"บุรีรัมย์" คือดินแดนภูเขาไฟเมืองไทยที่เป็นแหล่งรวมอารยธรรมขอมโบราณ จึงมีความสำคัญในฐานะแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังได้รับสมญานามว่า "ดินแดนปราสาทหิน" อันมากมายไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม (ดูเพิ่มเติมได้ที่ จังหวัดบุรีรัมย์) อ๊ะ ๆ และนอกจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์แล้วจังหวัดบุรีรัมย์มีอะไรเที่ยวบ้างล่ะ ? เอาเป็นว่าลองไปหาคำตอบกันจากบันทึกการเดินทางของ คุณสมาชิกหมายเลข 2413228 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เจ้าของพื้นที่ที่วันนี้กลายมาเป็นไกด์จำเป็นพาเราไปซอกแซกตามสถานที่ต่าง ๆ ในจังหวัดบุรีรัมย์กันค่ะ
++++++++++++
แม้วันนี้จังหวัดบุรีรัมย์จะเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ผมก็ยังได้รับคำถามเดิม ๆ แบบนี้จากเพื่อนอีกหลายคน วันนี้ผมเลยมีความคิดที่จะมารีวิวสถานที่ท่องเที่ยวบางส่วน (ขอย้ำว่าบางส่วน) ของบุรีรัมย์ให้ทุกคนได้รู้จัก บังเอิ๊ญ...บังเอิญผมมีโอกาสที่จะต้องต้อนรับเพื่อนที่อยู่ ๆ ก็อยากจะมาเที่ยวบ้านเกิดของผมซะอย่างนั้น ก็เลยถือโอกาสมารีวิวสถานที่ท่องเที่ยวคร่าว ๆ ให้ทุกคนได้ทราบเลยแล้วกันครับ
ภารกิจแรกที่ผมได้รับจากไอ้คุณเพื่อน คือการไปรอรับมันที่สถานีรถไฟ ตอน 06.02 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ "S h i p หาย" สำหรับผมมากๆ ตอนแรกผมก็บ่นมันไปว่า "เมิงหางานมาให้กูแท้ ๆ นี่วันหยุดกูเลยนะ" แต่เอาวะ...ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ได้โอกาสโชว์ของดีจังหวัดซะเลย ว่าจังหวัดที่ถูกขนานนามว่า "เซราะกราว" (ภาษาเขมร = บ้านนอก) ก็มีดีเหมือนกัน
ผมตื่นเช้ามารอรับมันตามนัดครับ ถึงสถานี 6 โมงเป๊ะ แต่พอมาถึงนายสถานีรถไฟความเร็วสูงแห่งประเทศไทยที่จะนำพาแขกระดับ VIP (ย่อมาจาก Very Innocent Person) ก็ได้ประกาศเสียงตามสายมาว่าขบวนรถของเพื่อนผมจะมาถึงที่หมายช้ากว่ากำหนด 28 นาที ตามเวลาในประเทศไทย อืม...เซ็งเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไรถ่ายรูปรอก็แล้วกัน
พอใกล้จะถึงเวลาที่นายสถานีประกาศก็มีเสียงตามสายขึ้นมาอีกครั้งว่า ว่า ว่า ...รถไฟขบวนที่ผมกำลังรอ จะมาถึงในอีก 20 นาที ดีใจจังมีเวลาถ่ายรูปเพิ่มอีกตั้ง 20 นาที (หราาาา.....) จากง่วงก็กลายเป็นไม่ง่วง รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ รอจนเบื่อ รอจนไม่ง่วง เอาดิเอา
และแล้วขบวนรถไฟสายกรุงเทพฯ-อุบลฯ ที่ผมรอคอยเธอมาแสนนานทรมานวิญญาณหนักหนา ระทมในอุรา แก้วกานดาฉันปองเธอผู้เดียว…ก็พุ่งทะยานสู่ชานชาลาอย่างสง่าผ่าเผย ความรู้สึกผมราวกับพบซูเปอร์ฮีโร่ที่กำลังตามหามานานแสนนาน
คำถามแรกที่ผมถามเพื่อนเมื่อเจอหน้ามันคือ…"ทำไมเมิงไม่มารถทัวร์วะ เดี๋ยวนี้ดีจะตาย ทั้งสะดวก ทั้งเร็ว" แต่มันก็แค่บอกว่าที่บ้านมันส่วนมากถ้าไม่ได้ไปด้วยรถส่วนตัว ตัวเลือกรองลงมาก็คือ "รถไฟ" ซึ่งแน่นอนผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นรถไฟ แต่มันก็คงมีเหตุผลของมัน เหมือนกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่นั่งรอนอนรออยู่ที่สถานีรถไฟนั่นแหละ ถึงรถไฟจะเป็นพาหนะที่พาเราไปถึงจุดหมายได้ล่าช้าในสายตาผม แต่มันก็ยังเป็นทางเลือกหลักของคนส่วนหนึ่งอยู่ดี
รถไฟเจ้ากรรม นำพาผู้คน ถึงจะช้าสุดทน แต่ก็ส่งผู้คนให้ปลอดภัย….
ผมเชื่อว่าคนที่เคยนั่งรถไฟน่าจะนึกสภาพคนที่เดินทางไกลด้วยรถไฟออกว่ามันสะบักสะบอมแค่ไหน อย่ากระนั้นเลย ขอพามันไปเติมพลังก่อนดีกว่า ว่าแล้วผมจึงพามันมาที่ร้านอาหารเวียดนามร้านหนึ่งกลางเมือง ซึ่งผมเองก็ไม่เคยมากินร้านนี้เหมือนกัน ก็ดีถือโอกาสลองของใหม่ซะเลย ร้านนี้เป็นร้านอาหารเวียดนามครับ ตั้งอยู่มุมสี่แยกไฟแดงวัดกลาง เปิดตั้งแต่ 06.00-18.00 น. มีอาหารให้เลือกรับประทานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชุดอาหารเช้า หรือเกาเหลา กวยจั๊บ แหนมเนือง มีอีกเยอะผมก็จำไม่ได้ เอาเป็นว่าท่านไหนอยากลองอาหารเวียดนามก็แวะเวียนมาได้นะครับ…
หลังจากที่เราเติมพลังกันจนเสร็จ ผมก็พาแขกผู้มาเยือนไปอาบน้ำ-พักผ่อนอีกนิดหน่อย เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย แล้วเราก็เริ่มออกเดินทางตามแพลนที่วางไว้กันเลย
สถานที่แรก...ผมพาแขกผู้มาเยือนไปยัง "ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์" เพื่อสักการะศาลหลักเมืองเพื่อกราบไหว้ ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลสักหน่อย ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์อยู่บริเวณถนนหลังวัดกลางพระอารามหลวง ตั้งเด่นเป็นที่สังเกตได้ง่ายแก่ผู้คนที่สัญจรไป-มาในบริเวณนั้น
ศาลหลักเมืองของบุรีรัมย์จะไม่เหมือนกับของจังหวัดอื่น ๆ เนื่องจากเรามีเสาหลักเมืองถึง 2 เสา เสาที่นอนตะแคงอยู่เป็นเสาเดิมซึ่งเกิดการชำรุดเสียหายไป ส่วนเสาที่ตั้งอยู่เป็นเสาที่ทำมาใหม่เพื่อทดแทนเสาเดิม แต่ก็ยังคงหลักเดิมไว้ให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน
หลังจากกราบไหว้ศาลหลักเมืองเสร็จแล้วผมก็ต้องปลุกปล้ำขืนใจแขกผู้มาเยือน ให้เดินทางไปพบกับอีกหนึ่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของวงการฟุตบอลไทย ที่มีนามว่า "ปราสาทสายฟ้า" ฉายา "นรกทีมเยือน" ของสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สโมสรอันดับสอง (หราาา) ของประเทศไทย... นั่นเอง ! สนามฟุตบอลแห่งนี้คือรังเหย้าของทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ต่อสู้ห้ำหั่นกับทีมในดวงใจของแขกผู้มาเยือนของผมอย่างคู่คี่ สูสีกันทุกฤดูกาล (เพื่อนผมเป็นแฟนบอลของทีมดังอีกทีมในไทยลีก ใบ้สั้น ๆ ว่าทีมนี้มีเสื้อเหย้าสีแดง มีรังเหย้าอยู่ในย่านเมืองทอง มีมือโกลที่มีฉายาว่า...บินได้ โอะ ๆ ใบ้แค่นี้ดีกว่ากลัวจะง่ายเกินไป 555 ขำ ๆ นะครับ ยังไงเราก็เพื่อนกัน)
สนามแห่งนี้มีชื่อว่า "ไอ-โมบาย สเตเดียม" ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลแบบไม่มีลู่วิ่งที่ได้มาตรฐานต่าง ๆ ครบถ้วนที่สุดแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย อีกทั้งยังได้รับการบันทึกลงกินเนสส์บุ๊กว่าเป็นสนามฟุตบอลในระดับฟีฟ่าแห่งเดียวในโลก ที่ใช้เวลาก่อสร้างน้อยที่สุดในโลกคือ 256 วัน อีกด้วย…
สนามแห่งนี้เปิดให้เข้าชมสนามฟรีทุกวัน โดยจะมีเจ้าหน้าที่สนามคอยอธิบายและพาเราไปชมทุกจุด ทุกห้อง ทุกมุมของสนาม เอ่อ..ยกเว้นห้องทำงานของท่านประธานสโมสรท่าน “เนวิน ชิดชอบ” นะครับ 555
บุกเข้ามาถึงห้องแต่งตัวของทีมเหย้า เราก็ได้พบกับล็อกเกอร์ตัวหนึ่งติดรูป "พี่อุ้ม-ธีราทร บุญมาทัน" แบ็คซ้ายยอดฝีมือแบบหาตัวจับยาก คนไทยคนเดียวที่ติดทีมยอดเยี่ยม AFC แหม... เห็นพี่อุ้มแล้วพวกผมนี่ถึงกับชาบูเลย ชาบู ชาบู ชาาาาบู...ชิ !
ร้านขายของที่ระลึกของสโมสรมีสินค้ามากมายให้เลือกซื้อ ที่สำคัญที่นี่ยังขายเสื้อถูกกว่าราคาป้าย ผมว่านี่คือคำขอบคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ จากสโมสรที่ให้กับแฟนบอลและแขกผู้มาเยือน เพราะแค่ปีที่แล้วปีเดียว บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็สามารถขายเสื้อแข่งขันได้มากที่สุดถึง 4 แสนตัว ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำสถิติขายได้มากที่สุดในเมืองไทย ณ ขณะนี้
หลังจากพาไปดูสนามฟุตบอลแล้วก็ยังมีอีกหนึ่งที่ ก็คือ "สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต" ที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของสนามฟุตบอล ซึ่งก็ให้เข้าชมฟรีเช่นกันในวันที่ไม่มีการแข่งขัน ใครที่อยากได้อารมณ์ของซูเปอร์สปอร์ต ผมว่าคุณหาได้จากที่นี่แน่ ๆ
แล้วก็เช่นเคย สนามแห่งนี้เป็นสนามแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองจากสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ ว่าเป็นสนามแข่งรถระดับมาตรฐาน เอฟไอเอ เกรด 1 ซึ่งเป็นระดับสนามที่อนุญาตให้ใช้จัดการแข่งขันรถ “ฟอร์มูล่า วัน" ได้ แล้วยังได้รับการรับรองจากสมาพันธ์จักรยานยนต์นานาชาติ ว่าเป็นสนามแข่งรถระดับมาตรฐาน เอฟไอเอ็ม เกรด เอ ซึ่งเป็นระดับสนามที่อนุญาตให้ใช้จัดการแข่งขันโมโตจีพีได้อีกด้วย
นอกจากนี้สนามแห่งนี้ยังเป็นสนามเดียวในโลกที่แกรนด์สแตนสามารถชมการแข่งขันได้ทั้งหมด มองเห็นได้ทั้งสนาม ทุกโค้ง ซึ่งเป็นแนวคิดที่ท่านประธานเนวิน ชิดชอบ ได้ไอเดียมาจากการชมฟุตบอล ซึ่งผมว่ามันเจ๋งมาก ๆ เลยทีเดียว
บุรีรัมย์ ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีภูเขาไฟเยอะที่สุดในประเทศ โดยมีมากถึง 6 ลูกด้วยกัน โดยสถานที่ที่ผมจะพาแขกผู้มาเยือนไปเที่ยวชมก็คือ "ภูเขาไฟกระโดง" เดิมชื่อ "พนมกระดอง" เป็นภาษาเขมร แปลว่า "ภูเขากระดอง” ที่ตั้งว่ากระดอง เพราะลักษณะของภูเขาเหมือนกระดองเต่า ต่อมาเรียกเพี้ยนจึงเป็น “กระโดง” บนยอดเขากระโดงมีพระพุทธรูปประจำเมืองประดิษฐานอยู่ มีนามว่า "พระสุภัทรบพิตร" องค์พระหันหน้าเข้าตัวเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นมาดูวิวจังหวัดบุรีรัมย์จากบนนี้ได้
มีเรื่องเม้าท์ต่อ ๆ กันมาว่า "ถ้าเป็นแฟนกันห้ามพามาเที่ยวเขากระโดง เพราะจะเลิกกัน" ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ได้แต่ภาวนาว่าถ้าเป็นเพื่อนกันคงไม่ถึงกับเลิกคบกันนะ 555
บนภูเขาไฟกระโดงเรายังพบหินอัคนีพุ เป็นหินที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ เกิดจากลาวาและน้ำผสมกันทำให้ลาวาเย็นตัวอย่างรวดเร็ว ลักษณะของหินมีรูพรุนไม่ทะลุกัน ทำให้สามารถลอยน้ำได้
บนเขากระโดงยังมีเครื่องเล่นให้เด็กเล่นอีกด้วย อย่าว่าแต่เด็กเลยผมยังไปลองเล่นเลย มันก็สนุกและตื่นเต้นไปอีกแบบดีนะ
บริเวณปากปล่องของภูเขาไฟมีสะพานเพื่อให้เราได้ชมวิวปากปล่องภูเขาไฟจากด้านบน ภูเขาไฟกระโดงมีอายุประมาณ 3 แสนถึง 9 แสนปี สูงจากระดับน้ำทะเล 265 เมตร และเป็นภูเขาไฟที่อายุน้อยที่สุดในประเทศ แต่ไม่ต้องกลัวครับมันดับสนิทแล้ว คงไม่สามารถปะทุระหว่างที่เราไปดูได้แน่ ๆ
แหม...มาคล้องอย่างกับประเทศเกาหลี
ดูภูเขาไฟเสร็จปุ๊บผมก็พาแขกผู้มาเยือนเดินทางต่อไปยังอำเภอประโคนชัย อำเภอหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นเขาพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ หรือเทศกาลแห่เทียนพรรษาที่ใหญ่ติด 1 ใน 3 ของประเทศไทย แต่อากาศร้อน ๆ อย่างวันนี้ จะให้ไปเดินตากแดดชมปราสาทก็คงจะไม่ไหว เอาเป็นว่าเราจะไปที่ไหนต้องติดตามดูกันนะครับ
ระหว่างทางไปอำเภอประโคนชัยผมขอให้คะแนนเส้นทางนี้ได้เลยว่าเป็นเส้นทางที่สวยมากเส้นหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยระหว่างทางมีอ่างเก็บน้ำเลียบกับถนน สลับกับทุ่งนาสีเขียวแก่ เป็นวิวที่สวยงามมาก ๆ ครับ แต่ก่อนที่เราจะไปถึงที่เที่ยวต่อไป พวกผมก็ได้แวะพักรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มพลังเสียก่อน ที่ร้าน “ตำแหลก” ซึ่งตั้งอยู่ขวามือก่อนถึงสี่แยกไฟแดงอำเภอประโคนชัย แน่นอนชื่อร้านก็บอกอยู่แล้วว่า “ตำแหลก” ร้านนี้จึงมีส้มตำให้เลือกเยอะมาก ซึ่งยอมรับว่าแหลกจริง ๆ อะไรพอตำได้พี่เขาตำให้จนหมดจริง ๆ เหลือแต่ก้อนหินยังแหลกเป็นเม็ดทราย นับประสาอะไรกับหัวใจ เช่นเธอตอนนี้ที่เปลี่ยนจากฉันไป ฉันกำลังจะเสียเธอใช่ไหม เอ่อ...กลับมาใส่ใจรูปที่จะนำเสนอดีกว่า 555
หลังจากเพิ่มพลังกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินทางกันต่อไปที่ “สิริญา ปาร์ค” สวนน้ำแห่งใหม่ของจังหวัดบุรีรัมย์ โดยขับรถตรงเข้าไปทางอำเภอประโคนชัย พอถึงสี่แยกประโคนชัยแล้วให้เลี้ยวขวา จากนั้นก็ตรงไปตลอด แต่ถ้าหากท่านพบว่าตัวเองอยู่ ณ ใจกลางอำเภอประโคนชัยแล้ว ก็หมายความว่า “ท่านได้เลยแยกที่จะเลี้ยวไปสวนน้ำเรียบร้อย”
“สิริญา ปาร์ค” เป็นสวนน้ำที่ไว้สำหรับพาเพื่อน ๆ พาครอบครัวมาเล่นน้ำหรือทำกิจกรรมร่วมกัน ย้ำนะครับว่ามีไว้สำหรับ "เล่นน้ำ" ไม่ใช่ "ว่ายน้ำ" เพราะจากการที่ได้ไปลองสัมผัสมาก็พบว่า สำหรับผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ คงได้แค่เล่นน้ำจริง ๆ เพราะเป็นสวนน้ำขนาดเล็ก ที่เน้นเครื่องเล่นมากกว่าการว่ายน้ำเพื่อออกกำลังกาย แต่สำหรับเด็ก ๆ แล้วก็คงจะสนุกสุดเหวี่ยงกันเลยทีเดียว เพราะมีทั้งน้ำตก ทั้งสไลเดอร์ เฮ้อ...น่าอิจฉาเด็กสมัยนี้
นอกจากเครื่องเล่นและสระว่ายน้ำแล้ว ทางสวนน้ำก็มีอาหาร เครื่องดื่ม รวมไปถึง โต๊ะพูล และบอลโต๊ะ เตรียมไว้ให้สำหรับผู้ปกครองที่มานั่งรอบุตรหลาน ทั้งยังมีชุดว่ายน้ำและอุปกรณ์เล่นน้ำให้เช่า เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการ เรียกได้ว่ามาแต่ตัวกับเงินก็พอครับ เขามีบริการหมดทุกอย่างจริง ๆ
นับว่าเป็นโชคดีของพวกเราจริง ๆ ที่พอขึ้นจากน้ำ และขับรถออกมาได้สักพักฟ้าฝนก็มาเล่นงานประโคนชัยอย่างหนัก ถ้าขึ้นรถไม่ทันเราคงเปียกซ้ำเปียกซ้อนเอาแน่ ๆ
ก่อนเดินทางกลับสู่อำเภอเมือง ผมได้พาแขกผู้มาเยือนแวะซื้อของฝากที่ร้านดังในอำเภอประโคนชัย ชื่อร้านว่า “น้องตุ้มตั้ม” ร้านนี้ตั้งอยู่บริเวณ 4 แยกทางไปเขาพนมรุ้ง ซึ่งขอบอกว่าของฝากมีให้เลือกซื้อมากมาย แต่ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็น่าจะเป็น “กุ้งจ่อม”
“กุ้งจ่อม” คือการนำเอากุ้งมาหมัก รสชาติที่ได้จะออกเค็มหน่อย ๆ แล้วแต่ระยะเวลาในการหมัก (ผมขออธิบายอย่างคร่าว ๆ แล้วกันนะครับ)
นี่คือหน้าตาของกุ้งจ่อมครับ (รออะไรครับ ตักข้าวมาสิครับ)
ระหว่างทางกลับจากอำเภอประโคนชัยมุ่งหน้าสู่จังหวัดบุรีรัมย์ ผมก็นึกขึ้นได้ว่ามีวิวถ่ายรูปสวย ๆ ตอนพระอาทิตย์ตกดิน แขกผู้มาเยือนน่าจะอยากซึมซับบรรยากาศแบบนี้ผมเลยพามาที่ “โครงการชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก” บริเวณอ่างเก็บน้ำเราจะเห็นผู้คนมาตกปลา นั่งเล่นกับเพื่อน นั่งเล่นกับแฟน ถ่ายรูป เนื่องจากมีถนนเลียบไปตามขอบอ่างเก็บน้ำเป็นแนวยาวเหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นอย่างมาก แต่ด้วยวันนี้อากาศช่างเป็นใจเหลือเกิน (ประชด) ฟ้าครึ้ม ฝนกำลังจะตก ภาพที่ผมสร้างไว้ในหัวของแขกผู้มาเยือนจึงผิดเพี้ยนไปซะเยอะเลย แต่มันก็ยังดูโอเคอยู่ ดีเหมือนกับทุก ๆ ครั้งที่ผมได้มา ต่างกันแค่อาจจะถ่ายรูปออกมาไม่สวยเหมือนเคย
หลังจากบรรยากาศเริ่มไม่เป็นใจ ผมตัดสินใจพาแขกผู้มาเยือนไปลิ้มรสของ “เนื้อย่าง” หรือคนเมืองกรุงจะเรียกกันว่า….หมูกระทะ” นั่นเอง
“เนื้อย่าง” เป็นอาหารยอดนิยมของจังหวัดเราเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะมุมไหนของเมืองเราก็จะเห็นร้านเนื้อย่างเต็มไปหมด ไม่ว่าจะวันสำคัญอะไรก็ตาม เนื้อย่างจะไปอยู่หนึ่งในความคิดของคนบุรีรัมย์ ไม่ว่าจะวันเกิด สอบเสร็จ ปีใหม่ สงกรานต์ ร้านเนื้อย่างแต่ละร้านบรรยากาศก็จะคับคั่งอยู่เสมอ ถึงไม่ใช่หน้าเทศกาลก็เถอะ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมคิดว่าเป็นอาหารยอดนิยมได้อย่างไร ผมพาแขกผู้มาเยือนมาที่ร้าน “เนื้อย่างขั้นเทพ”
ร้าน “เนื้อย่างขั้นเทพ” นี้ตั้งอยู่บริเวณโรงแรมเทพนคร ที่พามาร้านนี้ไม่ใช่ว่าร้านอื่นไม่อร่อยนะครับ แต่ว่าร้านนี้มันดูมีของกินเยอะดี แขกผู้มาเยือนน่าจะชอบ แต่ส่วนตัวผมแล้วผมชอบทุกร้านครับ มันมีรสชาติของน้ำจิ้มแตกต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือความอร่อยแน่นอนครับ
พอเริ่มตักอาหารแน่นอนครับผมลืมเรื่องถ่ายรูปรีวิวไปเลย นึกถึงแต่ปากท้องตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็อิ่มเสียแล้ว จึงได้ภาพมาเพียงน้อยนิด แต่ถ้าใครอยากรู้ว่าร้านเนื้อย่างของจังหวัดเราเด็ดอย่างไร ผมแนะนำท่านครับลองไปรับประทานดู ไม่ว่าร้านไหนก็ตามผมว่าท่านน่าจะไม่ผิดหวังกับรสชาติแน่นอนครับ
"กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่" คำนี้คนที่เกิดยุคผมน่าจะชินหู พอนึกได้ก็อะ...พาแขกผู้มาเยือนไปนั่งกินนมชมเมืองบุรีรัมย์ตอนกลางคืนจะดีกว่า ก่อนออกจากร้านผมได้นำเสนอสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมากหวังว่าจะลบภาพอ่างเก็บน้ำที่ฟ้า อากาศไม่เป็นใจออกจากสมองของแขกผู้มาเยือนได้ แต่พอมาถึงผมก็พบว่า มุมที่จัดว่าสวยมาก ๆ ในจังหวัดเกิดการทำถนนใหม่ขึ้น ทำให้ไฟจากที่เคยสว่างไสวสวยงาม ถูกปิดลง ภาพบรรยากาศสวย ๆ หายไปพอสมควร ทำให้แขกผู้มาเยือนถึงกับหัวเราะเยาะผม แต่ยังดีที่บรรยากาศของร้านยังดูน่านั่งอยู่เหมือนเดิม
ร้านนี้ชื่อร้าน "ไอ บู" ตั้งอยู่บริเวณที่ชาวบุรีรัมย์เรียกกันว่า "วงเวียนช้าง" ภาพที่ผมจะเห็นเป็นประจำของร้านนี้คือตอนเย็น ๆ ค่ำ ๆ เหล่าบันดาเด็กนักเรียน นักศึกษา ต่างพากันมานั่งเล่นคุยกัน รวมไปถึงผู้ใหญ่ก็ยังนิยมมานั่งคุยกันที่ร้านแห่งนี้อีกด้วย
อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองบุรีรัมย์ทางไปอำเภอประโคนชัย สร้างในปี พ.ศ. 2539 เพื่อเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 1 ผู้ก่อตั้งเมืองบุรีรัมย์
สถานที่แห่งนี้เป็นจุดที่ผู้คนที่แวะเวียนมาจังหวัดบุรีรัมย์มักจะมากราบไหว้ สักการะ เป็นภาพที่เห็นอยู่เป็นประจำ บริเวณนี้ยามค่ำคืนจะเป็นจุดที่สวยงามมากแห่งหนึ่งในจังหวัด ด้วยการที่ประดับประดาด้วยไฟสวยงาม มีไฟส่องอนุสาวรีย์ เอาง่าย ๆ ว่าภาพที่ผมเห็นสวยกว่าวันนี้แน่นอนครับ
เปรียบเทียบภาพระหว่างวันที่เรามา กับภาพปกติที่ชาวบุรีรัมย์ได้เห็นกันเป็นประจำ
จังหวัดบุรีรัมย์ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่รอให้แขกผู้มาเยือนไปสัมผัส ตัวผมเองไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยทำตัวเป็นเหมือนไกด์มาก่อน ซึ่งผมลุ้นมากกับปฏิกิริยาว่าแขกผู้มาเยือนจะรู้สึกสนุก หรือตื่นเต้นไปกับสถานที่เหล่านั้นหรือเปล่า กลัวว่ามันจะไม่สวยอย่างที่แขกผู้มาเยือนได้วาดภาพไว้ในสมอง แต่ผมก็ได้คำตอบจากแขกผู้มาเยือนว่า ไม่ต้องกลัวว่ากูจะไม่ชอบหรือไม่ตื่นเต้น อะไรที่เราไม่เคยเจอมันมักตื่นเต้นและสวยงามเสมอ ไม่ต้องกังวล กูดีใจที่ได้มาที่นี่ และสถานที่เหล่านี้มันสวยงามมากจริง ๆ กูรู้สึกได้ แน่นอนกูมีโอกาสจะกลับมาอีกครั้ง กลับมาดูฟุตบอล มาดูรถแข่ง มาเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่เหลืออีกมากมาย "เซราะกราวเมิงมีดีจริง ๆ"
ผมได้แต่หวังว่ากระทู้รีวิวของผมอันนี้จะเป็นอีกหนึ่งคำตอบจากที่ใครหลาย ๆ คนได้ถามผมมาตั้งแต่เด็กว่า "บุรีรัมย์มีอะไรน่าเที่ยว" แน่นอนครับที่เที่ยวมีเยอะกว่านี้มากมาย ถ้าทุกคนอยากรู้จักจังหวัดบุรีรัมย์มากกว่านี้ แล้วผมจะกลับมา ผมจะกลับมาทำให้ทุกคนรู้ว่าบุรีรัมย์มีสถานที่ที่พิเศษมาก ๆ รอแขกผู้มาเยือนเที่ยวชมอยู่เสมอ ขอบคุณครับ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 2413228 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม