ສະບາຍດີ....ວັງວຽງ : สบายดีวังเวียง
"หน้าร้อนไปไหนกันดี ?" คำถามหนึ่งได้เด้งขึ้นมาจากบทสนทนาแชทกลุ่มบน Facebook ที่คุยกันอยู่เป็นประจำตามประสาของกลุ่มเพื่อนผู้ชาย ที่คุยติดต่อกันอยู่เสมอ ๆ ในเมื่ออยากออกไปเที่ยวช่วงหน้าร้อนนี้ ตัวเลือกต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมาให้เลือกอย่างมากมายราวกับดอกเห็ด ทั้งเที่ยวทะเล เที่ยวเกาะ แต่สุดท้ายแล้วก็มาจบลงที่..."วังเวียง"
เมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน (2553) เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ไปเยือน "วังเวียง" เมืองที่ถูกขนานนามว่าเป็น "กุ้ยหลินเมืองลาว" ... "ทริปวังเวียง" ทริปนั้นเป็นทริปที่เราต่างลงความเห็นว่ารู้สึกประทับใจและจะกลับมาเยือนอีกให้ได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่พวกเราอยากจะออกไปเยือนเมืองนี้กันอีกครั้ง โดยทริปนี้พวกเราไม่ได้วางแผนอะไรกันมากมายนัก เนื่องจากเคยได้มาเที่ยวแล้ว และตามอ่านกระทู้ต่าง ๆ อัพเดทข้อมูลวังเวียงที่เพื่อน ๆ มารีวิวในห้องนี้อยู่ตลอด ทริปนี้จึงเหมือนเป็นการออกไปพักผ่อนสบาย ๆ ปลดปล่อยความเครียด เสียมากกว่า 55+ และยังคงเน้นการไปแบบประหยัด ๆ ครับ
ทริปนี้เราออกเดินทางกันทั้งหมด 3 คน เหมือนเดิมครับ เมื่อคุยกันเป็นที่เรียบร้อยก็เตรียมออกเดินทางกัน โดยเราต่างตกลงกันว่าทริปนี้จะไปแบบประหยัด ๆ กันเช่นเคย เหมือนไปเที่ยวกันขำ ๆ ไม่ให้กระทบกับเงินในกระเป๋ามากนัก จึงจำกัดงบอยู่ที่คนละไม่เกิน 3,000 บาท ประกอบกับช่วงนั้น Thai Lion Air ได้ออกโปรโมชั่นมาพอดี ทำให้เราได้จองตั๋วบินไปลงที่อุดรธานีเที่ยวบินละ 395 บาท ออกเดินทางช่วงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์-จันทร์ ใช้เวลาทั้งหมด 3 วัน 2 คืน
สรุปการเดินทางโดยคร่าว ๆ ดังนี้
วันแรก > เดินทางถึงอุดรฯ นั่งรถโดยสารระหว่างประเทศไปวังเวียง
วันที่สอง > เที่ยวในเมืองวังเวียง
วันที่สาม > เดินทางกลับ
(ซึ่งจะมีเวลาอยู่ในวังเวียง 1 วัน เต็ม ๆ กับ 2 คืน) รีวิวนี้จึงเป็นรีวิวสั้น ๆ เหมือนย้อนกลับไปเที่ยว "วังเวียง" อีกครั้งของพวกเรา อาจจะพาไปเที่ยวไม่ครบทุกที่นะครับ เพราะครั้งแรกได้เคยไปมาบ้างแล้ว จึงเป็นการเก็บตกที่เที่ยวที่เหลือในครั้งนี้เสียมากกว่า เที่ยวพักผ่อนชิล ๆ สบาย ๆ มีไปผ่อนคลาย Sakura Bar บาร์ในตำนานบ้าง ก็หวังว่าจะเป็นข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจไปละกันนะครับ ดังนั้นเพื่อเป็นการไม่เสียเวลา...แบกเป้แล้วออกเดินทางไปกับพวกเรากันเลยครับ !!!
"วังเวียง" เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ภาคเหนือของประเทศลาว เป็นเมืองที่เป็นทางผ่านสู่เมืองหลวงพระบาง ด้วยบรรยากาศและภูมิประเทศของวังเวียงที่มีความสวยงาม จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว มีน้ำซองไหลผ่าน มีฉากหลังเป็นภูเขาสูงทอดตัวเป็นแนวยาว เหมาะที่จะมาพักผ่อนสักครั้ง สิ่งที่เราชอบคือความเป็นธรรมชาติ ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ และกิจกรรมสนุก ๆ ต่าง ๆ นี่แหละครับ
พวกเราทั้ง 3 คน เคยมาเยือนที่ "วังเวียง" แห่งนี้มา 2 ครั้งแล้วครับ ครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่ 3 ที่ได้มาเยือนอีกรอบ ซึ่งครั้งแรกก็เมื่อ 5 ปีก่อน ในทุก ๆ ครั้งเราจึงเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปของ "วังเวียง"
วังเวียงค่อย ๆ เปลี่ยนไปทุกครั้งที่เรามา สิ่งแรกที่สังเกตได้คือตึกและอาคารต่าง ๆ ผุดขึ้นมาอย่างมากมาย รองรับนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นทุกวัน ทั้งอาคารที่เป็นโรงแรมหรือแม้กระทั่งร้านสะดวกซื้อที่มีให้เห็นตามมุมถนน พร้อมกิจกรรมแอดเวนเจอร์ต่าง ๆ ที่มีเพิ่มขึ้นมาอย่างมากมายเช่นกัน
และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากขึ้น เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว แม้แต่คนไทยก็มาเที่ยวที่นี่มากขึ้น (ในครั้งแรกที่มาพวกเราแทบจะไม่เห็นคนไทยเลย แต่มาครั้งนี้คนไทยเพียบเลย 55+) และเมื่อก่อนนักท่องเที่ยวมีแต่พวกฝรั่งเกือบ 100% เดี๋ยวนี้มีมาจากโซนเกาหลีหรือจีนมากขึ้น นักท่องเที่ยวฝรั่งดูบางตาลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่ถึงกระนั้น..."วังเวียง" ก็ยังคงมีเสน่ห์สำหรับนักท่องเที่ยวอยู่เสมอนะครับ รวมไปถึงพวกเราด้วย ที่หลงเสน่ห์และกลับมา "วนเวียน" ที่ "วังเวียง" กันอีกสักรอบ..!! อิอิ
ป.ล. ฝากรีวิวทริปก่อนหน้านี้ ด้วยนะครับ
ສະບາຍດີ..ຫຼວງນ້ຳທາ :สะบายดี..หลวงน้ำทา ปั่น|กิน|เที่ยว ในวันที่ใจอยากเลี้ยวแวะไปพัก (ณ หลวงน้ำทา : ลาว)
ป.ล. 2 สำหรับเพื่อน ๆ ที่ชอบท่องเที่ยวประหยัด ๆ มาพูดคุยกันได้ครับ
facebook.com/chailaibackpacker
ถ้าพูดถึงกิจกรรมในวังเวียงที่เราชอบกันมากที่สุดก็เห็นจะเป็น "การล่องห่วงยาง" ที่น้ำซองครับ เป็นอะไรที่ติดใจมาก ๆ ในการมาสองครั้งก่อนล่องห่วงยางทั้งสองรอบเลย ฮ่า ๆ ในครั้งแรกรู้สึกจะสนุกสุด ๆ คนเยอะมาก ๆ คึกคักดี ส่วนในครั้งสอง (2 ปีถัดมา) บาร์น้ำถูกลดจำนวนลง เหลืออยู่ไม่กี่บาร์ จึงไม่ค่อยสนุกเท่าไร และในครั้งที่สาม ครั้งนี้เราก็ไม่ได้ล่องครับ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่ค่อยมีบาร์น้ำให้หยุดแวะพัก หาเครื่องดื่มกิน 55+ ประกอบกับเคยล่องมาในสองครั้งแรกแล้ว อยากไปเก็บตกที่เที่ยวอื่น ๆ บ้างก็เลยงดกิจกรรมนี้ไปครับ
(ด้านล่าง) นี่เป็นภาพ "การล่องห่วงยาง" ของพวกเราเมื่อปี 2553 ครับ ขอแปะไว้เอาให้ชมบรรยากาศกันครับ ตอนนั้นบาร์น้ำเยอะมาก ๆ ล่องไปไม่ไกลก็แวะอีก แวะไปเรื่อย ๆ ทุกบาร์เลย สนุกมาก ๆ ฝรั่งก็มาล่องเยอะมากครับ เต็มทุกบาร์เลย พวกเราเป็นแค่ 3 คนไทยและ 3 คนในเอเชียก็ว่าได้ 55+ ที่อยู่ในตอนนั้น นอกนั้นเป็นฝรั่งผมทองกันหมดเลย สนุกแถมได้รู้จักกับเพื่อนต่างชาติอีกด้วยครับ
มาพูดถึงการเดินทางของพวกเรากันดีกว่า พวกเราเริ่มออกเดินทางโดยนัดแนะกับสมาชิกผู้ร่วมเดินทางกันที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ใช้บริการสายการบิน Thai Lion Air โปรโมชั่นเที่ยวบินละ 395 บาท
การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไป-กลับวังเวียงจะมีค่าใช้จ่ายประมาณนี้ครับ
ขาไป : กรุงเทพฯ > วังเวียง = ตั๋วเครื่องบิน 395 บาท + รถลีมูซีนเข้าเมืองอุดรฯ 70 บาท + รถอุดรฯ ไปวังเวียง 320 บาท = 785 บาท
ขากลับ : วังเวียง > กรุงเทพฯ = รถวังเวียงกลับอุดรฯ 400 บาท + รถกลับสนามบิน 70 บาท + ตั๋วเครื่องบิน 395 บาท = 865 บาท
สรุปเสียค่าใช้จ่ายในส่วนของการเดินทางคนละประมาณ 1,650 บาท
สำหรับคนที่อยากไปเที่ยววังเวียง การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปอุดรธานีนั้น อยากแนะนำให้ซื้อตั๋วเครื่องบินโปรโมชั่นในการเดินทางครับ เพราะเดี๋ยวนี้ตั๋วถูกลงและมีโปรโมชั่นมากมาย เดินทางสะดวกสบาย ไม่เหนื่อย และประหยัดเวลาสำหรับคนมีเวลาน้อยด้วยครับ โดยเฉพาะของ Thai Lion Air ที่มีโปรโมชั่น ออกมาบ่อยมาก ๆ ราคาไม่กี่ร้อยบาท ถูกกว่ารถทัวร์อีกต่างหาก ฮ่า ๆ สบายกว่ากันเยอะครับ จองแล้วไม่ต้องรอนานครับ เพราะพวกเราก็จองตอนโปรฯ ออกมา รอแค่เดือนเดียวก็ได้บินแล้วครับ แนะนำให้เลือก ไฟลท์เช้าสุดเพราะจะทันรถโดยสารระหว่างประเทศ อุดรฯ-วังเวียง (ที่มีอยู่รอบเดียว 08.30 น.) พอดี
เตรียมออกเดินทางสู่จังหวัดอุดรธานี
ก่อนเดินทางภายใน 24 ชั่วโมง Thai Lion Air สามารถเข้าไปเช็กอินและเลือกที่นั่งได้ฟรีนะครับ เลือกนั่งมันท้ายสุดนี่แหละ แคบหน่อยแต่ดูโล่ง ๆ 55+
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึง "อุดรธานี" สะดวกสบายมาก แถมประหยัดดีด้วย ^^
"สนามบินอุดรธานี"
จากนั้นเรารีบนั่งรถลีมูซีนเข้าเมือง หารแล้วตกคนละประมาณ 70 บาท ใช้เวลาไม่นานก็มาถึง บขส. อุดรธานี ช่องขายตั๋วไปวังเวียงก็เปิดพอดี รถโดยสารอุดรธานี-วังเวียง จะออกเวลา 08.30 น. (ซึ่งมีเพียงเที่ยวเดียวเท่านั้น) นั่งยาว ๆ ไปลงที่วังเวียงเลย ค่อนข้างที่จะสะดวกสบาย ค่าโดยสารอยู่ที่คนละ 320 บาท
โดยต้องใช้พาสปอร์ตในการซื้อตั๋วด้วยนะครับ จะมีเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนรถออก มีเวลาหาเสบียงตุนไว้กินหน่อย เพราะต้องใช้เวลาในการเดินทางพอสมควรเลยล่ะ
ต้องอยู่บนรถคันนี้อีกนานจนเกือบถึงสี่โมงเย็นเลยล่ะครับ เท่าที่ทราบกันดีอยู่นะครับว่าที่จริง "วังเวียง" ก็ไม่ได้ไกลสักเท่าไรนะ เพียงแต่ช่วงเวลาผ่านด่าน ตม. อาจจะมีเสียเวลาไปบ้าง แต่ก็คุ้มที่ไม่ต้องต่อรถหลายต่อ จากนี้ไปก็คงนอนเอาแรงกันยาว ๆ เลยล่ะครับ ^^
ประมาณ 15.30 น. เราก็เดินทางมาถึงสถานีขนส่งวังเวียง ซึ่งจะอยู่นอกเมืองออกมาหน่อย แต่จะมีรถบัสเล็กหรือสกายแล็ปบริการส่งต่อเข้ามาในเมืองฟรีนะครับ
แล้วก็มาลงย่านใจกลางเมือง ซึ่งครั้งนี้เราก็จะเข้าพักที่ "เฮือนพักแกรนด์วิว" กันเช่นเคย มา 3 ครั้ง พักที่นี่ทั้ง 3 ครั้งเลย 55+ สาเหตุอาจเพราะเฮือนพักตั้งอยู่ย่านใจกลางเมือง ด้านหน้ามีร้านโรตี ร้านข้าวจี่ลาวตั้งขายเพียบบบบบบบ ไม่อด ฮ่า ๆ ด้านหลังติดกับน้ำซองและวิวจากห้องพักก็สวย เรามาพักกันจ่ายค่าเสียหายไปคืนละ 700 บาท เป็นห้องแบบนอนได้ 3 คน สบาย ๆ แอร์ ทีวี น้ำอุ่น Wi-Fi ครบ อีกอย่างค่อนข้างสะอาดดีด้วยครับ
บรรดาที่พักตามริมน้ำซองมีมากมายให้เลือก ถ้าไม่รู้จะพักที่ไหนลองเดิน สอบถามดูห้องก่อนก็ได้นะครับ จะได้เลือกตามความพอใจของแต่ละคน และร้านอาหารริมน้ำนี่ก็เยอะเหมือนกัน วิวสวยทุกร้าน บรรยากาศดี
เดินทางมาเกือบทั้งวัน สักพักตะวันก็ตกดินอีกแล้ว 55+ ไวจัง ช่วงเย็นร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ ก็จะเริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง มาวังเวียงก็ต้องมาลองกินโรตีและข้าวจี่ลาวที่นี่ดูนะครับ มีมากมายให้เลือกหลายไส้เลยล่ะ ได้เยอะและอิ่มมาก ๆ ราคาก็อยู่ที่ 10,000-20,000 Kip (40-80 บาท ก็แล้วแต่ไส้ที่เลือกล่ะครับ) แต่ผมชอบนะ อร่อยดี กินง่ายด้วย ^^
"แผนที่วังเวียง"
การมาเที่ยวในครั้งนี้เราก็จะอยู่กันประมาณนี้ครับ พักผ่อนสบาย ๆ ไม่ค่อยแอดเวนเจอร์มากมายสักเท่าไร
1 = เฮือนพักแกรนด์วิว ที่เราพักในทริปนี้
2 = บรรดาร้านอาหารริมน้ำซอง
3 = บรรดาร้านโรตี+ข้าวจี่ลาว
4 = Sakura Bar ในตำนาน
5 = Other Side Bar บาร์ห้อยขาริมน้ำซอง
(ขอยืมภาพแผนที่มาจาก thetripvangvieng.com นะครับ)
ช่วงยามเย็นแบบนี้ต้องไปชมวิวและนั่งชิลห้อยขากันที่ฝั่ง Other Side Bar ครับ โดยออกจากเฮือนพักแกรนด์วิวเลี้ยวไปทางขวามือ แล้วเดินลงเนินไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นสะพานไม้แล้ว เดินไม่ไกลแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ที่บาร์ก็จะเป็นโต๊ะไม้ให้นั่งห้อยขาลงในน้ำได้ครับ สามารถสั่งเครื่องดื่มจากบาร์มานั่งดื่มชิล ๆ ชมบรรยากาศได้ แต่คนค่อนข้างเยอะพอสมควรในช่วงวันหยุดเช่นนี้ครับ
ข้ามสะพานไม้ ถ่ายรูปเล่น ไม่นานพระอาทิตย์ก็ตกดิน ราตรีที่วังเวียงได้ยินเรื่องราวขึ้นชื่อของ Sakura Bar จากพี่น้องในพันทิปแห่งนี้ ก็อยากไปตามรอยดูบ้างครับ พร้อมลุยราตรีที่วังเวียง !!
จากนั้นก็อาบน้ำอาบท่าเตรียมไปท่องราตรีที่วังเวียงครับ ไปกันที่ "Sakura Bar" สนุกสนานเฮฮามาก (บรรยากาศเดี๋ยวขอไว้เล่าช่วงท้าย ๆ รวบ 2 คืน เลยนะครับ เพราะไปจัดหนักกันทั้ง 2 คืน เลย 55+)
- ตัดภาพมาตอนเช้าอีกวัน –
ตื่นเช้ามาเดินชมบรรยากาศริมน้ำซองกันอีกครั้ง ข้ามสะพานมาที่ Other Side Bar ที่เดิมครับ
บรรยากาศดี อากาศยามเช้าสดชื่นดีมาก คนไม่วุ่นวายเหมือนช่วงเย็นเลย (เช้าแบบนี้คงยังไม่ตื่นกัน ฮ่า ๆ)
นักท่องเที่ยวเหมาเรือล่องชมวิวตามน้ำซองยามเช้า
ก่อนข้ามสะพานมาผมแวะซื้อ "เบยลาว" ดำ...มาถอน 1 ขวดเล็กซะหน่อย ฮ่า ๆ ก็มานั่งเล่นจิบ ๆ บรรยากาศริมน้ำซองเช้า ๆ สาย ๆ แบบนี้ดูเงียบ ๆ ดีเหมือนกันนะครับ
นั่งชิลริมน้ำสบาย ๆ ใกล้ชิดกับธรรมชาติ
นั่งห้อยขาให้สายน้ำเย็น ๆ ไหลผ่านรูขุมขน-หน้าแข้ง เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลยครับ ยิ่งจิบ "เบยลาว" ไปด้วย โอ้ววววววว...ฟิน ฮ่า ๆ ^^
ตอนเช้าจิบกาแฟกับโรตีไปพออยู่ท้อง + เบยลาว จากนั้นช่วงประมาณ 11 โมง ก็ไปหาอะไรกินสักหน่อย โดยไปที่ร้านที่อยู่ริมน้ำซอง (หมายเลข 2 ในแผนที่) ร้านริมน้ำซองตั้งอยู่เรียงรายหลายร้านมาก ๆ วิวก็สวย บรรยากาศดีครับ ลองเลือกสักร้าน เลยเลือกร้านที่มีโต๊ะริมน้ำว่างครับ
ถ้าได้โต๊ะริม ๆ ก็ได้ชมบรรยากาศดีขึ้นมาหน่อย
ทุกร้านจะคล้าย ๆ กันครับ เป็นโต๊ะเล็ก ๆ เตี้ย ๆ นั่งกับพื้น มีที่รองนั่งกับหมอนอิงให้เอนหลัง...สบาย
ไม่รอช้าครับสั่ง "เบยลาว" มาก่อนเลย อากาศร้อน ๆ เบียร์เย็น ๆ จิบชมวิว ^^
ตามร้านอาหาร "เบยลาว" จะขายที่ขวดละ 15,000 Kip แต่ถ้าในร้านสะดวกซื้อทั่วไปก็ 10,000 Kip ถือว่าซื้อวิวไปครับ ฮ่า ๆ +
มาลาวทีไรไม่เคยพลาด "เบยลาว" กันเลย..
สั่งอาหารมาเพิ่มพลังกันบ้างครับ บอกไว้ก่อนนะครับตามที่ทราบกันแล้วว่าอาหารที่ "ลาว" นั้นค่อนข้างที่จะ แพงมาก ดังนั้นมื้อนี้คงเป็นมื้อจัดเต็มที่สุดสำหรับทริปนี้แล้วครับ ในงบเท่าที่เราตั้งเอาไว้ (นี่ขนาดจัดเต็มนะ 55) ก็ลองสั่งมาชิมบ้างไรบ้าง อาหารบางอย่างก็ใช้ได้อยู่เหมือนกันครับ ก็เลยลองสั่งมา อย่างแรก "ส้มตำลาว" ลาวของแท้เพราะกินในลาว
อันนี้เป็น "ย่างหมู" หรือ "หมูย่าง" พร้อมน้ำจิ้มไก่ (ไม่ใช่น้ำจิ้มหมูนะ ฮ่า ๆ)
"ลาบหมู" ยกให้เป็นทีเด็ดอาหารแซ่บประจำทริปนี้เลย คือแบบแซ่บสุด ๆ อร่อยอะ ใส่พริกสดเผ็ดแบบซี้ด ๆ แกล้มเบียร์ด้วยนะ...แจ่มอะ ยกให้เลยจานนี้ อิอิ ^^
"ไก่ทอด" อันนี้เฉย ๆ ทั่วไป แต่ได้น้อยนะเจ๊ -_-"
สุดท้าย "กุ้งทอดกระเทียม" กุ้งผัดกับกระเทียมทั้งหัวในปริมาณระหว่างกุ้งกับกระเทียมพอ ๆ กันเลย ฮ่า ๆ แต่ถึงรสดีครับ อร่อยดี กินได้ทั้งหัว...แซ่บ !
ตบท้ายด้วยเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้ครับ "เบยลาว" มีทั้งแบบออริจินัล/Black/Gold ครับ ลองสั่ง Gold ขวดเล็กมาลองหน่อย ขวดเดียวพอแพง...ได้น้อย เพราะเราชอบเน้นปริมาณ 55+
ขอค่าตัวให้พรีเซ็นเตอร์ "เบยลาว" ด้วยครับ 55+
ผมได้มีโอกาสได้รู้จักกับเพื่อนคนลาวคนหนึ่ง ซึ่งได้รู้จักกันจากทริปหลวงพระบางเมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน ก็ได้แอดเฟรนด์ใน Facebook และพูดคุยกันเรื่อยมา เพื่อนคนลาวท่านนี้ได้เห็นเราอัพสเตตัสและโพสต์รูป ว่าอยู่ที่วังเวียงใน Facebook เขาก็ขับรถจากหลวงพระบางมาหาพวกเราที่วังเวียง ด้วยความที่อยากเจอกัน ซึ่งก็เดินทางมาถึงช่วงบ่าย ๆ พอดี ประกอบกับในตอนแรกเรากำลังจะหากิจกรรมทำอยู่พอดี กำลังจะคิดว่าไปล่องห่วงยางเล่น ๆ (แต่ก็ไม่ค่อยอยากไปนะ เคยล่องไปสองรอบแล้ว) เพื่อนคนลาวก็อยากไป “ถ้ำภูคำ” หรือ “บลูลากูน” พอดี เราเลยถือโอกาสติดรถไปบลูลากูนด้วยเลย เพราะยังไม่เคยไปเหมือนกัน
ออกมาจากตัวเมืองวังเวียงประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึง "บลูลากูน"
ในการมาเที่ยว "บลูลากูน" นั้นก็มีมากมายหลายวิธี อาจจะเช่าจักรยานปั่น เหมาสกายแล็ป หรือซื้อทัวร์เดย์ทริปเที่ยวเดย์ทริปวังเวียงไปด้วยเลยก็ตามแต่ความต้องการของแต่ละคนนะครับ ซึ่งถ้าซื้อทัวร์เดย์ทริปก็จะเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไป 400-500 บาท (แล้วแต่ทัวร์) แต่ถ้าใครลุย ๆ หน่อยเช่าจักรยานปั่นมาก็น่าสนใจเหมือนกันครับ แต่ทางค่อนข้างขรุขระและฝุ่นเยอะมาก
"จุดเด่น" ของที่นี่ที่ใคร ๆ ก็อยากมาเที่ยว ก็คือน้ำสีฟ้าใสน่ากระโดดเล่นครับ อากาศร้อน ๆ ในตอนบ่าย ๆ แบบนี้ไม่พลาดแน่นอนครับ !!
มาเที่ยว "บลูลากูน" แนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ให้มาช่วงเช้า ๆ หรือบ่ายแก่ ๆ ครับ เพราะนักท่องเที่ยวจะน้อย เล่นน้ำได้สะดวกสบายมากกว่า ถ้าเป็นช่วงกลางวันหรือเที่ยง ๆ ทัวร์ลงกันเยอะเลยครับ คนเยอะน่าดูเลยล่ะ แต่น้ำใสน่าลงไปเล่นจริง ๆ
"บลูลากูน" เป็นสระที่ไม่ใหญ่มาก โดยรอบมีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะมากมายครับ ทั้งโหนเชือกลงไปในน้ำหรือกระโดดน้ำมาจากกิ่งไม้สูงก็ตื่นเต้นดีเหมือนกัน หรือถ้าชอบแอดเวนเจอร์หน่อย ข้าง ๆ ก็มีให้โหนสลิง ลงมาจากยอดไม้สูงด้วยนะครับ
นักท่องเที่ยวต่างโชว์ลีลาวาดลวดลายกันไปครับ
ลองกันมั่งครับ "คลายร้อน" กันดีแท้ !
นักท่องเที่ยวลาว...คนลาวเองก็มาเที่ยวที่นี่เยอะเหมือนกันนะครับ
ชิงช้าอันนี้ถูกนักท่องเที่ยววนเวียนมาจับจองตลอดเวลา ไม่มีเวลาว่างเลย
อากาศกำลังน่ากระโดดน้ำเล่นเลยล่ะครับ
โหนเชือกก็แล้ว คราวนี้มาลองฐานกระโดดน้ำกันบ้างครับ ซึ่งจะมีความสูง 2 ระดับ ให้เลือกกระโดดกัน ถ้ามาใหม่ ๆ ก็อาจลองอันที่ต่ำที่สุดก่อนได้ (แค่ต่ำ ๆ นี่ก็เสียว ๆ แล้วนะ ฮ่า ๆ) ถ้ากล้าพอก็จัดระดับสูงเลยครับ กระโดดตูมมมมมม..ลงน้ำเย็นสบายใจ ถ้าช่วงคนมาเที่ยวเยอะ ๆ นี่ต้องมีต่อคิวกันหน่อยนะ 55
เจอท่านี้เข้าไปโอปป้าถึงกับพากันตะลึง !!
มีคนคอยให้กำลังใจเพียบไม่ต้องห่วง 55+ โดดเลยยยยย
อันนี้กระโดดระดับต่ำ ๆ สบาย ๆ
พี่คนนี้ก็รอคิวกระโดดอยู่นะ (รอนานแล้ว 55+)
อ้าว ! ใครก่อนล่ะทีนี้ ตามคิวเด้ออ้าย..!
น้ำใส...เย็นสบาย : )
บริเวณ "บลูลากูน" มีที่ให้นั่งพักผ่อนและสั่งอาหารทานได้นะครับ มีร้านค้า ร้านอาหาร และเครื่องดื่มไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว
"เบยลาว" ไม่ห่างกายเลยทีเดียวนะ 55+
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สนุกมากครับ ที่ "บลูลากูน" แห่งนี้ ได้กระโดดน้ำคลายร้อน สนุกสนานเฮฮาดีครับ (เล่นจนลืมเวลากันเลยทีเดียว ฮ่า ๆ)
และแล้วตกเย็นก็ถึงเวลาตระเวนราตรีกันอีกครั้ง อย่างที่ได้บอกไปในตอนแรกนะครับว่าเราจะไปเฮฮากันที่ Sakura Bar ในตำนาน ซึ่งทริปนี้เราก็ไปมันทั้งสองวันเลยครับ จัดเต็มจัดหนักกันเลยทีเดียว ก็ขอรวบบรรยากาศของทั้ง 2 คืน ในช่วงท้ายนี้ทีเดียวเลยนะครับ ^^
ร้าน Sakura Bar จะอยู่ไม่ไกลจากที่พักแกรนด์วิวที่เราพักครับ เดินไปได้สบาย ๆ (หมายเลข 4 ในแผนที่)
ร้านนี้ดียังไง ทำไมใคร ๆ ที่มาวังเวียงถึงอยากไปกันนัก..?? ก็เพราะว่าร้านนี้มี Free Bar น่ะสิครับ พูดง่าย ๆ ก็มีเหล้าฟรีให้กินแหละ ฮ่า ๆๆ แต่มีให้กินฟรีแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นนะ !! เป็นช่วง Happy Hour ที่เขาจัดมาให้ครับ ซึ่งจะเป็นช่วง 1-2 ทุ่ม หรือ 2-3 ทุ่ม อันนี้ก็แล้วแต่เขาจะจัดมาครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเวลา 2-3 ทุ่ม ซะมากกว่า จะมีแก้วเหล้าใส่เหล้าเรียงกันให้มาหยิบไปดื่มฟรีเลยครับ เพียงแต่บอกพนักงานร้านว่าอยากจะผสมอะไร โค้กหรือสไปรท์ อันนี้ตามความชอบครับ แต่ที่ชอบก็ชอบตรงกินเหล้าฟรีมากกว่าครับ อะไรก็ได้ ฮ่า ๆ ^^
รีบมารอกันตั้งแต่ 20.00 น. เลย จะไม่ให้พลาดแม้ 1 นาที อิอิ
แก้วมาเรียงแบบนี้...เตรียมตัวกินฟรีกันได้ !!
แวะซื้อเสื้อ "เบยลาว" กับ "TUBING" สีแจ๊ด ๆ ให้เข้ากับบรรยากาศหน่อย ตัวละ 80 บาท แถวนั้นมีหลายร้านให้เลือกเลยล่ะครับ
คนเริ่มทยอยมากันเพียบเลย ณ ชั่วโมงนี้ภายในร้านมีโยนลูกปิงปองเล่นกับเกมเล่นคลายเครียดต่าง ๆ
ทุกนาทีมีค่ากรุณายกให้หมดแก้วโดยพลันนนนนนน.. (-*-)
ชั่วโมงนี้เป็นชั่วโมงต้องมนตร์ ขออยู่ใกล้ ๆ บาร์ ไม่ยอมห่างไปไหน ฮิฮิ
บรรยากาศคึกคักดีครับ นักท่องเที่ยวมารวมตัวกันที่นี่เพียบ
เป็น 2 ราตรี ในวังเวียงที่สนุกสนานเฮฮา สำราญซัมเมอร์หน้าร้อนนี้มากครับ มีเหล้าให้กินฟรีทั้งสองคืนเลย ชอบมาก ฮ่า ๆ ถึงแม้ว่าจะเลยชั่วโมง Happy Hour ไปแล้ว เราก็สามารถอุดหนุนร้านซื้อเบียร์หรือเครื่องดื่มต่าง ๆ สนุกต่อกันได้ตามปกตินะครับ เป็นร้านที่คึกคักดี ซึ่งอันที่จริงมีร้านต่อที่อื่น แต่สำหรับเราขี้เกียจไปต่อกันร้านอื่นแล้วครับ อยู่แล้วก็อยู่ยาว ๆ เลย ไปต่อหลายร้านเดี๋ยวจำทางเดินกลับกันไม่ได้ 55+
และก็ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ เยอะแยะ หลากหลายชาติกันเลยทีเดียว
เช้าวันใหม่ที่วังเวียงตื่นขึ้นมาด้วยความแฮงก์หนักจากปาร์ตี้เมื่อคืน ก็ได้เวลาร่ำลาเมืองวังเวียงกันแล้ว
"กาแฟกับโรตียามเช้า" ก่อนเดินทางกลับ
พวกเราได้จองตั๋วรถกันไว้ตั้งแต่เมื่อวาน (200 บาท) โดยจองไว้กับทางโรงแรมและรถก็จะมารับเราที่โรงแรมเลย ซึ่งตอนแรกตั้งใจจะนั่งยาวไปถึงอุดรฯ เลย แต่รู้สึกว่ารอบรถจะมีเช้าไปหน่อย เลยขอตื่นสาย ๆ หน่อย (นิดหนึ่งก็เอานะ 55) เป็นรถที่จะไปลงที่เวียงจันทน์แล้วค่อยต่อรถเข้าอุดรฯ ระหว่างทางกลับเวียงจันทน์ก็สลบ หลับกันมาตลอดทาง ตื่นขึ้นมาก็ถึงเวียงจันทน์แล้ว รถมาส่งที่สถานีขนส่งที่มีรถต่อกลับอุดรฯ เลย มีรอบรถให้เลือกหลายรอบเลย ณ จุดนี้ !
ป.ล. ร้านข้าวจี่ลาวข้าง ๆ สถานีขนส่งอร่อยอยู่นะครับ มีอยู่หลายร้าน ราคา 20 บาทเอง ถูกดี อันใหญ่มาก อันเดียวอิ่มถึงอุดรฯ ^^
สุดท้ายก็เดินทางมาถึง "สนามบินอุดรธานี" เตรียมเดินทางกลับ กทม. กันครับ
สรุปค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยประมาณ
ขาไป : กรุงเทพฯ > วังเวียง = ตั๋วเครื่องบิน 395 บาท + รถลีมูซีนเข้าเมืองอุดรฯ 70 บาท + รถอุดรฯ ไปวังเวียง 320 บาท = 785 บาท
ขากลับ : วังเวียง > กรุงเทพฯ = รถวังเวียงกลับอุดรฯ 400 บาท + รถกลับสนามบิน 70 บาท + ตั๋วเครื่องบิน 395 บาท = 865 บาท
สรุปเสียค่าใช้จ่ายในส่วนของการเดินทาง คนละประมาณ 1,650 บาท
ค่าอาหาร (ร้านริมน้ำซอง) = คนละ 300 บาท (กินมื้อใหญ่มื้อเดียว นอกนั้นก็แยกย้ายกันกินอาหารตามสั่ง หรือข้าวจี่ลาว หรือเฝอตามความชอบกันไป)
ค่าที่พักเฮือนพักแกรนด์วิว 2 คืน = 700x2/3 = คนละ 470 บาท
ค่าเครื่องดื่ม (+เบียร์) = อันนี้เน้นจัดเต็มตอน Happy Hour อย่างเดียว ซื้อกินเพิ่มเองต่างหากน้อย ฮ่า ๆ
ก็เป็นทริปสั้น ๆ เที่ยว "วังเวียง" 3 วัน 2 คืน ในช่วงหน้าร้อน วันหยุดสุดสัปดาห์แบบสบาย ๆ ครับ เป็นทริปที่สนุกสนานเฮฮาเหมือนเดิมครับ (แม้จะมาเป็นรอบที่สามแล้วก็ตาม 55) ได้กระโดดน้ำเล่นเย็นสบายชื่นใจ ได้พบปะเพื่อนใหม่ มิตรภาพระหว่างทางมากมายครับ มีโอกาสเมื่อไรคงได้ไปเยือน "วังเวียง" อีกครั้ง เป็นรอบที่ 4 อีกแน่นอน อิอิ ^^
ขอจบรีวิวบันทึกการเดินทาง "วังเวียง" ไว้เพียงเท่านี้นะครับ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ...ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่เข้ามาชมกัน แล้วเจอกันใหม่ในทริปหน้าครับ "สะบายดี" (-/\\-)
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ honeymoonseat สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม, เฟซบุ๊ก Kowit Daekhuntod และ เฟซบุ๊ก การท่องเที่ยวเชิงไฉไล(Chai-Lai Backpacker)