ใครที่มีแพลนไป "เที่ยวญี่ปุ่น" แถบ ๆ คันไซ (Kansai) โซนโอซาก้า นารา เกียวโต ฯลฯ ก็อย่ารอช้า ตามบันทึกการเดินทางของ คุณ Padagot สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ไปเที่ยวในแถบภูมิภาคคนไซกันกัน กับรีวิว "กว่า 100,000 ก้าว ตามหาความฝัน เที่ยวญี่ปุ่นไม่กี่วันกับแบงก์พัน 10 ใบ" กันก่อน ขอบอกว่าระยะเวลา 3 วัน ก็สามารถเที่ยวญี่ปุ่นได้แบบอิ่มเอมใจ ทั้งกินอาหารอร่อย ๆ ชมวิวสวย ๆ สัมผัสกับวิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ของคนญี่ปุ่น รวมถึงได้ตะเวนเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมต่าง ๆ เอาเป็นว่าลองไปชมรีวิวนี้แนวทางกันก่อนเลย
สวัสดีครับ
กระทู้นี้ก็เป็นกระทู้แรกในการเล่าประสบการณ์ผ่านรูปภาพของผม แล้วก็เป็นการ Backpack ครั้งแรกของผมด้วย แม้บางรูปจะขาด ๆ เกินเบลอ ๆ บ้าง คำพูดอาจจะน้อย (รูปเยอะมาก) แต่...ผมทำในสิ่งที่ผมฝันแล้วครับ คือการได้มาเดินมาราธอน เอ๊ย ! มาเที่ยวใน "ญี่ปุ่น"
เข้าเรื่องเลยดีกว่า...บอกเลยว่าทริปนี้เป็นอะไรที่เร็วมากจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ 17 เมษายน 2558 ผมเพิ่งกลับมาจากเล่นน้ำสงกรานต์ ตอนดึก ๆ นั่งเล่นเฟซบุ๊กสักพัก โพสต์หนึ่งในเพจเฟซบุ๊ก Ar-pae.com เด้งขึ้นมา AirAsiaX to Osaka + Hotel คนละ 6,853 บาท !! โอ้โห...นาทีนั้นคือต้องไปให้ได้คนเดียวได้ยิ่งดีแต่...ด้วยตัวเองพึ่งอายุ 16 ปี มีข้อมูลแปะหน้าเว็บตัวเล็กประดั่งมด เขียนกำกับว่า "ให้ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไปในการเช็กอินโรงแรม" ตอนนั้นใครก็ได้ไปเป็นเพื่อนที อยากไปมาก ๆ ไปชวนพี่ พี่ก็จะไปซับโปโรกลางเดือน เลยไปชวนน้าที่รู้จัก สุดท้ายก็ได้ไป คือเป็นอะไรที่... ได้ไปละเว้ยยยยยยยยย (ตอนนั้นแม่นอนแล้ว ยังไม่ได้บอกแม่ด้วยว่าจะไป 555) สุดท้ายก็ให้น้าจ่ายตังค์ไปก่อนแล้วเดี๋ยวเราค่อยเอาไปให้ทีหลัง แต่ทริปนี้มีข้อจำกัดตรงที่ว่าผมเปิดเทอมแล้ว (ก็โปรฯ มาพอดีอะเนาะ) เลยไปได้ไม่กี่วันนัก ทริปนี้เลยเป็นทริปเล็ก ๆ แต่รูปโครตเยอะ
"มีเวลาเพียง 3 วัน เที่ยวให้ครบ 3 เมือง" และนั้นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง
ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่าตามหัวกระทู้แบงก์พัน (ไทย) 10 ใบ นะครับ รวมเป็น 10,000 บาทไทย แต่ผมแลกไปมากกว่านี้ครับ
ฝากเพจไว้ดูแก้เหงา : www.facebook.com/padagott
ฝากไอจีไว้ดูแก้เศร้านะครับ อิอิ : @Padagot
______________________________________________
เช้าวันแรกสดใสพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า กับการเดินทาง Backpack ครั้งแรก กำลังจะเกิดขึ้น 12.30 น. ถึงสนามบินดอนเมือง นั่งรอ นอนรอ ขึ้นเครื่องบ่าย 15.30 น. นะครับ ตอนอยู่ไทยก็ไม่ค่อยได้ทำอะไร มัวแต่ตื่นเต้นอยู่ จนไปถึงสนามบินนานาชาติคันไซ เวลา 22.50 น. กว่า ๆ เครื่องใช้เวลาบิน 5 ชั่วโมง นะครับ แต่เวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง เลยต้องบวกอีก 2 มาถึงคืนแรกก็ลิ้มรสการนอนสนามบินสักหน่อย อยากจะบอกว่าเป็นอะไรที่...นอนไม่หลับครับ 5555 แต่ก็พยายามข่มตาหลับจนได้
อันนี้ตอนประมาณ 05.30 น. ของที่โน้นกันครับ อยากจะบอกว่าที่ญี่ปุ่นพระอาทิตย์ขึ้นตอน 05.00 น. ตกตอน 19.00 น. นะครับ รถแท็กซี่ที่ญี่ปุ่นเงาทุกคัน คนขับแต่งตัวเนี้ยบทุกคน ส่วนเรื่องอากาศก็กำลังสบาย ๆ 20 องศา
หลังจากเดินเล่นอยู่สักพัก (เนื่องจากเพิ่งตื่นนะครับ เลยไม่ค่อยจะอยากหยิบกล้องออกมาสักเท่าไร) รอศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเปิดเพื่อซื้อ Osaka Amazing Pass 1 Day (2,300 Y) + Kansai Pass 2 Day (4,000 Y) ก็ได้เริ่มโปรแกรมวันแรกในญี่ปุ่นกัน
วันที่ 1 : ตะลุยรอบ Osaka > ปราสาทโอซาก้า > Santa Maria Cruise > Umeda St. > Hep five > Umeda sky building > Shinsaibashisuji (Dontonburi river) ป้ายกูลิโกะ
ออกเดินทางด้วยรถไฟ Nankai เพื่อไปที่พักครับ อยากจะบอกว่าขาไปโชคดีมาก ๆ เพราะว่าผมขึ้นรถไฟประเภท Ltd Exp. ซึ่งมันจะต้องเสียเพิ่มอีก คนละ 510 Y ต้องจ่ายกับพนักงาน แต่นั่งไปจนถึงสถานี Shinimamiya ก็ยังไม่มีพนักงานมาเก็บ (อันนี้ผมไม่ได้โกงนะ ผมไม่รู้จริง ๆ 55 เพิ่งมารู้ตอนหลัง) สรุปนั่งรถไฟด่วนพิเศษแต่ไม่ต้องเสียเพิ่ม ^^ ภายในคือหรูมาก ๆ ไปดูกันหน่อย
วิวข้าง ๆ ทางครับ
และแล้วก็มาถึงสถานี Shinimamiya ใกล้กับที่พักของผม ถามว่าผมพักที่ไหนนะเหรอ ด้วยราคาพร้อมตั๋วเครื่องบินขนาดนี้ ... Hotel Diamond โรงแรมในตำนานนั้นเองครับ ส่วนตัวผมไม่ค่อยซีเรียสกับเรื่องที่พัก มีที่นอนก็โอเคครับ ห้องพักที่นี่ตกคือละ 200 กว่าบาทเองครับ ใครอยากไปลองหาดูนะครับ ข้าง ๆ ที่พักมีร้านเล็ก ๆ ขายเข้ากล่องอยู่ รสชาติพอใช้ได้ พอใจกับราคา ที่เห็นกล่องเล็ก ๆ ด้านขวาแค่ 120 Y เองครับ แต่ผมกินไข่หวานห่อข้าวผัด ราคา 120 Y ครับอิ่มสุด ๆ
วิวข้างทางแถว ๆ ที่พักครับ
มาถึงตรงนี้อยากเล่าประสบการณ์ที่บอกว่า The Best น้าผมก็กำลังกางแผนที่ดูทางว่าจะไปขึ้นรถไฟฟ้าที่ไหน ไปยังไง ทางไหน กางไปกางมาคนญี่ปุ่นมีอายุคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับคำแนะนำ เขาพาไปสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด (เขาพูดญี่ปุ่นนะครับ) พาไปส่งถึงที่ แล้วยังขอแผนที่กับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นให้อีกด้วย ประทับใจมากกกกกกก เชื่อแล้วว่าคนญี่ปุ่นใจดีจริง ๆ ^__^
สถานีรถไฟใต้ดินบ้านเขาไม่มีแผงกั้นนะครับ อาจจะมี...แต่ส่วนใหญ่ไม่มีครับ อ้อ ! ลืมบอกว่าผมขึ้นรถไฟได้ฟรี เพราะพลังจากบัตร Osaka Amazing Pass อะเมซิ่งจริง ๆ ส่วนรายละเอียดบัตรเดี๋ยวค่อยบอกตอนท้าย ๆ นะครับ
Next Station Morinomiya ไปปราสาทโอซาก้า สัญลักษณ์ของเมืองโอซาก้าแห่งนี้นี่เอง...ผมขึ้นรถไฟใต้ดิน มันต้องไปต่อรถไฟฟ้าอีกสถานีหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นสถานีนี้แหละครับ Hommachi
ปราสาทโอซาก้า
คนญี่ปุ่น ป็นประเทศที่คนออกกำลังกายเยอะมาก ๆ คนอ้วนแทบหาไม่เจอ ก็บ้านเขาไม่ร้อนนี่ ถ้าบ้านเราอากาศแบบโน้นสาวไทยคงหุ่นเพรียว
น่ารักกกกกกกก
เดินไปเรื่อย ๆ กว่าจะถึงตัวปราสาท ใช้เวลาพอสมควรครับ
ประตูชั้นเกือบสุดท้าย
ใกล้แล้ววววววววว อีกนิดเดียวเท่านั้น
ตรงนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ครับ เห็นมีขายของด้วย
มีแอบซะด้วยยยยย ^^
หลังจากนี้ผมก็ขึ้นตัวปราสาทเลยครับ ใช้สิทธิ์ Amazing Pass ผ่านได้ฟรี ๆ เลย จริง ๆ มีลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนด้วย แต่คนรอยาวมาก เลยตัดสินใจเดินขึ้นบันไดเลย แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว
วิวข้างบนสวยมาก ๆ
ตรงนี้มี JAZZ Fest พอดี แต่ได้ยินเพลงไทยด้วย น่าจะเป็นที่จากไทยมาประกวด "รู้สึกภูมิใจ" 55555555
ปลาตัวนี้ไม่ค่อยธรรมดา ใครมาที่นี่ต้องเเชะกลับบ้านไปคนละตัวสองตัว อิอิ
หลังจากเดินครบ 4 ด้าน แล้วก็เดินลงบันไดกลับทางเดิม แต่ละชั้นก็จะมีแสดงคล้าย ๆ พิพิธภัณฑ์ของเก่า ตามชั้นต่าง ๆ แต่ผมไม่ได้เข้าไปดูนะ เรามีภารกิจต่ออีกหลายที่ 555555555 ระหว่างทางกลับก็แชะภาพไปเรื่อย ๆๆ วันที่มาตรงกับวันเสาร์ด้วย คนญี่ปุ่นก็พาครอบครัวออกมาเที่ยวด้วยเช่นกัน
กลับสู่สถานีรถไฟฟ้ามุ่งสู่ Santa Maria ซึ่งปกติแล้ว Santa Maria เสียค่าเข้าประมาณ 1,800 Y (หรือ 1,300 Y จำไม่ได้) แต่ด้วยพลังของ Amazing Pass ทำให้เราขึ้นได้ฟรี ๆ
ถึงสถานีรถไฟ Osakako แล้ว Santa Maria อยู่ใกล้ ๆ กับ อควอเรียมที่จัดแสดงโชว์สัตว์น้ำในร่มที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของ (อะไรก็ไม่รู้) เดินไปไม่ไกลมากก็จะเจอทางขึ้นเรือครับ
เฮ้ยยยยย !!! เห็นเรือแล้ว นี่คือ Santa Maria แต่ !!!!!!!! ขณะนี้เวลา 12.59 น. ขณะนี้เวลา 13.00 น. ผมกำลังก้าวขาขึ้นเรือ แต่พอครบหนึ่งชั่วโมงเป๊ะพนักงานก็เอาโซ่มาปิดเลย ทั้ง ๆ ที่ผมยังอยู่ข้างหน้าทางเข้า สุดยอดครับ คนญี่ปุ่นตรงเวลาสุด ๆ แม้จะช้าเพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ไม่ให้เราเข้า สุดท้ายผมก็ต้องไปหาข้าวกินในห้างข้าง ๆ เพื่อรอไปพลาง ๆ
มีกายกรรมเล็กให้ดูหน้าห้างด้วย
หลังจากเกินหาของกินกว่าครึ่งชั่วโมง
สุดท้ายก็มาจบด้วยสิ่งนี้ รสชาติพอใช้ได้ครับแต่เค็มไปหน่อย ชามนี้ราคา 520 Y ครับ
กลับไปขึ้นเรือครับ ครั้งนี้ก็เกือบไม่ทันเหมือนกัน เสียเวลาเพราะของกินนี่แหละ 5555 เลื่อน ๆ ช้า ๆ นะครับ แล้วมาดูบรรยากาศรอบ ๆ เรือกัน
มองรอบ ๆ เห็นวิวบางส่วนจาก USJ ด้วยนะ
หลังคาแบบนี้...คุ้น ๆ ไหมครับ
การล่องเรือที่ Santa Maria ใช้เวลาประมาณ 50 นาที นะครับ เรือออกทุก ๆ 1 ชั่วโมง หลังจากล่องเสร็จก็เดินกลับสถานีรถไฟ Osakako หิวครับ แวะ 7-11 แป๊บหนึ่ง
เข้าไปซื้อของเสร็จ ตอนจ่ายเงินนี่...แทบละลายเลย ไม่ใช่ร้อนนะแต่เป็นนนนนนนน...
หลังจากนี้เราจะไป Umeda St. > Hep five > Umeda sky building > Shinsaibashisuji ( Dontonburi river ) ป้ายกูลิโกะ นะครับ
วันแรกใน Osaka ตอนบ่าย หลังจาก Santa Maria เราก็จะไป Umeda St. > Hep five > Umeda sky building > Shinsaibashisuji (Dontonburi River)
"NEXT STATION UMEDA"
สถานี Umeda เป็นสถานีใหญ่มาก ๆ ในโอซาก้า แล้วเป็นย่านที่มีคนเยอะสุด ๆ ใหญ่จนเกือบหลง แต่ไม่หลงนะครับ 555555 หลังจากที่ออกมาจากสถานีแล้วผมก็ไป HEP FIVE ต่อ ด้วยพลังของบัตร Osaka Amazing Pass (อีกแล้ว) ทำให้ผมเข้าฟรี (อีกแล้ว) รอช้าอะไรอยู่ ขึ้นสิครับ ^^
บนตัวชิงช้า HEP FIVE ก็ติดแอร์เย็นสบาย แล้วก็มีลำโพงแล้วก็มีสายให้เสียบกับโทรศัพท์เพื่อเปิดเพลง เรียกได้ว่าเหมาะกับสถานที่ที่โรแมนติกอีกที่หนึ่งเลยครับ
อันนี้ที่เห็นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสถานีรถไฟ Umeda นะครับ
ต่อไปเป็นมุมมองด้านบนที่มองจากชิงช้า ในแต่ละทิศก็จะมีสติ๊กเกอร์แปะอยู่ เพื่อบอกว่าตึกที่เห็นเป็นตึกอะไร
HEP FIVE เป็นชิงชาสวรรค์ที่ตั้งอยู่บนห้าง HEPFIVE อีกทีครับ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ในการหมุน 1 รอบ บอกเลยว่าคุ้มมาก ๆๆ
ต่อไปผมเดินไกลพอสมควร ไกลมาก ๆๆ ไป UMEDA Sky Building ตึกระฟ้า เหมาะกับการชมวิวยามค่ำคืน เป็นอีกที่สำหรับคู่รักจริง ๆ ตัวตึกเป็นอาคารแฝด สูงประมาณ 40 ชั้น ปกติน่าจะคนละ 700 Y ผมใช้ Pass ครับก็เลยผ่านได้ฟรี ๆ
"วิวโอซะกะตอนกลางคืน มีเสน่ห์มาก ๆ"
NEXT STATION NAMBA
ส่วนตัวผมชอบเสียงพูดบนรถไฟของที่นี่นะ มันน่ารักอะ ฟังแล้วติดหูเลย >< ออกมาจากสถานีรถไฟเลี้ยวซ้ายปุ๊บก็เดินตรงไป เฮ้ยยยยยย เจอแล้ว !!!! Dontonburi River (แถว ๆ ป้ายกูลิโกะ) บางรูปถ่ายจากไอโฟนนะครับ Noise อาจจะเยอะหน่อย ไม่ว่ากันนะ บางรูปแอบแคนดิตมา หากคิดว่าไม่เหมาะสมแจ้งผมได้นะ เดี๋ยวผมแก้ไขให้ : )
เดินหาร้านทาโกะยากิเจ้าอร่อยอยู่พักใหญ่ พอเจอคนเท่านั้นแหละ โอ้มายก๊อด...แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความอยากกินของเราลดลงเลย ต่อแถวสิรออะไรอยู่ ผมใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการซื้อทาโกะยากิเพียงกล่องเดียว ถามว่าทำไมต้องร้านนี้ ก่อนหน้านี้เดินดู...เรื่องรสชาติขอยังไม่พูดถึง แต่เรื่องราคาและความคุ้มนี่ร้านนี้ชนะเลิศ ด้วยราคาเพียง 500 Y ให้มา 9 ลูก (ร้านอื่นได้แค่ 6 ลูก ในราคานี้) แต่ผมแบ่งกินกับน้าคนละครึ่งเลย มื้อนี้เสียแค่ 250 Y รสชาติบอกเลยว่าฟินสุด ๆ ต้นตำรับของแท้ ผมไม่ชอบกินทาโกะยากิที่ไทยนะ เคยกินอยู่ครั้งหนึ่งกัดเข้าไปคำแรก โอ้โหมีแต่ผัก ให้ตายเถอะหาเนื้อไม่มีเลย ที่โน้นปลาหมึกชิ้นเท่าข้อนิ้วโป้ง ผสมกับแป้งอย่างลงตัว ใครสนใจร้านนี้ให้สังเกตร้านที่อยู่ตรงสะพานข้ามคลองนะครับ คนจะต่อแถวยาวมาก ๆ หลังจากกินเสร็จก็เดินทางกลับที่พักครับผม
วันที่ 2 : เกียวโต เมืองอารยธรรม...Umeda St. > Arashiyama bamboo forest > Kinkakuji Temple > Kiyomizu Temple > Fushimi Inari > ย่าน Gion เมืองเก่า > Nishiki Market
วันนี้อากาศดี หลังจากที่เมื่อวานเมฆครึ้ม ไม่มีแดดเลย มาวันนี้แดดเปรี้ยงเลยทีเดียว ไปขึ้นรถไฟเพื่อไป Kyoto ที่ Umeda st. เนื่องจากวันนี้ผมตื่นสายเพราะเมื่อวานกลับถึงที่พัก 5 ทุ่มกว่า กับระยะทางที่เดินไปกว่า 21.3 กิโลเมตร คงเพลีย จึงทำให้เราต้องตัดที่ที่หนึ่งที่เราไป คือ Kinkakuji Temple ครับ T T วันนี้ผมก็ขึ้นรถไฟฟรีอีกแหละ เพราะวันนี้ใช้บัตร Kansai Pass ที่ซื้อมาตั้งแต่วันแรก บัตรนี้ต่างจาก Osk. Amazing Pass อย่างไร ? เดี๋ยวสรุปให้ฟังหลังจากรีวิวครบ 3 วันในญี่ปุ่นนะครับ
UMEDA ST. หลังป้ายนี้เป็นห้างที่ขายของพวกเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นกล้องหรือเลนส์ โทรศัพท์ ถูกมาก ๆ เลยครับ
รถบ้านเขาวิ่งแบบเดียวกับบ้านเรา วิ่งเลนส์ซ้าย พวกมาลัยอยู่ทางขวา แต่ที่ญี่ปุ่นไม่ค่อยเห็นขับรถยนต์ครับ รถมอเตอร์ไซค์ก็หาแทบไม่เจอ ส่วนใหญ่ใช้จักรยานใช้การเดินเท้าแทนรถมอเตอร์ไซค์ แล้วก็ใช้การขึ้นรถไฟฟ้าแทนการขับรถยนต์ครับ ประเทศนี้ (หรือเมืองนี้) ผมยังไม่เห็นรถติดเลยครับ นอกจากติดไฟแดง
ข้าวมื้อเช้ากินข้าวปั้นในสถานีแหละครับ ซื้อมาสองอัน 203 Y ครับ แต่ไม่ได้ถ่ายมา วิวข้างทางระหว่างไปเกียวโตะ บ้านคนญี่ปุ่นเล็ก ๆ น่ารัก มีเสน่ห์มาก ๆ
ที่เห็นเป็นน้ำนี่เขาทำนากันนะครับ อันนี้คงเพิ่งปลูก มีพื้นที่น้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัดหน่อย
ถึงแล้ว Arashiyama st.
Arashiyama Bamboo Forest
ระหว่างทางเจอลูกเสือด้วย น่ารักมากกกกกก อยากหิ้วกลับบ้านสักคน
ในที่สุด !!!!!! ถึงแล้วโว้ยยยยยยยยย
แต่คนเยอะมาก ๆ เลย
หลังจากออกมาดงป่าไผ่ก็เดินละแวกชุมชนแถว ๆ นั้น ก็มีร้านขายของต่าง ๆ ของฝาก ของกินมากมาย
Kiyomizu Temple
ชอบผู้หญิงแต่งตัวแบบนี้จัง (แอร้ยยยย >< )
"หลงรักใบเมเปิล"
ผมลืมไป ตอนกลางวันผมกินข้าวใน Arashiyama นะครับ
สถานที่ต่อไปคือ Fushimi Inari ผมนั่งรถเมล์จากหน้าวัดเมื่อกี้แล้วก็มาลงที่สถานี Shichijo แล้วนั่งรถไฟไปลงสถานีที่อยู่ใกล้กับศาล Fushimi Inari ครับผม วัดนี้ไม่เสียค่าเข้านะครับ ^^
น้าแวะกินทาโกะยากิแป๊บนะ ส่วนราคาไม่ได้ถามน้ามานะครับ เชื่อหรือยังปลาหมึกขนาดเท่านิ้วโป้งงงงงงง 555
วัดนี้มีเทพเจ้าเป็นหมาป่าหรือมีหมาป่าเป็นเทพเจ้าก็ไม่รู้นะครับ ไม่แน่ใจ
วู้วววววว บ๊ายบายย...กลับแล้ว ไปย่าน Gion ต่อเลยดีกว่า ไปหาของกินด้วย แต่ก็ไม่หิวนะ 5555
นั่งรถไฟแล้วไปลงในย่าน Gion เพื่อจะไปกินข้าวหน้าปลาไหลอันชื่อเลื่องลือ ที่ได้รับฉายาว่าเป็น The Best แต่ ... ร้านปิด !!!!!! ร้านปิดทุกวันอาทิตย์ ร้านอยู่ข้างซอยไปรษณีย์นี้นะครับ เป็นซอยที่สามารถเดินผ่านได้ทีละคน แคบมากกกกกกก
สรุปเลยอดกิน แต่ก็ไปหาของกินในตลาด Nishiki Market และนี่คือระหว่างทาง เจอแสงทไวไลท์ด้วยฟินสุด ๆ
จนกระทั่งพระอาทิตย์หายไป...ยังไม่ได้กิน
จนเดินเข้ามาในตลาด Nishiki
ก็เลยเข้ามากินร้านนี้ อาหารอร่อยมากกกกกก ถูกด้วย
หลังจากนั้นเราก็กลับที่พักครับ จำได้ว่าตอนนั้นประมาณ 21.00 น. (ไทย 19.00 น.) มีแข่งบอลไทยกับเวียดนาม นาทีนั้นคืออยากดูมาก ๆ (ไม่ได้เช่า Pocket Wi-Fi) ไปนะครับ โชคดีขึ้นรถไฟกลับอูเมดะด้วยความเร็ว 100 KM/Hrs เลยกลับถึงที่พักทันดูในครึ่งเวลาหลัง 5555555555
วันที่ 3 : Nara นะระ มามะ มาหากวาง...-ตลาดปลา > Namba St. >Nara Park > Todaiji Temple > Namba st. > Shinsaibashi > Apple Store > Dontonburi river (อีกครั้ง) > Rinku Outlet > Kansai Airport
มาถึงวันสุดท้ายแล้ว รู้สึกเหมือนทุกอย่างเร็วไปหมด รู้สึกเหมือนตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรเลย "ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วจัง"
การเดินทางวันที่ 3 เริ่มขึ้น ตามเเพลนที่วางคือต้องไปตลาดปลาเพื่อไปลิ้มลองซูชิกันสดใหม่ แต่ตื่นสาย (อีกแล้ว) เมื่อวานเดินไป 21.7 กิโลเมตร ทำลายสถิติวันแรกด้วยซ้ำ รวมสองวันปาไป 43 กิโลเมตรแล้ว เลยอดไป แต่ไม่เป็นไรเราต้องแข่งกับเวลา ไปสู่สถานีรถไฟนัมบะเพื่อไปต่อ Nara ขึ้นรถไฟได้ฟรีเพราะใช้บัตร Kansai Pass วันนี้วันจันทร์ วันทำงาน คนเยอะมาก
หาข้าวเช้ากิน ไปเจอร้านนี้ขายเป็นข้าวกล่องที่สถานีรถไฟที่นะระ
ราคา 518 Y (รวมภาษี) ถือไปเพราะยังหาที่นั่งกินไม่ได้ 5555
หลังจากกินเสร็จเราก็ออกเดินทางไป Nara Park กวางเต็มหมดเลยยยยยยย น่ารักกกกก
NARA PARK
"ความรัก เกิดขึ้นได้ทุกที่"
Todaiji Temple
พี่ผมทองข้างหน้าคนไทยนะครับ ถ้าพี่เห็นกระทู้นี้แสดงตัวหน่อย ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ 5555555 ^^
ตลอดมาและตลอดไป
นักเรียนญี่ปุ่นครับ น่าจะอยู่มัธยมแล้ว ตรงนี้เหมือนเป็นที่ชำระสิ่งสกปรกออกอะครับ บางคนก็ล้างมือ บางคนก็ล้างหน้า บางคนก็อม บางคนก็กิน
ถึงแล้วครับ พระที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ณ วัดโตไดจิ ค่าเข้าวัด 500 Y นะครับ
ออกมาข้างนอกเจอกวางอีกแล้วครับ 5555 เยอะจริง
โอ้ย ! เด็กอะไรไม่รู้น่ารักมาก
หาข้าวกินก่อนขึ้นรถไฟกลับ Namba Osaka ผมกินอันนี้ จานละ 950 Y ฟินมากกกกก :3
NEXT STATION NAMBA กำลังนั่งรถไฟกลับนัมบะ เพื่อไป Apple Store ที่ Shinsabashi ถึงแล้ว อะไรจะฟินเท่าการมา Apple Store ของสาวก Apple >< (เก็บภาพมาฝากบางส่วนนะครับ กลัวคนอื่นรำคาญ)
เรือนละแสน !!! Apple Watch Edition
ออกมาจาก Apple Store ก็เดินเล่นแถว ๆ Shinsaibashi แล้วก็ไป Dontonburi อีกรอบหนึ่ง กะว่าจะไปหาซื้อของฝาก
สุดท้าย Rinku Premium Outlet คือที่สุดท้ายที่เราจะไป...
อาหารมื้อสุดท้าย...บะหมี่เย็นกับไข่ดิบ
อยากจะบอกว่าใครอยากมาซื้อรองเท้าของแท้ถูก ๆ ทั้ง Adidas Nike NB รวมถึงเสื้อผ้าแบรนด์ต่าง ๆ แนะนำให้มาที่ Outlet นี้ก่อนกลับสนามบิน แล้วคุณจะไม่เสียใจทีหลัง !
สรุปทั้งทริป (เรต 0.27)
- ค่าตั๋วเครื่องบิน : 6,853 บาท
- ค่า Kansai Pass 2 Days : 4,000 Y (1,080 บาท)
- ค่า Osaka Amazing Pass 1 Day : 2300 Y (621 บาท)
- รถไฟเข้าเมืองจากสนามบิน : 920 Y (249 บาท)
- ข้าวเช้าวันที่หนึ่ง : 120 Y (33 บาท)
- ข้าวกลางวันวันแรก : 520 Y (141 บาท)
- ทาโกะยากิ : 250 Y (68 บาท)
- ข้าวปั้นมื้อเช้าวันสอง : 203 Y (55 บาท)
- วัดคิโยมิสึ : 300 Y (81 บาท)
- ข้าวกลางวันวันที่สอง : 910 Y (245 บาท)
- ข้าวเย็นวันที่สอง : 842 Y (228 บาท)
- ข้าวเช้า : 518 Y (140 บาท)
- วัดโตไดจิ : 500 Y (135 บาท)
- ข้าวกลางวัน : 950 Y (256 บาท)
- ข้าวเย็น : 710 Y (191 บาท)
รวมทั้งหมดประมาณ 10,380 บาท
จริง ๆ แล้วผมแลกเงินไปมากกว่านี้นะครับ แต่ก็พยายามประหยัดที่สุด 5555555 แต่ก็ยังคงถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ได้กินอะไรที่ไม่เคยกิน ได้เจออะไรใหม่ ๆ ที่ยังไม่ได้ไป งานนี้โคตรคุ้มครับ ถ้าสำหรับคนประหยัดจริง ๆ ข้าวกล่องแบบวันแรกก็มีอยู่เยอะครับ ซื้อใส่กระเป๋าไปกินทุกมื้อเลยก็ได้ แบบนี้ประหยัดชัวร์ 555555
"ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ การเล่าเรื่องของผมอาจจะไม่ลื่นไหล รูปภาพอาจจะเบลอ ๆ แตก ๆ สั่น ๆ บ้าง ก็เหมือนชีวิตแหละครับ ชีวิตเราก็เหมือนกันกล้องตัวหนึ่ง จะมี จะดี จะเลว ไม่มีกล้องตัวไหนที่ถ่ายได้สวยทุกใบ ไม่มีคนไหนที่เลวไปซะทั้งหมด กล้องมีเราไว้บังคับแล้วกดชัตเตอร์ ส่วนเรามีสิ่งแวดล้อมสังคมไว้บังคับให้ทำตาม คนถ่ายเก่ง = ภาพออกมาดี สิ่งแวดล้อมดี = ชีวิตก็ออกมาดี แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่ที่ตัวเองด้วยว่าโอเคแค่ไหน"
______________________________________________________
ก่อนไปเข้ามากดไลค์และติดตามเพจผมได้นะครับ จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง ^^
Page : www.facebook.com/padagott
Instagram : @Padagot
ใครมีอะไรแนะนำฝากไว้ได้เลยครับ ผมน้อมรับคำแนะนำของทุกคนเพื่อปรับปรุงและแก้ไขครับ
ขอเพิ่มอีกสองคอลเลคชั่นนะครับ 555
"บันทึกภาพด้วยกล้อง บันทึกความทรงจำด้วยใจ"
"บอกให้รู้ไว้ ว่าเราไปมาแล้ว..."
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Padagot สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก Padagot.