เที่ยวคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น หนึ่งในจังหวัดชื่อดังแห่งภูมิภาคคิวชู พร้อมเสน่ห์มัดใจนักท่องเที่ยวทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งสายธรรมชาติ สายกิจกรรม และสายวัฒนธรรม เที่ยวบ่อยแค่ไหนก็ไม่มีเบื่อ
เมื่อใดก็ตามที่เราเอ่ยถึง
“จังหวัดคุมาโมโตะ” ภาพของเจ้าหมีสีดำแก้มแดง ที่ชื่อว่า “คุมะมง” กลายเป็นภาพจำเข้ามาในหัวทุกครั้งที่นึกถึงจังหวัดนี้ ณ ปัจจุบันเราจึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ากระแสความนิยมของเจ้าหมีคุมะมง ได้ปลุกกระแสการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดคุมาโมโตะ ที่ไม่เพียงประทับใจกับแหล่งท่องเที่ยวเพียงเท่านั้น หากแต่ยังหลงเอ็นดูหน้าตาทะเล้นและขี้เล่นของคุมะมงเข้าอย่างไม่รู้ตัว
จังหวัดคุมาโมโตะ เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของภูมิภาคคิวชู ทั้งยังเป็นจังหวัดที่มากมายด้วยไฮไลต์สถานที่ท่องเที่ยว ตั้งแต่ทัศนียภาพสวยงามของธรรมชาติอย่างภูเขาอะโสะ มาพร้อมกับกิจกรรมมัน ๆ เอาใจสายแอดเวนเจอร์ ตลอดจนซึมซับมรดกทางวัฒนธรรมอย่างการแต่งชุดกิโมโน ทั้งหมดนี้...นำพาให้เราและบล๊อกเกอร์จากเว็บไซต์
ลาพักเที่ยวออกเดินทางค้นหาเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ในคุมาโมโตะ ถ้าใครพร้อมแล้ว ออกเดินทางไปพร้อมกับเราได้เลย
เยือนภูเขาอะโสะ (Mount Aso) กับธรรมชาติแห่งท้องทุ่ง
ว่ากันว่า...ภูเขาอะโสะ ถือเป็นพระเอกของสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติส่วนใหญ่หมายมั่นปั้นมือเมื่อมาเที่ยวคุมาโมโตะ ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่นี่กลายเป็นเสียงยืนยันบอกเล่าถึงความคุ้มค่า จนอยากพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งว่า จะจริงอย่างที่เขาว่ากันไว้หรือเปล่า !?
หากจะแนะนำวิธีเที่ยวภูเขาอะโสะรวมถึงรอบ ๆ ตัวเมืองอะโสะอย่างคุ้มค่าแล้วนั้น วิธีที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นการเช่ารถ นอกจากจะเป็นการซื้อเวลาแล้ว ยังสะดวกรวดเร็ว และมีความคล่องตัว เพราะถ้าจะใช้บริการสาธารณะ อาจจะค่อนข้างยากอยู่เสียหน่อย หรือถ้าใครขับรถไม่เป็น ก็สามารถลองมองหาทัวร์ภูเขาอะโสะ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากมาเที่ยวเช่นกัน
ทุ่งหญ้าสีเหลืองทอง วิวสองข้างทางที่ไม่อาจละสายตาได้เลย
ทันทีที่รถเคลื่อนตัวไปตามเส้นทาง Milk Road นั่นเป็นวินาทีที่เราได้ประจักษ์แบบทันทีทันใด ภาพของทุ่งหญ้าสีเหลืองทอง ขึ้นประดับตามสองข้างทางถนนคล้ายกับเป็นพรมผืนใหญ่ ที่เหมือนมีใครมาจงใจอวด เพื่อให้ผู้มาเยือนต่างตะลึงในความสวยงาม โอบล้อมด้วยภูเขาลูกน้อยใหญ่ ตั้งวางสลับซับซ้อน ทำให้ภาพความสวยงามตรงหน้าแลดูมีมิติขึ้นอย่างประหลาด รถที่เรานั่งพาเราเคลื่อนตัวไปตามถนนเส้นนั้นต่อไป ขณะเดียวกันก็มิอาจต้านทานหัวใจให้ไม่หลงรักได้แม้เพียงวินาทีเดียวเลยจริง ๆ
นอกจากทัศนียภาพความสวยงามสองข้างทาง ที่ทำเอาเราต้องอึ้งและทึ่งทุก ๆ เสี้ยววินาทีแล้ว ที่นี่ยังมีจุดชมวิวกระจายอยู่มากมาย เพื่อให้คุณเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความสวยงามให้เอ่อล้นมากยิ่งขึ้นไปอีก หากจะให้แนะนำจุดชมวิวของภูเขาอะโสะสักจุด ต้องที่
“Nishi Yunoura Obseratory” (พิกัด Google Maps ) จุดชมวิวที่จะพาคุณดำดิ่งไปกับภูเขาอะโสะเบื้องหน้า ควันจากปากปล่องภูเขาไฟบอกให้รู้ว่า ภูเขาอะโสะยังคงสภาพภูเขาไฟที่คุกรุ่นและรอการปะทุ หากความอันตรายนั้นก็มิอาจบดบังความสวยงามอันเป็นบริวารล้อมรอบภูเขาอะโสะได้ แม้ตารางพื้นที่เดียว
Nishi Yunoura Obseratory จุดชมวิวที่คุณไม่ควรพลาด !
นอกจากจากการดื่มด่ำธรรมชาติที่ไม่อาจประเมินค่าได้แล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมเอาใจนักท่องเที่ยวสายลุยอีกด้วย กับกิจกรรม Adventure Truck เปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวภูเขาอะโสะ ในแบบฉบับของความตื่นเต้น ความสนุก และความเร้าใจ แบบที่คุณเองก็คาดไม่ถึง
กิจกรรม Adventure Truck หนึ่งในกิจกรรมสุดมันเมื่อมาเที่ยวภูเขาอะโสะ
รถ Truck จัดเตรียมไว้ตรงหน้าเสร็จสรรพ ล้อที่มีลักษณะตีนตะขาบถี่ยิบ พอจะทำให้เราคาดเดาเส้นทางได้เลา ๆ ว่า น่าจะต้องเจอกับความหฤโหดอยู่ไม่น้อย และก็เป็นจริงตามคาด ไม่นานที่เครื่องสตาร์ต มาพร้อมกับการโยกคลอนของรถอย่างเป็นจังหวะ รถก็พาเราค่อย ๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นไปยังเนินเขาพร้อมกับเส้นทางวิบาก นั่งพลางก็คิดไปพลางว่า
“รถคันนี้จะพาเราไปที่ไหนกันแน่นะ” ไม่นานเครื่องยนต์ก็ดับ เราค่อย ๆ วางเท้าก้าวลงพื้นอย่างระวังตัว เพราะยังคงไม่ชินกับอาการคล้ายโลกทั้งใบเขย่าก่อนหน้า แล้วต้องร้อง
“ว้าว !” ออกมากับภาพวิวทุ่งหญ้า Kusasenri สีเหลืองทองกินอาณาเขตกว้างสุดลูกตาซ้ายและขวา จนแทบมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด (สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ aso.ne.jp)
วิวทุ่งหญ้า Kusasenri บอกเลยว่าสวยเหนือคำบรรยายจริง ๆ
ที่นี่ยังมีกิจกรรมนั่งเฮลิคอปเตอร์ชมวิวอีกด้วย !
ณ วินาทีนี้ ความยิ่งใหญ่อย่างไร้ข้อกังขาของภูเขาอะโสะ มอบบทเรียนความคิดทิ้งท้ายไว้ให้กับเรา ความอหังการและความทะนงตนของมนุษย์ที่คิดว่าตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ นำมาซึ่งอำนาจกำหนดความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งบนโลก ดูจะเป็นเรื่องที่สูญเปล่าและไร้สาระในบัดดล เพราะเมื่อใดก็ตามที่ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งดับสูญไป หากภูเขาอะโสะจะยังคงยิ่งใหญ่และตั้งตระหง่านเหนือกาลเวลาอย่างแท้จริง
ปั่นจักรยาน ชมวิว ยลพระอาทิตย์ตกดิน ณ หมู่บ้านในหุบเขา Aso
ไม่เพียงแต่อุทยานแห่งชาติอะโสะ-คูจุ (Aso Kuju National Park) ที่นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมกับทัศนียภาพของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ หากบริเวณโดยรอบอุทยานเองก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ก่อนอื่นแนะนำว่า ถ้ามาเที่ยวภูเขาอะโสะ ให้ลองมองหาบ้านที่ใกล้ ๆ กับตัวอุทยานดู ซึ่งแน่นอนว่ามีที่พักให้เลือกหลากหลาย ครั้งนี้เรามีโอกาสได้เข้าพักที่
Yumeoi-so (
Google Maps)
บรรยากาศความเงียบสงบรอบ ๆ หมู่บ้าน
และหากว่าคุณยังไม่อ่อนล้าจากการตระเวนชมความสวยงามของภูเขาอะโสะจนหมดแรงไปเสียก่อน ที่นี่มีบริการเช่าจักรยานให้นักท่องเที่ยวเอาไว้บริหารน่อง ทั้งยังเพลิดเพลินไปกับวิถีชีวิตท้องถิ่นของชาวบ้านแบบใกล้ชิด สองขาปั่นอย่างแข็งขัน แข่งกับเวลาที่พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าอยู่ไกล ๆ สองตาสอดส่ายมองบ้านเรือนแต่ละหลัง แล้วก็ให้ความรู้สึกเสมือนว่าเรากำลังเป็นตัวการ์ตูนสักเรื่องของญี่ปุ่น ที่กำลังปั่นจักรยานกลับบ้าน หลังจากออกไปเล่นนอกบ้านกับเพื่อนจนเย็นย่ำ เราเคยเห็นในการ์ตูนเป็นอย่างไร ภาพความจริงแทบจะไม่แตกต่างเลยสักนิดเดียว
หากจะแตกต่างก็ตรงบรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบเชียบ ปราศจากแสงสีฉูดฉาดเร้าใจ ชาวบ้านที่นี่ยังคงสภาพวิถีชีวิตเรียบง่าย ระหว่างทางเราก็ยังเห็นคุณป้า คุณยาย กำลังง่วนอยู่กับกิจกรรมตรงหน้า จนเมื่อขี่เข้าไปใกล้ ๆ จึงเงยหน้าส่งยิ้มทักทายกันอย่างเป็นมิตร
ด้วยความไม่คุ้นชินเส้นทาง เราใช้สัญชาตญาณขับเคลื่อนวงโซ่จักรยานล้วน ๆ ลัดเลาะเข้าตรอกนั้น ออกตรอกนี้อย่างสนุกสนาน รู้ตัวอีกทีตะวันค่อย ๆ เริ่มจะอ่อนแรงแสง เรามีโอกาสได้โบกมือร่ำลาทันเวลาพอดี แสงสีส้มฉายส่องกระทบสะท้อนผืนน้ำราวกระจกบานใหญ่ ความเงียบสงัดยามสนธยาราวกับเวลาหยุดเคลื่อนไหว ภาพความงามตรงหน้ากลายเป็นรางวัลชิ้นโบแดง ที่ธรรมชาติได้มอบให้กับเราก่อนลาจากกัน และพบกันใหม่ยามรุ่งอรุณ
แสงพระอาทิตย์ยามอัสดงกับความสวยงามเบื้องหน้า
ใส่ชุดยูกาตะถ่ายรูปเล่นที่ Suizenji Park
หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดคุมาโมโตะ ก็คือ สวนซุยเซนจิ (Suizenji Park) เป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นขนานแท้ มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยว แต่จะมาเดินเล่นกินลมชมวิวเฉย ๆ (ค่าเข้าคนละ 400 เยน) เดี๋ยวจะดูจืดชืดจนเกินไป ถ้าใครไม่เคอะเขินที่จะใส่ชุดกิโมโนแล้วละก็ ที่นี่มีร้านให้นักท่องเที่ยวได้เช่าชุดกิโมโนสวย ๆ พร้อมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ครบครัน เผื่อว่าใครมาเที่ยวแล้วอยากจะเซตเสื้อผ้า หน้า ผม ให้เข้ากับบรรยากาศดูเสียหน่อย ก็ไม่ว่ากัน
ชุดยูกาตะหลากหลายแบบให้เลือก
ชุดกิโมโนหลากหลายสีสันแขวนเรียงไว้ให้เลือกอย่างละลานตา เลือกได้เสร็จสรรพ พนักงานจัดการจับแต่งองค์ ทั้งชุด ทั้งผม ไม่ให้มีหลุดคอนเซ็ปต์ ไม่นานเราก็กลายร่างเป็นสาวญี่ปุ่นดูอ่อนช้อยละมุนละไมขึ้นทันตา เดินไปก็เขินไป เพราะยังไม่ชินกับสายตาของนักท่องเที่ยวทั้งจากชาวญี่ปุ่นและต่างชาติ ที่จ้องมองเราด้วยความเอ็นดู
เราก้าวเดินอย่างเหนียมอาย กลัวว่าจะเผลอทำกิริยากระโดกกระเดกใต้ชุดกิโมโนที่สวยงามนี้ เดินเตาะแตะ ๆ เข้ามาในสวน นอกจากต้นไม้สีเขียวร่มรื่นแล้วเรายังสังเกตเห็นสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นได้ถูกย่อส่วนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ภูเขาไฟฟูจิ ทะเสสาบบิวะ ศาลาไม้ และศาลาหิน ไม่เพียงเท่านั้น ยังเพลิดเพลินไปกับเหล่านกกระเรียน หงส์ และปลา ที่เข้ามาสร้างสีสันให้สวนแห่งนี้แลดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีศาลเจ้าและเสาสีแดงตั้งวางเรียงเป็นทางยาว เป็นอีกหนึ่งมุมที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูป ยิ่งช่วงเช้า ๆ ที่แสงตกกระทบเสาเป็นเงาพาดผ่านไปตามเสาแต่ละต้น แลดูสวยอย่างประหลาด จนทำเอาเราอยู่ถ่ายรูปจุดนี้กันจนเพลิน เลยพาลมโนไปว่ากำลังสวมบทบาทสมมติเป็นสาวญี่ปุ่นแสนงาม เข้ามาเดินเล่นชมสวนภายในวังของตัวเอง “แหม ! สวนในวังของข้าช่างงามเสียจริง” ทันใดก็ต้องตื่นจากภวังค์ เพราะถึงเวลาเปลี่ยนองค์คืนชุด กลับสู่ร่างสามัญชนตามเดิม
นั่ง Kumamoto Ferry ให้อาหารนกนางนวล
การท่องเที่ยวเมืองคุมาโมโตะโดยรถบัสเพียงอย่างเดียว อาจจะดูเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับบางคนอยู่เสียหน่อย ถ้าเกิดลองเปลี่ยนบรรยากาศการเดินทางด้วยเรือเฟอร์รี่ที่ท่าเรือคุมาโมโตะ น่าจะกระตุ้นให้อะดรีนาลินหลั่งดีใช่เล่น และยังทุ่นเวลาการเดินทางทางบกเพื่อข้ามไปเที่ยวต่อที่ชิมาบาระ จังหวัดนางาซากิ อีกต่อหนึ่งได้เลย
สำหรับการเดินทางด้วยเรือเฟอร์รี่ก็แสนจะสะดวกสบาย ใครที่ซื้อตั๋วโดยสารเสร็จสรรพเรียบร้อย (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ kumamotoferry.co.jp) เช็กเวลาเที่ยวเรือให้เรียบร้อย พอถึงเวลาก็เดินขึ้นเรือไปสวย ๆ โดยใช้ระยะเวลาเดินทางจากท่าเรือคุมาโมโตะสู่ชิมาบาระ ประมาณ 30 นาที ภายในห้องพักโดยสารเรียกได้ว่าโอ่โถง มีที่นั่งไว้บริการแบ่งเป็นโซนต่าง ๆ รวมถึงยังมีบาร์สำหรับขายขนม เครื่องดื่ม และของที่ระลึกน่ารัก ๆ ให้แวะเวียนเยี่ยม ๆ มอง ๆ
จะที่นั่งหรืออาหาร ก็มีพร้อมบริการให้เสร็จสรรพ
เมื่อเรือแล่นออกสู่ผืนน้ำกว้าง ผู้โดยสารบางคนเริ่มเยื้องย่างขึ้นไปยังชั้นบนของตัวเรือ หากสำหรับเราแล้วนั้นเกิดอาการสองจิตสองใจ เพราะถ้าขึ้นไปชั้นบน นั่นแปลว่าคุณจะต้องเต็มใจเอาตัวเข้าปะทะสายลมของฤดูหนาว แค่นึกถึงก็เกือบพาใจท้อ แต่มาถึงทั้งที ก็ขอตักตวงประสบการณ์ให้คุ้ม ไม่รอช้า ก้าวขึ้นบันไดทีละก้าว เปิดประตูหน้าด่านสุดท้ายที่ทำหน้าที่กั้นความยะเยือกของลมเอาไว้ เมื่อผละออก เราเห็นกลุ่มคนประมาณไม่เกิน 10 คน ที่บ้างออกมาชมธรรมชาติ และบ้างก็กำลังให้อาหารนกนางนวลกันเพลิน ๆ เป็นการฆ่าเวลา
ฝูงนกนางนวลบินมาใกล้มาก ๆ
ฝูงนกนางนวลพยายามออกแรงบินต้านกระแสลม เพื่อใช้จะงอยปากคาบข้าวเกรียบที่อยู่ในมือนักท่องเที่ยวอย่างเป็นธรรมชาติ บางตัวที่ต้านกระแสลมไม่ไหว ก็มีอันต้องพลาดเป้าหมายไปอย่างน่าเสียดาย หากแต่โอกาสเป็นของผู้ชนะเสมอ นกนางนวลตัวเดิมตั้งหลัก ออกแรงทั้งหมดเล็งจับเป้าหมาย และสุดท้ายก็โฉบข้าวเกรียบไปกินเข้าจนได้ เจ้านกพวกนี้ดูจะคุ้นเคยกับคนและอาหารเป็นอย่างดี ไม่ต้องคิดบินไปหาอาหารที่อื่นไกล ๆ บินวนเวียนอยู่แถวท้ายเรือ ก็ประทังชีวิตได้หนึ่งวันสบาย ๆ
นักท่องเที่ยวต่างออกมาให้อาหารกันจนเพลิน
สำหรับใครที่ไม่สู้อากาศหนาว ก็ขอนั่งมองวิวจากในเรือ มองน้ำทะเลขึ้น-ลง สลับกับวิวของภูเขาไฟอุนเซน (Mount Unzen) เป็นฉากหลัง เป็นความรู้สึกแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ถ้าไม่ได้นั่งเรือเฟอร์รี่มา คงจะไม่มีวันสัมผัสความรู้สึกสุดเอ็กซ์คลูซีฟเช่นนี้ เราเดินไปเดินมาสำรวจดูนั่นดูนี่อยู่ไม่กี่อึดใจ ก็ได้เวลาที่เรือเข้าเทียบท่า ฝูงนกนางนวลเหมือนรู้ว่าอาหารจากเรือเที่ยวนี้ได้หมดลง ก็พลันสยายปีกบินกลับไป อันเป็นช่วงเวลาที่เรือเกือบจอดถึงท่าพอดี คล้ายเหมือนทำหน้าที่เจ้าบ้านส่งผู้โดยสารทุกคนให้ถึงฝั่งอย่างปลอดภัยโดยสมบูรณ์
“คุมาโมโตะ” ในวันนี้ จึงเป็นมากกว่าแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของญี่ปุ่น หากแต่นักท่องเที่ยวจะได้เติมเต็มช่วงเวลาแห่งความสุขและความสนุกไปกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เพลิดเพลินกับธรรมชาติยิ่งใหญ่ มากมายด้วยกิจกรรม และสัมผัสรากเหง้าวัฒนธรรมดั้งเดิม เหล่านี้เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของคุมาโมโตะ ลองใครมาเจอเข้ากับตัว จะหลงรักแบบไม่ทันตั้งตัว สุดท้ายขอขอบคุณกรมการขนส่งคิวชู และจังหวัดคุมาโมโตะ ที่สนับสนุนการเดินทางตลอดจนอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เป็นอย่างดี ^ ^