เที่ยวลำปางกับ 10 สถานที่สุดประทับใจน่าไปสัมผัส

          ลำปาง เดิมชื่อ เขลางค์นคร เป็นเมืองหลวงคู่แฝดกับอาณาจักรหริภุญไชย ซึ่งเจ้าเมืองทั้งสองเป็นโอรสแฝดของพระนางจามเทวี นับเป็นอีกจังหวัดในภาคเหนือที่เป็นแหล่งอารยธรรมล้านนาไทยที่น่าสนใจ ทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ มีวัดวาอารามและสถาปัตยกรรมท้องถิ่น มีรถม้าที่ไม่เหมือนใคร มีอาหารการกินแสนอร่อย มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ทำให้ลำปางกลายเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นของตนเอง เช่น ถ้วยชามตราไก่ ที่เห็นกันจนคุ้นชิน


         ส่วนแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติยังคงความอุดมสมบูรณ์และสวยงาม มีอุทยานแห่งชาติหลายแห่งที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดมากมาย สิ่งเหล่านี้ทำให้จังหวัดลำปางกลายเป็นจุดหมายที่นักเดินทางทั้งหลายต้องแวะเที่ยวชม มิใช่เป็นแค่เมืองผ่านอีกต่อไป และวันนี้กระปุกท่องเที่ยวก็ได้นำเอา 10 ที่เที่ยวลำปาง เมื่อมีโอกาสไปเยือนแล้วไม่ควรพลาดแวะไปสัมผัส โดยเริ่มกันที่

วัดพระธาตุลำปางหลวง
ภาพจาก ownzaa / Shutterstock.com

1. วัดพระธาตุลำปางหลวง


         วัดพระธาตุลำปางหลวง ตั้งอยู่ที่ตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองลำปางมาแต่โบราณ ตามตำนานกล่าวว่า มีมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นวัดไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย งดงามด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย ได้แก่

          พระธาตุลำปางหลวง เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลู ด้วยเริ่มสร้างในปีฉลูและเสร็จในปีฉลูเช่นกัน ฐานเป็นบัวลูกแก้ว ส่วนองค์เป็นทรงกลมแบบล้านนาภายนอกบุด้วยทองจังโก ยอดฉัตรทำด้วยทองคำ มีลายสลักดุนเป็นลวดลายประจำยามแบบต่าง ๆ ลักษณะเจดีย์แบบนี้ได้ส่งอิทธิพลต่อพระธาตุหริภุญไชย และพระบรมธาตุจอมทอง ภายในองค์พระเจดีย์บรรจุพระเกศาและพระอัฐิธาตุจากพระนลาฎข้างขวา พระศอด้านหน้าและด้านหลัง ที่รั้วทองเหลืองรอบองค์พระธาตุมีรูกระสุนปืนที่หนานทิพย์ช้างยิงท้าวมหายศปรากฏอยู่

          วิหารหลวง วิหารขนาดใหญ่ที่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2019 โดย เจ้าหมื่นคำเป๊ก ภายในมีซุ้มปราสาททองเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง ด้านหลังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจ บนแผงไม้คอสองมีภาพจิตรกรรมเก่าแก่งดงามเรื่องทศชาติและพรหมจักร

          วิหารพระพุทธ ไม่ปรากฏว่าสร้างเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง แต่ประมาณอายุไม่ต่ำกว่า 700 ปี เดิมเป็นวิหารเปิดโล่งหน้าบันเป็นลายดอกไม้ติดกระจกสี ภายในประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่เต็มอาคารก่ออิฐถือปูน ศิลปะเชียงแสน และยังปรากฏเงาพระธาตุภายในวิหารอีกด้วย

         เมื่อหันหน้าเข้าหาวิหารหลวง ด้านขวามือ คือ วิหารน้ำแต้ม หรือวิหารภาพเขียนสี (แต้ม แปลว่า ภาพเขียน) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2044 เป็นวิหารเปิดโล่งที่เก่าแก่ที่สุดอีกหลังหนึ่งทางภาคเหนือ คงรูปแบบของสถาปัตยกรรมไทยที่งดงาม ภายในไม่มีฝ้าเพดาน กำแพงด้านพระประธานเขียนภาพลายทองบนพื้นรักแดง มีภาพจิตรกรรมศิลปะล้านนาบนแผงไม้คอสองที่กล่าวกันว่าเก่าแก่ที่สุด และหลงเหลือเพียงแห่งเดียวในเมืองไทย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 ลงมา แต่ปัจจุบันภาพเขียนลบเลือนไปมาก และประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 1.25 เมตร สูง 1.25 เมตร

          ซุ้มพระบาท สร้างครอบพระพุทธบาทไว้ ฐานก่อขึ้นเป็นชั้นคล้ายฐานเจดีย์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 1992 ภายในมองเห็นแสงหักเห ปรากฏเป็นเงาพระธาตุและพระวิหารในด้านมุมกลับ แต่มีข้อห้ามไม่ให้ผู้หญิงขึ้น

          กุฏิพระแก้ว เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างเมื่อใด แต่ประมาณอายุไม่ต่ำกว่า 400 ปี มาแล้ว

          วิหารพระเจ้าศิลา เป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าศิลาซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงละโว้ เมื่อ พ.ศ. 1275 พระบิดาของพระนางจามเทวีมอบให้ประดิษฐานไว้ ณ ที่นี

          พิพิธภัณฑ์ รวบรวมศิลปวัตถุจากที่ต่าง ๆ ที่หาชมได้ยาก เช่น สังเค็ด ธรรมาสน์ คานหาบ ตู้พระไตรปิฎก เป็นต้น

         นอกจากนี้วัดพระธาตุลำปางหลวงยังเป็นที่ประดิษฐาน พระแก้วดอนเต้า (พระแก้วมรกต) พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลำปาง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะล้านนาสลักด้วยหยกสีเขียว มีงานนมัสการพระแก้วดอนเต้าในวันเพ็ญเดือน 12 ของทุกปี

สะพานรัษฎาภิเศก หรือ สะพานขาว
ภาพจาก Take Photo / Shutterstock.com

2. สะพานรัษฎาภิเศก หรือ สะพานขาว


         สะพานรัษฎาภิเศก หรือ สะพานขาว ตั้งอยู่ที่ถนนรัษฎา อำเภอเมือง เจ้าผู้ครองนครเป็นผู้ที่ตั้งชื่อจากพิธีเฉลิมฉลองรัษฎาภิเษกสมัยรัชกาลที่ 5 สะพานรัษฎาเป็นสะพานร่วมสมัยกับยุคอารยธรรมรถไฟมีอายุผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มาแล้ว และรอดพ้นจากการโจมตีทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรมาได้ด้วยการทาสีพรางตา และด้วยการอ้างว่าสะพานแห่งนี้ไม่มีประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของนางลูซี สคาร์ลิง อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนวิชานารี ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกองทัพสัมพันธมิตรในขณะนั้น

         แต่เดิมสะพานรัษฎาภิเศกเป็นสะพานไม้เสริมเหล็กชำรุดผุพัง จึงมีการก่อสร้างใหม่เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2460 เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีความคงทนมากกว่าสะพานรุ่นเดียวกันที่ไม่เหลืออยู่แล้วในปัจจุบัน ที่บริเวณสะพานมีเครื่องหมายไก่ขาวและครุฑหลวงประดับไว้ตรงหัวสะพาน

อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน

3. อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน


         อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อยู่ในอำเภอเมืองปาน เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมสูงและเป็นแหล่งที่ดำเนินงานตามแนวพระราชดำรัส ในการใช้พลังงานน้ำธรรมชาติมาประยุกต์การดำเนินงานอย่างสอดคล้องเป็นประโยชน์

          อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน มีพื้นที่ครอบคลุมอำเภอเมืองปาน อำเภอแจ้ห่มและอำเภอเมืองลำปาง มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร เนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 592 ตารางกิโลเมตร ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 เป็นแนวแบ่งเขตระหว่างลำปางและเชียงใหม่ มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีน้ำตกและบ่อน้ำร้อนอยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ฤดูที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวและมีอากาศเย็นสบาย คือ เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์

         สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในอุทยาน ได้แก่ บ่อน้ำร้อนแจ้ซ้อน เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่มีสภาพการเกิดทางธรณีวิทยา มีกลิ่นกำมะถันอ่อน ๆ จำนวน 9 บ่อ ตั้งอยู่รวมกันในบริเวณพื้นที่ที่ทำการอุทยานประมาณ 3 ไร่ ภายในพื้นที่มีโขดหินน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป และมีไอน้ำลอยกรุ่นขึ้นมาจากบ่อปกคลุมรอบบริเวณ น้ำพุร้อนมีอุณหภูมิเฉลี่ย 73 องศาเซลเซียส เป็นที่นิยมนำไข่ไก่และไข่นกกระทามาแช่ สำหรับไข่ไก่แช่นานประมาณ 17 นาที ไข่แดงจะแข็งมีรสชาติมันอร่อย ส่วนไข่ขาวจะเหลวคล้ายไข่เต่า

         น้ำตกแจ้ซ้อน เป็นน้ำตกที่กำเนิดจากลำน้ำแม่มอญ มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีแอ่งน้ำรองรับอยู่ตลอดสาย ไหลตกลงมาเป็นชั้นๆ มี 6 ชั้น อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน 3 กิโลเมตร มีทางเดินไปสะดวกและสามารถเดินทางจากบ่อน้ำพุร้อนไปถึงน้ำตกได้, น้ำตกแม่มอญ เป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลแรงจากชะง่อนผาสูงลงสู่หุบเหวเบื้องล่าง น้ำจะตกลงมาเป็นชั้น ๆ สวยงาม ไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำ, น้ำตกแม่ขุน มีลักษณะเป็นน้ำตกสายยาว สูงประมาณ 100 เมตร ไหลลงมาบรรจบกับน้ำตกแม่มอญ ต้องเดินทางจากที่ทำการอุทยาน 5 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวควรติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานนำทาง

          ถ้ำผางาม ห่างจากที่ว่าการอำเภอวังเหนือ 8 กิโลเมตร อยู่บริเวณหน่วยพิทักษ์ฯ ที่แจ้ซ้อน 3 (ผางาม) หน่วยนี้อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน 60 กิโลเมตร มีถ้ำที่สามารถเข้าไปศึกษาและท่องเที่ยวได้ เช่น ถ้ำฟ้างาม ถ้ำน้ำ ถ้ำหม้อ เป็นต้น, ชมดอกเสี้ยวบาน ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี ดอกเสี้ยวจะบานเต็มผืนป่า นักท่องเที่ยวสามารถขับรถชมดอกเสี้ยวบานได้ตามเส้นทางแจ้ซ้อน-บ้านป่าเหมี่ยง เป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร, แอ่งน้ำอุ่น อยู่ติดกับบ่อน้ำพุร้อน เป็นแอ่งน้ำที่เกิดจากการไหลมาบรรจบกันของน้ำพุร้อนและน้ำเย็นที่มาจากน้ำตกแจ้ซ้อน ทำให้เกิดเป็นน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิเหมาะแก่การแช่เป็นที่สุด

          ห้องอาบน้ำแร่ มีทั้งห้องอาบแร่ สำหรับ 3-4 คน ห้องรวมแบบตักอาบและบ่อสำหรับแช่อาบกลางแจ้ง น้ำแร่ที่ใช้ต่อท่อโดยตรงมาจากบ่อน้ำพุร้อน มีอุณหภูมิน้ำแร่ประมาณ 39-42 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถใช้แช่อาบได้ ประโยชน์ของการอาบน้ำแร่ คือ ช่วยบำบัดความเมื่อยล้าของร่างกาย ช่วยให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ช่วยรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ เช่น กลาก เกลื้อน ผื่นคัน และยังช่วยบรรเทาอาการของโรคกระดูก แต่น้ำแร่จากที่นี่ไม่สามารถใช้ดื่มได้เพราะมีแร่ธาตุบางชนิดสูงกว่ามาตรฐาน

          นอกจากนี้อุทยานได้จัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติไว้ 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกแจ้ซ้อน ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 1.30 ชั่วโมง ผ่านจุดสื่อความหมาย 24 จุด ผ่านสภาพป่าและพรรณไม้ที่น่าสนใจหลายชนิด รวมถึงอาจพบสัตว์หายาก และเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกแม่เปียก ระยะทางประมาณ 3.7 กิโลเมตร เป็นเส้นทางวงรอบเลียบริมห้วยแม่เปียก ผ่านจุดสื่อความหมาย 19 จุด ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชั่วโมง ตลอดเส้นทางให้ความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศน์

         ทั้งนี้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน โทร. 093 137 5533, 089 851 3355 หรือเว็บ สำนักอุทยานแห่งชาติ


วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

4. วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม


         วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ตั้งอยู่บนถนนสุชาดา ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง เป็นวัดเก่าแก่และสวยงาม มีอายุนับพันปี เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ตั้งแต่ พ.ศ. 1979 เป็นเวลานานถึง 32 ปี เหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่า วัดพระแก้วดอนเต้า มีตำนานกล่าวว่า พระมหาเถระแห่งวัดนี้ได้พบแก้วมรกตในแตงโม (ภาษาเหนือเรียกว่า หมากเต้า) และนำมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป ต่อมาจึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระธาตุลำปางหลวงจนถึงปัจจุบัน

         ปูชนียสถานที่สำคัญในวัดพระแก้วดอนเต้า ได้แก่ องค์พระบรมธาตุดอนเต้า พระเจดีย์องค์ใหญ่ซึ่งบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า, วิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ที่มีอายุเก่าแก่พอ ๆ กับวัดนี้ นอกจากนี้ยังมีวิหารหลวงที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย วิหารพระเจ้าทองทิพย์ สร้างโดยพระนางจามเทวี อายุกว่า 1,000 ปี ประดิษฐานพระเจ้าทองทิพย์ศิลปะสมัยเชียงแสน, มณฑป หรือพญาธาตุศิลปะแบบพม่า วิหารลายคำสุชาดาราม ฝีมือช่างเชียงแสน ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังลวดลายทองงดงาม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเชียงแสน และยังมี พิพิธภัณฑสถานแห่งล้านนา อันเป็นแหล่งรวบรวมศิลปวัตถุแบบล้านนา เช่น สัตภัณฑ์ เครื่องถ้วยกระเบื้อง พระพุทธรูป เป็นต้น

กาดกองต้า
ภาพจาก Toa55 / Shutterstock.com

5. กาดกองต้า


          ถนนคนเดินกาดกองต้า ตั้งอยู่ที่ถนนตลาดเก่า ริมแม่น้ำวัง อำเภอเมืองลำปาง เดิมเป็นย่านชุมชนทางเศรษฐกิจที่มีอายุกว่า 100 ปี เริ่มจากชัยภูมิที่เป็นที่ริมแม่น้ำวัง และต่อมาได้พัฒนาไปเป็นศูนย์กลางการค้าขายและส่งผ่านสินค้าสำคัญของเมืองลำปาง รูปแบบของสถาปัตยกรรมมีความหลากหลายทั้งศิลปะตะวันตก พม่า-ไทใหญ่ และจีน หลัง พ.ศ. 2459 ศูนย์กลางการค้าแห่งนี้ถูกลดบทบาทลงเนื่องจากการตัดผ่านเส้นทางรถไฟสายเหนือที่มาถึงลำปาง ผู้คนในจังหวัดจึงขยายถิ่นฐานไปตั้งอยู่รอบ ๆ สถานีรถไฟ จนเกิดกลายเป็นชุมชนใหม่ที่เรียกว่า "ชุมชนเก๊าจาว" แต่ในปัจจุบันชุมชนแห่งนี้ได้กลับมาเป็นย่านการค้าที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง และคงไว้ซึ่งรูปแบบที่งดงามของสถาปัตยกรรมดั้งเดิม กาดกองต้าจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง สินค้าทำมือ อาหารพื้นบ้าน สินค้าที่ระลึก ลานกิจกรรม เปิดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 17.00-22.00 น.

วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์

6. วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์


         วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ เดิมเรียกว่า "วัดพระพุทธบาทปู่ผาแดง" ตั้งอยู่ที่ อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง ความโดดเด่นของสถานที่แห่งนี้อยู่ที่ ภาพอันงดงามของเจดีย์เล็ก ๆ สีขาว สร้างขึ้นบนภูเขาสูงเฉียดฟ้า และล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูง เป็นภาพดึงดูดทีใครหลายคนอยากที่จะมาเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง ภายในบริเวณวัดด้านล่าง เป็นที่ตั้งของตัว "วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์" เมื่อมาถึงยอดเขาด้านบน จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือฝั่งทางขวาจะได้ขึ้นไปนมัสการองค์พระธาตุ ซึ่งต้องเดินขึ้นบันไดเล็กๆ ชันๆ ขึ้นไป แต่วิวด้านบนนั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง มองเห็นทิวทัศน์ของอำเภอแจ้ห่ม และมองเห็นบริเวณวัดวัดเฉลิมพระเกียรติฯ ที่อยู่ด้านล่างดูสวยงามยิ่งนัก

7. หล่มภูเขียว


         "หล่มภูเขียว" คือสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท มีลักษณะเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่คล้ายปล่องภูเขาไฟตั้งอยู่บนภูเขา สภาพโดยรอบของหล่มภูเขียว มีลักษณะเป็นป่าดิบแล้ง รายล้อมไปด้วยหน้าผาที่เกิดจากภูเขาหินปูน มีความเงียบสงบ และมีสัตว์หลายชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนภายในหลุมหรือแอ่งจะมีแหล่งน้ำที่มีความใส นิ่ง และลึกมากจนไม่สามารถระบุได้ และสามารถมองเห็นพื้นน้ำเป็นสีฟ้าไปจนถึงสีเขียวมรกตได้อีกด้วย แถมยังเป็นที่อยู่อาศัยของปลาหลายชนิด ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดอันซีนที่น่าแวะไปชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติ ที่แอบซ่อนอยู่ได้เป็นอย่างดี  

ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย
ภาพจาก Adam68 / Shutterstock.com

8. ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย


          ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย และสวนป่าทุ่งเกวียน ตั้งอยู่ที่บ้านทุ่งเกวียน ตำบลเวียงตาล อยู่ในความดูแลของอุตสาหกรรมป่าไม้ภาคเหนือ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) แต่เดิม ออป. เป็นศูนย์ฝึกลูกช้างซึ่งเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2512 เป็นสถานที่เลี้ยงและฝึกลูกช้างเพื่อให้เชื่อฟังคำสั่งและมีความชำนาญในการทำไม้ขณะที่แม่ช้างไปทำงานในป่า และเนื่องจากมีนโยบายปิดป่าซึ่งทำให้ช้างต้องว่างงาน ศูนย์ฝึกลูกช้างจึงถูกปรับมาเป็นสถานที่ดูแลช้างแก่และเจ็บป่วย และที่นี่ยังเป็นสถานที่ตั้งของโรงพยาบาลช้างด้วย ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2535 ออป. ได้ก่อตั้งศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยขึ้น และจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ได้แก่

          การแสดงช้างอาบน้ำ ณ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยมีทั้งหมดสองรอบทุก ๆ วัน รอบเช้า 09.45 น. และรอบบ่าย 13.15 น. โดยมีช้างจำนวน 15 เชือก ลงอาบน้ำอย่างพร้อมเพียงกัน หลังจากนั้นช้างทั้งหมดจะถือหางของแต่ละเชือกและเดินทางเข้าสู่ลานแสดง

          การแสดงช้างของศูนย์อนุรักษ์ มี 3 รอบ ได้แก่ รอบแรกเวลา 10.00 น. รอบที่สองเวลา 11.00 น. และรอบสุดท้ายเวลา 13.30 น. โดยใช้ช้าง 15 เชือกในการแสดง และใช้เวลาประมาณ 40 นาที

          กิจกรรมโฮมสเตย์ เป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยเป็นแห่งแรกในเมืองไทยที่นำนักท่องเที่ยวขึ้นขี่บน คอช้าง และสอนให้รู้จักทักษะเบื้องต้นในการขี่ช้าง เช่น เทคนิคการควบคุมช้าง และใช้ภาษาคำสั่งช้าง โดยใช้ช้างจำนวน 12 เชือกในกิจกรรมนี้ ซึ่งเป็นช้างที่มีความฉลาดและนิสัยดี และช้างเหล่านั้นเป็นช้างที่ทำงานเป็นช้างแสดงในการแสดงช้างของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย (ราคาดูได้ที่ thailandelephant.org)

          กิจกรรมขี่ช้างท่องไพรจะเหมือนกับโปรแกรมขี่ช้างแบบโฮมสเตย์ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้รับช้างหนึ่งเชือกต่อหนึ่งคนแต่จะมีความแตกต่าง อย่างแรก คือ กิจกรรมเดินป่าจะใช้ช้างจำนวน 12 เชือก ซึ่งช้างเหล่านั้นจะทำหน้าที่เป็นช้างที่ให้บริการนั่งช้างชมธรรมชาติ สองกิจกรรมเดินป่านักท่องเที่ยวจะหัดฝึกขี่ช้างในพื้นที่ของโรงเรียนฝึกควาญช้าง ซึ่งอยู่ทางใต้ของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ซึ่งอยู่คนละส่วนกับการแสดงช้างและโฮมสเตย์และนักท่องเที่ยวทั่วไป (ราคาดูได้ที่ thailandelephant.org)

อัตราค่าธรรมเนียมค่าเข้าชมการแสดงช้าง


อัตราค่าบริการชมการแสดงช้าง

          นักท่องเที่ยวชาวไทย ผู้ใหญ่ อัตรา 100 บาท/คน (พร้อมค่านั่ง 25 บาท) เด็ก (สูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร) อัตรา 50 บาท/คน (พร้อมค่านั่ง 10 บาท)

          นักท่องเที่ยวต่างชาติ ผู้ใหญ่ อัตรา 200 บาท/คน เด็ก (สูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร) อัตรา 150 บาท/คน

อัตราค่าบริการนั่งช้างชมธรรมชาติ

    
          10 นาที 100 บาท (ต่อช้างหนึ่งเชือกนั่งได้สองคน) สำหรับต่างชาติ 200 บาท

          30 นาที 500 บาท (ต่อช้างหนึ่งเชือกนั่งได้สองคน) ราคานี้สำหรับทั้งคนไทยและต่างชาติ

         ทั้งนี้ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย โทรศัพท์ 0 5482 9333 หรือเว็บไซต์ www.thailandelephant.org

9. เหมืองแม่เมาะ


          เหมืองแม่เมาะ หรือเหมืองลิกไนต์ เป็นแหล่งถ่านหินซึ่งค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2460 มีปริมาณถึง 630 ล้านตัน และมีอายุประมาณ 40 ล้านปี พื้นที่เหมืองทั้งหมดเป็นของกรมป่าไม้ มีประมาณ 20,000 ไร่ สามารถใช้ได้อีกประมาณ 50 ปี บริเวณเหมืองมีโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินชนิดนี้เป็นเชื้อเพลิงตั้งอยู่หลายโรง

          สถานที่ท่องเที่ยวบริเวณรอบเหมือนแม่เมาะ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ศูนย์ถ่านหินลิกไนต์ศึกษา (เหมืองแม่เมาะ) ซึ่งให้ความรู้ทางธรณีวิทยาบริเวณเหมืองแม่เมาะ รวมทั้งประวัติความเป็นมาของเหมืองและเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้า นำเสนอผ่านภาพยนตร์ 3 มิติและเทคโนโลยีที่ทันสมัย

         สวนพฤกษชาติ เป็นพื้นที่ที่ได้รับการปรับปรุงจากที่ทิ้งดินให้กลายเป็นสวนสาธารณะประดับด้วยพรรณไม้สวยงาม ภายในสวนยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 ผู้ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้สงวนแหล่งถ่านหินที่แม่เมาะ, จุดชมวิวและทุ่งบัวตอง เป็นภูเขาเทียมที่เกิดจากการนำดินในบ่อเหมืองมากองเก็บไว้ โดยบนยอดดอยมีสวนเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษาที่มีทิวทัศน์อันสวยงาม อีกทั้งจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพอันร่มรื่นและทุ่งบัวตองซึ่งบานในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม และลานสไลเดอร์ เป็นลานพื้นหญ้าที่เทลาดลงสู่บริเวณสนามกอล์ฟ อยู่บริเวณหน้าอาคารจุดชมวิวของสวนพฤกษชาติ นักท่องเที่ยวสามารถนำกล่องหรือแผ่นรองสไลด์ลงตามลานพื้นหญ้า ซึ่งเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด สามารถเช่าแผ่นรองลื่นได้บริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์

         ทั้งนี้สอบถามได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์โรงไฟฟ้าแม่เมาะ โทร. 054 254 051-4 ดูรายละเอียดได้ที่ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ

ชมเมืองลำปางบนรถม้า

10. ชมเมืองลำปางบนรถม้า


         นับเป็นเวลาย้อนหลังไปช่วง 80 ปีที่แล้ว สมัยของเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิตซึ่งตรงกับสมัยรัชกาล ที่ 5 การคมนาคมขนส่งทางรถยนต์ยังพัฒนาไม่ถึงนครลำปาง รถม้าเป็นพาหนะชนิดเดียวที่ได้รับความนิยมในการเดินทางสูงสุดและสามารถใช้บรรทุกของหรือสินค้า รถม้าคันแรกได้ถูกซื้อมาจากกรุงเทพฯ ขณะนั้นทางกรุงเทพฯ มีรถยนต์ใช้มากขึ้น บทบาทของรถม้าลากในกรุงเทพฯ จึงลดลงรถม้าจึงได้ถูกนำมาใช้ที่นครลำปาง และยังได้กระจายไปสู่เมืองหลักของภาคต่าง ๆ แต่ด้วยเหตุใดไม่ปรากฏผู้ประกอบการรถม้าในเมืองดังกล่าวจึงเลิกกิจการไป คงเหลือแต่เฉพาะจังหวัดลำปางแห่งเดียว ที่ยังคงใช้รถม้าอยู่ตราบจนกระทั่งวันนี้

และอีกหนึ่งที่ที่พลาดไม่ได้...

วัดพระธาตุเสด็จ


วัดพระธาตุเสด็จ
ภาพจาก ownzaa / Shutterstock.com

         ตั้งอยู่ที่บ้านเสด็จ ตำบลเสด็จ อีกหนึ่งโบราณสถานขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของจังหวัดลำปาง ชื่อว่าวัดพระธาตุนั้นมีที่มาว่าเป็นวัดที่มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ ในจังหวัดลำปางมีเพียง 2 วัด คือวัดพระธาตุลำปางหลวง และวัดพระธาตุเสด็จ มีตำนานกล่าวว่าวัดนี้สร้างขึ้นในสมัยพระนางจามเทวี อุโบสถและวิหารต่างๆ เช่น วิหารสุวรรณโคมคำ (วิหารพระพุทธ) วิหารจามเทวี ซึ่งเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ ได้รับการบูรณะใหม่ทั้งหมดแต่ยังคงสภาพศิลปะโบราณให้เห็นได้อยู่จนปัจจุบัน กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นโบราณสถานของชาติแล้ว ปูชนียสถานที่สำคัญคือ องค์พระธาตุเสด็จ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นเจดีย์แบบล้านนา ลักษณะคล้ายพระธาตุลำปางหลวงแต่องค์เล็กกว่า ใครที่ที่ไปเที่ยวลำปาง ต่างจะต้องเดินทางมาที่นี่เพื่อสักการะองค์พระธาตุเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

         และนี่เป็นเพียง 10 สถานที่ท่องเที่ยวลำปางที่เราหยิบมาแนะนำกัน จริง ๆ แล้ว ลำปางยังมีสถานที่ท่องเที่ยวให้ไปเยี่ยมชมอยู่อีกมากมาย เอาเป็นว่าหากมีโอกาสก็ลองแวะไปสัมผัสกันดูนะจ๊ะ

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยฯ จังหวัดลำปาง และ สำนักงานท่องเที่ยวจังหวัดลำปาง

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เที่ยวลำปางกับ 10 สถานที่สุดประทับใจน่าไปสัมผัส อัปเดตล่าสุด 5 เมษายน 2567 เวลา 15:36:28 780,245 อ่าน
TOP
x close