ตะลุย Patagonia สุดขอบโลกที่ธรรมชาติรังสรรค์ความงาม

Patagonia


          วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ตามบันทึกการเดินทางของ คุณ SinghaphanAllB สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ไปเยือน "ปาตาโกเนีย (Patagonia)" ดินแดนสวรรค์ที่รวมเอาทะเลสาบ ทุ่งหญ้า และธารน้ำแข็ง มาอยู่ร่วมกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ซึ่งจุดดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวจากต่างแดนแวะเวียนมาถึงปาตาโกเนียก็คือ ธารน้ำแข็งเปอริโต โมเรโน (Perito Moreno) ซึ่งเสมือนเป็นสัญลักษณ์สำคัญของปาตาโกเนีย ที่เรียกได้ว่าหากไม่ได้เยือนธารน้ำแข็งแห่งนี้ แปลว่าคุณยังไปไม่ถึงปาตาโกเนียเลยทีเดียว นั่นแน่ ! อยากเห็นความงามของดินแดนแห่งนี้แล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ตามรีวิวนี้ไปเที่ยวกันเลยค่ะ
 


          สวัสดีครับทุกท่าน

          เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเกือบ ๆ สุดของปลายทวีปอเมริกาใต้ อีกนิดหนึ่งจะไปถึงปลายสุดทวีป ก่อนจะเจออีกทีก็ทวีปขั้วโลกใต้เลย จุดมุ่งหมายเพื่อไปถ่ายรูป Landscape ในสถานที่ที่ฝันไว้มานานครับ โดยเทือกเขาที่เป็นจุดหมายนั้นกั้นพรมแดนเป็นแนวยาวระหว่างสองประเทศ คืออาร์เจนตินาและชิลีครับ โดยจะเรียกรวม ๆ กันทั้งสองฝั่งว่า "Patagonia"

          ส่วนที่นักเดินทางนิยมมาเที่ยวจะอยู่ในส่วนของทางใต้ของอาร์เจนตินา ที่เรียกว่า Los Glacier National Park กับตอนใต้ของชิลีที่เรียกว่า Torres Del Paine ซึ่งทั้งสองส่วนสามารถนั่งรถบัสไปมาหากันโดยสะดวก และเป็นสวรรค์สำหรับนักเดินทางที่ชื่นชอบธรรมชาติอย่างแท้จริง

          เนื่องจากผมรักในการถ่ายรูป Landscape โดยจะขอเน้นไปที่ภาพถ่ายครับ รูปภาพบางส่วนอาจมีการตกแต่งเพิ่มเติมโดย Lightroom หรือ Photoshop บ้าง มากน้อยแตกต่างกันไป

          ผมเลยขอเสนอมุมมองที่แตกต่างจากนักเดินทางทั่วไป อาจจะไปได้ไม่มากสถานที่ และชอบทำตัวให้อยู่ในสถานการณ์ลำบากโดยไม่จำเป็นบ้าง 555 เพราะอยากรอจังหวะของแสงอาทิตย์เป็นไปตามที่ตั้งใจ รอเวลา หรือรอคอยอากาศที่ไม่แน่นอน ทั้งนี้เพื่อแบ่งปันมุมมองการถ่ายภาพในอีกแบบหนึ่ง ถ้าภาพของผมสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้นักเดินทางหรือช่างภาพได้สนุกสนานกับการหามุมมองแปลก ๆ ใหม่ ๆ จะยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ

          การเดินทาง

          ถือเป็นส่วนที่ใช้เวลานานที่สุดจากไทยครับ เนื่องจากการเดินทางมีอยู่สองเส้นทางใหญ่ ๆ (อาจมีจากทางอื่นเพิ่มเติม) จากไทยจะเป็น Emirate ซึ่งไปพักเครื่องอยู่ที่อาบูดาบี/ดูไบ (UAE) จากนั้นไป ริโอ เดอ จาเนโร หรือเซา เปาโล (Brazil) แล้วจึงค่อยเข้าบัวโนสไอเรส (Argentina) เป็นจุดต้นทางของเรา หรือจะอีกแบบคือ KLM จากไทยไปอัมสเตอร์ดัม (Netherland) จากนั้นจึงหยุดที่อเมริกากลาง/ใต้ เช่น ปานามา ซิตี้ (Panama) หรือลิมา (Peru) เป็นต้น ก่อนจะเข้าไปถึงซันติอาโก (Chile) เพื่อเตรียมต่อเครื่องภายในต่อไปครับ

          ทั้งสองแบบเผื่อ ๆ เวลาไว้ประมาณสามสิบชั่วโมงรวมเวลาต่อเครื่องครับ จากนั้นเตรียมที่จะบินภายในไปสู่เมือง Punta Arenas เป็นประตูสำหรับ Patagonia ฝั่งชิลี หรือ El Calafate ประตูของเส้นทางฝั่งอาร์เจนตินาครับ จากนั้นจึงนั่งรถไปเข้าส่วนเขตของอุทยานแห่งชาติอีกต่อหนึ่งครับ...นั่งสุดขอบโลกทีเดียว

Patagonia

          เราเริ่มกันที่ฝั่งอาร์เจนตินาในบริเวณอุทยานแห่งชาติ Los Glacier นั้น มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ซึ่งชื่อก็บอกเลยว่ามีธารน้ำแข็งแน่ ๆ และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของที่นี่ กระจายอยู่ตามแนวเทือกเขา และไม่พลาดที่จะแวะไปชมถ้ำน้ำแข็งบริเวณรอบ ๆ ครับ

"Ice Cave"

Patagonia

          เส้นทางเดินหลัก ๆ ใน El Chalten จะแบ่งเป็นสองเส้นครับ เดินขึ้นเหนือจะเป็นฝั่งที่เห็นยอดเขา Mirador Del Fitz Roy (Laguna De Los Tres) ส่วนเส้นที่ไปทางตะวันตกจะเป็นฝั่งยอดเขา Mirador del Torre (Laguna Torre)  ซึ่งทั้งสองฝั่งได้วิวคนละแบบกันครับ

Patagonia

          นักเดินทางทั่วไปจะนิยมเข้ามาในอุทยานฯ ตั้งแต่ก่อนสว่าง เพื่อให้ถึงเป้าหมายทันพระอาทิตย์ขึ้นหรือตอนฟ้าสางเพื่อเดินชมธรรมชาติ แล้วย้อนกลับเมืองภายในวันเดียว แต่พวกเรามีเป้าหมายที่ต้องมารอแสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้นหรือตก การแบกเป้ค้างแรมจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะจากเส้นทางจากเมืองไปสุดของ Mout Fitz Roy หรือ Mount Torre มีระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร จากเมือง El Chalten ครับ

"Chaos"

Patagonia

          ในวันแรกพวกเราตื่นตอนตีสามเพื่อออกเดินทาง (หวังไว้ว่าจะไปเก็บภาพอย่างเดียวตอนเช้าแล้วกลับ) ด้วยความที่ไม่ชินเส้นทาง บวกกับทางที่มืดค่อนข้างมาก ทำให้เราหลงทางกันไปกว่า 4 กิโลเมตร พอมาดูอีกทีเล่นหลงกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นเลย กว่าจะเจอเส้นทางหลักที่แท้จริงครับ (หลงกันไปได้ยังไงยังไม่รู้เลย)

          ท้ายที่สุดก็เดินไปทันเวลา กับยาวเช้าที่แสนสงบงดงาม กับอากาศที่เย็นจัด น้ำค้างตามใบหญ้าที่เป็นยอดแข็ง ซึ่งความร้อนที่ก้นก็ช่างกำลังพอดี กว่าจะรู้ตัวว่าเปียก -*- หลังจากที่พร้อมกันเรียบร้อย แต่ด้วยความที่ฟ้าใสและอากาศดีมาก ๆ เลยดลใจให้เราเดินทางไปต่อจนขึ้นไปถึง Mount Fitz Roy ทั้งที่เหลือเสบียงเพียงอีกเล็กน้อย

"Tranquility"

Patagonia

          ทั้งอุปกรณ์การเดินที่ไม่พร้อม เสบียงก็ไม่มี แต่ก็ยังดั้นด้นไปจนถึง Laguna de Los Tres อันเป็นจุดสิ้นสุดของ Fitz Roy ได้ โดยเส้นทาง 1 กิโลเมตร สุดท้ายนั้นวัดใจมากครับ เพราะใช้เวลาสำหรับคนเดินปกติอยู่ที่ 1 ชั่วโมง เพราะต้องเดินขึ้นชันและสูงมาก ๆ ตลอดเส้น กับมีหิมะและ Black Ice ที่จับตัวเป็นน้ำแข็งลื่น ทำให้เป็นอุปสรรคในการเดินมาก ๆ

"Mighty"

Patagonia

          และเนื่องจากวันนั้นเราไม่มีเต็นท์ จึงจำเป็นต้องเดินกลับเมือง El Chalten ทำให้ระยะทางท้ายสุดในการเดินวันนั้นอยู่ที่ 25 กิโลเมตร ตั้งแต่ตีสามถึงสองทุ่ม กลับมานอนตายคา Hostel กันทุกคน เราเลยพักผ่อนแล้วเดินเที่ยวชมกันรอบ ๆ เมือง ไม่ไกลจากที่พักมากนักครับ

"Stream"

Patagonia

          หลังจากพักกันพอหายเหนื่อย จากนี้เป็นการค้างแรมในป่ากันสามวันสองคืน จึงเตรียมอาหารที่จะเข้าไปอุ่นกินกันด้านใน โดยทำใส่ถุงไว้พอดีมื้อ ทำให้สะดวกและพกของให้เตรียมพร้อมที่สุดก่อนเข้าค้างแรมในป่ากันครับ

"Cheese"

Patagonia

          กับการตามหามุมถ่ายภาพที่ชื่นชอบ ต้องขอขอบคุณ คุณ Andrew Waddington ช่างภาพมืออาชีพชาวอังกฤษ ที่ให้คำแนะนำและพามายังสถานที่แห่งนี้ และเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ติดตามการทำงานที่ทุ่มเทจริง ๆ ครับ

"Serenity"

Patagonia

          ช่วงเดือนเมษายนถือเป็นช่วงที่พีคที่สุดสำหรับช่างภาพเลยครับ เนื่องจากเป็นช่วงที่ใบไม้จะค่อย ๆ เปลี่ยนสีไล่มาตามความสูงและความเย็นของอากาศ การที่ได้เข้าไปด้านในลึกมากเท่าไร จะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีมากเท่านั้นครับ

"Death or Alive"

Patagonia

          พอเริ่มเข้าเส้นทางที่จะไป Mount Torre ทั้ง ๆ ที่อากาศแจ่มใส แต่เมฆบนยอดเขาขี้อายลูกนี้ก็ไม่ยอมโผล่มาให้เห็นสักที ต้องให้สะพายเป้ขนของเตรียมตัวกลับกันแล้ว ถึงจะยอมโผล่มาให้เห็นบ้าง

          เอาน่า...ขาอ่อนสักข้างก็ยังดี

"First Sight"

Patagonia

          พวกเราเดินทางลาจากเมือง El Chalten มาที่เมืองของศูนย์กลางการเดินทางอย่างเมือง El Calafate ซึ่งที่พลาดไม่ได้คือธารน้ำแข็งที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง "Perito Moreno" ผมยกเอามงกุฎนางงามให้เลย อาจจะไม่ได้ใหญ่ที่สุด แต่ผมให้ธารน้ำแข็งที่นี่สวยที่สุดในโลกแล้ว กับธารน้ำแข็งที่มีสีฟ้าใสสะอาด แทบมองไม่เห็นดินปนเปื้อนแทรกมาเลย ประจวบเหมาะที่เราเข้ามาถึงในตอนบ่าย ๆ ก็นั่งรถเข้าไปเดินชมแบบสบาย ๆ ไม่มีคนครับ

"Princess"

Patagonia

          วันรุ่งขึ้นเราพร้อมที่จะเดินทางข้ามไปต่อจาก El Calafate ฝั่งอาร์เจนตินา ไปยังเมือง Puerto Natles ฝั่งชิลี ใช้เวลาสักพัก เนื่องจากทางศุลกากรชิลีจะเข้มงวดเรื่องอาหารสดที่จะเข้าผ่านทางพรมแดนมาก ๆ ครับ ซึ่งหมูหย็องจากเมืองไทยก็รอดมาแต่โดยดี (ต่อชีวิตได้อีกหลายมื้อเลย 555) จากนั้นเราค่อยออกรถจากเมือง Puerto Natales เพื่อเข้าสู่อุทยานแห่งชาติ Torres Del Paine หรือ Patagonia ในฝั่งชิลี

"Explorer"

Patagonia

          อุทยานแห่งชาติ Torres Del Paine นั้นมีขนาดใหญ่มาก ๆ ครับ บอกเป็นตัวเลขเดี๋ยวก็จินตนาการไม่ถูก  เอาเป็นว่ามีเส้นทาง Trekking ชื่อดังในนาม W-Trek ที่กินเวลาเดินประมาณ 3-4 วัน เลยทีเดียว

Patagonia

          ส่วนพวกเราพักกันอยู่นอกเส้นทาง Trek ครับ ซึ่งจะมีโรงแรมกับ Refugio (เป็นห้องนอนรวมคล้าย ๆ Dorm ครับ) ให้พัก หรือถ้าเอาราคาสบายกระเป๋าก็มี Campsite ให้กางเต็นท์นอนได้ครับ

"X-Reflection"

Patagonia

          ด้วยอาณาบริเวณกว้างขนาดที่การจะเดินทางโดยรถ จากทางเข้าหนึ่งไปทางเข้าอีกแห่งของอุทยานฯ ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง เราจึงวางแผนเช่ารถกันครับ ซึ่งบางคนที่นั่นจะพูดแต่ภาษาสเปนไม่พูดภาษาอังกฤษเลย ซึ่งเป็นอุปสรรคเวลาจะติดต่อเรื่องสำคัญ ๆ หน่อยครับ

"Resolute"

Patagonia

          ด้วยภูมิประเทศที่แปลกประหลาดและธรรมชาติที่สมบูรณ์ กับวิวที่เปลี่ยนไปไม่ซ้ำแบบ หนึ่งในความฟินสุด ๆ เลยครับ

"Endless Plains"

Patagonia

          สัตว์ป่าต่าง ๆ มากมายระหว่างทางขับรถ ดูสัตว์ขี้อ้อนก็เพลิดเพลินดีครับ

"Together" (พ่อบ้านใจกล้า)

Patagonia

          ขับไปสักพักก็พบรถติดเป็นขบวน ที่นี่ก็ไม่มีไฟแดงนี่นา...จะติดอะไร หันไปดูก็พบเจ้าพวก Guanaco นี้เป็นฝูงครับ คาดว่ามาก่อม็อบขอของกินเพิ่ม เลยปิดถนนซะเลย 555

"What\'s the Problem ?"

Patagonia

          เมื่อดูพยากรณ์อากาศแล้วผมเห็นว่าเหมาะสมที่สุดในการขึ้นไปยังส่วนหนึ่งของเส้นทาง W-Trek ทางฝั่งขวา กับการไปชมยอด Mirador Torres (ชื่อมันจะคล้าย ๆ กันกับฝั่งอาร์เจนตินาหน่อยครับ) ระยะทาง 10 กิโลเมตร ซึ่งเราก็วางแผนขึ้นไปค้างด้านบนกันหนึ่งคืนครับ เนื่องจากเส้นทางก่อนขึ้นช่วง 1 กิโลเมตรสุดท้าย เป็นทางเดินที่ชันและใช้เวลาเยอะในการขึ้นไป เราจึงขึ้นไปพักกันที่ Basecamp ด้านบนครับ อยู่ห่างจากยอด 1 กิโลเมตร และแน่นอนว่าเป้ Backpack ยังใหญ่และหนักเท่าเดิม จะเดินกี่วันก็หนักเท่าเดิมกับเต็นท์และถุงนอนนี่แหละ

          แต่ผมคาดผิด เพราะมันเดินลำบากกว่าฝั่งอาร์เจนตินาอีก เลยใช้เวลาไปเกือบ ๆ สองชั่วโมง แต่ยังดีที่เผื่อเวลาไว้ครับ เลยได้รางวัลเป็นช้างหนึ่งโขลง

"Silent Night"

Patagonia

          หลังถ่ายภาพกันจนหนำใจ เก็บของทุกอย่างลงจากเขา รวมถึงขยะทุกชิ้นที่เรานำขึ้นมาต้องนำกลับลงมาเองเสมอ ผมชอบมากตรงที่ทำให้ไม่เอาของมาเยอะเกินไป รวมทั้งลดจำนวนเจ้าหน้าที่ที่ต้องมาจัดเก็บขยะด้วย (เดินเข้ามา 10 กิโลเมตร เพื่อมาเก็บขยะนี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แน่)

"LEFLEXticular Cloud"

Patagonia

          ยังติดตากับการเห็นดาวเต็มฟ้า พร้อมช้าง (ทางช้างเผือก) อีกโขลง วันนี้ฟ้าใสออกถ่ายดาวตอนกลางคืน เลยขอพาเพื่อน ๆ มาอยู่เคียงข้างช้างน้อย (ที่ตัวไม่เล็ก) ครับ เพื่อน ๆ ก็อยากมาเล่นกันกับช้างเต็มเลย (ขอบคุณพี่ท่านหนึ่งในทริป ที่พาเพื่อน ๆ ช้างมาให้ครับ)

"Party"

Patagonia

          กล่าวสรุปบางประการในรูปสุดท้ายนี้ครับ ทริปนี้ผมเดินทางไปช่วงก่อนวันจักรีเล็กน้อยจนถึงช่วงหลังสงกรานต์ เป็นเวลาประมาณ 17วัน (รวมวันเดินทางก็สามวันละ) ถ้ามีโอกาสขอแนะนำที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแรก ๆ ในอเมริกาใต้เลยครับ ความงามที่ธรรมชาติรังสรรค์เป็นความงดงามที่หาที่เปรียบมิได้ ไม่เสื่อมคลายที่ได้มาเยือน ผมมาแล้วยังอยากจะมาซ้ำอีกถ้ามีโอกาสครับผม

          ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกระทู้จนจบ และขออภัยที่ไปหลับระหว่างกระทู้ 555 มีข้อสงสัยประการใด สามารถสอบถามทางนี้ได้ครับผม

          https://www.facebook.com/Singhaphan.T

          จนกว่าจะพบกันใหม่  ... "สวัสดีครับ"

          "Eternity"

Patagonia




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ SinghaphanAllB สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก Singhaphan Ball Thitiratsanont


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ตะลุย Patagonia สุดขอบโลกที่ธรรมชาติรังสรรค์ความงาม อัปเดตล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 เวลา 12:04:07 17,101 อ่าน
TOP
x close