เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณแมลงเม่าบินเข้าดวงใจ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
หนาวนี้ไปเที่ยวไหนดี ? คำถามยอดฮิตของเหล่าบรรดานักเดินทาง ที่เมื่อสายลมหนาวเริ่มพัดผ่านเข้ามากระทบผิวกาย ก็แหม...ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย แถมแต่ละแห่งก็งดงามไม่แพ้ใคร ซึ่งหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนเดินทางก็คงหนีไม่พ้น "ภูชี้ฟ้า" จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะภาพของทะเลหมอกกว้างไกลสุดสายตา โอบล้อมขุนเขา และภาพของยอดภูที่ชี้ขึ้นไปบนฟ้า ที่มันช่างเข้ากันได้เป็นอย่างดี
นั่นแน่ ! เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงอยากไปเห็นภาพความงามของภูชี้ฟ้าด้วยตาตัวเองกันแล้ว เอาเป็นว่าลองไปชมบันทึกการเดินทางและภาพถ่ายสวย ๆ ของ คุณแมลงเม่าบินเข้าดวงใจ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เพื่อเก็บข้อมูลกันก่อนดีกว่า ^^
เวลาลมหนาวพัดมาเมื่อไหร่ มันทำให้ผมอดคิดถึงวันเก่า ๆ ที่ผ่านมาไม่ได้ แสงแดดอ่อน ๆ ลมโชย ๆ อากาศเย็น ๆ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ผมเป็นคนรักการท่องเที่ยว ชอบการเดินทาง ชอบธรรมชาติ ชอบวิถีชีวิตผู้คน อาจจะเป็นเพราะผมซึมซับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มาจากพ่อกับแม่ตั้งแต่วัยเด็กก็เป็นได้
"อากาศหนาว และไหว้พระ" เป็นโจทย์หลักในการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวของผม เพื่อตามใจพ่อกับแม่ ในขณะที่กรุงเทพฯ ยังร้อนแดด และในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ ผมจึงตั้งเป้าไปหาอากาศเย็น ๆ ทางโซนภาคเหนือ ดินแดนที่ผมหลงรัก เพราะวัฒนธรรม นิสัยใจคอ น้ำใจ ประเพณี ทุก ๆ อย่างมันเป็นอะไรที่ลงตัวสุด ๆ "เชียงราย" จึงเป็นจุดหมายปลายทางของเรา
เนื่องจากปีที่แล้วผมพาพ่อกับแม่ขับรถมาเที่ยวแม่ฮ่องสอน ซึ่งเราต้องเดินทางจากกรุงเทพฯ มันค่อนข้างหนักหนาเอาการสำหรับคนนั่งและคนขับ แถมยังต้องใช้เวลาหลายวันเกินไป ปีนี้เราจึงเปลี่ยนแผนมาบินไป แล้วไปหารถเช่าเอาที่โน่น น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า บวกกับตั๋วเครื่องบินฟรีของแฟนผมยังเหลือ เราจึงตกลงบินไปลงเชียงใหม่ ถึงแม้จุดหมายเราจะอยู่เชียงราย เนื่องจากผมติดค้างแม่ไว้ว่าจะพาขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ หลังจากปีก่อนที่เวลาเราไม่พอ
ทริปนี้ผมมีเวลา 3 วัน 2 คืน ในการเดินทางไปเที่ยวให้คุ้มที่สุด เป้าหมาย คือ ทะเลหมอกภูชี้ฟ้า และไร่ชาดอยแม่สลอง ผมจึงเลือกไฟล์ทเช้าที่สุด เผื่อการเดินทางไปเชียงรายและเส้นทางขึ้นเขาที่ผมไม่คุ้นเคย
"พระธาตุดอยสุเทพ" จุดหมายของเช้าวันแรกที่เราเดินทาง ละอองฝนและสายหมอกเอื่อย ๆ ลอยช้า ๆ ตอนรับ สิ่งแรกที่สัมผัสได้ คือ อากาศที่นี่มันช่างแตกต่างจากกรุงเทพฯ ราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว อากาศสดชื่น ธรรมชาติบริสุทธิ์
เจดีย์ทรงเชียงแสน สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นเชียงใหม่ท่ามกลางสายหมอก
ชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวที่นี่หนาตามากกว่านักท่องเที่ยวชาวไทย
นักท่องเที่ยวเดินเวียนสวดมนต์รอบพระธาตุ
ธรรมชาติทางภาคเหนือช่วงปลายฝนต้นหนาวนี่ ให้ผมมีเวลามาอยู่เป็นเดือน ๆ ก็คงไม่เบื่อ ไม่ว่าผมจะมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็ไม่เคยเหมือนเดิมเลยสักครั้ง มันมีเสน่ห์และแรงดึงดูดให้หลงใหลจริง ๆ
การมาเที่ยวเชียงใหม่-เชียงรายรอบนี้ผมวางแผนการเดินทางไว้คร่าว ๆ เส้นทางการเดินทางจะเป็นวงกลม เริ่มจากเชียงใหม่ วนไปทางดอยสะเก็ด > เวียงป่าเป้า > แม่สรวย > แม่ลาว > เชียงราย > เทิง > ภูชี้ฟ้า ทางกลับผมวางแผนกลับมาเชียงใหม่ ทางเส้นดอยแม่สลอง > แม่อาย > ฝาง > ไชยปราการ > เชียงดาว > แม่แตง > แม่ริม > แล้วเข้าเชียงใหม่
หลายต่อหลายครั้งที่ผมได้มีโอกาสมาทำงานที่เชียงใหม่ ได้กินอาหารเหนือ ซึ่งไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่ประทับใจ ครั้งนี้มีโอกาสเลยพาพ่อไปกับแม่ไปลองชิมอาหารเหนือร้านหนึ่งที่ผมประทับใจ อาหารร้านนี้ค่อนข้างอร่อยเลยทีเดียว มีหลากหลายเมนู มีผักให้แกล้มอาหารได้ โดยหยิบเอาตามใจชอบ บรรยากาศดี ใครสนใจลองไปตามดูใน facebook ของร้านดูแล้วกันนะครับ เฮือนใจ๋ยอง อาหารพื้นเมืองยอง ร้านนี้ตั้งอยู่บนถนนสาย 1317 กม.9 ออกมาทางสันกำแพง
เนื่องจากผมมีเวลาน้อย จึงไม่ค่อยได้เก็บภาพมาเท่าไหร่ บวกกับหิวด้วยเลยไม่ทันได้ถ่ายภาพเลย อาหารหมดไวมาก ^^
ตำมะเขือ ลาบคั่ว เชียงดาผัดไข่ จริง ๆ มีอีกหลายเมนูครับ แต่ไม่ทันแล้ว หิวมาก
ทริปนี้ผมตั้งใจว่าการเดินทางจะไม่เร่งรีบ เดินทางเรื่อย ๆ เพื่อเสพบรรยากาศสองข้างทาง อยากสัมผัสอากาศให้ได้อย่างเต็มที่ เพราะพ่อกับแม่ผมไม่มีโอกาสได้มาเที่ยวไกล ๆ บ่อยมากนัก
เราเดินทางออกจากเชียงใหม่มาตามทางดอยสะเก็ด เวียงป่าเป้า เพื่อมุ่งหน้าไปเยี่ยมชมวัดร่องขุ่น ของอาจารย์เฉลิมชัย ยอมรับเลยจริง ๆ ว่าธรรมชาติสองข้างทางทำให้ผมใช้เวลาเดินทางจากเชียงใหม่ถึงเชียงรายมากกว่าปกติ ถ้าเป็นคนอื่น ๆ คงใช้เวลาประมาณสัก 2 ชั่วโมง แต่สำหรับผมใช้เวลาไป 3 ชั่วโมงนิด ๆ ขับรถช้า ๆ ชมธรรมชาติไปเรื่อย ๆ
วัดร่องขุ่น ออกแบบโดย อาจารย์เฉลิมชัย ถ้ามาจากเชียงใหม่ทางเวียงป่าเป้าจะถึงก่อนจังหวัดเชียงรายประมาณ 10 กิโลเมตร
เป้าหมายในคืนแรกของเราอยู่ที่ ภูชี้ฟ้า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้สัมผัส เคยเห็นแต่ใครต่อใครเขาก็ไปกัน คนโน้นคนนี้บอกว่าสวย เราก็ได้แต่คิดในใจว่าจะหาโอกาสมาเยือนให้ได้สักที ข้อมูลที่พักผมหาไปไม่มาก เดาไม่ออกด้วยซ้ำว่าภูชี้ฟ้าเป็นยังไง เราจะไปนอนที่ไหน ต้องทำยังไงบ้าง
บริเวณลานกิจกรรมของชุมชน มีเพิงขายของ ร้านค้า และที่พักมากมาย แต่ละที่ราคาไม่แพง ที่นี่ยังเป็นที่ต่อรถสองแถวขึ้นไปบนยอดภูชี้ฟ้าด้วย ซึ่งเขาจะมาต่อรถกันประมาณตี 5 เพื่อขึ้นไปบนยอดภูที่อยู่ห่างไปประมาณ 2 กิโลเมตร รถเก๋งสามารถขึ้นไปได้นะครับ ทางคดเคี้ยวเล็กน้อย ช่วงไม่ใช่เทศกาลขับขึ้นไปจอดที่ลานจอดได้เลย
ผมไปถึงข้างบนก็ฟ้ามืดแล้ว มีแต่สายหมอกและอากาศที่หนาวจับใจคอยต้อนรับในค่ำคืนแรก
นักท่องเที่ยวช่วงนี้ยังไม่เยอะครับ มีมาเดินเล่น เดินถ่ายรูปบ้าง แต่ผมเลือกที่จะไปตามล่าช้างเผือก แต่เมฆเยอะไปหน่อย แล้วหาสถานที่ถ่ายดี ๆ ไม่ได้ด้วย เนื่องจากมาถึงค่ำแล้ว ไม่รู้ตรงไหนมีอะไรบ้าง
กาแล็กซีทางช้างเผือกผ่านกลุ่มเมฆ
บอกได้เลยว่าผมเป็นอีกคนที่ปฏิเสธการเที่ยวต่างประเทศ แม้จะมีคนหยิบยื่นโอกาสมาให้แบบฟรี ๆ ไม่รู้ทำไมผมถึงหลงรักเมืองไทยมากกว่า มันมีอีกหลาย ๆ ที่ที่ผมอยากไปสัมผัส และครั้งนี้ที่ตัดสินใจมา ภูชี้ฟ้า บอกได้คำเดียวว่าประทับใจมาก ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบายได้หมด
แสงแรกของวันกระทบกับยอดภูชี้ฟ้า ทำเอาผมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะกดชัตเตอร์รัวแบบไม่ยั้ง
ธรรมชาติที่นี่บริสุทธิ์มากจริง ๆ อากาศเย็นสบายมากสำหรับผม ถึงแม้คนอื่น ๆ บอกว่าหนาวก็เถอะ ผมบอกตรง ๆ ว่าไม่รู้จะอธิบายยังไง แสงทองของแดดยามเช้า สายหมอกเอื่อย ๆ ไหลผ่านทิวเขาไปช้า ๆ ยอดหญ้าไหวตามแรงลม หยดน้ำค้าง มันทำให้เหมือนโลกของผมมันหยุดลงตรงนั้นเลยทีเดียว
สายหมอกที่ไหลมาทักทายนักท่องเที่ยวยามเช้า
ผมเลือกที่จะไม่ขึ้นไปยืนบนยอดภูชี้ฟ้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อจะเก็บแสงแรก พร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ตรงจุดชมวิวด้านล่าง ถึงแม้จะต้องลุยหญ้าฝ่าน้ำค้างจนรองเท้าชุ่มไปด้วยน้ำก็เถอะ
สายหมอกไหลมาโอบกอดตรงจุดที่เรายืนถ่ายภาพตลอดเวลา มันเหมือนภาพในฝันที่ไม่คิดว่าจะมีจริง ๆ
บางคนอาจบอกว่าผมพูดเกินจริง แต่สำหรับคนในเมืองแบบผมที่ไม่ได้มีโอกาสได้มาสัมผัสบ่อย ๆ บอกได้เลยว่าอิจฉา อยากมาอยู่ อยากมาใช้ชีวิตแบบนี้ อยากเจอธรรมชาติแบบนี้ทุก ๆ วัน
พระอาทิตย์แอบโผล่มาทักทายหลังก้อนเมฆ
ทิวเขาและม่านหมอกที่ไหลผ่านมาจากฝั่งแขวงไชยบุรี ประเทศลาว
นักท่องเที่ยวในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ยังไม่เยอะเท่าไหร่ ภูชี้ฟ้าในช่วงหน้าหนาวนี่แนะนำว่าต้องรีบขึ้นไปหน่อย สักประมาณตี 5 กำลังดี เนื่องจากต้องเดินจากลานจอดรถขึ้นไปบนจุดชมวิว มีระยะทางพอสมควร แนะนำให้พกไว้ฉายไปด้วยนะครับ แล้วก็ทางเดินค่อยข้างลื่น ต้องระมัดระวังกันสักหน่อย
จุดชมวิวบนยอดภูชี้ฟ้านี่จะมองเห็นทิวเขาสูงได้สุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
จุดถ่ายภาพให้เห็นยอดภูชี้ฟ้าครับ ค่อนข้างอันตรายหน่อย เพราะข้าง ๆ เป็นเหวลึก
สายหมอกที่กำลังก่อตัวจากก้นเหวลึก และกำลังไหลผ่านขึ้นไปบนสันเขา
สายหมอกที่นี่ค่อย ๆ ไหลข้ามเขาไปแล้วก็ไปรวมตัวกันอยู่หุบเขาอีกฝั่ง ก่อตัวเป็นทะเลหมอกยิ่งใหญ่สุดหูสุดตา
ทางเดินตามสันเขาที่จะมองเห็นหุบเหวฝั่งลาวด้านซ้าย และหุบเขาที่เต็มไปด้วยทะเลหมอกฝั่งขวา...ฝั่งไทย
สายหมอกที่ก่อตัวเตรียมล่องลอยออกมาให้ยลโฉม
สันเขาสูงที่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ ต้นกำเนิดแหล่งน้ำและความชุ่มชื่น
ทะเลหมอกและธรรมชาติที่นี่มันยิ่งใหญ่ จนทำให้เรารู้สึกว่าตัวเล็กจิ๋วลงไปเลยทีเดียว
สายหมอกมันดูนุ่มน่าลงไปนอนจริง ๆ
ความยิ่งใหญ่ของขุนเขาที่ดูแข็งแกร่ง และความนุ่มนวลของสายหมอก มันประสานกันได้อย่างลงตัวที่สุด
ทะเลหมอกน่าลงไปนอนไหม
ธรรมชาตินี่มันยิ่งใหญ่จริง ๆ
แสงสีทองยามเช้า กับความยิ่งใหญ่ของขุนเขา และมนุษย์ตัวเล็ก ๆ
ธรรมชาติ
หุบเขาฝั่งแขวงไชยบุรี ประเทศลาว
ทุ่งนาฝั่งลาวครับ
เด็ก ๆ ชาวเขามาคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนภูชี้ฟ้า
เด็ก ๆ แต่งตัวจัดเต็มมาเลย เพื่อให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย แลกกับทุนการศึกษาเล็กน้อย
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่ค่ะ