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ไปชื่นชมความงามของน้ำตกทีลอซู สัมผัสวิถีชีวิตของชาวอุ้มผาง พร้อมกับเก็บเกี่ยวความทรงจำออกมาเป็นบันทึกการเดินทางและภาพถ่ายสวย ๆ ให้เราได้ชมกัน
การเดินทางฝ่า 1,219 โค้ง สู่อุ้มผาง หนทางข้างหน้าและจุดหมายปลายทางจะเป็นอย่างไรนั้น มาติดตามชมกันครับ
วันเดินทาง 28-31 December 2013
อุปกรณ์ Nikon CoolPIX L310
ข้อแนะนำการเดินทางเบื้องต้น
เตรียมร่างกายและใจให้พร้อม
สำหรับผู้ที่เมารถง่ายขณะขึ้นภูเขา ควรมีอุปกรณ์ในการป้องกันให้เรียบร้อย มิฉะนั้นจะเจอภาพแบบผมเจอมา
เตรียมเสื้อกันหนาวหนา ๆ สำหรับการเดินทางในฤดูหนาวแบบนี้
ขนมขบเคี้ยวเล็กน้อยบนรถเพราะต้องนั่งนานเลยทีเดียว แต่อย่าดื่มน้ำมากเพราะไม่มีห้องน้ำ ต้องอาศัยตามภูมิประเทศ
สำหรับคนที่คาดหวังว่าจะสะดวกสบายให้กลับไปทบทวนตัวเองใหม่
เตรียมไฟฉายไปด้วยหากจะเดินทางไปเที่ยวถ้ำ หรือดูพระอาทิตย์ขึ้น
เตรียมกล้องถ่ายรูปที่แสนประทับใจครั้งนี้ เพราะครั้งหน้าคุณอาจไม่มาอีก เว้นแต่ใจรักการเดินทางแบบนี้
นักช้อปอย่าคาดหวังเรื่องของฝากให้เพื่อน ๆ จำพวกของกินอร่อย ๆ เพราะมีแค่ของที่ระลึกเสื้อที่ระลึกและโปสการ์ดเท่านั้น
28 ธันวาคม 2556
พวกเรามารอขึ้นรถตู้จากรีสอร์ทที่มารอรับที่หมอชิตเก่า ออกเดินทางเวลาสามทุ่มตรง วันส่งท้ายปีเก่าแบบนี้สิ่งที่ต้องทำใจเมื่อออกไปสายเหนือและสายอีสาน คือ รถติด เพราะใคร ๆ ต่างก็กลับภูมิลำเนากันทั้งนั้น ยกเว้นผม เพราะผมไม่ชอบการกลับบ้านช่วงเทศกาลอะไรมากนักถ้าไม่จำเป็น เพื่อนร่วมเดินทางของเรามีกันสิบคน คงซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยวจากงานไทยเที่ยวไทยเช่นกันแน่ ๆ คนพร้อม สมาชิกพร้อม มาเดินทางกันเลย ผมไม่เคยไปอุ้มผางมาก่อน ได้แค่จินตนาการไปต่าง ๆ นานาว่าข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จะสวยงามดั่งที่คาดหวังหรือเปล่า
29 ธันวาคม 2556
คนขับรถตู้พาพวกเรามาถึงจังหวัดตากราว ๆ ตีสี่ ซึ่งขับได้ไวจริง ๆ จากตากไปอำเภอแม่สอดอีก 80 กิโลเมตร ขึ้นภูเขาพี่แกก็ขับแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น แต่จากแม่สอดไปที่อำเภออุ้มผางนี่แหละ งานหินครับพี่น้อง เพราะขึ้นภูเขาล้วน ๆ และต้องเจอกับโค้งอันตรายอีกมากมาย ด้วยระยะทางเกือบ 180 กิโลเมตรเลยทีเดียว หกโมงเช้าพวกเราก็มาถึงจุดพักรถระหว่างทาง มาได้ครึ่งทางแล้วที่อุ้มเปี้ยม แสงแรกแห่งวันใหม่กำลังมาเยือน แต่ทำไมข้างนอกมันหนาวเข้ากระดูกอะไรอย่างนี้ หันไปดูเทอร์โมมิเตอร์ที่จุดพักรถ อ่านอุณหภูมิได้แค่ 5 องศาเซลเซียสเองหรือนี่ พวกเราเลยหันไปพึ่งของว่างอุ่น ๆ เป็นซาลาเปานึ่งและขนมจีบรองท้องกันก่อน น่าจะเป็นฝีมือของชาวไทยภูเขานี่แหละ เพราะไม่คุ้นลิ้นสักเท่าไหร่
เข้าห้องน้ำห้องท่ากันเสร็จพวกเราก็ออกเดินทางกันต่อ อีกเพียง 80 กิโลเมตรกว่า ๆ เท่านั้นก็จะถึงอุ้มผางแล้ว ระหว่างทางก็นึกไปเรื่อยว่าทำไมอำเภอนี้ถึงได้ไกลจากตัวจังหวัดมากนัก หากเป็นเราเป็นเด็กที่ต้องไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ คงต้องเดินทางลำบากแน่นอน แล้วหากรถเสียระหว่างทางคงรอถึงดึกเลยทีเดียวกว่าจะมีช่างมาซ่อมให้ หรือโชคร้ายอาจไม่มีเลย หมู่บ้านข้างหน้าไม่รู้อีกไกลแค่ไหน ปั้มน้ำมันก็มีแต่ปั้มแบบหลอด ถ้าลืมเติมมาจากแม่สอดบอกได้คำเดียวว่ากำลังเดินสู่ความเสี่ยงอย่างมาก ก็ได้แต่คิดไปเองเรื่อยเปื่อย แลเห็นมีชุมชน (ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นกะเหรี่ยงหรือเปล่านะ) ที่นี่เขาก็ยังอยู่ได้ นั่นคงเป็นที่ที่มีความสุข มีรอยยิ้ม มีการทำไร่นา ก็คิดไปว่าที่นี่คงมีความสุขไม่น้อยแน่ ๆ
ในที่สุดเก้าโมงเช้าพวกเราก็ฝ่าด่านมหาโค้ง 1,219 โค้ง เดินทางมาถึงอุ้มผางแล้ว หมอกหนาเริ่มจางไปแล้ว แต่อากาศข้างนอกยังเย็นไม่หายเลย พวกเรามาแวะทานข้าวเช้าที่หน้าวัดพาณิชย์นิรมลอยู่กลางตัวอำเภออุ้มผางเลย ที่อุ้มผางมีร้านสะดวกซื้อ 7-11 แล้วต่อไปจากนี้อุ้มผางน่าจะเปลี่ยนไป
ทานข้าวเสร็จคนขับรถก็ขับย้อนกลับมาทางเดิมด้านหน้าทางเข้าตัวอำเภอ เพื่อมาที่รีสอร์ท "อุ้มผาง คันทรีฮัท รีสอร์ท" ที่พวกเราซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยวในครั้งนี้ สภาพรีสอร์ทก็อยู่ในเนินเขา มีห้วยแม่กลองไหลผ่านด้านห้องพักทำให้หน้าห้องพักของผมคืนนี้มีน้ำไหลผ่านให้ความสดชื่นอีกด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เราผิดหวังเล็กน้อย คือ โปรแกรมการผจญภัยของเราถูกเปลี่ยน ซึ่งวันนี้แทนที่พวกเราต้องไปนอนที่น้ำตกทีลอซู แต่ถูกเปลี่ยนมานอนที่รีสอร์ทถึงสองคืนเลยทีเดียว
เก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย พวกเราทั้งสิบคนก็ต้องไปล่องแก่งทันทีเลย เพราะวันนี้พวกเราต้องไปน้ำตกทีลอซูทันทีแบบยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากนัก สิบโมงเช้าพวกเราก็มาพร้อมเพรียงกันที่ห้วยแม่กลอง ซึ่งอยู่ด้านหน้าห้องพักพวกเรานี่เอง ทางรีสอร์ทมีเสื้อชูชีพให้ และมีพนักงานฝีพายประจำเรือให้ลำละลองคนหัวท้าย พวกเราแค่นั่งกันเฉย ๆ ได้เวลาออกเดินทางล่องแก่งไปตามลำห้วยแม่กลองแล้ว อากาศยามสายแบบนี้แม้จะมีแดด แต่ก็ยังเย็นได้ใจจริง ๆ โดยเฉพาะเมื่อคราวที่เรือล่องผ่านร่มไม้ใหญ่ ความเย็นก็แผ่มาหาพวกเราทันที ผมเพิ่งเคยมีโอกาสมาล่องแก่งแบบนี้เป็นครั้งแรกก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา ด้วยความที่เราไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ดังนั้น จึงไม่อาจจะเดาได้ว่าหนทางข้างหน้าจะพบเจอกับอะไรบ้าง แต่ตลอดสองข้างฝั่งลำน้ำ ผมก็ต้องพบกับความมหัศจรรย์ของผืนป่าชายแดนด้านตะวันตกของเมืองไทยเรา นอกจากจะยังคงความอุดมสมบูรณ์ไว้แล้ว ความงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มันเป็นอะไรที่ลงตัวและควรค่าแก่การอนุรักษ์ยิ่ง
และสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าของพวกเรา คือ สายน้ำที่ไหลกระเซ็นมาจากหน้าผาสูง ไกด์นำทางบอกเราว่ามัน คือ น้ำตกทีลอจ่อ โชคไม่เข้าข้างที่เรามาสายเกินองศาที่แสงแดดกระทบกับน้ำตก เราไม่ได้เห็นสายรุ้ง เพราะน้ำตกนี้เรียกอีกชื่อว่า น้ำตกสายรุ้ง นั่นเอง แต่ก็ไม่ได้เสียดายอะไรมากนัก เพราะเป้าหมายหลักของการเดินทางของพวกเราอยู่ที่น้ำตกทีลอซูต่างหาก ระหว่างการเดินทางพวกเราได้แวะพักที่บ่อน้ำร้อน ซึ่งอยู่ริมห้วยและที่นี่ยังมีร้านค้าชุมชนสามสี่ร้านไว้คอยบริการน้ำดื่ม และมันเผาให้เรารองท้องก่อนที่จะได้ทานข้าวเที่ยงอย่างจริงจัง
ในที่สุดพวกเราก็เดินทางด้วยการล่องเรือมาสุดที่ ด่านหน่วยพิทักษ์ป่าผาเลือด เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน กว่าจะได้ทานข้าวเที่ยงก็ปาไปบ่ายโมงครึ่งแล้ว และพวกเราต้องต่อรถกระบะไปยังน้ำตกทีลอซูอีก ด้วยระยะทางเกือบสามสิบกิโลเมตร ซึ่งถนนเป็นทางลูกรังเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ และขึ้นเขาลงเขาตลอดการเดินทาง ใช้เวลานั่งรถประมาณหนึ่งชั่วโมง ฝ่าฝุ่นดินสองข้างทาง พอลงจากรถสีชุดเปลี่ยนไปทันที เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยฝุ่น ช่วยไม่ได้เรานั่งท้ายรถนี่นา
พวกเราเดินทางมาถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางราว ๆ บ่ายสามโมงตรง นัดหมายเวลามาเจอกันที่รถบ่ายห้าโมงตรง ต่างคนต่างแยกย้ายเดินทางไปยังน้ำตก จากจุดจอดรถต้องเดินทางเท้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตรครึ่ง และวันนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวมาจับจองที่กางเต็นท์กันพอสมควร และนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมน้ำตกก็เยอะมากเลยทีเดียว มาเที่ยวธรรมชาติ ก็ต้องรักษาธรรมชาติ ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ไม่นำอาหารหรือเครื่องดื่มเข้าไปรับประทานที่ตัวน้ำตกเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้จะสร้างขยะ ทำลายความสวยงามของธรรมชาติไป ฝากทุกคนช่วยกันดูแลด้วย ดังนั้น มีขวดน้ำ อาหารต้องเอามาฝากที่จุดตรวจค้นนี่ก่อนเลย
ทางเดินเข้าตัวน้ำตกทีลอซูเป็นทางคอนกรีตอย่างสะดวกสบายเลยทีเดียว ไม่ได้ไต่เขาลงห้วยอย่างที่ผมคิดไว้เลย แทบจะราบเรียบ ระหว่างทางเดินไปตัวน้ำตกก็จะพบกับน้ำตกขนาดเล็กขนาดย่อมรายเรียงกันไป น้ำใสและมองเห็นเป็นสีเขียวราวกับมรกต แต่ก็ไม่เห็นมีใครเข้าไปชมเลยแม้แต่น้อย
เดินผ่านจุดป่านี้ไปก็จะถึงแล้ว
และแล้วภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าของผม คือ น้ำตกทีลอซู ที่ผมใฝ่ฝันไว้ว่าสักครั้งในชีวิตของผมจะต้องมาดูให้เห็นกับตาตัวเองให้ได้ ความฝันของผมเป็นจริงแล้ววันนี้ ภาพสายน้ำตกจากหน้าผา และความยิ่งใหญ่ของน้ำตกนับเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์และหาชมได้ยากยิ่ง จึงไม่แปลกที่น้ำตกแห่งนี้จะได้รับการขนานนามว่างดงามที่สุดในประเทศไทย แล ยังติดอันดับต้น ๆ ในเอเชียอาคเนย์อีกด้วย
วันนี้เป็นวันหยุดนักท่องเที่ยวที่มาชมและเล่นน้ำค่อนข้างมาก ไหน ๆ ก็ได้มาทั้งทีแม้อากาศจะเย็นแค่ไหนแต่ขอลงไปสัมผัสสายน้ำสักหน่อยดีกว่า เนื่องด้วยเวลามีจำกัดแค่สองชั่วโมงเท่านั้น ทำให้พวกเราต้องรีบเก็บภาพประทับใจไว้เป็นที่ระลึกกันอย่างรีบเร่ง ไม่มีเวลาพอที่จะหามุมสวย ๆ แปลก ๆ มาให้ชม จึงขอเก็บภาพในมุมมหาชนมาให้ชมกันไปก่อน ต้องขออภัยหากภาพที่ลงไปจะมีมุมที่ซ้ำกันบ้าง
และขอแนะนำว่าควรมาน้ำตกตอนเช้าจะดีกว่า เพราะเวลาถ่ายรูปน้ำตกภาพจะได้ไม่ย้อนแสงอย่างที่ผมกำลังประสบอยู่ตอนนี้ และแล้วเวลาแห่งความสุขในการชื่นชมน้ำตกก็หมดลง พวกเราต้องเตรียมตัวเดินทางกลับ ซึ่งต้องฝ่าฝุ่นอีกตามเคย แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือมันค่ำแล้ว อากาศเย็นยะเยือกแผ่มาอีกครั้งคราวนี้พวกเราไม่มีเสื้อกันหนาวแล้ว ต้องกัดฝันทนหนาวและฝุ่นตลอดการเดินทางชั่วโมงเศษ ๆ กว่าจะถึงที่รีสอร์ทก็ราว ๆ ทุ่มครึ่ง อาหารเย็นมื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดเท่าที่กินมา เพราะความหิวจัดนั่นเอง อิ่มเต็มที่แล้วก็ต้องแยกย้ายกันกลับไปนอนพักผ่อนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้เช้ามีนัดตีห้า ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น นอกจากนี้ ทางรีสอร์ทมีการแสดงของเด็ก ๆ ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมาให้ชม และมีคาราโอเกะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการโชว์พลังเสียง แต่ผมขอตัวไปพักผ่อนอาบน้ำดีกว่า เหนื่อย เพลียมาทั้งวันแล้ว แต่แล้วเจ้าเครื่องทำน้ำอุ่นตัวดีกลับมาพังซะงั้น ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ นอกจากกัดฟันอาบน้ำเย็นที่ไม่ต่างจากเอาน้ำแช่น้ำแข็งมาอาบดี ๆ นี่เอง ทำใจครับ
30 ธันวาคม 2556
ตื่นตีห้าตามเวลานัดหมาย วันนี้จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยหัวหมด บางครอบครัวก็บอกว่าไม่ไปดีกว่า เพราะยังเพลียและอากาศยามเช้านี่มันช่างไม่อยากลุกจากที่นอนและผ้าห่มไปไหนเลย แต่สำหรับผมการที่เราไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ทำให้อยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา และประจวบกับเป็นโปรแกรมที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้ด้วย เข้าทางเลยทีเดียว ดอยหัวหมดอยู่ห่างจากอำเภออุ้มผางราว ๆ สิบกิโลเมตร นั่งรถฝ่าความเย็นเพียงชั่วอึดใจก็มาถึงแล้ว แต่ตีห้าครึ่งยังมืดตึ๊ดตื๋ออยู่เลย ดังนั้น อย่าลืมพกไฟฉายติดตัวไปด้วย เพราะทางเดินค่อนข้างมืด ทางเดินขึ้นเขาค่อนข้างแคบ เดินเบียดกันไม่ดี เพราะจะทำให้ตกเหวลงไปได้ ต้องเดินเรียงแถวกันค่อยเดินขึ้นอย่างใจเย็น ๆ แล้วภาพที่เราพบตอนพระอาทิตย์กำลังขึ้นก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราแล้ว แสงแรกของวันใหม่ที่ทำให้คลายหนาวลงบ้าง ดอกหญ้าเบ่งบานและมองเห็นทะเลหมอกอยู่ไกลลิบโน่น
แม้วันนี้จะไม่ได้ดูทะเลหมอกอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แต่ก็ลงจากดอยแล้วก็พบกับหมอกหนาแผ่ปกคลุมอุ้มผางเอาไว้ แม้แต่หน้าห้องพักยังเต็มไปด้วยหมอกหนา ไหน ๆ มาแล้วลองมาดูที่แม่กลองกันบ้างว่าหมอกที่ผืนน้ำจะสวยงามแค่ไหนกัน
หลังจากทานมื้อเช้าเป็นข้าวต้มง่าย ๆ และขนมปังปิ้งแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางท่องเที่ยวตามโปรแกรมจากรีสอร์ทกันได้เลยครับ เก้าโมงเช้าล้อหมุน ที่แรก คือ โบสถ์ไม้สักทั้งหลังที่วัดหนองหลวง (ใช้เส้นทางเดียวกับที่ไปน้ำตกทีลอซู) ซึ่งจะสังเกตเห็นป้ายบอกทางเข้าหมู่บ้านหนองหลวงเป็นระยะ ๆ ทำบุญที่นี่เรียบร้อย ก็เดินทางต่อมาที่ ถ้ำตะโค๊ะบิ อยู่ไม่ไกลมากนัก ซึ่งภายในถ้ำจะพบหินงอกหินย้อยให้เห็นอยู่บ้าง ที่สำคัญอย่าลืมพกไฟฉายติดตัวไปด้วย และจะมีน้อง ๆ เด็กตัวเล็ก ๆ น่ารักมาคอยต้อนรับและเป็นผู้นำทางเราไปชมภายในถ้ำ และฟังการบอกเล่ารูปต่าง ๆ ภายในถ้ำประสาเด็ก ๆ สร้างความหรรษาให้ผู้ใหญ่ได้ดีทีเดียว
โปรแกรมสุดท้าย คือ มาที่บ้านครูซัน ซึ่งหากใครมาที่อุ้มผางก็ไม่พลาดที่จะมาแวะชมและเลือกซื้อของที่ระลึกที่บ้านครูซันแห่งนี้ แถมยังมีมุมสวย ๆ เก๋ ๆ ให้เราได้ถ่ายรูปกันอย่างเพลินเลยทีเดียว แต่โปรแกรมเราหมดภายในครึ่งวันเอง แล้วเราก็กลับมาที่รีสอร์ทช่วงเที่ยง ทานมื้อเที่ยงแล้วก็ไม่ได้ออกไปไหนไม่ได้อีกแล้ว เพราะโปรแกรมถูกเร่งให้หมดภายในครึ่งวัน ทีวีก็เสีย เครื่องทำน้ำอุ่นก็เสีย นี่ยังดีที่ว่าบรรยากาศรอบ ๆ ดีเลยให้อภัยได้
ผมไม่ชอบอยู่กับที่ ในเมื่อไม่มีรถออกไปไหนแล้วก็ต้องเดินสิครับ จากรีสอร์ทเดินมาถนนใหญ่เพียงสองกิโลเมตรเท่านั้น เอาเป็นว่าเดินเล่นดีกว่า ฆ่าเวลาอีกครึ่งวันที่เหลือให้หมดไปด้วยการเดินชมบรรยากาศรอบนอกกัน มีดอกไม้ใบหญ้าให้เราเพลินเพลินสองข้างทาง มีไร่ไม้สัก มีไร่ข้าวโพด (ที่เก็บเกี่ยวแล้ว) มีอากาศที่บริสุทธิ์ให้เราสูดเข้าไปเต็มปอด
มาถึงถนนใหญ่ก็จะพบโรงเรียนอุ้มผางวิทยาคม ซึ่งทางแยกเข้ารีสอร์ทอยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนเลย พอดีผมเห็นป้ายไวนิลหน้าโรงเรียนที่ทำให้ผมต้องเก็บภาพที่น่าปีติไว้ให้ได้ นั่นคือ พระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเทพฯ ในฉลองพระองค์ครุยมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ความปลาบปลื้มส่วนบุคคลนะครับ เพราะผมจบจากสถาบันนี้มา และเชื่อว่าศิษย์เก่าทุกคนก็คิดเช่นเดียวกัน)
ตะวันเริ่มจะคล้อยแล้ว ได้เวลากลับไปอาบน้ำแล้ว เพราะหากมืดค่ำกว่านี้คงได้อาบน้ำที่เย็นราวกับน้ำแข็งเป็นแน่ ทานอาหารเย็นตามเวลานัดจากนั้นก็แยกย้ายไปพักผ่อน และเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับวันพรุ่งนี้เช้า เหล่าบรรดานักท่องเที่ยวก็ทยอยมาทั้งวันไม่ขาดสาย กิจกรรมการเดินทางก็คล้าย ๆ กับที่พวกผมไปมา หากแต่จะไปที่ไหนก่อนหลังนั้น ขึ้นอยู่กับทางรีสอร์ทจะจัดการให้พวกเขาเอง ส่วนค่ำคืนนี้ขอหลับใหล พักผ่อนเอาแรงและพร้อมจะเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้
31 ธันวาคม 2556
เช้าอีกวันที่อากาศเย็นในตอนเช้าอุณหภูมิสิบองศาเซลเซียส หลังจากทานมื้อเช้าแบบง่าย ๆ ด้วยข้าวต้มพร้อมกับข้าวแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางกลับ พวกเรานัดกันแปดโมงครึ่ง ลาก่อนอุ้มผาง หากมีโอกาสจะกลับมาเยือนใหม่นะ
รถตู้พาพวกเราแล่นออกจากอุ้มผางแล้ว สองข้างทางเป็นภูเขา ผืนป่า มีหมู่บ้านกะเกรี่ยงบ้าง ชาวไทยภูเขาบ้าง ซึ่งแต่ละหมู่บ้าน แต่ละตำบลห่างไกลกันมากเลยทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้เห็นว่าที่นี่น่าอยู่และมีความสุข คือ สถานที่ที่ยังสวยงาม ท่ามกลางธรรมชาติที่บริสุทธิ์ และผู้คนที่ไร้การแต่งแต้ม ไม่เหมือนอย่างเมืองกรุง นี่เราจะต้องฝ่า 1219 โค้ง อีกแล้วหรือนี่ ผมได้แต่คิดในใจ ข่มตาหลับก็ไม่ได้ด้วยสิ เพราะเผลอดูธรรมชาติสองข้างทางไปแล้ว คราวนี้จากคนที่ไม่เคยเมารถเลย ต้องมายอมแพ้โค้งที่นี่แล้ว ที่ทำให้ผมแทบจะอาเจียนเลย (โทษตัวเองที่กินมื้อเช้าเยอะไปหน่อย) พอโดนแรงเหวี่ยงเข้าก็เลยเป็นอย่างที่ว่า โชคดีที่เราได้มาแวะจุดพักรถอุ้มเปี้ยมเพื่อพักอิริยาบถกันเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วผมจะเดาสภาพตัวเองได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่ได้หยุดพัก
โปรแกรมการเดินทางเราไม่ได้หมดแค่นี้นะครับ เพราะระหว่างเดินทางกลับทางรีสอร์ทก็มีโปรแกรมการเดินทางให้พวกเราเป็นการตบท้ายด้วย ที่แรก คือ อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ ซึ่งเป็นน้ำตกที่เข้าถึงง่ายมาก อยู่ที่อำเภอพบพระก่อนถึงอำเภอแม่สอดแค่อึดใจ น้ำตกไหลเย็นชุมฉ่ำ เจ้าหน้าที่บอกว่ามีน้ำตลอดปีเพราะเกิดจากน้ำซับ หนาว ๆ แบบนี้ เด็กดอยบ่ได้กลัวอะไรนะครับ มาเล่นน้ำแต่เช้าเชียว ที่นี่ยังมีหมู่บ้านชาวเขาจำลองให้เรามาถ่ายรูป และแต่งชุดชาวเขาถ่ายรูปได้ด้วย และวันนี้ที่น้ำตกแห่งนี้ยังเป็นสถานที่เก็บตัวผู้เข้าประกวดธิดาดอยด้วย สาว ๆ แต่ละคนสวยด้วยธรรมชาติ ชนิดว่าถ้าเอาสาวชาวกรุงมาล้างเครื่องสำอางออกแล้วมาแข่งกับสาวดอยแล้วอาจชิดซ้ายทีเดียว
ความภาคภูมิใจของที่พบพระอีกอย่าง คือ เป็นแหล่งปลูกกุหลาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แต่พวกเราก็ไม่ได้มีโปรแกรมแวะสวนกุหลาบแต่อย่างใด เรามุ่งหน้ากันต่อมาที่แม่สอด และทานมื้อเที่ยงที่ร้านไก่ย่างตรงข้ามกับ ตชด.หรือด้านข้างสนามบินแม่สอด อาหารอร่อย ราคาไม่แพง แนะนำให้ไปลิ้มลอง ผมยังได้ไส้อั่วแช่ชแข็งบรรจุด้วยระบบสุญญากาศมาเป็นของฝากให้ที่บ้านอีกด้วย อิ่มท้องแล้วเราก็เดินทางไปตลาดริมเมยเลือกซื้อของตามใจชอบ และแวะทำบุญไหว้พระที่วัดไทยวัฒนาราม ชื่อว่า วัดไทยวัฒนาราม แต่ไม่มีศิลปะไทยแม้แต่น้อย ออกแนวไปทางเพื่อนบ้านพม่าของเรามากกว่า ทั้งรูปแบบเจดีย์ วิหาร หรือแม้แต่องค์พระนอน และพระมหามุนีที่จำลองมาจากมัณฑะเลย์ ครบรสไม่ต้องไปไกลถึงพม่า เราก็ได้สัมผัสกลิ่นของวัฒนธรรมได้ที่นี่
ผมขอถามหนึ่งคำถามว่านี่ หงส์ หรือ นกการเวก กันแน่ครับ แล้วทำไมต้องขี่หลังกันด้วย วัดนี้เป็นศิลปะแบบพม่า แบบมอญ หรือแบบไทยใหญ่ ผู้รู้แนะแนวทีครับ
แต่เดี๋ยวก่อน ยังไม่หมดแค่นี้ ระหว่างทางจากแม่สอดไปตาก ต้องผ่านภูเขาอีก และมีตลาดดอยมูเซอให้เราได้แวะซื้อของฝากที่เป็นผลิตผลทางการเกษตรราคาย่อมเยาอย่างจุใจ ก่อนที่จะหมดแรงและหลับกันบนรถ แวะทานมื้อเย็นที่นครสวรรค์ และเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ และต่างแยกย้ายไปเคาท์ดาวน์กันต่อหากยังพอมีแรง ส่วนผมขอกลับไปนอนพักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่า ผ่านคืนนี้ไปพรุ่งนี้ก็เป็นปีใหม่แล้ว