ชวนมาเที่ยวเชียงราย นอนชิล ๆ บ้านดินอาข่า หมู่บ้านหล่อโย ณ ดอยแม่สลอง มาสัมผัสวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวอาข่า พร้อมนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นสุดงดงาม
เชียงราย จังหวัดเหนือสุดของประเทศไทยที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและป่าไม้ หลายคนดั้นด้นพาตัวเองผ่านโค้งนับร้อยนับพันโค้ง เพื่อขึ้นมาเจอกับภาพความสวยงามของธรรมชาติในอุดมคติ ภาพดอกหญ้า บ้านที่อยู่อาศัย และวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นที่น่ารัก เหมือนกับที่ คุณ check in chill out สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้สัมผัสภาพความงดงามเหล่านี้ตลอดช่วงเวลาของการเข้าพักที่ "บ้านดินอาข่า" ณ หมูบ้านหล่อโย จังหวัดเชียงราย ช่วงเวลาที่คุณเข้าพักที่นี่ คุณจะรู้สึกว่าเหมือนกับว่าเวลาชีวิตเดินช้าลงชั่วขณะ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด พบวิวบรรยากาศรอบหมู่บ้านหล่อโย เรียนรู้วิถีชุมชนชาวอาข่า และนอนหลับฝันหวานในบ้านดิน ท่ามกลางหมู่ดาวนับพัน เหล่านี้เป็นเหมือนภาพในฝันของนักท่องเที่ยวทุกคน ชักเริ่มอยากเห็นแล้วใช่ไหมว่า ภาพในฝันที่ว่าจะสวยงามมากแค่ไหน ? อย่ารอช้าตามไปดูกันเลยค่ะ
กว่าจะชิลมื้อเช้ากันเสร็จ หลังจากคืนแรกในตัวเมืองเชียงราย ที่ ห่ม โฮสเทล (Hohm Hostel) และถนนคนเดิน pantip.com/topic/34536495 ก็บ่ายกว่า ๆ แล้ว เรารีบออกจากในเมือง ปักหมุดแผนที่มุ่งหน้าไปดอยแม่สลอง
จุดหมายปลายทางการเดินทางของเราในครั้งนี้ อยู่ที่ "บ้านดินอาข่า"
หมู่บ้านหล่อโยค่ะ
จากตัวเมืองเชียงรายมุ่งหน้ามาทางแม่จัน เลี้ยวซ้ายเข้าทางแยกดอยแม่สลองไปตามทางคดเคี้ยวที่ค่อย ๆ ไต่ไปตามแนวเขาเรื่อย ๆ อีกประมาณครึ่งชั่วโมงจะมีหมู่บ้านชื่อกิ่วสะไต และป้อมตำรวจตรงทางแยกขวามือ เลี้ยวไปโลด ขับไต่เขาไปต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมงจะมีป้ายทางเข้าบ้านหล่อโยอยู่ด้านซ้ายมือค่ะ
เลี้ยวซ้ายจากทางเข้าหมู่บ้านหล่อโยมาอีกประมาณห้านาที ผ่านหมู่บ้านที่ลูกบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวอาข่า ตั้งเรียงรายอยู่ตามไหล่เขา
สักประมาณห้านาทีก็จะถึงลานดินกว้าง ๆ มีจุดสังเกตคือโบสถ์คริสต์เล็ก ๆ แบบนี้ค่ะ จอดรถชิด ๆ ข้างทางไว้ตรงนี้ได้เลย
ถึงแล้วววววววว บ้านดินอาข่า แห่งดอยแม่สลอง เราหาที่นี่เจอโดยบังเอิญตอนที่เริ่มหาข้อมูลที่เที่ยวเชียงราย ลองเช็กข้อมูลในแฟนเพจ จองห้อง แล้วพุ่งตรงมาเลยค่ะ
วันที่มาอากาศดีมาก แขกห้องอื่นเช็กเอาท์กันไปหมด เหลือแต่เราสองคน ที่นี่เป็นของเราแล้ว อิอิ
คุณดาว หนึ่งในผู้ดูแลที่นี่ เป็นลูกหลานชาวอาข่าที่นี่บอกเราว่าบ้านดินที่นี่เริ่มสร้างมาได้ 8 ปี สร้างมาเรื่อย ๆ ทีละเล็กทีละน้อย ตอนนี้มีห้องพักทั้งหมด 8 ห้อง
ลานตรงนี้เอาไว้รับแขก ทานข้าว พบปะพูดคุย ชมวิว และนอนดูดาวกันค่ะ
แล้วความหิวก็ไม่เคยปรานีใคร เรามาถึงที่นี่ประมาณบ่ายสามกว่า ๆ และยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง เลยสั่งจานนี้มาแก้หิว อากาศเริ่มเย็น ซดน้ำซุปอุ่น ๆ รสชาติดี...ฟินนนนนนนน อ้อ ๆ ต้องบอกนิดหนึ่งเราเป็นพวกกินรสจัด เลยขอพริกน้ำปลามาราด เจอพริกที่นี่เผ็ดจนหายหนาวกันเลย
มีเพื่อนใหม่มาทักทาย ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว นางน่ารัก มาวนเวียนป้วนเปี้ยน คอยอารักขาตลอดช่วงที่เราพัก
ท้องอิ่มแล้วเข้าห้องเก็บกระเป๋ากัน ตรงส่วนนี้เป็นพิพิธภัณฑ์บ้านดินค่ะ เหมือนจะยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์
วัยรุ่นเจ้าถิ่นก็มาทักทายเพียบ
ทางเดินลงไปห้องค่ะ ที่เห็นกำแพงมุมขวาบนนั่นคือห้องพักของเราคืนนี้
ห้องพักตรงนี้มีระเบียงยาวหน้าห้องติดกันค่ะ ในห้องจะเป็นแบบนี้
ไม่มีแอร์ ทีวี พัดลม ตู้เย็น แต่มีน้ำดื่มและผ้าห่มหนา ๆ และพัดลมดูดอากาศ ส่วนประตูขาว ๆ ที่เห็นคือห้องน้ำค่ะ
น้ำเย็นมากกกกกกกกก ทายสิว่าคืนนี้เราจะอาบน้ำก่อนนอนไหม
เก็บของสักพักคุณดาวมาชวนไปเก็บเมล็ดกาแฟที่ปลูกอยู่ตรงเชิงเขาหน้าห้องพักกันค่ะ
ทั้ง ๆ ที่เป็นพื้นที่ไหล่เขา แต่เด็ก ๆ ที่นี่วิ่งขึ้นวิ่งลงทั้งบนต้นไม้ ใต้ต้นไม้กันอย่างคล่องแคล่ว ส่วนเราเหรอต้องค่อย ๆ ไต่ค่ะ
เลือกเก็บแต่เมล็ดสีแดงเข้ม ค่อย ๆ เด็ดทีละเมล็ด เสียดายไม่ได้มีเวลาไปดูกระบวนการที่เหลือ
เพิ่งเคยเห็นดอกกาแฟชัด ๆ ก็วันนี้ สวยดีเหมือนกันนะ ^^
ผีเสื้อเยอะมากกกกกก บินว่อนรอบตัวไปหมด
สนุกสนานไต่เขาเก็บกาแฟกันพักใหญ่แล้ว เรากลับมาเช็กอีเมลกันอีกสักพักในห้อง ที่นี่สัญญาณโทรศัพท์ใช้การได้ปกติค่ะ (DTAC & TRUE) แต่ไม่มี Wi-Fi ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
สักพักคุณดาวมาเรียกไปทานข้าว คืนนี้จะมีแค่เราสองคน ดินเนอร์ใต้แสงดาว อิอิ
วิวจากโต๊ะกินข้าวระหว่างรอมื้อค่ำ ฟินมากกกกกกก
ระหว่างรอดินเนอร์ใต้แสงดาว คุณดาวเอาชาข้าวหอมมาเสิร์ฟให้ได้อบอุ่นร่างกายกันก่อน ชาหอมมาก แก้วชาคือกระบอกไม้ไผ่ ยิ่งทำให้เพิ่มความหอมของชามากขึ้นไปอีก 99.899 เท่า
แล้วดินเนอร์แสนโรแมนติกของเราก็เสร็จเรียบร้อย ยกมาเสิร์ฟร้อน ๆ กันเลยยยยยยยยยยยยยย
มื้อนี้ไม่มีช้อนสเตนเลสหรือสังกะสีนะคะ ใช้ช้อนกระบอกไม้ไผ่เท่านั้น หันองศาดี ๆ ก็จะได้อรรถรสในการกินไปอีกแบบ ข้าวมื้อนี้เป็นข้าวใหม่ค่ะ คุณดาวบอกว่าเพิ่งมีงานบุญฉลองข้าวใหม่ไปเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา ข้าวใหม่คือข้าวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมาใหม่ในฤดูกาลนี้ เมื่อมีแขกมาเยือนที่นี่จะใช้ข้าวใหม่มาต้อนรับแขกเสมอ
มาดูเมนูแบบเรียงตัวกันชัด ๆ ดีกว่าค่ะ เมนูนี้ไม่แน่ใจว่าผักอะไรระหว่างผักโขมกับผักกูด ต้มมาร้อน ๆ ใส่ขิงและพริกสด จืด ๆ หน่อย รสชาติไม่คุ้น แต่เราเป็นมนุษย์ผัก ผักอะไรก็ได้กินได้หมด
เมนูนี้น้ำพริกอาข่า ใส่อะไรบ้างไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีกะปิ และที่สำคัญเผ็ดสะใจเด็กใต้มากกกกกก รสชาติคล้ายน้ำจิ้มแจ่ว หอมกลิ่นพริกสดกับหอมแดงคั่ว กินกับผักสด ๆ อีกกำโต ๆ ฟินกันไป
ถ้วยนี้ถั่วพูผัดกับหมูสับ อร่อยดี แต่มันไปนิด
เมนูนี้ล็อตสุดท้ายสด ๆ จากปล้อง (คุณดาวว่าอย่างนั้น) กรอบ ขาว อวบ เนื้อแน่น ๆ ไม่กลวงเหมือนรถด่วนในเมือง
แกล้มน้ำสีทองแบบนี้ ต้องขอเพิ่มอีกขวดสองขวด คริคริ
นั่งละเลียดฟองเบียร์คลอเคลียแสงดาวกันพักใหญ่ อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ต้องกลับเข้าห้องไปนอนซุกผ้าห่มกันก่อนค่ะ เช้ามืดพรุ่งนี้กะจะตื่นมาถ่ายดาว
ตี 4 แซะร่างตัวเองออกมาจากที่นอน ที่นี่ดาวเยอะมาก เราขึ้นไปถ่ายตรงที่เดิมที่นั่งทานข้าวมื้อค่ำ นี่ขนาดไม่เคยถ่ายและไม่ถนัดถ่ายดาวเลย ยังได้มาขนาดนี้ #ดีใจ ๆ
ใกล้จะหกโมงเช้า แสงอาทิตย์เริ่มมา
นั่งรับพลังอาทิตย์ขึ้นตอนเช้ากันไป จิบชาข้าวหอมที่ขอคุณดาวเอาไว้เมื่อคืนกันไป ตื่นเช้านี่คือกำไรชีวิตจริง ๆ นะ จะติดอยู่แค่อย่างเดียวคือมันไม่ค่อยตื่นนี่แหละ
มีเด็กน้อยวิ่งมาทักทาย ทำหน้าทะเล้นเล่นกล้องเลยจัดมาให้สักรูปสองรูป
เดินตามเด็กน้อยมาในครัว เห็นคุณตากำลังเตรียมอาหารเช้า ต้มน้ำ
ไม่นานอาหารเช้าของเราก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมเสิร์ฟค่ะ
มื้อนี้มีข้าวต้มหมูพร้อมกระเทียมเจียวที่อร่อยที่สุดในสามโลก และต้นหอมผักชีแบบแยกถ้วย คือข้าวต้มก็อร่อยอยู่แล้ว แต่กระเทียมเจียวนี่สิ ต้องขอเพิ่มกันอีกถ้วย มันหอม กรอบ สดใหม่ ได้รสกระเทียมเจียวจริง ๆ มื้อนี้พี่ยอมให้เลย..
กินข้าวเช้ากันแบบละเมียดละไมหมดไปหนึ่งหม้อ เด็ก ๆ ก็ทยอยไปโรงเรียนกันแล้ว เหลือแต่พี่ ๆ ที่ยังนั่งชิลจิบนู่นกินนี่กันอยู่ ที่นี่ชีวิตเดินช้าดีจริง ๆ
เที่ยงวันนี้เราต้องกลับกันแล้ว มาถ่ายรูปเจ้าตัวเล็กกับคุณตาไว้ให้เป็นที่ระลึก
คุณยายผูกข้อมือไว้ให้เป็นที่ระลึกด้วย.. น่ารัก >.<
เสียดายที่มีเวลาที่นี่แค่คืนเดียว ยังไม่ได้มีเวลาทำอย่างอื่นเลย
เอาทางเข้าขากลับมาให้ดูค่ะ รถเล็กเครื่องเบา ๆ ก็เข้ามาได้นะถ้าฝนไม่ตก
มาถึงปากทางกันแล้ว เราเลี้ยวขวาไปดอยแม่สลองกันต่อเลยค่ะ จากตรงนี้ไปอีก 4 กิโลเมตรเท่านั้นเอง
ขับมาไม่เกิน 10 นาที ระหว่างทางขึ้นดอย (ทางมีแอบชัน) เราได้เจอจุดแวะที่ตั้งใจไว้ค่ะ นาทีนี้อยากได้คาเฟอีนอย่างแรงงงงง เลยแวะ ร้านชาหงษ์ฉี จัดกันซะ
ระหว่างรอพี่เค้าเปิดเครื่องทำกาแฟ เดินเล่นรอบ ๆ ร้านกันค่ะ ที่นี่มีพื้นที่โล่ง ๆ ด้านข้างไว้ให้กางเต็นท์กันด้วย อากาศดีมาก เราไปถึงตอนเที่ยงเหมือนจะแดดเปรี้ยงแต่ลมเย็น
ตรงลานด้านหลังมีเมล็ดอะไรตากไว้ก็ไม่รู้ ลืมถามพี่เจ้าของร้าน ใครรู้บอกที...
เครื่องทำกาแฟพร้อมแล้ว แต่ก่อนทำกาแฟพี่แกจัดชาหอม ๆ มาให้ก่อนเลย
ซ้ายคาปูชิโน่ ขวาลาเต้ วาดลาเต้อาร์ตมาเป็นตัวอักษรจีนด้วย
ปั๊มคาเฟอีนเข้าเส้นเลือดกันพอประมาณ เราขับลงทางฝั่งดอยแม่สลองค่ะ ทางชันใช้ได้เลย บางช่วงเป็นทางแคบและมีรถบรรทุก ต้องขับช้า ๆ แต่ก็ชิลกันไปได้เต็มที่ ทริปนี้เป็นอีกทริปที่ค่อนข้างประทับใจเลยค่ะ
ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าดอยแม่สลองชันมาก ไม่อยากขับรถไปเอง แต่พอได้มาแล้วคงไม่มีดอยไหนที่จะไปไม่ได้อีก ได้มาสัมผัสวิถีชีวิตชาวอาข่า ได้นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น ถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันช่วยเติมเต็ม และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอจากชีวิตการทำงานประจำวันได้อย่างดี
ลืมบอกไปเราจองห้องตรงกับทางบ้านดินค่ะ ราคา 1,300 บาท ต่อคืนต่อห้องสำหรับสองคน รวมอาหารมื้อค่ำและมื้อเช้า ส่วนข้าวกะเพราะหมูสับกับเบียร์จ่ายเพิ่มตอนเช็กเอาท์ 200 บาท ขาดตัว รวมแล้ว 1,500 บาท ค่าความสุขที่ความสูงสามพันกว่าฟุตจากระดับน้ำทะเล
สารภาพตามตรงว่าตอนแรกแอบกลัวว่านอนบ้านดินแล้วจะเจอเรื่องอับชื้นหรืออึดอัด แต่บ้านดินที่นี่ไม่มีปัญหาเรื่องพวกนี้ให้เจอเลยค่ะ ช่วงนี้อากาศคงหนาวกว่าตอนที่เราไปมาเมื่อเดือนที่แล้วมากมาย การขับรถขึ้นดอยหากเป็นมือใหม่คงต้องระมัดระวังสักนิด เพราะมีบางช่วงที่เป็นทางชัน
ติดตามทริปชิลที่ผ่าน ๆ มาได้ตามนี้ค่ะ www.facebook.com/checkinnchillout
แล้วมาเจอกันใหม่ตอนที่ 3 ในเชียงราย Must Try นะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ check in chill out สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม, เฟซบุ๊ก Check in Chill out
เชียงราย จังหวัดเหนือสุดของประเทศไทยที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและป่าไม้ หลายคนดั้นด้นพาตัวเองผ่านโค้งนับร้อยนับพันโค้ง เพื่อขึ้นมาเจอกับภาพความสวยงามของธรรมชาติในอุดมคติ ภาพดอกหญ้า บ้านที่อยู่อาศัย และวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นที่น่ารัก เหมือนกับที่ คุณ check in chill out สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้สัมผัสภาพความงดงามเหล่านี้ตลอดช่วงเวลาของการเข้าพักที่ "บ้านดินอาข่า" ณ หมูบ้านหล่อโย จังหวัดเชียงราย ช่วงเวลาที่คุณเข้าพักที่นี่ คุณจะรู้สึกว่าเหมือนกับว่าเวลาชีวิตเดินช้าลงชั่วขณะ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด พบวิวบรรยากาศรอบหมู่บ้านหล่อโย เรียนรู้วิถีชุมชนชาวอาข่า และนอนหลับฝันหวานในบ้านดิน ท่ามกลางหมู่ดาวนับพัน เหล่านี้เป็นเหมือนภาพในฝันของนักท่องเที่ยวทุกคน ชักเริ่มอยากเห็นแล้วใช่ไหมว่า ภาพในฝันที่ว่าจะสวยงามมากแค่ไหน ? อย่ารอช้าตามไปดูกันเลยค่ะ
+++++++++++++++
จากตัวเมืองเชียงรายมุ่งหน้ามาทางแม่จัน เลี้ยวซ้ายเข้าทางแยกดอยแม่สลองไปตามทางคดเคี้ยวที่ค่อย ๆ ไต่ไปตามแนวเขาเรื่อย ๆ อีกประมาณครึ่งชั่วโมงจะมีหมู่บ้านชื่อกิ่วสะไต และป้อมตำรวจตรงทางแยกขวามือ เลี้ยวไปโลด ขับไต่เขาไปต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมงจะมีป้ายทางเข้าบ้านหล่อโยอยู่ด้านซ้ายมือค่ะ
เลี้ยวซ้ายจากทางเข้าหมู่บ้านหล่อโยมาอีกประมาณห้านาที ผ่านหมู่บ้านที่ลูกบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวอาข่า ตั้งเรียงรายอยู่ตามไหล่เขา
สักประมาณห้านาทีก็จะถึงลานดินกว้าง ๆ มีจุดสังเกตคือโบสถ์คริสต์เล็ก ๆ แบบนี้ค่ะ จอดรถชิด ๆ ข้างทางไว้ตรงนี้ได้เลย
ถึงแล้วววววววว บ้านดินอาข่า แห่งดอยแม่สลอง เราหาที่นี่เจอโดยบังเอิญตอนที่เริ่มหาข้อมูลที่เที่ยวเชียงราย ลองเช็กข้อมูลในแฟนเพจ จองห้อง แล้วพุ่งตรงมาเลยค่ะ
วันที่มาอากาศดีมาก แขกห้องอื่นเช็กเอาท์กันไปหมด เหลือแต่เราสองคน ที่นี่เป็นของเราแล้ว อิอิ
คุณดาว หนึ่งในผู้ดูแลที่นี่ เป็นลูกหลานชาวอาข่าที่นี่บอกเราว่าบ้านดินที่นี่เริ่มสร้างมาได้ 8 ปี สร้างมาเรื่อย ๆ ทีละเล็กทีละน้อย ตอนนี้มีห้องพักทั้งหมด 8 ห้อง
ลานตรงนี้เอาไว้รับแขก ทานข้าว พบปะพูดคุย ชมวิว และนอนดูดาวกันค่ะ
แล้วความหิวก็ไม่เคยปรานีใคร เรามาถึงที่นี่ประมาณบ่ายสามกว่า ๆ และยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง เลยสั่งจานนี้มาแก้หิว อากาศเริ่มเย็น ซดน้ำซุปอุ่น ๆ รสชาติดี...ฟินนนนนนนน อ้อ ๆ ต้องบอกนิดหนึ่งเราเป็นพวกกินรสจัด เลยขอพริกน้ำปลามาราด เจอพริกที่นี่เผ็ดจนหายหนาวกันเลย
มีเพื่อนใหม่มาทักทาย ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว นางน่ารัก มาวนเวียนป้วนเปี้ยน คอยอารักขาตลอดช่วงที่เราพัก
ท้องอิ่มแล้วเข้าห้องเก็บกระเป๋ากัน ตรงส่วนนี้เป็นพิพิธภัณฑ์บ้านดินค่ะ เหมือนจะยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์
วัยรุ่นเจ้าถิ่นก็มาทักทายเพียบ
ทางเดินลงไปห้องค่ะ ที่เห็นกำแพงมุมขวาบนนั่นคือห้องพักของเราคืนนี้
ห้องพักตรงนี้มีระเบียงยาวหน้าห้องติดกันค่ะ ในห้องจะเป็นแบบนี้
ไม่มีแอร์ ทีวี พัดลม ตู้เย็น แต่มีน้ำดื่มและผ้าห่มหนา ๆ และพัดลมดูดอากาศ ส่วนประตูขาว ๆ ที่เห็นคือห้องน้ำค่ะ
น้ำเย็นมากกกกกกกกก ทายสิว่าคืนนี้เราจะอาบน้ำก่อนนอนไหม
เก็บของสักพักคุณดาวมาชวนไปเก็บเมล็ดกาแฟที่ปลูกอยู่ตรงเชิงเขาหน้าห้องพักกันค่ะ
ทั้ง ๆ ที่เป็นพื้นที่ไหล่เขา แต่เด็ก ๆ ที่นี่วิ่งขึ้นวิ่งลงทั้งบนต้นไม้ ใต้ต้นไม้กันอย่างคล่องแคล่ว ส่วนเราเหรอต้องค่อย ๆ ไต่ค่ะ
เลือกเก็บแต่เมล็ดสีแดงเข้ม ค่อย ๆ เด็ดทีละเมล็ด เสียดายไม่ได้มีเวลาไปดูกระบวนการที่เหลือ
เพิ่งเคยเห็นดอกกาแฟชัด ๆ ก็วันนี้ สวยดีเหมือนกันนะ ^^
ผีเสื้อเยอะมากกกกกก บินว่อนรอบตัวไปหมด
สนุกสนานไต่เขาเก็บกาแฟกันพักใหญ่แล้ว เรากลับมาเช็กอีเมลกันอีกสักพักในห้อง ที่นี่สัญญาณโทรศัพท์ใช้การได้ปกติค่ะ (DTAC & TRUE) แต่ไม่มี Wi-Fi ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
สักพักคุณดาวมาเรียกไปทานข้าว คืนนี้จะมีแค่เราสองคน ดินเนอร์ใต้แสงดาว อิอิ
วิวจากโต๊ะกินข้าวระหว่างรอมื้อค่ำ ฟินมากกกกกกก
ระหว่างรอดินเนอร์ใต้แสงดาว คุณดาวเอาชาข้าวหอมมาเสิร์ฟให้ได้อบอุ่นร่างกายกันก่อน ชาหอมมาก แก้วชาคือกระบอกไม้ไผ่ ยิ่งทำให้เพิ่มความหอมของชามากขึ้นไปอีก 99.899 เท่า
แล้วดินเนอร์แสนโรแมนติกของเราก็เสร็จเรียบร้อย ยกมาเสิร์ฟร้อน ๆ กันเลยยยยยยยยยยยยยย
มื้อนี้ไม่มีช้อนสเตนเลสหรือสังกะสีนะคะ ใช้ช้อนกระบอกไม้ไผ่เท่านั้น หันองศาดี ๆ ก็จะได้อรรถรสในการกินไปอีกแบบ ข้าวมื้อนี้เป็นข้าวใหม่ค่ะ คุณดาวบอกว่าเพิ่งมีงานบุญฉลองข้าวใหม่ไปเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา ข้าวใหม่คือข้าวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมาใหม่ในฤดูกาลนี้ เมื่อมีแขกมาเยือนที่นี่จะใช้ข้าวใหม่มาต้อนรับแขกเสมอ
มาดูเมนูแบบเรียงตัวกันชัด ๆ ดีกว่าค่ะ เมนูนี้ไม่แน่ใจว่าผักอะไรระหว่างผักโขมกับผักกูด ต้มมาร้อน ๆ ใส่ขิงและพริกสด จืด ๆ หน่อย รสชาติไม่คุ้น แต่เราเป็นมนุษย์ผัก ผักอะไรก็ได้กินได้หมด
เมนูนี้น้ำพริกอาข่า ใส่อะไรบ้างไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีกะปิ และที่สำคัญเผ็ดสะใจเด็กใต้มากกกกกก รสชาติคล้ายน้ำจิ้มแจ่ว หอมกลิ่นพริกสดกับหอมแดงคั่ว กินกับผักสด ๆ อีกกำโต ๆ ฟินกันไป
ถ้วยนี้ถั่วพูผัดกับหมูสับ อร่อยดี แต่มันไปนิด
เมนูนี้ล็อตสุดท้ายสด ๆ จากปล้อง (คุณดาวว่าอย่างนั้น) กรอบ ขาว อวบ เนื้อแน่น ๆ ไม่กลวงเหมือนรถด่วนในเมือง
แกล้มน้ำสีทองแบบนี้ ต้องขอเพิ่มอีกขวดสองขวด คริคริ
นั่งละเลียดฟองเบียร์คลอเคลียแสงดาวกันพักใหญ่ อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ต้องกลับเข้าห้องไปนอนซุกผ้าห่มกันก่อนค่ะ เช้ามืดพรุ่งนี้กะจะตื่นมาถ่ายดาว
ตี 4 แซะร่างตัวเองออกมาจากที่นอน ที่นี่ดาวเยอะมาก เราขึ้นไปถ่ายตรงที่เดิมที่นั่งทานข้าวมื้อค่ำ นี่ขนาดไม่เคยถ่ายและไม่ถนัดถ่ายดาวเลย ยังได้มาขนาดนี้ #ดีใจ ๆ
ใกล้จะหกโมงเช้า แสงอาทิตย์เริ่มมา
นั่งรับพลังอาทิตย์ขึ้นตอนเช้ากันไป จิบชาข้าวหอมที่ขอคุณดาวเอาไว้เมื่อคืนกันไป ตื่นเช้านี่คือกำไรชีวิตจริง ๆ นะ จะติดอยู่แค่อย่างเดียวคือมันไม่ค่อยตื่นนี่แหละ
มีเด็กน้อยวิ่งมาทักทาย ทำหน้าทะเล้นเล่นกล้องเลยจัดมาให้สักรูปสองรูป
เดินตามเด็กน้อยมาในครัว เห็นคุณตากำลังเตรียมอาหารเช้า ต้มน้ำ
ไม่นานอาหารเช้าของเราก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมเสิร์ฟค่ะ
มื้อนี้มีข้าวต้มหมูพร้อมกระเทียมเจียวที่อร่อยที่สุดในสามโลก และต้นหอมผักชีแบบแยกถ้วย คือข้าวต้มก็อร่อยอยู่แล้ว แต่กระเทียมเจียวนี่สิ ต้องขอเพิ่มกันอีกถ้วย มันหอม กรอบ สดใหม่ ได้รสกระเทียมเจียวจริง ๆ มื้อนี้พี่ยอมให้เลย..
กินข้าวเช้ากันแบบละเมียดละไมหมดไปหนึ่งหม้อ เด็ก ๆ ก็ทยอยไปโรงเรียนกันแล้ว เหลือแต่พี่ ๆ ที่ยังนั่งชิลจิบนู่นกินนี่กันอยู่ ที่นี่ชีวิตเดินช้าดีจริง ๆ
เที่ยงวันนี้เราต้องกลับกันแล้ว มาถ่ายรูปเจ้าตัวเล็กกับคุณตาไว้ให้เป็นที่ระลึก
คุณยายผูกข้อมือไว้ให้เป็นที่ระลึกด้วย.. น่ารัก >.<
เสียดายที่มีเวลาที่นี่แค่คืนเดียว ยังไม่ได้มีเวลาทำอย่างอื่นเลย
เอาทางเข้าขากลับมาให้ดูค่ะ รถเล็กเครื่องเบา ๆ ก็เข้ามาได้นะถ้าฝนไม่ตก
มาถึงปากทางกันแล้ว เราเลี้ยวขวาไปดอยแม่สลองกันต่อเลยค่ะ จากตรงนี้ไปอีก 4 กิโลเมตรเท่านั้นเอง
ขับมาไม่เกิน 10 นาที ระหว่างทางขึ้นดอย (ทางมีแอบชัน) เราได้เจอจุดแวะที่ตั้งใจไว้ค่ะ นาทีนี้อยากได้คาเฟอีนอย่างแรงงงงง เลยแวะ ร้านชาหงษ์ฉี จัดกันซะ
ระหว่างรอพี่เค้าเปิดเครื่องทำกาแฟ เดินเล่นรอบ ๆ ร้านกันค่ะ ที่นี่มีพื้นที่โล่ง ๆ ด้านข้างไว้ให้กางเต็นท์กันด้วย อากาศดีมาก เราไปถึงตอนเที่ยงเหมือนจะแดดเปรี้ยงแต่ลมเย็น
ตรงลานด้านหลังมีเมล็ดอะไรตากไว้ก็ไม่รู้ ลืมถามพี่เจ้าของร้าน ใครรู้บอกที...
เครื่องทำกาแฟพร้อมแล้ว แต่ก่อนทำกาแฟพี่แกจัดชาหอม ๆ มาให้ก่อนเลย
ซ้ายคาปูชิโน่ ขวาลาเต้ วาดลาเต้อาร์ตมาเป็นตัวอักษรจีนด้วย
ปั๊มคาเฟอีนเข้าเส้นเลือดกันพอประมาณ เราขับลงทางฝั่งดอยแม่สลองค่ะ ทางชันใช้ได้เลย บางช่วงเป็นทางแคบและมีรถบรรทุก ต้องขับช้า ๆ แต่ก็ชิลกันไปได้เต็มที่ ทริปนี้เป็นอีกทริปที่ค่อนข้างประทับใจเลยค่ะ
ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าดอยแม่สลองชันมาก ไม่อยากขับรถไปเอง แต่พอได้มาแล้วคงไม่มีดอยไหนที่จะไปไม่ได้อีก ได้มาสัมผัสวิถีชีวิตชาวอาข่า ได้นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น ถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันช่วยเติมเต็ม และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอจากชีวิตการทำงานประจำวันได้อย่างดี
ลืมบอกไปเราจองห้องตรงกับทางบ้านดินค่ะ ราคา 1,300 บาท ต่อคืนต่อห้องสำหรับสองคน รวมอาหารมื้อค่ำและมื้อเช้า ส่วนข้าวกะเพราะหมูสับกับเบียร์จ่ายเพิ่มตอนเช็กเอาท์ 200 บาท ขาดตัว รวมแล้ว 1,500 บาท ค่าความสุขที่ความสูงสามพันกว่าฟุตจากระดับน้ำทะเล
สารภาพตามตรงว่าตอนแรกแอบกลัวว่านอนบ้านดินแล้วจะเจอเรื่องอับชื้นหรืออึดอัด แต่บ้านดินที่นี่ไม่มีปัญหาเรื่องพวกนี้ให้เจอเลยค่ะ ช่วงนี้อากาศคงหนาวกว่าตอนที่เราไปมาเมื่อเดือนที่แล้วมากมาย การขับรถขึ้นดอยหากเป็นมือใหม่คงต้องระมัดระวังสักนิด เพราะมีบางช่วงที่เป็นทางชัน
ติดตามทริปชิลที่ผ่าน ๆ มาได้ตามนี้ค่ะ www.facebook.com/checkinnchillout
แล้วมาเจอกันใหม่ตอนที่ 3 ในเชียงราย Must Try นะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ check in chill out สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม, เฟซบุ๊ก Check in Chill out