เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Brianak สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ ประเทศพม่า หรือ เมียนมาร์ (Myanmar) เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวให้ไปสัมผัสกับความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่นั้นอย่างเป็นทางการ จะทำให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่นักเดินทางหมายตาไว้ว่าต้องไปเยือนสักครั้ง เพราะเสน่ห์ดึงดูดใจของประเทศนี้มีมากมาย ทั้งโบราณสถาน วัดวาอารามต่าง ๆ หรือแม้แต่วิถีชีวิตของชาวบ้าน
เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกท่องเที่ยวเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปชมอีกมุมมองหนึ่งของประเทศพม่า ผ่านบันทึกการเดินทางและภาพถ่ายแจ่ม ๆ ของ คุณ Brianak สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่บอกเล่าเรื่องราวของ Myanmar in Memories พม่าในความทรงจำ ตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2 กันค่ะ เอ้า! ใครพร้อมไปทัวร์พม่าแล้ว ก็ตามเราไปเที่ยวกันเลยจ้า ^^
สวัสดีครับ...พี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อน ๆ ห้อง Blue planet ทุกท่านครับ วันที่ 26 – 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ได้มีโอกาสไปเที่ยวพม่า อยากจะนำภาพความประทับใจมาแบ่งปัน เพื่อขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ได้รับจากเพื่อน ๆ ในห้องนี้ และได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดีมาก ซึ้งใจจริง ๆ
รายละเอียดทริปคร่าว ๆ ที่ผมจะไปและพักครับ
26 Oct, Arrival Yangon - Bagan (Night Bus) Car Sight seeing
27 Oct, Bagan Sight seeing Horse cart Makalar guest house -Standard room
28 Oct, Bagan Sight seeing Horse cart Bagan - Yangon Bus
29 Oct, Yangon - Bago - Kyaikhtiyo Car transpotation Kyaikhto hotel
30 Oct, Kyaikhiyo - Yangon Car transportation
เมื่อพร้อมแล้วผมก็จะพาไปเที่ยวพม่า เมืองซึ่งราวกับย้อนวันเวลาไปในคืนวันเก่า ๆ ในอดีต เพราะพม่ายังมีเสน่ห์ มนต์ขลังของกลิ่นอายของศิลปะ วัฒนธรรม และสิ่งปลูกสร้างที่ผสานความเชื่อของผู้คน ความศรัทธา ผสมกับธรรมชาติอยู่มาก ที่ยังไม่กลืนหายไปกับวันเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่
ถ้าผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ด้วยนะครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการแบ่งปันบันทึกการเดินทางของผม "Myanmar in Memories พม่าในความทรงจำ" ขอบคุณครับ
เริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินดอนเมือง บินไปย่างกุ้ง เป็นน่าที่น่าเสียดายที่แอร์เอเชียเพิ่งเปิดเส้นทางมัณฑะเลย์ไม่นานหลังจากผมจองแล้ว ไม่งั้นจะลงมัณฑะเลย์กลับย่างกุ้งเพื่อจะได้เที่ยวให้ครบ 5 มหาสถาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของประเทศพม่า
ไม่ถึงชั่วโมงก็เดินทางมาถึงพม่าแล้ว มองลงมาจากเครื่องบินเห็นท้องทุ่งนาสีเขียวขจี สลับเหลืองทองสวยมาก ๆ พร้อมกับการต้อนรับของสายรุ้ง ช่างเป็นภาพทำให้อิ่มอกอิ่มใจยิ่งนัก
เมื่อถึงสนามบินผ่านด่านตม. ผมก็แลกเงินที่สนามบิน ณ วันนั้นผมแลกได้ประมาณ 1 USD = 845 Kyat เจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ผมจองรถ และที่พักก็มาต้อนรับพร้อมแนะนำคนขับรถที่จะพาไปเที่ยวในย่างกุ้งในวันแรก และให้ใบจองห้องพักที่พุกามและอินทร์แขวน พร้อมตั๋วรถไปและกลับไปพุกามให้กับผม และจ่ายเงินที่สนามบินตามตกลงกัน
วันที่ผมไปรถติดอยู่เหมือนกันที่ย่างกุ้ง ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร คนขับรถพูดอังกฤษได้นิดหน่อย ส่วนผมก็งู ๆ ปลา ๆ ขำ ๆ กันไป ผมถามคนขับรถว่าบ้านอองซาน ซูจี อยู่ในย่างกุ้งหรือเปล่า เขาตอบว่าใช่ ผมบอกไปว่าอยากเห็นถ้าผ่านบอกด้วย พอสักพักหนึ่งเขาก็บอกว่านี่ไงบ้านอองซาน แล้วก็จอดรถ ผมเลยถามเขาว่าถ่ายรูปหน้าบ้านได้ไหม เขาก็เดินไปคุยกับคนข้างใน คงบอกว่าอะไรกันสักอย่างว่าเป็นนักท่องเที่ยวกระมัง ไม่เห็นหน้าขอถ่ายหน้าบ้านแล้วกัน ฮ่า ๆ
กุงกุง คนขับรถจอดที่นี่เป็นที่แรกคือ SULE PAGODA เสียค่าเข้าคนละ 2 USD ครับ แนะนำคนที่จะไปพม่า ให้ติดถุงหรืออะไรก็ได้ใส่รองเท้าไว้ด้วยก็ดีนะครับ เพราะทุกที่ไปต้องถอดรองเท้าครับ
หลังจากนั้นก็เดินทางไปที่ Buddha\'s First Sacred Hair Relic Pagoad , Botahtaung ค่าเข้าคนละ 3 USD ครับ เป็นเจดีย์ทรงระฆังสูง 40 เมตร สักการะพระเกศาธาตุ และมาที่นี่แน่นอนต้องไปขอพรกับเทพทันใจ สาธุ ๆ
วิธีบูชาเทพทันใจ : สักการะด้วยดอกไม้หรือผลไม้แล้วนั่งลงขอพรกราบโดยไม่ต้องแบมือ นำธนบัตรสองใบม้วนเป็นกรวยซ้อนกันใส่ในมือ แล้วไหว้ขอพร แล้วดึงกลับหนึ่งใบเก็บไว้บูชา หลังจากนั้นแตะหน้าผากกับนิ้วชี้ จับไม้เท้าด้วย และนำธนบัตรอีกใบใส่ในตู้บริจาคด้านข้าง ใครซื้อผ้าแพรคลุมไหล่เทพทันใจก็นำไปคลุมด้วย พรที่ขอนี่ต้องเป็นไปได้ด้วยนะครับ ขอพรขอให้สมหวังกันทุกคนนะครับ สาธุ
Buddha\'s First Sacred Hair Relic Pagoda
พระเกศาธาตุ
หลังจากนั้นก็เดินทางไปที่ SHWEDAGO PAGODA ค่าเข้าคนละ 5 USD ครับ ที่นี่มีบริการชาวต่างชาติใช้สัญญาณ WIFI ฟรีด้วยนะครับ อย่าลืมขอ USER และ PASSWORD ที่เคาน์เตอร์ซื้อบัตรเข้านะครับ เผื่อใครอยากเช็กอิน ติดต่อ หรือใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ
ผมรู้สึกชอบที่นี่ ความรู้สึกว่าเหมือนได้มาวัดพระแก้ว (ในความคิดส่วนตัวนะครับ) รู้สึกร่มเย็นสบาย ๆ ยิ่งได้นั่งมองความอลังการของเจดีย์ข้างหน้ากับผู้คนที่ต่างมาสักการะด้วยความศรัทธา นี่รู้สึกดีจริง ๆ วันที่ผมไปสักพักฝนตกหนักสัก 20 นาที ก็นั่งรอแถว ๆ นั้นก่อนจะเดินทางไปที่อื่นต่อไป
แอบส่องดูอัญมณีข้างบน
หลังทานข้าวเที่ยงเสร็จ พร้อมมีพลังเดินทางต่อไปยัง Chauk Htat Gyi พระตาหวาน ซึ่งมีความงดงามและขนาดใหญ่ที่สุดในพม่า มีขนตาที่งดงาม และพระบาทมีภาพมงคล108 ประการและพระบาทซ้อนกัน
จากนั้นไปสักการะ Nga Htat Gyi พระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัยขนาดใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในพม่า
ที่สุดท้ายก่อนจะนั่งรถไปพุกาม ผมมาที่ เจดีย์กาบาเอ Kaba Aye Pagoda เป็นชื่อที่คนไทยเรียก เป็นเจดีย์ทรงกลมมีความสูง และเส้นผ่านศูนย์กลางวัดได้เท่ากัน คือ 34 เมตร สร้างโดย นายอูนุ นายกรัฐมนตรีคนแรกของพม่า เพื่อใช้เป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎก
เกือบจะไม่ทันรถไปพุกามซะแล้ว ระหว่างไปสถานีขนส่ง Aungmingala รถติดมาก ๆ พอไปถึงรถบัสที่ไปมีจอดหลายที่อีก ถึงกับต้องจอดรถแล้ววิ่งเพื่อให้ไปทัน ในที่สุดก็ทันไม่ตกรถ รถที่ผมไปพุกาม เป็นของ Mandalar Minn Express ในรถมีน้ำเปล่าให้คนละ 1 ขวด มีผ้าห่ม หมอนใบเล็ก ๆ ขาไปในรถไม่มีห้องน้ำ แต่ขากลับรถมีห้องน้ำ (ทำไมไม่เหมือนกัน) รถจะจอดสองครั้ง ทุกคนต้องลงเพราะเขาล็อคประตูรถด้วยครับ ระหว่างการเดินทางเขาจะเปิดละครพม่าให้ชมด้วย
รถออกเวลาหกโมงเย็นแต่ต้องมาเช็กอินตอนห้าโมงครึ่ง ถึงพุกามเวลาประมาณตีสี่กว่า ๆ ผมรอคนที่จะมารับเพราะผมได้เช่ารถม้าไว้แล้ว แต่รอนานมากก็ยังไม่เห็นอาจจะคลาดกันหรือเปล่า เลยตัดสินใจนั่งรถถีบไปที่เกสท์เฮ้าส์แล้วกัน พอมาถึงเกสท์เฮ้าส์ห้องพักเต็มยังเข้าพักไม่ได้ เจ้าหน้าที่เลยให้นอนรอด้านข้าง ๆ เพื่อรอให้แขกออก และรอรถม้ามารับเราไปเที่ยวในตอนแปดโมงเช้าครับ และดีที่ว่ามีห้องอาบน้ำด้านนอกด้วย เลยได้อาบน้ำก่อนไปเที่ยว ^__^
คนคุมบังเหียนรถม้า คือ นายคนนี้ครับ บอกตามตรงชื่อเขาจำยาก ถามสองวันยังจำไม่ได้ (หรือหัวผมไม่ดี) ให้เขาเขียนให้ในกระดาษ กระดาษใบนั้นและรายละเอียดหายไปอีก แอบเซ็งนิดหน่อยครับ นายคนนี้เป็นกันเอง พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย มาเจอกับผม ภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ ก็ขำกันไปได้อีก ฮ่าๆ
การเดินทางด้วยรถม้านี่เหมือนเราได้ย้อนเวลาและชะลอเวลาเราให้ช้าลง เพราะคงไม่ได้เร็วเหมือนรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือจักรยานเลยครับ (บางทีแอบสงสารม้า) แต่ถ้าไปพุกามแล้วไม่ได้นั่งรถม้าก็เหมือนไม่ได้มาเมืองนี้ก็ได้นะครับ ต้องลอง แหะ ๆ
ก่อนเดินทางไปชมความงามของเจดีย์ต่าง ๆ ต้องขอไปลองอาหารพม่าอาหารเช้ากันหน่อย ผมบอกคนคุมรถม้าช่วยแนะนำร้านอาหารพม่าให้หน่อย ว้าว...อาหารพม่าครั้งแรกของชีวิตเลย อ๊ากส์ มาเยอะเลยเลือกไม่ถูกส่วนใหญ่ออกจะมัน ๆ มีน้ำมันเยอะเลยครับ ใครไม่ชอบมัน ๆ อะแย่เลย
เจดีย์ในพุกามเยอะมาก ๆ จริง ๆ ผมให้คนคุมรถม้าพาไปตามสะดวก แต่หลัก ๆ นี่ขอเลยขอได้ชมทะเลเจดีย์ช่วงพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น
วันที่ผมไปช่วงกลางวันถือว่าร้อนมากเมื่อเทียบกับตอนเช้ามืดรู้สึกเย็นสบาย ๆ ท้องฟ้าใส ๆ มาพร้อมกับความร้อนของแสงแดด
ความสวยของเจดีย์ในแต่ละมุมมอง ทุกคนที่ชอบการท่องเที่ยวแบบนี้ต้องลองมาสัมผัสด้วยตากันครับ
เจดีย์ในเมืองพุกามมีหลายขนาดและสร้างตามความเชื่อต่าง ๆ
ผู้ชายพม่าคงชินกับการนุ่งโสร่ง เคี้ยวหมากกัน เห็นกันเยอะ และการทาแป้งทานาคาของผู้คนก็ถือเป็นปกติ
การทาแป้งทานาคานี่ทาเพื่ออะไรกันนะ ใครทราบบ้างครับ?
หลังจากนั่งรถม้าชมเจดีย์หลายที่ ขอแอบไปพักเอาแรงสักนิด และทานอาหารเที่ยงแถวเกสท์เฮ้าส์ นัดคนคุมรถม้ามาเจอกันบ่ายสามเพื่อจะเดินทางไปดูทะเลเจดีย์ตอนอาทิตย์ตกที่ Shwesandaw Pagoda อ๋อ...ลืมบอกไปค่าเข้าชม Bagan Archaeological Zone คนละ 10 USD ต่อคน เจ้าหน้าที่จะเก็บตอนไหนเหรอครับ เดี๋ยวจะมีคนมาถามตอนเราไปเจดีย์เองละว่าจ่ายค่า Fee หรือยัง ถ้ายังก็ตามไปเพื่อจ่ายค่าชมเมืองพุกามครับ
พอถึงเวลานัดคนคุมรถม้าก็มารอหน้าเกสท์เฮ้าส์ พร้อมมุ่งหน้า Shwesandaw Pagoda คนเริ่มมาจับจองทุกพื้นที่เพื่อชมอาทิตย์ตก วันที่ผมไปผมก็ลุ้นจะได้เห็นบอลลูนด้วยละ แต่ว่าวันนั้นไม่มีบอลลูนครับ เจดีย์นี้ต้องปีนขึ้นไปสูงใช้ได้คนกลัวความสูงอาจจะไม่กล้าขึ้นก็ได้
ว้าว! ความรู้สึกแรกที่ได้มองสวยงามมาก ๆ ครับ เป็นจุดหมายหนึ่งที่ผมจะต้องมาเยือนพม่าคือที่นี่ เพราะต้องการมอง "ทะเลเจดีย์แห่งเมืองพุกาม"
ทะเลเจดีย์แห่งเมืองพุกาม (Bagan) พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า แสงอาทิตย์กระทบกับเจดีย์ช่างสวยงาม ที่ผมได้สัมผัสด้วยตาและมองด้วยใจอยากให้ทุกคนลองมาสัมผัสว่าจะหลงรักเมืองพุกามนี้เหมือนกับผมหรือเปล่า ผมเชื่อแน่ว่ามนต์เสน่ห์สิ่งที่อยู่ตรงหน้าแบบนี้ต้องทำให้ผู้คนหลงใหลอยากมาเยือนกันแน่ ๆ ครับ
การเดินทางมาพุกามสามารถเดินทางด้วยเครื่องบินที่ย่างกุ้งได้ด้วยนะครับ สำหรับผู้มีงบและเวลาน้อย เพื่อประหยัดเวลา มองไกล ๆ เหนือเจดีย์เราจะเห็นเครื่องบินกำลังร่อนลงสู่สนามบินที่พุกามครับ
ทะเลเจดีย์แต่ละช่วงวินาทีของตะวันลับฟ้า ความงามก็แตกต่างกันครับ แสงอาทิตย์ใกล้หมดแล้ว คนทยอยลงกันเกือบหมด ส่วนผมรอให้เขาลงกันไปก่อนขอถ่ายเจดีย์ที่อยู่ไกล ๆ ตอนเปิดไฟก่อนกลับ
วันรุ่งขึ้นเรานัดคนคุมรถม้ามารับไปชมอาทิตย์ขึ้นตอนตีห้าไปที่เดิม โชคไม่เข้าข้าง...เมฆเยอะบังดวงอาทิตย์เห็นแต่แสงตอนเช้าเท่านั้นครับ รีบจัดลืมเอาขาตั้งกล้องไปอีก แอบเซ็ง
คนที่มาชมพระอาทิตย์ขึ้นไม่เยอะเท่ากับตอนที่ผมมาชมพระอาทิตย์ตกเลยครับ สงสัยนอนกันยังไม่ตื่น
ตอนเช้าอากาศที่นี่จะเย็น ๆ สบาย ๆ ความงามของที่นี่แต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกันครับ Shwesandaw Pagoda ยามเช้า
หวาดเสียวคนนี้ตกจริง ๆ แต่มองดูแล้วได้อารมณ์มาก ๆ
วิถีชีวิตของชาวพุกาม
หลังจากไปชมพระอาทิตย์ขึ้นก็กลับไปทานอาหารเช้าที่เกสท์เฮ้าส์ก่อน และทำการเช็กเอาท์ ฝากของไว้ที่เกสท์เฮ้าส์ และจะได้เที่ยวต่อ วันนี้จะไปเจดีย์ชเวสิกองด้วยละครับ
ทางเข้าเจดีย์ชเวสิกองนี้มีของที่ระลึกขายเยอะเลย ผมซื้อมาลัยดอกไม้เพื่อเอาไปสักการะกับคุณยายคนนี้ครับ
เจดีย์ชเวสิกอง Shewezigon Pagoda 1 ใน 5 มหาบูชาสูงสุด เจดีย์สีทองขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าภายในบรรจุพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพุกาม
อย่าลืมมาส่องดูยอดเจดีย์แบบนี้กันนะครับ
สถานที่เกือบทุกที่จะมีเด็ก ๆ หรือผู้ใหญ่มาเสนอขายของพวกของที่ระลึก โปสการ์ด ภาพวาด...ลืมบอกไปบางที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการถ่ายรูปด้วย 300 Kyat แล้วเขาจะให้แท็กติดไว้ในกล้อง
วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ไม่ใช่มีแต่รถม้านะครับ ยังมีวัวเทียมเกวียนที่ยังมีให้เห็นอยู่
วิถีชีวิตที่นี่ยังมีการเลี้ยงแพะด้วยครับ
ไปไหนมาไหนรถต้องเต็มแบบนี้ อันตรายเหมือนกันนะถ้าตกลงมา
วิถีชีวิตที่นี่ยังมีการเลี้ยงแพะด้วยครับ
ไปไหนมาไหนรถต้องเต็มแบบนี้ อันตรายเหมือนกันนะถ้าตกลงมา
เด็กน้อยเมืองพุกาม
เด็กคนนี้น่าจะเป็นน้องชายของคนข้างบนครับ
พระพุทธรูปองค์นี้หน้าตาแปลกผมไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน
เป้าหมายที่ผมตั้งไว้ตั้งแต่เมืองไทยคือเมืองนี่แหละ "พุกาม" ไม่ผิดหวังที่ได้มาเยือนเมืองนี้
เด็กคนนี้น่าจะเป็นน้องชายของคนข้างบนครับ
พระพุทธรูปองค์นี้หน้าตาแปลกผมไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน
เป้าหมายที่ผมตั้งไว้ตั้งแต่เมืองไทยคือเมืองนี่แหละ "พุกาม" ไม่ผิดหวังที่ได้มาเยือนเมืองนี้
หลังจากนั้นผมได้มาชมแม่น้ำอิระวดี แม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวพม่าด้วย ที่เจดีย์ภูพญา (Bupaya Pagoda)
เจดีย์ภูพญา Bupaya Pagoda เป็นเจดีย์ลักษณะดอกบัวตูม วันที่ผมไปมีการบูรณะอยู่ครับ
เด็กน้อยมองอะไรกัน คงมองผู้คนที่กำลังมาจากอีกฝั่ง คุยกันอย่างสนุกสนาน
บ่ายกว่าแล้วท้องเริ่มหิวได้กินอาหารพม่ามื้ออร่อยที่สุดคือที่นี่ครับ แนะนำเลยใกล้กับเจดีย์ภูพญานั่นแหละ มีวิวมองเห็นแม่น้ำด้วย เมนูนี้ คือ ยำมะเขือเทศ อร่อยมาก ๆ (ปกติผมไม่ค่อยชอบมะเขือเทศแต่พอกินจานนี้ สุดยอดครับ)
หลังจากนั้นผมก็สำรวจตลาดยองอูได้ของมาสองสามชิ้น ทานาคา และโสร่ง
บรรยากาศตลาด ผู้คนมากมายมาจับจ่ายใช้สอย
หลังแวะชมตลาดก็ร่ำลาคนคุมม้าที่พาเราเที่ยวสองวัน และกลับไปอาบน้ำที่เกสท์เฮ้าส์เพื่อรอรถกลับ ซึ่งรถทัวร์ผ่านหน้าเกสท์เฮ้าส์ เจ้าหน้าที่ใจดีโทรศัพท์ไปแจ้งให้มารับเพื่อเดินทางกลับไปย่างกุ้ง รถจะแวะที่เดิมเหมือนขาเรามาจากย่างกุ้ง เมื่อถึงย่างกุ้งตอนตีห้าคลาดกับคนขับรถ กุงกุง แต่ก็หากันจนเจอ และเตรียมตัวพร้อมไปอินทร์แขวน และจะแวะเที่ยวบางที่ที่ BAGO ด้วยครับ
ที่แรกที่มาเยือน วัดไจท์คัดไว หรือ ไจท์คะวาย ชมพระหรือเณรนับหลายร้อยรูป ตอนถึงไปถึงสาย ๆ แล้ว พระหรือเณรเหล่านี้กำลังศึกษาธรรมะ ท่องบทสวดมนต์ดังกระหึ่มกันเลยทีเดียวครับ
จากนั้นก็เดินทางไปต่อ Shwe Maw Daw Pagoda (พระมหาเจดีย์ ชเว มอว์ ดอว์ หรือพระธาตุมุเตา) พระเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า เป็นเจดีย์ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชของไทยเคยมาสักการะด้วยครับ
ผู้คนต่างมาสักการะเจดีย์มากมายเหมือนกับทุกที่ที่ผมไป ค่าเข้าชม BAGO คนละ 10 USD ชมได้ทุกที่ของเมืองหงสาวดีเลยครับ
หลังจากที่นี่ผมก็ได้เดินทางไปอินทร์แขวน แต่จะตัดภาพตอนขากลับจากอินทร์แขวนที่มาเที่ยวที่หงสาวดีก่อนจะได้เป็นสัดส่วน วันขากลับเป็นวันหยุดของชาวพม่า คนเยอะมาก ๆ กว่าปกติครับ
พระบาทของ Shwe Thar Lyaing Image (พระนอน ชเว ทาร์ ไลย์)
หลังจากนั้นก็เดินทางไป Kyaik Pon Pagoda (พระพุทธรูปสี่ทิศ) เป็นพระพุทธรูปนั่งสูง 30 เมตร ประดิษฐานอยู่ทั้ง สี่ทิศ แทนพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ในภัทรกัป
อาหารพม่าอีกสักมื้อส่งท้ายก่อนกลับเมืองไทย แต่มันน่าดูน้ำมันเยิ้มเชียว พริกนี้แก้เลี่ยนอาหารพม่าที่มัน ๆ ได้ดีทีเดียวอร่อย ๆ ผมชอบครับ
แต่ก่อนกลับไทย ผมจะพาไปเที่ยวพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งเป็นที่ 1 ใน 5 มหาบูชาสถานศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ของชาวพม่า และชาวไทยศรัทธามากที่หนึ่ง ถ้าพร้อมแล้วไปนมัสการพระธาตุด้วยกันเลยครับ
หลังจากได้ไปนมัสการ Shwe Maw Daw Pagoda (พระมหาเจดีย์ ชเว มอว์ ดอว์หรือพระธาตุมุเตา) ที่หงสาวดี กุงกุง ก็พาเรามาส่งที่คินปูนเบสแคมป์ เพื่อรอนั่งรถบรรทุกไปลานจอดรถด้านบน ซึ่งค่ารถคนละ 1,500 Kyat และต้องเดินเท้าไปต่อที่พักซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับพระธาตุอินทร์ประมาณ 1 ชั่วโมงครับ
รู้สึกว่าจะมีการแบ่งการขึ้นรถสำหรับชาวต่างชาติขึ้นอีกคัน ส่วนชาวพม่าจะเป็นรถส่งถึงหน้าพระธาตุอินทร์แขวนเลยครับ ทางขึ้นเขาก็เหมือนประมาณการนั่งรถขึ้นเขาทางภาคเหนือบ้านเรานี่แหละครับ เลี้ยวไป ๆ เลี้ยวมาโค้งบ้าง หักศอกบ้าง ตอนผมไปได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดตอนรถกระโดดราวกับการนั่งเครื่องเล่นก็มิปานเลยล่ะครับ
ประมาณครึ่งชั่วโมงรถก็พาผมมาถึงลาดจอดรถ เอาละใครฟิตไม่ฟิตตอนเดินขึ้นเขาก็จะได้ยินเสียงหอบกันละที่นี้
ส่วนใครไม่อยากเดินก็มีเสลี่ยงบริการ วันที่ผมไปไม่เห็นมีใครนั่งเลย หรืออาจเป็นเพราะชาวต่างชาติน้อยในช่วงเวลาที่ผมไปถึง
เดินมาได้สักพักเริ่มเหนื่อยแล้ว ฮ่า ๆ ขอพักกินน้ำอ้อยคั้นสด ๆ เพื่อลดความกระหายน้ำเสียหน่อยผมเดาว่าการที่รถบรรทุกไม่ส่งชาวต่างชาติถึงหน้าพระธาตุอินทร์แขวน ก็เพื่อให้เราได้ดูวิถีชีวิตชาวบ้านแถวนั้น และช่วยเหลือซื้อของระหว่างทางที่เราเดินขึ้นเขาก็เป็นไปได้ครับ
มีนายแบบเป็นเจ้าเหมียวตัวหนึ่ง ยืนเก๊กท่าให้ถ่ายพอดี
ระหว่างทางแอบเล่นกับเด็ก ๆ แถวนั้นก็สนุกสนานกันใหญ่ เด็ก ๆ ที่นี่น่ารักครับ
อุดหนุนแตงโมหวาน ๆ ชื่นใจสักชิ้นไหมครับ?
เดินขึ้นเขาแบบนี้เป็นการเที่ยวทำให้เราได้ดูวิถีชีวิตวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ก็ทำให้มีความสุขเหมือนกันนะครับ
ต้องมาจ่ายค่าธรรมเนียมที่นี่ก่อน คนละ 6 USD ครับ จะได้ป้ายคล้องคอว่าเป็นชาวต่างชาติ ป้ายนี่แหละทำให้ผมแยกจากชาวพม่า ซึ่งแม้หน้าตาผมจะคล้ายชาวพม่าก็ตาม คิดแล้วขำผมหน้าตาเหมือนคนพม่าจริง ๆ นะ เพราะ 98% พูดภาษาพม่ากับผม
วันนี้คนเยอะเป็นพิเศษเพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของชาวพม่าด้วยครับ ซึ่งตรงวันออกพรรษาบ้านเราครับ ในวันที่ผมไปคนมานอนที่ลานพระธาตุอินทร์แขวนเต็มเลยครับ
ทางเข้าพระธาตุอินทร์แขวนผู้คนศรัทธามาสักการะเยอะมาก ๆ สมกับเป็น 1 ใน 5 มหาสถานบูชาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของพม่าจริง ๆ ครับ
นี่คือห้องเปลี่ยนชุดกรณีคนนุ่งสั้น ๆ หรืออยากแต่งตัวให้สุภาพ มาเปลี่ยนในห้องนี้ก่อนเข้าไปในพระธาตุอินทร์แขวน
มองเห็นพระธาตุอินทร์แขวนอยู่ไกล ๆ แล้วครับ เดินใกล้ถึงแล้ว
จะนั่งพักชมวิวข้างล่างที่นี่ก็สวยเหมือนกันครับ
คืนนี้จะมีการจุดเทียนบูชาสักการะพระธาตุอินทร์แขวนด้วยล่ะครับ
ถึงแล้วครับ พระธาตุอินแขวน (Kyaik-Hti-Yo) 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพุทธศาสนิกชนชาวพม่า (พระธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปีจอ) พระธาตุอินทร์แขวนเป็นก้อนหินสีทอง อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1200 เมตร เป็นเจดีย์องค์เล็ก สูงเพียง 5.5 เมตร เจดีย์องค์นี้เปิดให้สักการะตลอดคืน ความมหัศจรรย์ของพระธาตุองค์ตั้งอยู่ได้โดยไม่ล้มหรือหล่นลงมา ซึ่งเป็นก้อนหินสีทองวางหมิ่นเหม่บนหน้าผามานานนับพันปี โดยเฉพาะเมื่อมองจากด้านล่างเหมือนลอยอยู่เหนือหน้าผา ราวกับพระอินทร์นำไปแขวนไว้กลางอากาศ นับเป็นอัศจรรย์เจดีย์
นี่น่าจะเป็นพระชั้นผู้ใหญ่เพราะผมสังเกตว่ามีคนคุ้มกันอยู่ใกล้ ๆ ครับ กำลังสวดมนต์อย่างน่าศรัทธาเลยครับ
ผู้คนที่มาสักการะบูชาพระธาตุอินทร์แขวน เริ่มจับจองพื้นที่เพื่อนอนและสวดมนต์ คนเยอะจริง ๆ ครับ
เชื่อกันว่าหากใครมาสักการะครบ 3 ครั้ง คำอธิษฐานและความปรารถนาสูงสุดจะสัมฤทธิ์ผลในชีวิต ส่วนเราเชื่อกันว่าไหว้สามครั้ง ตอนมาถึงตอนค่ำและตอนเช้าก่อนกลับ ก็เหมือนมา 3 ครั้งเช่นกันครับ
วิวรอบ ๆ พระธาตุอินทร์แขวนสวยงามมาก ๆ ครับ
จุดเทียนบูชาสักการะพระธาตุอินทร์แขวนยามค่ำคืนสวยงามมากครับ
พระธาตุอินทร์แขวนยามค่ำคืน...อนุโมทนาสาธุบุญกันทุกคนนะครับ
พระธาตุอินทร์แขวนยามค่ำคืน...อนุโมทนาสาธุบุญกันทุกคนนะครับ
บริเวณนี้ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาได้ครับ แต่รอบ ๆ มีผู้หญิงมาสวดมนต์สักการบูชากันเยอะเช่นกัน
ผู้ชายที่เข้ามาก็มาแปะทองคำเปลวกับองค์พระธาตุ พร้อมกับสวดมนต์ขอพรกับพระอินทร์แขวนครับ
ภาพสุดท้ายแล้วครับ ลาด้วยภาพพระธาตุอินทร์แขวนตอนเช้า ก่อนกลับสักการบูชาครบสามครั้งตามประสงค์ เกิดความสำเร็จของชีวิตอย่างสูงสุด ห้าวันที่ผ่านมาผมได้ใช้ชีวิตในการท่องเที่ยว ได้สัมผัสได้เรียนรู้ความศรัทธา ความเชื่อต่าง ๆ ของชาวพม่า ที่ยังผสมกลมกลืนกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว ได้ไปเกือบจะครบ 5 มหาบูชาสถานศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของพม่า ขาดแต่ "พระมหามัยมุนี" แห่งมัณฑะเลย์เท่านั้น ไว้มีโอกาสต้องไปเยือนให้ได้ครับ และยังมีหลายที่น่าไป เช่น อินเล ฯลฯ
สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตามบันทึกการเดินทางนี้ Myanmar in Memories พม่าจะอยู่ในความทรงจำของดี ๆ ของผมตลอดไปอีกหนึ่งทริป...สวัสดี