"ภูห้วยอีสัน" จังหวัดหนองคาย อันซีนแดนอีสาน แลนด์มาร์กที่ไม่ควรพลาดเมื่อมีโอกาสไปเยือนหนองคาย
ถ้าเอ่ยถึงชื่อ "ภูห้วยอีสัน" เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงทำหน้างง ๆ พร้อมกับมีคำถามต่อมาทันทีว่า...อยู่ที่ไหน คืออะไร ??? วันนี้เราเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับภูห้วยอีสัน ผ่านบันทึกการเดินทางของ คุณชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้นำข้อมูลดี ๆ พร้อมภาพสวย ๆ มาแบ่งปันให้เราได้ชมกันค่ะ
อีกหนึ่งพื้นที่ของคนรักขุนเขา & สายหมอก เฟซบุ๊ก chanomworld
พอเขียนถึง "ภูห้วยอีสัน" คิดว่าหลาย ๆ คนอาจยังไม่เคยได้ไปหรือไม่เคยได้ยินมาก่อน ถามว่าทำไมต้องเป็นที่นี่ ก็ต้องบอกว่ามันมีเหตุผลมากมายเช่นกันที่ต้องมาที่นี่ ในขณะเดียวกันก็มีแค่เหตุผลเดียวที่ต้องมาให้ได้ นั่นก็คือจินตนาการในแบบที่เรามีว่าจะเป็นรูปแบบและเป็นแบบไหนกัน ?
ภูห้วยอีสัน ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย ห่างจากเชียงคานหรือจุดชมวิวภูทอกราว ๆ 90 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว ๆ ชั่วโมงนิด ๆ ก็มาถึง เพิ่งค้นพบในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และเป็นอันซีนแบบไทยแท้แน่นอน
ความงดงามของภูห้วยอีสันอยู่ตรงไหน ? มันเป็นมุมมองทะเลหมอกในแบบอันซีนแบบไทยแท้ แบบฉบับลูกทุ่ง เป็นมุมมองทะเลหมอกที่สวยไม่แพ้ที่ไหน ๆ ได้บรรยากาศแบบดิบ ๆ กับมุมมองที่เราไม่ค่อยได้เห็นวิวทะเลหมอกจากมุมสูง แล้วสามารถมองเห็นแม่น้ำโขงแบบเน้น ๆ ชัด ๆ ขนาดนี้ เป็นมุมมองฟิลสัมผัส รู้สึกจับต้องได้ สัมผัสได้ประมาณนั้น การที่มันเป็นอันซีนมันคือความสดใหม่ในแบบที่เราอาจจิตนาการไปไม่ถึงและคาด เดาได้ยากเช่นกัน ไอ้ความรู้สึกแบบนี้ละที่บอกว่าเราต้องมา ต้องไปให้ได้เห็น ต้องไปให้ได้รู้ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไปที่นี่ 3 ปีติดต่อกัน
ช่วงไหนน่าเที่ยวสุด ? สำหรับผมต้องเป็นช่วงที่สามารถเห็นทะเลหมอกได้สวยที่สุด ก็ต้องอยู่ในช่วงหนาวหนัก ๆ ปลายพฤศจิกายน-มกราคมของทุกปี ทะเลหมอกมักจะมาแบบเน้น ๆ มาแบบเต็ม ๆ ในช่วงอากาศหนาว ๆ ลมนิ่ง ๆ แล้วถ้าถามกันชัด ๆ ว่าช่วงวันไหนที่ดีที่สุดที่จะได้เห็นทะเลหมอก ? คำตอบของคำถามนี้กับวันที่ทะเลหมอกมา นั่นคือวันที่ 2 ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 3 หลังจากที่อุณหภูมิลดต่ำลง ที่เราจะได้เห็นทะเลหมอกของที่นี่
ที่พักล่ะ ? ที่พักมีหลายที่ครับในตำบลบ้านม่วงที่อยู่ใกล้ ๆ กับจุดชมวิวภูห้วยอีสัน หรือถ้าใครอยากไปนอนที่ตัวอำเภอสังคมก็ได้ อยู่ห่างจากจุดชมวิวราว ๆ 10 กิโลเมตร แต่ถ้าแนะนำให้นอนที่บ้านม่วงเลย มีทั้งบ้านพัก/นอนเต็นท์ (แม่โขงริเวอร์วิวรีสอร์ท/ครัวไม้น้ำ) ตื่นเช้าตีห้ากว่า ๆ ก็ขึ้นรถอีแต๊ก ที่มีบริการไว้ในจุดที่ให้บริการ และใช้เวลาในการนั่งรถอีแต๋นขึ้นภูราว ๆ 20 นาทีเท่านั้นเอง
ผมยังจำความรู้สึกของภูห้วยอีสันในปีนั้นได้เป็นอย่างดี แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะต้องทำให้ผมกลับไปที่นี่ถึง 3 ครั้ง ในช่วงฤดูหนาวของปีนี้ <พฤศจิกายน 2557-มกราคม 2558> ทริปแรกของฤดูหนาวปีนี้เกิดขึ้นมาในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2557 พวกเราพักกันที่ แม่โขงริเวอร์วิวรีสอร์ท ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดบริการพาเที่ยว
แล้วเช้านั้นผมก็ตื่นแต่เช้ามืด รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่เอื้อให้เกิดทะเลหมอก อากาศที่คาดว่าจะหนาวกลับอุ่นขึ้นแบบที่ไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวเลย
ความคาดหวังของผมนะหรือมีแค่ไหน ? ก็มีขนาดขับรถมาตั้ง 700 กิโลเมตร เพื่อมาที่นี่ สิ่งที่ผมอยากเห็นคือความทรงจำแบบที่ผมหลงรัก "ทะเลหมอกสีขาววิวแม่น้ำโขง"
ตอนที่นั่งรถอีแต๊กขึ้นมาผมก็มองลงไปทางด้านหลังตลอดว่า...มีหมอกไหม ? ทั้ง ๆ ที่รู้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ด้านล่างว่าวันนี้ไม่มีแน่ ๆ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะลุ้นทุกที
ทะเลหมอกที่เหมือนไม่มีเลยสักนิด แต่กลับค่อย ๆ พองตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ได้ยินนักท่องเที่ยวตะโกนดังขึ้นมาว่า "มาแล้ว นี่แหละพลังของแม่น้ำโขง" ความคาดหวังที่เหมือนหายไปในตอนเช้ามืด เริ่มกลับเข้ามาทีละนิด ๆ แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจว่ามันจะมาได้แค่ไหนกับอากาศที่ไม่ได้หนาวเลย
พอทะเลหมอกไม่มาอย่างที่คิดความรู้สึกบางอย่างของผมก็เริ่มลดลงทันที แต่ในขณะเดียวกันบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของผมทีละนิด ๆ
ผมยังคงทำแบบเดิม ๆ เหมือนกับทุก ๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเดินทางไปเที่ยวที่ไหน นั่นคือเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศของขุนเขาและสายหมอกขาว
ผมก็ส่งท้ายของทริปครั้งนี้ด้วยความทรงจำบาง ๆ แบบนี้ ความทรงจำที่ไม่ได้อยากได้ กับภาพใบสุดท้ายที่ผมเก็บมาจากที่นั่น
ภูห้วยอีสัน @ ปลายเดือนพฤศจิกายน 2557 วันที่ความทรงจำของภูห้วยอีสันหายไป
ทริปนั้นจบลงพร้อม ๆ กับการเดินทางกลับมาถึงบ้าน กับแผนบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น ผมขับรถลุยเดี่ยวไปคนเดียว มันเป็นการไปภูห้วยอีสันคนเดียวครั้งแรกของชีวิตเลย กับการขับรถข้ามคืนอีกครั้งในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2557 กับระยะทางราว ๆ 700 กิโลเมตร
การกลับมาในสถานที่เดิม ๆ แบบนี้ในรอบ 1 เดือน ถือว่าต้องใช้ความรู้สึกบางอย่างพอสมควร ผมไม่ว่ารู้ว่ามันคืออะไร แต่ถ้าให้เป็นคำจำกัดความสั้น ๆ มันคือ "การแก้มือ"
แล้วภูห้วยอีสันในครั้งที่ 2 นี้ ก็ทำให้ผมผิดหวังซ้ำอีกรอบ รู้สึกหมดแรงอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็คงไม่เท่ากับความเชื่อมั่นบางอย่างที่กำลังหายไป
ภูห้วยอีสันเช้านี้สวยไหม ? สวยมาก...สวยแบบที่มันเคยสวยยังไงก็ยังสวยแบบนั้น แต่สำหรับวันนี้ผมอยากได้ความทรงจำอีกแบบหนึ่งมากกว่า
ผมเริ่มคิดว่าทำไมถึงไม่เจอทะเลหมอก ทั้งที่อากาศเช้าวันนี้ก็เย็นกว่าครั้งก่อน คนขับรถอีแต๊กยังบอกเลยว่าวันนี้เจอแน่ ๆ แต่มันก็เป็นแบบนี้
ในขณะที่คนอื่นจากไปพร้อม ๆ กับความคาดหวังที่ไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น แต่ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม ๆ เฝ้ารอและรอปาฏิหาริย์บางอย่าง
ปาฏิหาริย์ที่ผมเคยรู้จัก บางทีมันก็ใช่สำหรับคนอื่นแต่บางทีมันก็ไม่ใช่สำหรับเรา
ในขณะที่ผมรอปาฏิหาริย์...รถอีแต๊กหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ เหลือไว้แค่ผมคนเดียวบนภูห้วยอีสันเพียงลำพัง แต่สุดท้ายก็มีชาวบ้านที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาทำสวนยางพาราอยู่บนนั้นเห็นผมเข้า เลยพาผมมาส่งที่จุดบริการไม่อย่างนั้นได้เดินขาลากแน่ ๆ
ผมใช้เวลาที่รีสอร์ทแม่โขงริเวอร์วิวรีสอร์ทไปกับการดูทีวี อ่านหนังสือ และตัดสินใจพักอีกหนึ่งคืนเพื่อลุ้นทะเลหมอกอีกวัน แล้วเย็นวันนั้นผมไม่รู้จะทำอะไรดี เลยขับรถไปอีกราว 30 กิโลเมตร เพื่อไปชมวิวตะวันตกดินที่วัดผาตากเสื้อ
มันเป็นจุดชมวิวที่สวยมาก ๆ รับกับแสงยามตะวันตกดิน แล้วผมก็เริ่มคิดถึงบางอย่าง...บางอย่างสำหรับเช้าวันพรุ่งนี้
เช้าวันถัดมาผมตื่นตั้งแต่ตี 4 แล้วรีบขับรถลัดเลาะแม่น้ำไปตามไหล่เขา ผมจอดรถจุดชมวิวก่อนถึงวัดผาตากเสื้อราว ๆ 500 เมตร
ผมไม่กล้าลงจากรถเพราะมันมืดมาก ๆ และก็ไม่กล้าดับเครื่องยนต์ด้วย เหตุผลบางอย่างรู้สึกกลัว แต่มีความกล้ามากกว่า...ผมมองนาฬิกาตอนนี้เพิ่งตี 5 เองผมกะมาที่นี่เพื่อมาดูทะเลหมอกในมุมที่แปลกตาและอันซีนกว่า และถ้ามีเวลาเหลือพอผมจะรีบกลับไปดูทะเลหมอกที่ภูห้วยอีสัน
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลาหรือความพยายามที่ใส่ความคาดหวังไปเต็ม ๆ
ผมใช้เวลาที่วัดผาตากเสื้อลุ้นทะเลหมอกจนถึงเริ่มสว่าง เริ่มมั่นใจว่าต่อให้ไปดูที่ภูห้วยอีสัน...ก็คงไม่ต่างจากที่นี่
ผมเลยตัดสินใจฆ่าเวลาและลุ้นทะเลหมอกแบบเบา ๆ อยู่ที่นี่ ก่อนที่จะต้องเดินทางไกลราว ๆ 700 กิโลเมตร เพื่อกลับบ้าน
ความรู้สึกบางอย่างบอกกับผมว่าทำไมถึงพลาด มันพลาดตรงไหน เดือนพฤศจิกายน 2557 กับ 1 คืน 1 เช้า ที่ภูห้วยอีสัน ผมก็พลาดเดือนธันวาคม 2557 กับ 2 คืน 2 เช้า ที่ภูห้วยอีสันผมก็พลาดอีก นี่ยังไม่รวมกับเส้นทางที่ผมต้องพ่วงด้วยทุก ๆ ครั้งเวลามาเที่ยวที่นี่ คือ ไปลุ้นทะเลหมอกที่ภูทอก และผลก็เหมือนกับที่ภูห้วยอีสันเลย
ระดับความนอยด์ไม่ต้องพูดถึง นอยด์มาก ๆ ถึงมากที่สุดรู้สึกว่าพอแล้ว สำหรับการลุ้นทะเลหมอกบนถนนสายนี้
ไม่ว่าจะเป็นภูทอกหรือภูห้วยอีสัน...คงไม่มาอีกแล้ว
ผมเดินทางกลับถึงบ้านแล้วก็มีบางอย่างค่อย ๆ ผุดขึ้นมาในหัว นั่นคือ ความค้างคาใจที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นอย่างเรื่อย ๆ แล้วผมก็ทำแบบเดิม คือ กลับมาลุ้นทะเลหมอกทีนี่อีกครั้งในช่วงกลางเดือนมกราคม 2558 ที่ผ่านมา และมาแบบลุยเดี่ยวมันดูเหมือนบ้านะที่ตัดสินใจทำอะไรแบบนี้ กับการขับรถข้ามคืน 700 กิโลเมตร อีกครั้ง
เป็นความพยายามครั้งที่ 3 ที่ผมกะว่าต้องเอาให้ได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามสำหรับเดือนสุดท้ายของฤดูหนาว ผมค้างที่เชียงคานก่อนในทริปนั้น แล้วเช้าวันถัดมาผมขึ้นภูทอกตั้งแต่ตี 5 แล้วรู้ได้เลยว่าทะเลหมอกไม่มีแน่ ๆ ผมรีบลงจากภูทอกทันที แล้วรีบขับรถลัดเลาะไปตามไหล่เขาริมแม่น้ำโขงระยะทาง 90 กิโลเมตร เพื่อไปภูห้วยอีสันต่อ และผมก็ทำได้ตามที่วางไว้ กับแผนที่สร้างโอกาสการลุ้นทะเลหมอกให้มากขึ้น แต่เช้าวันนี้ก็ออกมาแบบนี้ เช้าแห่งโบนัสพยายามที่ผมลุ้นทะเลหมอกถึง 2 สถานที่กลับพลาดไปอย่างไม่น่าเชื่อ
รู้สึกไม่เหนื่อย ๆ และไม่เสียดายที่วันนี้พลาดทั้ง 2 ที่ มันเหมือนกับหนังที่ฉายซ้ำรอบเดิม เหมือนกับ 2 ทริปนั้น ผมรู้สึกไม่มีอะไรจะพลาดอีกแล้ว ไม่ได้รู้สึกเสียดายเพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายของฤดูหนาวปีนี้
ผมใช้เวลาบนภูห้วยอีสันราว ๆ 2 ชั่วโมง ก็ลงมาเข้าที่พักที่รีสอร์ทเดิมที่เคยพักมานอนทีนี่บ่อยมาก ๆ จนรู้สึกเขิน ๆ "แม่โขงรีเวอร์วิวรีสอร์ท" คืนนั้นผมรู้สึกกังวลบางอย่าง รู้สึกว่าจะเอายังไงดีหากวันพรุ่งนี้จะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้
เช้าวันถัดมาก็มาถึง...ผมตื่นนอนตั้งแต่ตี 4 รู้สึกได้ถึงความหนาวระดับ 8 องศา หนาวจนพูดออกมาแล้วมีควันออกจากปาก...แล้วรถแต๊ก ๆ ก็พาผมขึ้นภูอีกครั้ง
คนขับรถอีแต๊กบอกว่าวันนี้มีแน่ ๆ มีร้อยเปอร์เซ็นต์ และผมก็รู้สึกถึงคำพูดนั้นระหว่างนั่งรถบนอีแต๊กก็มองไปทางแม่น้ำ...ผมมอง เห็นบางอย่างบนผิวน้ำ
แต่พอขึ้นไปถึงด้านบนในตอนตี 05.30 น. ผมแทบร้องไห้เลย คือทะเลหมอกไม่มีแล้วไหนคนขับบอกว่ามีแน่ ๆ วันนี้ยังไงก็มีร้อยเปอร์เซ็นต์
ผมยังจำได้เลยว่าก่อนที่จะเลือกวันมาผมทำอะไรไปบ้าง ทั้งเช็กอากาศทุก ๆ วัน ติดตามผลทะเลหมอกจากเพจบ้านม่วง@หนองคาย ที่คอยอัพเดทวิวทะเลหมอกของที่นี่
แล้วยังได้คุยกับพี่เจ้าของเพจ ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ของที่นี่ได้แนะนำช่วงเวลาที่ดีที่สุดมาให้ผม เขาบอกกับผมว่าถ้าอยากจะมาเห็นทะเลหมอกที่นี่ต้องมาช่วงวันไหนหรือตอนไหน ?
ผมยังจำได้แม่นเลยว่า...เขาบอกผมว่าให้ผมมาลุ้นทะเลหมอกในเช้าวันที่ 2 ที่อุณหภูมิลดต่ำลงเช้าวันที่ 2 แบบนั้นทะเลหมอกจะหวนกลับมาเสมอ และวันนี้ก็คือวันที่คำนวณไว้...แล้วยังไงดี
คนขับรถอีแต๊กบอกว่าเขาขึ้นมาด้านบนตอนตี 4 กว่ารอบหนึ่งทะเลหมอกมาเป็นแพเลยแล้วลอยหายไปในตอนตี 5 เขาบอกผมว่าเดี๋ยวมันจะลอยมาอีก มีลุ้นแน่ ๆ เช้านี้
ผมนั่งไม่ติด รู้สึกนิ่งไม่ได้ ออกมายืนชะเง้อดูทั้งที่ยังมืดอยู่เลย แล้วหมอกจากไหนก็ไม่รู้...เริ่มลอยมาตามแม่น้ำมาทีละนิด ๆ
มันเป็นความรู้สึกที่บางทีผมรู้สึกผมทำหายไปตั้งแต่ไหนไม่รู้ ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว กับการได้ลุ้นทะเลหมอกแบบวันนี้
รู้สึกดีใจอย่างที่สุดกับทะเลหมอกบนภูห้วยอีสันเช้านี้มัน เหมือนเป็นภารกิจที่ต้องผ่านไปให้ได้หรือต้องทำให้ได้เป็นภารกิจที่ไม่ได้ทำ เพื่อใคร ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้นกับการเดินทางบนถนนสายนี้...5 เช้าบนภูห้วยอีสัน
ทะเลหมอกที่เป็นทะเลหมอกแบบของจริงจับต้องได้ สัมผัสได้ และรู้สึกได้ขนาดนี้
จะกี่เช้าต่อกี่เช้าผมก็ยังทำแบบเดิม ๆ แบบที่เคยทำ นั่นคือเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของทะเลหมอกสีขาวแบบนี้
ทะเลหมอกที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงมุมมองได้ในทุก ๆ ช่วงเวลา เหมือนกับสีของแสงยามเช้าที่กำลังจะเปลี่ยนความทรงจำในครั้งนี้
ผมใช้เวลาในการเดินไปตรงนั้นที ตรงโน้นที และก็ทำแบบเดิม ๆ แบบที่เคยทำ เก็บภาพความทรงจำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
ภาพที่ผ่านมุมมองเรื่องราวที่กล้องไม่สามารถเก็บรายละเอียดได้ทั้งหมด เป็นอีกหนึ่งภาพที่บอกเล่าเรื่องราวมากมายของผมได้ขนาดนี้
ภาพที่มีความทรงจำของสายหมอก คือ ภาพจำสำหรับผม4 เช้าที่ผ่านมา มันเหมือนความทรงจำระหว่างทางแบบนั้นเลย
ความทรงจำที่ไม่ได้มีทะเลหมอกแต่กลับทำให้สิ่งนั้นเติบโตมาเรื่อย ๆ ผมเรียกมันว่าความค้างคาใจที่ผมสะสมมันมาตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา
ผมไม่รู้หรอกว่าผมจะจัดการสิ่งนี้ให้หายไปด้วยวิธีแบบไหน ? ผมก็เลยกลับมาที่นี่ถึง 3 ครั้ง กับ 5 เช้า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
5 เช้าที่บอกว่า.......ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน และความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
บางทีก็ต้องใช้โอกาส บางทีก็ต้องใช้จังหวะ แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ยังคงเป็นไปได้
เหมือนกับเช้าวันนี้...อีกหนึ่งเช้าที่สวยที่สุด เช้าที่บางอย่างหายไปและบางอย่างได้คืนกลับมา
ถ้าความเป็นไปได้อีกความหมายหนึ่งหมายถึงการโบยบิน ผมก็รู้สึกคล้ายจะเหมือนเป็นนก ที่บินอยุ่บนน่านฟ้าที่ไหนสักที่
มันเหมือนกับมุมมองของชีวิตแบบเรา ๆ ที่การโบยบินอาจจะเป็นความหมายที่หมายถึงการได้ทำอะไรสักอย่างในแบบฉบับที่ เราชอบ ในรูปแบบที่เราอยากทำ
และที่สำคัญมันก็ต้องทำให้รู้สึกดี มีความสุขจนเราอยากจะบินแล้วบินอีก อิสระจนไม่มีอะไรให้ค้างคาใจ เหมือนกับ 5 เช้าที่ผมพยายามมาอยู่ที่นี่
เช้าที่ผมพยายามหาข้ออ้างที่จะมาที่นี่ ว่าเป็นของขวัญวันปีใหม่ที่ซื้อให้ตัวเองของขวัญที่ผมอยากได้มากที่สุดจาก ธรรมชาติในปีนี้ นั่นก็คือ ทะเลหมอกของที่นี่
จากปลายเดือนพฤศจิกายน 2557 ที่ผมมาที่นี่ 1 เช้า แล้วก็รู้สึกบางอย่างกลับบ้านไป......
แล้วปลายเดือนธันวาคม 2557 ผมก็มาที่นี่ 2 เช้า เพื่อตามหาบางอย่าง......ที่หาไม่เจอในทริปก่อน
จนมาถึงทริปล่าสุดกับกลางเดือนมกราคม 2558 ผมก็มาที่นี่ 2 เช้า เพื่อทิ้งบางอย่างไว้.......และนำบางอย่างกลับคืนมา
นับไปนับมาผมมาดูทะเลหมอกที่นี่ถึง 7 เช้า ในช่วง 2 ปี ปีหนึ่งผ่านไปไวมาก ไวแบบที่เราตื่นมาก็เป็นอีกปีเลย....ไวจนบางทีเราก็รู้สึกทำอะไรได้นิดเดียว บางอย่างก็ทำหายไปตั้งเยอะ บางอย่างที่ไม่ได้อยากได้ก็สะสมกันเป็นก้อนโตเลย
บางอย่างก็เป็นเรื่องราวที่ทำให้เรารู้สึกดี บางอย่างก็กลับทำให้เรารู้สึกแย่แต่สุดท้ายมันก็ผ่านพ้นไป...ในแบบที่บางที เราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
มันเป็นของขวัญที่ถูกใจ เป็นความทรงจำที่ไม่ได้มาได้ง่าย ๆ เป็นของขวัญที่บอกถึงความสุขในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ
บางทีความสุขก็ไม่รู้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่ ???? เหมือนกับที่เราก็ไม่รู้ว่ามันจะจากไปตอนไหน ?
ความสุขอะไร ๆ หรืออะไรก็ตาม บางทีเราก็ต้องพยายามจินตนาการให้ได้ว่ามันว่ามันคืออะไร ?
บางทีก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ๆ หรือทำอะไรเพิ่มขึ้นในแบบที่มากขึ้น มากกว่าการได้นอนในกลางคืนแล้วตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
และบางทีความสุขในแบบที่ผมหมายถึงนี้อาจจำเป็นต้องใส่ใจกับมันมากกว่าปกติ
มากกว่าการที่เราเคยเอาของบางอย่างใส่ไว้ในลิ้นชักตรงโต๊ะทำงานของเรา มันอาจจะต้องใส่ใจในแบบที่มากกว่าการเก็บรักษาแบบนั้น
เพื่อให้วันหนึ่งวันที่ยังมาไม่ถึง เป็นอีกหนึ่งวันที่ทำให้เราได้มองย้อนกลับมาเราจะได้เห็น ได้เข้าใจว่าความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นความสุขแบบไหน ?
เผื่อวันหนึ่งที่เราอยากจะได้ความสุขหรืออยากได้ความทรงจำแบบนี้อีกครั้งเรา จะได้ทำมันได้...และทำมันเป็นเหมือนกับที่ผมทำมันได้ในเช้าวันนี้
และการเดินทางของผมบนถนนสายนี้กำลังจะจบลงไปพร้อม ๆ กับความค้างคาใจที่ค่อย ๆ หายไป เหลือไว้เพียงสิ่งที่สะท้อนเรื่องราวที่บอกถึงความพยายามและคุณค่าของปลาย ทาง ณ ที่แห่งนี้
>>>>>> ภูห้วยอีสาน @ ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย <<<<<<<
[อีกหนึ่งพื้นที่ของคนรักขุนเขา & สายหมอก เฟซบุ๊ก chanomworld]
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก chanomworld