เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
หลังจากที่มีรายงานข่าวระะบุว่า การเดินทางไปท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจ สำหรับคนที่มีสัญชาติไทยสามารถเดินทางเข้า "ประเทศตุรกี" ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ซึ่งแต่ละครั้งสามารถท่องเที่ยวในประเทศได้นานถึง 30 วันนั้น เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเริ่มสนใจอยากจะไปท่องเที่ยวประเทศตุรกีกันบ้างแล้ว เพราะฉะนั้น กระปุกท่องเที่ยวเลยนำเอาข้อมูลและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของประเทศนี้มาฝากกันค่ะ...
ตุรกี (Turkey) หรือ สาธารณรัฐตุรกี มี กรุงอังการา เมืองหลวง เป็นประเทศที่มีพรมแดนระหว่างทวีปเอเชียกับยุโรป เนื่องจากส่วนหนึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป (ร้อยละ 3) อีกส่วนหนึ่งอยู่ในเอเชียตะวันตก และทิศเหนือติดทะเลดำ ทิศตะวันออกติดประเทศจอร์เจียและประเทศอาร์เมเนีย ทิศใต้ติดประเทศอิรัก ประเทศซีเรีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดประเทศบัลแกเรียและประเทศกรีซ และมีอากาศร้อนในภูมิภาคทะเลดำ อากาศแบบภาคพื้นทวีปในพื้นที่ตอนใน และแบบเมดิเตอร์เรเนียนตามชายฝั่งทะเลภาคใต้ โดยประชาชนร้อยละ 98 นับถือศาสนาอิสลาม ที่เหลือที่เหลือเป็นคริสเตียนและยิว มีภาษาเตอร์กิชเป็นภาษาราชการ
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในตุรกี มีดังนี้...
ภาพจาก muharremz / Shutterstock.com
สุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque) เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา ที่มีความสวยงามแห่งหนึ่งในประเทศตุรกี อีกทั้งยังเป็นสุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดในตุรกี ชื่อของสุเหร่าได้มาจากกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินที่ใช้ปูตลอดแนวฝาผนังด้านใน และถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นวังของจักรพรรดิไบเซนไทน์ โดยมัสยิดสุลต่านอาห์เมตที่ 1 ค.ศ. 1609 ใช้เวลาสร้างทั้งหมด 7 ปี
สุเหร่าเซนต์โซเฟีย (Saint Sophia) หรือ โบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย ปัจจุบันเป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม ในอดีตเป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์ พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนตินเป็นผู้สร้างเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 13 ใช้เวลาสร้าง 17 ปี เพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ แต่ถูกผู้ก่อการร้ายบุกทำลายเผาเสียวอดวายหลายครั้ง เพราะเกิดการขัดแย้งระหว่างพวกที่นับถือศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม
จนถึงสมัยพระเจ้าจัสตินเนียน มีอำนาจเหนือตุรกี จึงได้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นใหม่ ใช้เวลาสร้างฐานโบสถ์ 20 ปี ตัวโบสถ์ 5 ปี เมื่อประมาณปี ค.ศ 1435 พระองค์ต้องการให้เป็นสิ่งสวยงามที่สุด จึงได้พยายามหาสิ่งของมีค่าต่าง ๆ มาประดับไว้มากมาย สร้างเสร็จได้มีการเฉลิมฉลองกันอย่างมโหฬาร ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวอย่างใหญ่ทำให้แตกร้าวต้องให้ช่างซ่อมจนเรียบร้อยในสภาพเดิม และเมื่อสิ้นสมัยของจักรพรรดิจัสตินเนียน ถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมเม็ดที่ 2 มีอำนาจเหนือตุรกี และเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามได้ดัดแปลงโบสถ์หลังนี้ให้เป็นสุเหร่าอิสลาม แต่ยังคงความงามไว้เช่นเดิม
พระราชวังทอปกาปิ (Topkapi Palace) ที่ประทับของสุลต่านนานกว่า 3 ศตวรรษ สร้างโดยสุลต่านเมห์เม็ตที่ 2 เมื่อปี ค.ศ. 1478 พระองค์ทรงโปรดให้สร้างพระราชวังทอปกาปิขึ้นบนจุดที่สามารถเห็นช่องแคบบอสฟอรัส โกลเด้นฮอร์น และทะเลมาร์มาราได้อย่างชัดเจน, โบสถ์เซนต์ไอรีน (Hagin Irini) หรือ อีแรน เป็นโบสถ์แห่งแรกในอิสตันบลู สร้างในสมัยกษัตริย์คอนสแตนติน
บ้านของพระแม่มารี (House of Virgin Mary) บ้านที่คาดว่าเป็นที่พำนักสุดท้ายของพระแม่มารี ซึ่งปัจจุบันได้รับการบูรณะเป็นบ้านอิฐชั้นเดียว ภายในมีรูปเคารพของพระแม่มารี (ห้ามนักท่องเที่ยวถ่ายรูป) ส่วนด้านนอกมีก๊อกสามก๊อกที่เชื่อว่าเป็นก๊อกน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องสุขภาพ ความร่ำรวย และความรัก ถัดจากก๊อกน้ำเป็นกำแพงอธิษฐาน (Wishing wall) ที่มีราวเหล็กที่เต็มไปด้วยเศษผ้าและกระดาษนับร้อยชิ้น ที่สมัยก่อนคนจะนำผ้าฝ้ายผืนเล็ก ๆ มาผูกไว้แล้วอธิษฐาน
วิหารเทพีอาร์เทมิส (The Temple of Artemis) เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตได้ ซึ่งในอดีตเป็นวิหารสร้างด้วยหินอ่อน เลียนแบบศิลปะแบบกรีกโบราณ สร้างเพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมีสหรือเทพเจ้าอารเตมิซ (เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ของกรีก) ผู้มาจากสวรรค์ ผู้ช่วยชาวเมืองให้พ้นจากหายนะและภัยพิบัติได้
ปามุคคาเล่ หรือ พามุคคาเล (Pamukkale) เป็นเนินเขาสีขาวของหินปูน ความยาวประมาณ 2.7 กิโลเมตร สูง 160 เมตร เกิดจากน้ำพุร้อนที่นำแคลเซียมคาร์บอเนตมาตกตะกอนเป็นทางยาว ซึ่งมีความงดงามมากประดุจหิมะ จนถูกขนานนามว่า “ปราสาทปุยฝ้าย” (Cotton Castle) ทั้งนี้ ปามุคคาเล่ ถูกเลือกให้เป็นมรดกโลกร่วมกับ เฮียราโปลิส (Hierapolis) ซึ่งเป็นเมืองโบราณ ในปี ค.ศ. 1988
ช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus) เป็นช่องแคบที่เชื่อม ทะเลดำ เข้ากับ ทะเลมาร์มาร่า ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 32 กิโลเมตร ความกว้างตั้งแต่ 500 เมตร จนถึง 3 กิโลเมตร ถือว่าสุดขอบของทวีปยุโรป และสุดขอบของทวีปเอเชียมาพบกันที่นี่ นอกจากความสวยงามแล้วช่องแคบบอสฟอรัสยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งในการป้องกันประเทศตุรกีอีกด้วย และในปีค.ศ.1973 มีการเปิดใช้สะพานบอสฟอรัส ซึ่งทำให้เกิดการเดินทางไปมาระหว่างฝั่งเอเชียและยุโรปสะดวกมากขึ้น ขณะล่องเรือท่านจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์สองข้างทาง ซึ่งล้วนแต่สวยงามตระการตาทั้งสิ้น
คัปปาโดเซีย (Cappadocia) มรดกโลกทางธรรมชาติสำคัญที่ยูเนสโกยกย่อง ด้วยความสวยงามแปลกตาของภูมิประเทศ เมื่อประมาณ 3 ล้านปีก่อน ภูเขาไฟเอร์เจียสได้ระเบิดกระแสลาวาออกมาปกคลุมหลายพื้นที่หลายร้อยตาราง ไมล์ ต่อมาพายุ ลม และฝน ได้กัดกร่อนชั้นลาวาเหล่านี้ทีละน้อย จนกลายเป็นหุบเขา ร่องลึก แท่งหิน และกรวยหินขนาดต่าง ๆ และมีการเจาะโพรงหินเป็นโบสถ์ วิหาร และหมู่บ้านที่เจาะเข้าไปในภูเขา บริเวณหุบเขาเซลเว (Zelve) รวมทั้งในปัจจุบันมีการประยุกต์เจาะภูเขาหินเพิ่มเติม เพื่อทำเป็นโรงแรมถ้ำสำหรับนักท่องเที่ยว
อิสตันบูล (Istanbul) เมืองที่มีความสำคัญที่สุดและเป็นเมื่องที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในตุรกี ตั้งอยู่ริมช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus) เดิมชื่อว่า คอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งอิสตันบลูเป็นเมืองเดียวของตุรกีที่มีพื้นที่อยู่ใน 2 ทวีป คือ ทวีปเอเชีย (ฝั่งอนาโตเลียน) และทวีปยุโรป (ฝั่ง Trace ของบอสฟอรัส) โดยทั้ง 2 ทวีป ถูกแบ่งออกจากกันโดยช่องแคบบอสฟอรัส โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เสาโอเบลิสก์แห่งกษัตริย์เธโอโดเชียส หรือพระราชวังโดลมาบาห์เช ฯลฯ
ภาพจาก Alexander Ishchenko / Shutterstock.com
ตลาดสไปซ์ มาร์เกต (Spice Market) หรือตลาดเครื่องเทศ เหมาะสำหรับคนที่อยากไปเลือกซื้อของฝากได้ในราคาย่อมเยาว์ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องประดับ ชา กาแฟ รวมถึงผลไม้อบแห้งอันขึ้นชื่อของตุรกี ซึ่งมีให้เลือกซื้อมากมาย และที่พลาดไม่ได้สำหรับของฝาก ของที่ระลึกสุดฮิตของตุรกี นั่นก็คือ ดวงตาปีศาจ Evil Eye เพราะเป็นความเชื่อของชาวตุรกีว่าจะต้องมีสิ่งนี้ติดตัว ติดบ้านเรือนเพื่อปกป้องจากสิ่งชั่วร้าย
และนี่คือสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศตุรกีที่เราหยิบมาแนะนำกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วที่นี่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวสวยงามอีกมากมาย หากมีโอกาสก็ลองไปเที่ยวกันดูนะจ๊ะ ^^
ทั้งนี้ จากเส้นทางกรุงเทพฯ สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ส ให้บริการเที่ยวบินตรงทุกวัน วันละ 2 เที่ยวบิน ไปอิสตันบูล และผู้โดยสารยังสามารถต่อเที่ยวบินไปเส้นทางบินต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงเส้นทางบินในยุโรป สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2231-0300-7 และเว็บไซต์ www.turkishairlines.com หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สถานเอกอัครราชทูตตุรกีประจำประเทศไทย (The Embassy of the Republic of Turkey) โทรศัพท์ 0-2274-7262-3 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 17.00 น. (วันจันทร์ – ศุกร์) E-mail : tcturkbe@mail.cscoms.com
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
, wonder7th.com, readyholiday.com, และ jidapaenter.com