เที่ยวดอยอินทนนท์ เชียงใหม่ ยลธรรมชาติสวยงามทั้งขุนเขา ทุ่งนา และวิถีเกษตรแบบพอเพียง นับเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวสุดยอดในดวงใจของใครหลายคน
เป็นประจำทุกปลายปี ถึงคราวที่ลมหนาวพัดมาเยือนทีไร ภาคเหนือดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่เที่ยวหน้าหนาว อันดับต้น ๆ ที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ
ด้วยบรรยากาศการท่องเที่ยวชวนน่าหลงใหล อากาศเย็นสบาย ทะเลหมอกสวย ๆ
ชวนให้นักท่องเที่ยวไปสัมผัสสุด ๆ
แต่ถ้าจะพูดถึงที่ที่นักท่องเที่ยวทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น
อยากจะไปสัมผัสให้ได้สักครั้ง "ดอยอินทนนท์" ก็น่าจะเป็นหนึ่งในลิสต์อันดับต้น ๆ
ที่ไม่ว่าคุณจะรักการเที่ยวแบบชิลหรือแบบลุย
ธรรมชาติที่นี่ก็อ้าแขนรอต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างพวกเราเสมอ
ถึงแม้ว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนึกถึงความสวยงามของดอยอินทนนท์ช่วงหน้าหนาว และมองข้ามดอยอินทนนท์ในช่วงหน้าฝนไป เพราะเห็นว่าเป็นช่วง Low Season แต่ใครจะรู้เลยว่าช่วงรอยต่อฤดูอย่างปลายฝนต้นหนาว แม้ว่าไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว แต่เป็นฤดูที่ป่าเชียงใหม่เขียวที่สุด ชุ่มฉ่ำที่สุด เพราะรับน้ำฝนอย่างเต็มที่ เราจึงเห็นนาข้าวขั้นบันไดสีเขียวกว้างสุดลูกหูลูกตา แถมคนก็เที่ยวน้อย นี่แหละจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะกับการตักตวงความสุขกลับบ้าน
โปรแกรมเที่ยวดอยอินทนนท์ใน 1 วัน สามารถเที่ยวได้ดังนี้
- พระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ
- ชมฝูงแกะ (งานปศุสัตว์) ณ หน่วยวิจัยผาตั้ง
- ชมต้นกาแฟประวัติศาสตร์ ณ บ้านหนองหล่ม
- ชมนาข้าวขั้นบันได ณ บ้านผาหมอน
- ชมรูบาร์บและชมแปลงไร่สตรอว์เบอร์รี
- ชมการเลี้ยงปลาสเตอร์เจี้ยนและปลาเทราต์ ณ สถานีวิจัยประมงที่สูง
- เก็บผักไฮโดรโปนิกส์ผลิตผลจากโครงการหลวง
(*** โปรแกรมการเดินทางต่าง ๆ สามารถปรับได้ตามความเหมาะสม)
ข้อแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับการเดินทางมาเที่ยวดอยอินทนนท์
- ถนนบนดอยอินทนน์ทางค่อนข้างดี ถึงแม้ว่าจะมีโค้งเยอะแต่ก็จัดได้ว่าไม่ชันมาก (แต่ถ้าใครรู้ตัวว่าเมารถ เราแนะนำให้คุณทานยาเอาไว้ให้พร้อม)
- เอาจริง ๆ แล้ว รถยนต์เล็ก ๆ ก็สามารถวิ่งขึ้นดอยได้ ขอเพียงอย่างเดียว…นักท่องเที่ยวจะต้องไม่ประมาทในการขับรถ ส่วนตอนลงเขาพยายามใช้เกียร์ต่ำ และหาจุดพักรถเป็นระยะ ๆ
- เตรียมอุปกรณ์สำหรับการเดินทางต่าง ๆ ไปให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อกันหนาว (พกติดตัวอย่าได้ขาด เพราะอากาศที่ดอยอินทนนท์หนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี) ร่ม, หมวก และรองเท้าสำหรับเดินบนดอย
จุดที่ 1 พระมหาธาตุนภเมทนีดล และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ
ตั้งอยู่เกือบถึงยอดดอยอินทนนท์ พระมหาธาตุคู่บารมีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เพียงแค่ใช้สายตามองสัมผัส นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมความสวยงามสมพระเกียรติของทั้งสองพระองค์อย่างหาที่เปรียบมิได้ อีกทั้งยังล้อมรอบด้วยภูมิทัศน์ของสวนดอกไม้สวย และยังเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเชียงใหม่
พระมหาธาตุนภเมทนีดล
พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ
พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ
ในวันที่ฟ้าใสและอากาศเป็นใจ นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมกับทะเลหมอกในตอนเช้า ซึ่งพอตกช่วงสายทะเลหมอกก็จะเริ่มจางคลายตัวให้เรามองเห็นวิวทะเลภูเขาแทน
บรรยากาศของทะเลหมอกยามเช้า
นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ซ่อนตัวอยู่ในดอยอินทนนท์ และยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วไปมากนัก ไฮไลท์สำคัญของที่นี่นั่นคือการเฝ้าชมเหล่าฝูงแกะที่วิ่งออกมาอวดโฉม ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียว ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง เหมือนกับต่างประเทศเลยทีเดียวเชียว
ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากขนแกะ
ฝูงแกะที่ทยอยออกมาจากคอก
อิริยาบถของฝูงแกะที่กำลังกินอาหารอย่างอร่อย
บรรยากาศขุนเขาที่โอบล้อมฝูงแกะ ไม่ต่างจากเมืองนอกเลยทีเดียว
บ้านหนองหล่ม ชุมชนชาวปกาเกอะญอ ที่นี่มีต้นกาแฟประวัติศาสตร์ ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2517 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทเพื่อทอดพระเนตรต้นกาแฟ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2-3 ต้น โดยเป็นต้นกาแฟของพ่อตา "ลุงพะโย่ ตาโร" ชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอ และปลูกเอาไว้ท่ามกลางไร่ฝิ่น ซึ่งถือเป็นอาชีพหลักของชาวเขาในยุคนั้น
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพบกาแฟต้นนี้เข้า จึงเกิดความรู้สึกสนพระราชหฤทัยขึ้นมาว่าต้นกาแฟก็เติบโตที่นี่ได้เหมือนกัน และทรงมีรับสั่งเองว่า การที่เสด็จฯ ไปนั้นทำให้ชาวบ้านเขาเห็นว่ากาแฟนั้นสำคัญ จึงสนใจที่จะปลูก จนบัดนี้กาแฟบนดอยมีมากมาย และก็เริ่มจาก 2-3 ต้นนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันกาแฟพันธุ์อาราบิก้าของโครงการหลวง กลายเป็นกาแฟที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก และที่สำคัญสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรชาวเขาได้อย่างยั่งยืน
และนี่คือกาแฟต้นแรก...จุดกำเนิดของกาแฟต้นอื่น ๆ ที่ทำให้เชียงใหม่เป็นเมืองกาแฟ และเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นอยู่ที่ดีของชาวบ้านที่นี่
สายตาของคุณลุงพะโย่ ตาโร ชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอ ขณะที่กำลังเล่าเรื่องราวความหลังที่เกิดขึ้นกับ "ต้นกาแฟประวัติศาสตร์" ต้นนี้ โดยไม่เคยลืมเลือนจากความทรงจำ
จุดที่ 4 ชมนาข้าวขั้นบันได ณ บ้านผาหมอน
หมู่บ้านชุมชนชาวปกาเกอะญอ ท่ามกลางหุบเขาล้อมรอบ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านแม่กลางหลวง ดอยอินทนนท์ ไฮไลท์สำคัญของการเดินทางมาเที่ยวที่นี่ หนีไม่พ้นการได้ชมความงดงามของนาข้าวขั้นบันได สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เราได้เห็นถึงภูมิปัญญาและวิถีชีวิตของชาวบ้าน ที่มีความผูกพันใกล้ชิดกับธรรมชาติกันเป็นหนึ่งเดียว
การท่องเที่ยวที่บ้านผาหมอนส่วนใหญ่ เน้นให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวปกาเกอะญอผ่านทุ่งนาและป่าเขา นักท่องเที่ยวจะได้ใช้เวลาทุกวินาทีไปกับการนั่งมองนาข้าวขั้นบันไดที่ลดหลั่นกันตามเชิงเขา ยิ่งยามเมื่อแสงแดดตกกระทบ เราจะมองเห็นสีเขียวหลากหลายเฉดสีไล่แรเงาตามกันไป
สิ่งที่โดดเด่นอีกหนึ่งอย่างของที่บ้านผาหมอน นั่นคือการให้บริการที่พักที่ชื่อว่า "แบมบู พิงค์ เฮ้าส์" (Bamboo Pink House) ว่ากันว่าที่นี่เป็นที่พักที่มีวิวหลักล้าน โดยมีชุมชนร่วมกันช่วยดูแล และอิ่มอร่อยไปกับมื้ออาหารเล็ก ๆ ในสไตล์บ้าน ๆ
อาหารมื้ออร่อยจัดเตรียมไว้รอตรงหน้า
จุดที่ 5 ชมรูบาร์บและชมแปลงไร่สตรอว์เบอร์รี
"รูบาร์บ" หนึ่งในผลผลิตจากโครงการหลวง โดยหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ได้ทรงเล่าถึงพระราชอารมณ์ขันของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับชื่อที่เหมาะสมของพืชชนิดนี้ นั่นคือ รูบาร์บ ผักเชื้อสายยุโรป ก้านสีแดง-ม่วง รสเปรี้ยวอร่อย นิยมนำมาทำพายหรือแยม และเนื่องจากรูบาร์บเมื่อคิดตามคำอ่านในภาษาไทย รู้สึกไม่เป็นมงคล อาจทำให้ชวนดูไม่น่ารับประทาน หม่อมเจ้าภีศเดชจึงกราบบังคมทูลถามว่าจะเรียกรูบาร์บว่าอย่างไรดี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชกระแสรับสั่งทันทีว่า "โฮล ซิน-Hole Sin"
นอกเหนือไปจากที่โครงการหลวงจะส่งเสริมอาชีพภาคเกษตรอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกรแล้ว โครงการหลวงยังส่งเสริมให้ทำประมงที่สูงเป็นอาชีพเสริมด้วยเช่นกัน ท่ามกลางท้องทุ่งนาข้าวเขียวขจี ที่นี่ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาสเตอร์เจี้ยนและปลาเทราต์
จุดเริ่มต้นจากเมื่อครั้งที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปเยือนสาธารณรัฐรัสเซีย และทรงได้เสวยเมนูปลาสเตอร์เจี้ยน แล้วทรงเห็นว่ารสชาติอร่อย และอยากนำไปเลี้ยงที่เมืองไทย เลยเกิดเป็นโครงการดังกล่าวขึ้น ทั้งนี้การที่จะสามารถเลี้ยงปลาทั้งสองชนิดนี้ได้ จำเป็นต้องเลี้ยงในแหล่งน้ำสะอาดและน้ำเย็นเท่านั้น ซึ่งเรามีครบคุณสมบัติดังกล่าว จากการเพาะเลี้ยงนำมาสู่ร้านค้าเพื่อออกจำหน่ายให้ประชาชนคนไทยได้ลิ้มรสความอร่อยอย่างทั่วถึงกัน
บ่อเลี้ยงปลาสเตอร์เจี้ยน
เมื่อพูดถึงโครงการหลวง เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะนึกถึงพืชผัก-ผลไม้สด ๆ ทั้งที่ส่งออก ส่งเสริม และพัฒนาอาชีพให้กับเกษตรกรชาวไทยภูเขา โดยการปลูกพืชไร้ดินไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) นับเป็นวิธีการใหม่ในการปลูกพืชโดยเฉพาะการปลูกผักและพืชที่ใช้เป็นอาหาร เนื่องจากประหยัดพื้นที่และไม่ปนเปื้อนกับสารเคมีต่าง ๆ จึงทำให้ได้พืชผักที่สะอาดเป็นอาหาร
พืชผักของโครงการหลวงสดและสะอาดมาก ๆ
จากเมื่อครั้งอดีตที่พื้นที่บนดอยเต็มไปด้วยไร่ฝิ่น มีแต่ความอดอยาก พื้นที่ป่าถูกทำลาย มาในวันนี้ "ดอยอินทนนท์" กลับพลิกฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ อันเป็นผลผลิตจากสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงแผ้วถางความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนของพระองค์ ช่วงปลายปีแบบนี้อย่าลืมเดินทางมาพบความสุขแบบพอดีที่ "ดอยอินทนนท์" กันนะคะ ^ ^
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เว็บไซต์ royal-inthanon.com, เฟซบุ๊ก บ้านผาหมอน ดอยอินทนนท์