เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง 4 วัน 3 คืน บอกเล่าเรื่องราว วิถีชีวิตผู้คน และความสวยงามของญี่ปุ่นผ่านภาพถ่ายสวย ๆ เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์เที่ยวญี่ปุ่นในมุมที่คุณอาจไม่เคยสัมผัสมาก่อน
"ญี่ปุ่น" ประเทศในฝันของใครหลายคน จริง ๆ แล้วการเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องยากนะคะ เพียงแค่คุณศึกษาและทำการบ้านให้ดี ๆ เราว่าน่าจะเป็นทริปท่องเที่ยวที่สนุกอีกทริปหนึ่งเลยทีเดียว เหมือนกับทริปเที่ยวญี่ปุ่นของ คุณ Aman Photographer สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่นำบันทึกการเดินทางมาบอกเล่าความประทับใจผ่านภาพถ่ายสวย ๆ ในการเที่ยวญี่ปุ่นตลอด 4 วัน 3 คืน ให้เราได้ชมกัน ทำให้ได้เห็นมุมมองและวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่น ที่ดูน่าเที่ยว น่าถ่ายรูปไปเสียทุกมุม จนอยากจะเก็บกระเป๋าขอลาหยุดไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเดี๋ยวนี้เลย อ๊ะ ๆ อย่ารอช้าตาม คุณ Aman Photographer ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันดีกว่า
++++++++++++++
... ภาพเล่าเรื่อง ... << ญี่ปุ่น >> .:: ผู้คน วิว อาหาร การเดินทาง ::.สวัสดีครับพี่น้องชาวพันทิปทุกท่าน วันนี้ผมจะมาแบ่งปันและแชร์ประสบการณ์ที่ได้เดินทางไปญี่ปุ่นด้วยตนเองครั้งแรก เรื่องการรีวิวหรือการเรียบเรียงคำอาจจะยังไม่ค่อยถนัดเท่าไรนะครับ ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยนะครับ
กระทู้นี้ผมเขียนขึ้นมาเพื่ออาจจะเป็นประโยชน์หรือเป็นแนวทางให้กับมือใหม่ที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกแบบผมครับ ส่วนตัวผมเองก็หาข้อมูลรีวิวต่าง ๆ จากในพันทิปและก็เว็บต่าง ๆ ด้วยครับ โดยหลัก ๆ จะเป็นการเล่าเรื่องแบบเน้นภาพซะส่วนใหญ่นะครับ เพราะชอบถ่ายภาพ ฮ่า ๆ
เอาล่ะมาเริ่มกันเลย ทริปนี้เราไปกัน 4 คน เดินทางวันที่ 25 มกราคม 2561 ถึง 28 มกราคม 2561 เราเลือกช่วงนี้เพราะว่าอากาศหนาวกำลังดี มีหิมะที่ส่วนตัวอยากสัมผัสมานานแล้ว ที่พักเราเลือกที่ Ueno Tokyo ทั้ง 3 คืนเลยครับ เวลาไปไหนก็รถไฟ รถบัส เอาแล้วกัน
มาถึงเรื่องการเตรียมตัวครับ
1. Passport หรือหนังสือเดินทางของตัวเอง (ก็ต้องของตัวเองสิ - -) อายุหนังสือเดินทางต้องมากกว่า 6 เดือน ก่อนหมดอายุนะครับ
2. เรื่องการจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ผมจองตั๋วของสายการบิน Air Asia X จองล่วงหน้าก่อนเดินทางประมาณวันที่ 23 กันยายน 2560 ก็ถือว่าจองล่วงหน้าไม่นานมาก ประมาณ 4-5 เดือนก่อนเดินทาง ราคาตั๋วตกคนละประมาณ 11,600 บาท รวมประกันครับ ไม่ได้ซื้อราคาโหลดกระเป๋านะครับ ซึ่งสามารถแบบน้ำหนักขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 7 กิโลกรัม ได้ขาไป XJ606 เวลา 11.00 น. และขากลับ XJ607 เวลา 19.00 น. บินตรงจากสนามบินดอนเมืองถึงสนามบินนาริตะ
3. ที่พัก เราจองผ่าน Agoda ครับ จองโรงแรมที่เลือกและตกลงกันคือ โรงแรมนิวโทโฮคุ (Hotel New Tohoku) ตรงนี้ทำเลดีครับ ใกล้กับสถานีรถไฟ Ueno และ Keisei Skyliner เดินทางสะดวก ได้ราคาคืนละ 1,6781.76 บาท 3 คืนก็ 5,741.45 บาท รวมเซอร์วิสชาร์จ 10% ภาษี 8%
4. แผนการเดินทาง (คร่าว ๆ) ก็มีไป Kawaguchiko – Shinjuku – Takaragawa Onsen Minakami Gunma – Shibuya – Harajuku ส่วนเพิ่มเติมไปไหนค่อยไปคิดกันอีกที
5. แลกเงิน ผมแลกเงินที่ ธนิยะสปิริต เรตประมาณ 0.28-0.29 โดยประมาณครับ โดยทริปนี้ผมแลกไปแค่ 14,000 บาท ตีเป็นเงินเยนประมาณ 48,050¥ เยนครับ ก็หวังเล็ก ๆ ในใจว่าจะพอ 5555
6. สภาพอากาศ แน่นอนเลือกไปช่วงหน้าหนาวก็ต้องมีเสื้อโค้ทหรือเสื้อกันหนาวหนา ๆ แน่นอนครับ
7. และสุดท้ายสำคัญที่สุดคือ Wi-Fi ครับ ผมเลือกใช้ Sim 2 Fly ของ Ais 12call ความเร็วอินเทอร์เน็ต Non-Stop เต็มสปีด 4GB นาน 8 วัน ราคา 399 บาท (นี่พิมพ์มาจากปกซิมเลยนะ) และอย่าลืมเปิด Data Roaming ด้วยนะ
ป.ล. อย่าลืมเอกสารนะครับ ถ่ายเอกสารเตรียมไว้เลยพวกโรงแรมที่จอง สถานที่ไปคร่าว ๆ เผื่อ ตม. ขอตรวจครับ
มาเริ่มเดินทางกันดีกว่า
Day 1
วันแรกผมเดินทางมาถึง Terminal1 สนามบินดอนเมืองประมาณ 08.30 น. บินไฟลท์ 11.00 น. โดยประมาณ เพื่อมารอเช็กอิน (จริง ๆ เช็กผ่านเว็บมาแล้ว) ล่วงหน้าก่อนประมาณ 2 ชั่วโมง
ขึ้นเครื่องปุ๊บแอร์สาวสวยก็จะให้เรากรอกใบ ตม. ตั้งแต่บนเครื่องเลย รายละเอียดละเอียดมากกกกก ลองหา ๆ วิธีกรอกในกระทู้อื่นดูนะครับ
นั่งเครื่อง 6 ชั่วโมง ผ่านสภาพอากาศที่ดี ได้แสงเย็น ๆ มาบ้าง
จนมาถึงสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น เวลาประมาณ 5 โมงเย็นครับ อากาศบอกเลยว่าแค่ในสนามบิน ก็ 0 องศา แล้วจ้า
จุดแรกที่เรามาถึงเลยคือเราต้องไปซื้อตั๋วรถไฟไปที่พักที่ผมจองไว้ครับ นั่นก็คือเราต้องเลือกไปลงที่ Ueno Station นั่นเอง โดยเลือกใช้บริการของ Keisei Skyliner แต่เลือกซื้อของ Sky Access (สีส้ม) ในราคา 1,260¥
ซื้อตั๋วเสร็จ เราก็เดินตามทางสายสีส้มไปรอรถไฟกัน
ยืนรอสักแป๊บหนึ่งรถไฟที่เราซื้อตั๋วไว้ก็มา
สัมผัสแรกในการขึ้นรถไฟที่ญี่ปุ่นก็ตื่นเต้นนะครับ ขึ้นมาก็เลือกที่นั่ง ถ่ายรูปนู่นนี่นั่นไปเรื่อย
นั่งรถไฟประมาณ 40 หรือ 50 นาที นี่แหละ (ลืมเวลา ฮ่า ๆ) ก็มาถึงสถานี Ueno ครับ สัมผัสแรกที่มาถึงขอบอกเลยว่าหนาวมากกกกกก อากาศประมาณ -2 องศา ผมก็เปิด Google Maps จับที่โรงแรมที่เราพักเลยครับ ระหว่างนั้นหนาว ๆ ก็ถ่ายรูปเมืองเค้าไปเรื่อย
จากสถานี Ueno ไปที่ โรงแรม New Tohoku ประมาณ 8-900 เมตร เดินประมาณ 9-10 นาที ก็มาถึงที่โรงแรมแล้วครับ
ขอถ่ายหน้าโรงแรมตอนกลางวันมาให้เห็นนะครับ ตอนกลางคืนลืมถ่ายไว้ หน้าตาเป็นแบบนี้
คุณลุงเจ้าของที่พักใจดีและน่ารักมากครับ พูดภาษาอังกฤษพอได้นิดหน่อย ก็ให้เราขึ้นมาพักที่ชั้น 2 ของโรงแรม ห้องก็เป็นแบบนี้เล็ก ๆ กะทัดรัดตามสไตล์ญี่ปุ่น
เมื่อถึงห้องจัดการตัวเองเรียบร้อย ก็ออกไปหาร้านอาหารแถวที่พักนั้นแหละครับกิน เลือกกันอยู่หลายร้าน สุดท้ายก็มาจบที่ร้าน Isomaru Suisan Ameyoko จัดหนักเลยครับ วิธีการสั่งอาหารของร้านนี้ก็จะเป็นแท็บเล็ตเลือกอาหารที่เราต้องการครับ มีหลากหลายชนิด จนได้เมนูที่เราต้องการมานั่นก็คือกระดองปูย่าง ปลาหมึกกระทะร้อน ปลาชิมะฮอกเกะย่าง ข้าวผัด ข้าวกับมิโสะร้อน ๆ และคราฟท์เบียร์ญี่ปุ่นเย็น ๆ
ราคาอาหารทั้งหมดก็ 6400¥ กินเสร็จแล้วเราก็เข้าที่พัก พร้อมจะลุยต่อในวันพรุ่งนี้ ... Oyasuminasai ฝันดีครับ
Day 2
เช้าแรกและวันที่ 2 ในญี่ปุ่น ตื่นขึ้นมาด้วยอากาศที่โคตรหนาววววว อาบน้ำเตรียมความพร้อมในการเดินทางวันนี้ แพลนวันนี้คือเราจะไป Kawaguchiko กัน เนื่องจากว่าเรามาเที่ยวกันวันธรรมดา เช้านี้คนญี่ปุ่นจะค่อนข้างเยอะพอสมควร
เดินสักพักหนึ่งเราก็มาถึงที่ Ueno Station ขั้นตอนแรกเราต้องไปซื้อตั๋วรถไฟก่อนเลยครับ โดยผมเลือกใช้บริการของ JR Tokyo Wide Pass บัตรรถไฟราคา 10,000¥ แบบใช้ได้ 3 วันครับ ซึ่งเราสามารถนั่ง Shinkansen และรถไฟ JR ซึ่งเราจะนั่งกี่รอบก็ได้ บัตรนี้ผมว่าคุ้มนะ สำหรับคนที่จะไปเที่ยวรอบ ๆ โตเกียวหรือเมืองรอบ ๆ โตเกียว
เมื่อซื้อตั๋วเสร็จเราก็เดินตามเส้นสีเขียว รถไฟสายสีเขียวไปครับ
ขึ้นรถไฟจาก Ueno ไปลง Shinjuku ประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็มาลงรถไฟที่สถานี Otsuki เพื่อ ต่อรถไฟไป Kawaguchiko โดยเดินตามป้ายไปขึ้นรถไฟน่ารัก ๆ Fujikyu Railway
นี่ไงหน้าตาเจ้ารถไฟ Fujikyu Railway
นั่งรถไฟมาสักพักใหญ่เราก็เริ่มเห็นยอดฟูจิซังแล้ว
แค่มองจากบนรถก็สวยงามสมคำร่ำลือจริง ๆ ครับ นั่งมาอีกสักพักเราก็มาถึงที่สถานี Mt.Fuji เพื่อส่งคนลง จากนั้นรถไฟก็ถอยหลังยาว ๆ แล้วก็มาถึงสถานีปลายทางของเราแล้ว นั่นก็คือสถานี Kawaguchiko
ลงจากรถไฟเราก็ไปซื้อตั๋วรถบัส Kawaguchiko-Saiko Sightseeing Bus เป็นบัตรนั่งรถเรโทรบัส เราสามารถนั่งได้รอบทะเลสาบเลย จะมีป้ายที่ลงทั้งหมด 21 ป้าย โดยที่ผมลงป้ายสุดท้ายเลยครับ ระหว่างทางก็จะเห็นภูเขาไฟฟูจิตลอด
ครั้งแรกที่ได้มาเห็นถูเขาไฟฟูจิ มันสุดยอดนะ สวยงามมาก ๆ อากาศก็หนาวมาก ๆ เช่นกัน ไปชมกันครับ
อากาศดีมากจนต้องซื้อเบียร์มานั่งกินกับสาว ๆ อย่างฟูจิซังเลยครับ
ก่อนจากฟูจิซังไปก็ไม่รู้จะได้มีโอกาสมาอีกเมื่อไหร่ งั้นขอถ่ายรูปคู่กันหน่อยนะ ^^
หลังจากไปชมความสวยงามของฟูจิแล้ว ผมก็เดินทางไปต่อที่ Shinjuku ต่อเลยครับ โดยนั่งรถไฟสายเดิมนั่นแหละ ถึงชินจูกุแล้ว เมืองนี่คนเยอะมาก ๆ
มาถึงแล้วก็หาของกินก่อนเลยครับหิวมาก ก็เลยไปเจอร้านข้าวร้านหนึ่ง แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา เลยขออนุญาตตามหาร้านโดยใช้ Google Street View ตามหาแล้วแคปหน้าจอมาให้ดูครับ เมนูมื้อนี้เป็นข้าวหน้าเนื้อกับเบียร์ Kirin แก้เหนื่อย อิอิ
ออกจากร้านข้าวหน้าเนื้อก็เดินเล่นสักพักใหญ่ เกิดอาการหิวอีกแล้ว เลยเข้าร้านซูชิต่อเลย 5555 ร้านนี้ชื่อร้าน Sushi Mamire ครับ เซตนี้ก็ประมาณ 2,000-3,000¥ โดยประมาณ
หมดวันที่ 2 ด้วยความเหนื่อยล้า หนาว และอิ่ม ผมก็เดินทางกลับที่พักจากชินจูกุไปอูเอโนะ โดยรถไฟสาย JR เหมือนเดิม
Day 3
เช้าวันที่ 3 ในญี่ปุ่น อุณหภูมิประมาณ -1 องศา วันนี้ผมมีโปรแกรมเดินทางไปที่ Takaragawa Onsen, Gunma โดยนั่งรถไฟ Shinkansen ครั้งแรกในชีวิต (ตื่นเต้น) การเดินทางก็ใช้บัตร JR Tokyo Wide Pass ครับ โดยนั่ง shinkansen ผมขึ้นจาก Ueno ไปลงที่ สถานี Jomokogen
ระหว่างก็ถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ไปเรื่อย
ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ หรือ 2 ชั่วโมงนี่แหละ ผมก็มาถึงที่สถานี Jomokogen
จากนั้นเราก็ไปซื้อตั๋วรถบัสที่ Tourist Information เป็นตั๋ว Minakami Area Pass ครับ ใช้ได้ 3 วัน ราคา 2,000¥ หรือเราจะซื้อเป็นราคารวมแช่ออนเซ็นได้เลยครับ หรือจะไปซื้อที่นู่นเลยก็ได้
เมื่อได้ตั๋วรถแล้วเราก็มารอรถที่ป้าย Bus 1 ครับ เพื่อขึ้นรถบัสไปลงที่ Minakami และจากสถานี Minakami มาที่ Takaragawa onsen ประมาณ 45-50 นาที
ระหว่างทางหิมะปกคลุมทุกพื้นที่ไปหมดเลยครับ ขาวไปหมด อากาศประมาณ -3 องศา
ยอมรับตรง ๆ เลยครับว่าการมาที่นี่นั้น ผมต้องการมาแค่ถ่ายรูปแค่นั้นครับ เพราะผมแช่ onsen ไม่ได้ เนื่องจากมีรอยสัก ก็เลยมาถ่ายรูปและกินอาหารนั่งดูวิวไปเรื่อย 5555
อาหารที่สั่งมาก็หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ จำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร แต่อร่อยมาก ๆ ราคาเซตนี้ก็ 2,000¥ ครับ
ก่อนจากบรรยากาศแบบนี้ไป ก็ขอถ่ายรูปคู่ด้วยสักหน่อย ไว้เป็นความทรงจำดี ๆ ที่ได้มา
หลังจากชิล ๆ อยู่ในเมืองหิมะได้ 2-3 ชั่วโมง ผมก็เดินทางต่อไปที่ เมืองที่ใคร ๆ ต้องมา นั่นก็คือ Shibuya นั่นเอง
เดินทางมาถึง Shibuya แล้ว โอ้โห ! สิ่งที่เห็น นี่หรือคนทำไมคนมันโคตรเยอะเลย และก็ถ่ายรูป Landmark ของ Shibuya ไว้เป็นที่ระทึก
5 แยกในตำนาน
เดินเล่นสักพักก็เริ่มหิว แล้วก็เจอร้านหนึ่งมาตามรีวิวครับ เป็นร้านเนื้อชื่อว่า Han no Daidokoro Kadochika Restaurant เป็นร้านอันดับต้น ๆ ใน Shinuya เลย ร้านอยู่บนตึก Dogenzaka ชั้น 4 ครับ ออกจากลิฟต์ก็เข้าร้านเลย
สมแล้วครับที่เป็นร้านแนะนำอันดับต้น ๆ ของ Tripadvisor อร่อยมาก ๆ เกิดมาก็พึ่งเคยกินเนื้อวากิว Yamagata Kobe Beef ที่อร่อยแบบนี้ครั้งแรกเหมือนกันนะ ราคามื้อนี้ก็อยู่ที่ 16,000¥ ครับ เพราะอร่อยจึงบอกต่อ ... หลังจากอิ่มท้องก็เดินเล่นกันต่อเลย ถ่ายรูปช้อปปิ้งไปเรื่อย และก็ขอจบวันนี้ด้วยรูปถ่ายนะครับ
ทริปวันที่ 3 ก็จบไป ถือว่าคุ้มค่าและประทับใจมาก ๆ ครับ นอนพักผ่อนเอาแรงพร้อมเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้
Day 4 … Last Day
วันสุดท้ายที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่น ตื่นเช้ามาด้วยความหิวโหย เพราะใช้พลังงานเยอะในวันที่ 3 เราเลยมาเจอร้านหนึ่งกำลังมีคนต่อแถวอยู่ไม่เยอะ เลยเลือกร้านนี้ละ
ร้านนี้มีชื่อว่าร้าน 牛かつ もと村 Gyukatsu motomura เป็นร้าน ร้านเล็ก ๆ ในตรอกตรงข้ามกับ Ueno Park คิวยาวจนคนต่อแถวรอเลยนะ พึ่งเคยกินเนื้อย่างแบบนี้ครั้งแรกแปลกดี วิธีการกินก็ย่างบนเตาแผ่นไม้แล้วจิ้มวาซาบิกับซอสบ้าง เซตนี้ละ 1,400¥ เพราะอร่อยจึงบอกต่อ
วิธีการกินก็มี ฮ่า ๆ
หลังจากอิ่มหนำสำราญ เราก็เดินเล่นตลาด Ameyoko สักแป๊บ แล้วก็ขึ้นรถไฟเดินทางต่อไปที่ Harajuku
โดยใช้ JR Pass เหมือนเดิม นั่งจากสถานี Ueno ไปลงที่ สถานี Harajuku
ถึงสถานี Harajuku สิ่งแรกที่เห็นก็คือถ้าในฐานะช่างภาพ เฮ้ย !!! นี่มันแหล่ง Portrait ชัด ๆ แหล่งที่สาว ๆ หนุ่ม ๆ แต่งตัวกันจี๊ดจ๊าดมาก ๆ สมดั่งคำที่คนไทยเอามาเพี้ยนคำเลยว่า ฮาราจุ๊กกรู้ววว 5555
ที่นี่เอาจริง ๆ แล้วถ่ายรูปไม่เบื่อเลยนะ พวกที่มาด้วยกันก็แยกกันไปซื้อของ ส่วนตัวผมเองก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อย ดูวิถีชีวิต ผู้คน
ช่วงนี้ก็ไม่มีอะไรบรรยายนะครับ ชมรูปกันไปเพลินเพลินกันนะครับ
เดินเล่นจนเสร็จแล้วเราก็เตรียมตัวกลับกันครับ อุ้ย ! ลืมบอกไปว่าเรา Check Out ที่โรงแรมตอนก่อนออกมากินข้าวเช้าแล้วนะครับ โดยของเราฝากที่โรงแรมไว้ได้ครับผม
ออกจาก Harajuku ประมาณบ่าย ๆ มาถึง Ueno เพื่อซื้อของก่อนกลับประเทศไทยกันต่อครับ โดยไฟลท์บินของเราประมาณ 1 ทุ่มตรง
ขากลับนี้เราเลือกเดินทางจาก Ueno ไปสนามบินนาริตะ โดยใช้บริการของ Keisei Sky Liner ราคา 2,470¥ ที่ราคาแพงกว่าตอนมาเพราะว่าเป็นแบบรถไฟเร็วครับ
มาถึงสนามบินนาริตะเพื่อขึ้นเครื่องบินกลับประเทศไทยในเวลา 19.00 น. เดินทางถึงสนามบินดอนเมืองประมาณตี 2 ของไทยครับ
จบการเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นของผมแล้วครับ ก็หวังว่าการเดินทางนี้อาจจะเป็นประโยชน์หรือเป็นแนวทางพอให้กับใครได้บ้างนะครับ
ส่วนค่าใช้จ่ายที่แลกมา 48,050¥ นั่น หมดเกลี้ยงจ้าาา 555
ผิดพลาดประการใด หรือผมอธิบายงง ๆ ก็ต้องขออภัยไว้ด้วยนะครับ แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางครั้งหน้าครับ
ฝากวิดีโอสั้น ๆ ด้วยนะครับ 5555
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Aman Photographer สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม