หากใครอยากหลบหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่ ไปหาความเงียบสงบพักกายพักใจละก็ "เกาะพยาม" จังหวัดระนอง ถือเป็นคำตอบสุดท้ายที่คุณกำลังตามหา ... ด้วยวิถีชีวิตของชาวบ้านที่เรียบง่าย ไม่เร่งรีบ แถมธรรมชาติยังชักชวนให้เราไปเสพกลิ่นอายความสดชื่น ฟังเสียงคลื่นซัดซาดให้สบายหู สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลที่ทำให้เราชวนคุณไปเที่ยวเกาะพยาม เหมือนกับบันทึกการเดินทางของ คุณ PreferPeace สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้มีโอกาสไปเยือนเกาะพยามเพื่อสัมผัสกับความเงียบสงบที่น่าหลงใหล ... เอาเป็นว่าเราตามไปเที่ยวเกาะพยามผ่านรีวิวนี้กันค่ะ
และนั่นคือจุดมุ่งหมายของเรา ^_____________^
ก่อนหน้านี้เกาะพยามไม่เคยอยู่ในความคิดของเราเลย เพราะอะไรรู้ไหม ? เพราะเราไม่รู้จักยังไง...แป่ววววว จนได้มาอ่านเจอรีวิวก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ในความไม่พลุกพล่านของพยาม และอยากจะไปสัมผัสพยามด้วยตา หู จมูก ปาก และคอของเราเอง ทริปนี้จึงเกิดขึ้น . . .แบกเป้พยายามไปพยาม
หมายเหตุ : รายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมด เลื่อนลงไปอีก เลื่อนลงไป เดี๋ยวก็เจอเนอะ
หลังจากตัดสินใจไปเกาะพยาม โดยมีผู้รู้เห็นเป็นใจอีกหนึ่งคน เราก็เริ่มเสิร์ชหาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการเดินทาง ที่พัก ระยะทาง บลา ๆๆ จนทุกอย่างลงตัวที่การเดินทางโดยสมบัติทัวร์ VIP เส้นทางกรุงเทพฯ-ระนอง เนื่องจากการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไประนองด้วยระยะทางประมาณ 600 กว่ากิโลเมตรนั้น ใช้เวลานานหนักมากถึง 8 ชั่วโมง กว่าเลยทีเดียวเชียว อร๊ายยยยยย การนั่งรถทัวร์ VIP จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง...คอนเฟิร์ม ! โดยโทรไปจองตั๋วที่สมบัติทัวร์ผ่าน Call Center 02 7921444 (6 โมง-2 ทุ่ม) แจ้งวันเวลาเดินทาง และรายละเอียดต่าง ๆ ให้เจ้าหน้าที่ทราบ นางจะให้รายละเอียดสำหรับการโอนเงินค่าตั๋วมาค่ะ ก็จัดการไปตามนั้นเนอะ แล้วเก็บสลิปไว้เพื่อใช้แลกตั๋วก่อนออกเดินทาง
ส่วนที่พักเราฝันใฝ่เลยทีเดียวว่าจะต้องพักที่ Blue Sky Resort หนึ่งในมัลดีฟส์เมืองไทย แต่หลังจากก้มหน้าดูเงินในกระเป๋าแล้วไซร้ ให้ท้อแท้ใจตัด Blue Sky ทิ้งไปอย่างไม่ใยดี T^T หันมาพึ่งพิง Lazy Hut บังกะโลสไตล์กระท่อมไม้ไผ่ ราคาเบา ๆ บรรยากาศแสนชิล เราเลยจัดไปที่ห้อง Luxury A3 ด้วยสนนราคาคืนละ 800 บาท และถ้ามีงบมากกว่านี้แนะนำให้เลือกห้อง Beach Front คืนละ 1,200 บาท แบบเปิดประตูห้องมาก็ป๊ะกับหาดทราย สายลม แสงแดด และทะเลทันที ถึงอย่างไร Luxury A3 ของเราก็ไม่ได้ห่างไกลทะเลแต่อย่างใด เชอะ !
ลงตัวปุ๊บก็โทรไปจองตามเบอร์นี้ 093-6687619 หรือพี่ยอดนั่นเอง อีกช่องทางหนึ่งคือเฟซบุ๊กของ Lazy Hut ตามลิงก์นี้ https://www.facebook.com/lazyhut
จากนั้นเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า เตรียมตัวออกเดินทางไปติดเกาะกันเลยยยยยยยยยยย เย้ !
เราแบกเป้มาถึงสายใต้ใหม่ประมาณ 1 ทุ่ม พร้อมผู้รู้เห็นเป็นใจหนึ่งคน ปรี่เข้าไปที่เคาน์เตอร์สมบัติทัวร์ แล้วใช้สลิปโอนเงินแลกเอาตั๋วมาครอบครอง จากนั้นไปเดินซื้อของใช้นิดหน่อย และเข้าห้องน้ำประมาณ 324 รอบ วิตกกังวลเหลือเกินว่าจะปวดฉี่บนรถ เข้ามันอยู่นั่นแหละ เป็นเหมือนกันไหม ? จะเดินทางทีไร เป็นแบบนี้ทุกที > <
เดินไปเดินมา เอ๊ย ! 2 ทุ่มครึ่งแล้ว ไปจ้าได้เวลา Boarding รีบวิ่งไปขึ้นรถตามหมายเลขชานชาลาที่ระบุไว้ในตั๋ว VIP จะมีรอบเดียว คือ 20.50 น. และในตั๋วระบุว่าจะถึงระนอง 07.50 น. กล่าวคือยาวนานหนักมากกกกกกกกกกกกก __ __" แต่มันโอเคเลยนะเธอ ! เบาะใหญ่ นั่งนอนสบาย มีจอส่วนตัวสำหรับดูหนังฟังเพลง มีหมอนและผ้าห่มวางอยู่บนเบาะพร้อม ที่สำคัญชอบมากกกกก มีรูเสียบ USB ชาร์ตแบตได้ด้วย > < ไม่ต้องกลัวแบตหมด ไม่ต้องใช้แบตสำรองให้เปลือง นั่งปุ๊บแอร์แจกขนมแจกน้ำปั๊บ เราก็นอนยาวเลยยยยยยย รถทัวร์จะแวะให้กินข้าวต้มประมาณเที่ยงคืน และยิงยาวถึง บขส. ระนองเลย สรุปแล้วสมบัติทัวร์ VIP คือดีงาม นอนสบาย ไร้กังวล ถ้าไม่เจอมนุษย์ไร้มารยาท - -"
เราชอบการหลับใหลในขณะที่รถกำลังวิ่งไปเรื่อย ๆ มากเลย ยิ่งแอร์เย็น ๆ แบบนี้สบายจัง อ้าวเฮ้ยยยย เขาเปิดไฟทำไม กำลังนอนสบาย
"ถึงแล้วเหรอเธอ"
"น่าจะถึงแล้วนะ" ผู้รู้เห็นเป็นใจของเราตอบแบบงัวเงีย ๆ
หะ นี่มันตีห้ากว่า ๆ เองนะ ไหนว่า 7 โมงห้าสิบล่ะ ? คืออะไร ตอบบบบบบ ?! ทุกคนในรถเริ่มปรับเบาะเป็นระดับการนั่ง เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ปรับก็ปรับ นั่งก็นั่ง ยังอยากนอนอยู่เลย แต่ถึงแล้วจริง ๆ ภาพที่เราเห็นเบื้องหน้านั้นคือ บขส. ระนอง จ้า เราเริ่มเก็บของ เก็บน้ำ เก็บขนมทุกอย่างที่เขาแจกใส่กระเป๋า เตรียมตัวลงไปสูดอากาศ ณ ระนอง
ขณะนี้เวลาตี 5 ครึ่ง ณ บขส. ระนอง ... ชายแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งดาหน้ากันเข้ามาหาเราและผู้ร่วมทาง แต่ละคนผิวสีเข้ม ร่างใหญ่และดูบึกบึน บ้างมีหนวด บ้างมีเครา เราคิดแล้วว่าเราคงไม่รอดแน่ เราคงสู้แรงชายฉกรรจ์เหล่านี้ไม่ไหวเป็นแน่แท้ และเพียงเสี้ยววินาทีชายฉกรรจ์คนที่บุกประชิดถึงตัวเราก่อนก็พูดเสียงดังฟังชัดว่า "เกาะพยามไหมครับ เกาะช้าง เกาะสุรินทร์ ไปไหนดีครับ" ---___---" เราและผู้ร่วมทางส่ายหน้าพร้อมกัน ชายที่เหลือก็เลยเริ่มกระจายกันออกไปคนละทิศละทาง เฮ้อออออออ ฝันว่าคิดอยู่หวาม ๆ ถ้าถูกลวนลามจะทำไงดี ?
แต่เดี๋ยวนะ ? ตามแพลนเราต้องขึ้นเรือเมล์รอบแรกประมาณ 09.30 น. แล้วตอนนี้กี่โมงนะ ? เอิ่มตี 5 ครึ่ง นอนหลับได้อีกแปดตื่นเบา ๆ เราเลยตัดสินใจไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนและนั่งเล่นที่ บขส. เรื่อย ๆ จนเกือบ 7 โมง ก็เริ่มเดินหาวิธีไปท่าเรือเกาะพยาม มีผู้ชายร่างกายกำยำผิวดำดูดคนหนึ่งเสนอตัวไปส่งพร้อมกับยกกระเป๋าเราขึ้น เราซึ้งในน้ำใจของชายผู้นี้มาก จึงกล่าวไปว่า "เท่าไรคะพี่" … "200 บาทครับ 2 คน คนละร้อย" แล้วพี่ดำก็พาเราไปที่กระบะคันหนึ่ง ซึ่งดูดีเลยทีเดียว
เราก็โยนตัวเองขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลังคนขับพร้อมกับผู้ร่วมทางของเรา (สำหรับขากลับจากเกาะถ้าถึงท่าเรือแล้วรอขึ้นรถ 2 แถวพร้อมคนอื่น ๆ ได้นะ ไปลงที่ บขส. ระนอง คนละ 15 บาทเอง) เฮ้ย ! เรากำลังจะไปท่าเรือแล้วนะ รอแป๊บนะ...พยาม : )
ประมาณสัก 10-15 นาที เราก็มาถึงท่าเรือ ตรงนั้นจะมีท่าเรืออยู่ 2 ท่าใกล้ ๆ กัน แต่พี่ดำมาส่งเราที่ท่าเรือของนาวาอันดามัน ลงจากรถมาปุ๊บ จมูกก็ปะทะเข้ากับกลิ่นเค็ม ๆ ตรงบริเวณท่าเรือ เออหิวเลย อยากกินข้าวจานน้ำกับปลาเค็ม ดึงสติแป๊บ แล้วเดินไปซื้อตั๋วกับน้องผู้หญิงผิวคล้ำหน้าตาจิ้มลิ้ม แน่นอนไม่มีงบสำหรับสปีดโบ๊ท จัดเรือเมล์ธรรมดาพอค่ะ อ้างไปสิว่าอยากกินบรรยากาศของท้องฟ้าสีคราม ทะเลแสนงาม อะไรก็ว่าไป อิ่มแน่นอน
เรือเมล์ธรรมดาเที่ยวละ 200 บาท แต่ถ้าเราซื้อตั๋วไป-กลับ จะได้ราคา 350 บาท ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ถ้าเป็นสปีดโบ๊ท เที่ยวละ 350 บาท แพงกว่าเท่าหนึ่ง แต่ใช้เวลาแค่ 40-45 นาที เรือเมล์ออกเวลา 09.30 น. หลับได้อีก 148 ตื่น เป็นทริปที่ไม่รีบจริง ๆ รอมาตั้งแต่ตี 5 ครึ่งละ รอต่อไปสิ
ระหว่างนั้นเราก็เดินเก็บภาพบรรยากาศแถว ๆ ท่าเรือ
"เธอไม่หิวเหรอ" ผู้ร่วมเดินทางเปล่งวาจากระชากอารมณ์เราที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศเค็ม ๆ เราสองคนเลยเดินไปหาอะไรกินแถวท่าเรือ โดยฝากสัมภาระไว้กับน้องผู้หญิงคนขายตั๋ว
ร้านแรกที่เดินไปถึงชื่อ Blue Monkey คือน่ารักอะ เป็นโทนสีฟ้าขาว ภาพอาหารที่โชว์แลดูน่าเขมือบอย่างยิ่ง ผู้ร่วมทางของเราไม่รอช้า "ขอเมนูหน่อยครับ" หึหึ ฟังเสียงก็รู้ว่านางหิว เราสองคนกวาดตาดูเมนูและราคาแล้วได้แต่สบตากันเบา ๆ ก่อนกล่าวขอบคุณและเดินคอตกออกจากร้าน ราคาค่อนข้างสูงนิดหนึ่ง เราไม่อาจสู้ได้ เพราะมื้อใหญ่ที่เราแพลนไม่ใช้วันนี้ ! มองไปฝั่งตรงข้ามเจอร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง ปรี่เข้าไปโดยไว ก่อนหยิบเมนูขึ้นมาสำรวจพบว่าราคาโอเค เลยจัดมื้อเช้าไปเบา ๆ ที่ร้านนี้ค่ะ พออิ่มก็เดินกลับมานั่งรอนั่งเล่นที่ท่าเรือ ดมกลิ่นเค็ม ๆ ต่อไป
"เธอเราอยากกินอะไรเย็น ๆ เอาน้ำอะไรไหม"
"น้ำเปล่าก็ได้ ไม่ค่อยอยากกินอะ เดี๋ยวปวดฉี่อีก" อาการวิตกกังวลของเรานี่มาตลอด นางหายไปสักพัก และกลับมาพร้อมกับสิ่งนี้
เอิ่ม...นี่สินะอะไรเย็น ๆ
ใกล้ 9 โมงครึ่งแล้ว เตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง ดูเหมือนจะมีฝรั่งส่วนหนึ่งที่ชื่นชอบการเดินทางไปเกาะพยาม เรานี่มองหาพริกกะเกลือเลย น้ำลายไหล - -" บางฝรั่งก็มาคนเดียวเปลี่ยวเปล่า บางฝรั่งก็มาเป็นคู่ตุนาหงัน และบางฝรั่งก็มาเป็นครอบครัว หอบเอาลูกเด็กเล็กแดงกระเตงกันมา
อ้าว...ตามมาค่ะ ขึ้นเรือได้ หลังจากรอมายาวนานนนนนนนนนนน ... เรือจะมี 2 ชั้น ส่วนใหญ่ก็นั่งชั้นบนกันหมดแหละ และเรือก็ยังบรรทุกของอื่น ๆ ด้วย แล้วแต่จะมีคนจ้างขนส่งอะไรก็ต่ออะไร หลังจากจับจองที่นั่งแล้วเราก็พบว่าหนังตาหนักมากกกกกก ง่วงจริงจัง เลยเก็บภาพบรรยากาศเล็กน้อย ก่อนหาที่ทางหลับใหลลืมตื่น ไม่คิดจะดื่มด่ำบรรยากาศอะไรอีก ครอกกกกกกก zzZZ
เราอยู่ใต้ท้องฟ้าสีคราม และโอบกอดด้วยทะเลแสนงาม เอ๊ะ นั่นปลาอะไร ? สีขาวบริสุทธิ์ดุจใยไหม
"เธอ ! มาดูนี่สิ ปลาอะไรไม่รู้ ขาวจั๊วะเลย เร็ว ๆๆ มาดู ๆ" เราตะโกนเรียกผู้ร่วมทางมาดูด้วยความตื่นเต้น
"ปลาขวดพลาสติกน่ะเธอ" ผู้ร่วมทางตอบแบบเซ็ง ๆ มุกไม่ฮา พาเพื่อนเครียด เฮ้อออออ นอนต่อดีกว่า
อีกไกลแค่ไหนจนกว่าฉันจะใกล้ บอกที...ผ่านมาชั่วโมงหนึ่งแล้วนะ เฮ้ออออ หลังจาก 2 ชั่วโมงผ่านไป เมื่อเวลาประมาณ 11 โมงครึ่ง เราก็เดินทางมาถึงท่าเรือ ณ อ้าวแม่หม้ายแห่งเกาะพยามค่ะ การเดินทางครั้งใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น ด้วยความพยายามมาพยามครั้งนี้ : )
สวัสดี พยาม : ) เรามาถึงแล้วโดยสวัสดิภาพ
เดินตรงปรี่ไปตามเส้นทางจะเจอร้านเช่ามอเตอร์ไซค์เรียงรายอยู่ 2 ฟากฝั่งของถนน เลือกเอาที่ชอบที่ถูกใจเลยค่ะ ราคาเช่ามอเตอร์ไซค์จะอยู่ที่ 150-200 บาท/วัน ใช้บัตรประชาชนหรือใบขับขี่ก็ได้ในการเช่า ราคาเช่าเกียร์ธรรมดา 150 บาท และเกียร์ออโต้ 200 บาท เราก็จัดเกียร์ธรรมดากันมาค่ะ เป็น Honda Wave 110 ที่สภาพดูดีหน่อย พร้อมแว้นแล้ว
ก้าวขาขวาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์เรียบร้อย ผู้ร่วมทางของเราก็บิดเลยค่ะ ไป Lazy Hut บังกะโล ณ อ่าวใหญ่ สองข้างทางเต็มไปด้วยแมกไม้ โดยเฉพาะต้นชบา ต้นยาง และต้นมะม่วงหิมพานต์ ถนนเป็นคอนกรีตและค่อนข้างแคบ บางจุดเป็นหลุมและขรุขระ ค่อนข้างเป็นอุปสรรคเล็กน้อยต่อการขับขี่ อ้อ...ที่สำคัญยังแอบลาดชัดบางช่วง ถ้าขับมอเตอร์ไซค์แข็งหน่อยก็ไม่มีปัญหาค่ะ แว้นกันมันทีเดียวท่ามกลางแดดจัด - -" เราลองจับเวลาดู ใช้เวลาจากท่าเรืออ่าวแม่หม้ายไปที่พักประมาณ 10-15 นาที
ถึงแล้วที่พักบรรยากาศแสนชิลของเรา หลังจากเช็กอินเสร็จก็เก็บข้าวของ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ที่แรกที่เราจะไปคือ วัดเกาะพยาม ! ไปไหว้พระขอพรและสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลกันก่อนดีกว่า
(เราไม่ได้ถ่ายรูปบริเวณวัดมา เนื่องจากบรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ ส่งผลให้เราเกิดจินตนาการนู่นนี่นั่น . . . จึงได้แต่เดินเงียบ ๆ อย่างสำรวม ><)
ไม่นานกระเพาะก็ตื่นตัว อยากจะย่อยบ้างไรบ้าง เราจึงต้องรีบหาร้านอาหารเพื่อจัดมื้อกลางวันซะหน่อย "เกาะพยามซีฟู้ด" มื้อแรกที่เกาะพยามของเรา ค่อนข้างอร่อยถูกปากเลยทีเดียว
นั่งกินริมทะเล มองดูน้องหมาวิ่งเล่นบนหาด...ชิล มีเปลให้นอนกินลมด้วย อิ่มไหม ? พิกัดร้านนะคะ ถ้าเดินมาจากท่าเรือเลยจะอยู่ทางซ้ายมือไม่ไกลจากท่าเรือค่ะ ราคาก็จัดว่าแพงตามปกติของอาหารบนเกาะ เราสั่งข้าวผัดกุ้งกับข้าวราดกุ้งทอดกระเทียมและน้ำเปล่าขวดหนึ่ง ทั้งหมดราคา 180 บาท
จบมื้อกลางวัน เราก็คิดว่าจะไปแว้นรอบ ๆ เกาะ ขี่ไปตามถนน ดูบรรยากาศ ดูนั่นดูนี่ ประหนึ่งว่าอากาศดี๊ดี ชีวิตดี๊ดีอะ ทั้งที่โลกความจริงแสงแดดกำลังแผดเผาเราทั้งสองอย่างไม่ปราณี
"ไปไหนดีอะเธอ"
"ไม่รู้อะ ลองขี่ไปเรื่อย ๆ ละกันเนอะ"
"เติมน้ำมันก่อนดีกว่า"
เป็นความคิดที่ดีมาก เราไม่อยากเข็นรถรอบเกาะหรอกนะจะบอกให้ น้ำมันราคาขวดละ 40-50 บาท แต่เท่าที่เห็นก็จะมีร้านขายตลอด ๆ ทางนะ ถ้าหมดก็คงเข็นไม่ไกลหรอก แต่ทางลาดชันนี่สิจะไหวเหรอ ? และด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางตั้งแต่เมื่อคืน พอเติมน้ำมันเสร็จเราจึงตัดสินใจขี่กลับที่พัก (อ้าววววว - -") ตั้งใจว่าจะไปนอนเล่นนั่งเล่นบริเวณหน้าที่พัก รอดูพระอาทิตย์ตกดินที่อ่าวใหญ่
ณ ที่พักที่ Lazy Hut จะมีเก้าอี้นอนเล่นริมหาดให้นอนอาบแดดชิล ๆ มีบริเวณ Library ที่มีหนังสือให้นอนเปลอ่านกันให้ตาแฉะ ซึ่งเราเห็นฝรั่งนอนแผ่กันเต็มหมดและ แต่เราก็ไม่มีพริกเกลือเลยปล่อยไป หันมาอีกมุมมีต้นไม้ขนาดใหญ่แผ่กิ่งและใบปกคลุม มีเตียงโต๊ะให้นั่งนอนเช่นกัน เราสองคนเลยนั่งนอนเล่นกันตรงนั้นพักใหญ่
บ่ายคล้อยก็จูงมือกันไปเดินเล่นริมทะเล ให้เท้าได้สัมผัสทรายนุ่ม ๆ เดินไปเรื่อย ๆ ยาว ๆ รู้สึกว่าชีวิตที่นี่ชิลมาก ไม่รีบร้อน ได้ปล่อยอารมณ์ และผ่อนคลายจากทุกสิ่ง ข้างบนคือท้องฟ้ากว้างใหญ่ เบื้องหน้าเป็นทะเลที่มีคลื่นซัดสาดเสียงดังซู่ ที่ที่เราเดินอยู่ก็เป็นหาดทรายนุ่ม ๆ
"นอนตรงนี้แหละเธอ สบาย !" แต่ผู้ร่วมทางไม่เห็นด้วยกับเรา 5555 เลยเดินกลับมาที่พักอีกครั้ง นั่งดูพระอาทิตย์ตกและสั่งมื้อเย็นมานั่งกินริมทะเล ในความคิดเรา อาหารและเครื่องดื่มที่เราสั่งที่นี่ไม่อร่อยจริง ๆ เราสั่งราดหน้าทะเล ผัดไทย น้ำผลไม้ปั่นต่าง ๆ แต่ไม่มีอะไรที่ประทับใจอะ T^T หลังจากนั่งเล่นจนฟ้ามืด ทุ่มกว่าละ เราก็กลับห้องนอนกันค่ะ ชีวิตที่ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น ไฟมีเป็นเวลา แต่รู้สึกว่าจะมีทั้งคืนอยู่ค่ะ ไฟดับไปตอนเช้าประมาณ 6 โมงนิด ๆ
เช้าวันต่อมาเราตั้งใจไว้ว่าจะต้องไปดูกองหินทะลุที่อ่าวเขาควายให้จงได้ ในการพยายามมาพยามครั้งนี้ !! เราก็แว้นกันไปเลยค่ะ ตามป้ายบอกทางไปอ่าวเขาควาย แว้นไปเรื่อยจนมาถึงป้ายอ่าวกวางปีป 300 เมตร เฮ้ยยยยย แล้วกองหินทะลุอยู่ไหน ? นี่คือสุดอ่าวเขาควายแล้ว คืออะไร ? มาถึงขนาดนี้แล้ว ไปก็ไปสิ เธอ เราตัดสินใจไปต่อ แม้หนทางจะเริ่มเป็นทางลูกรัง แต่ทำไมมันขรุขระ แคบ และชันแบบนี้ล่ะ เราเริ่มไม่โอเค เลยบอกไปว่า "เธอ เราว่ากลับกันเถอะนะ ทางมันอันตรายไป" และแล้วเราสองคนก็ช่วยกันหันหัวมอเตอร์ไซค์กลับกันอย่างทุลักทุเล - -"
ระหว่างทางที่กลับมาก็เลยตัดสินใจถามคนแถวนั้นว่ากองหินทะลุ อ่าวเขาควายนี่ไปทางใด ? เมื่อรู้พิกัดก็ไม่รอช้า ตะบึงตะบันแว้นไปกันไป จริง ๆ มันมีป้ายบอกตัวเบ้อเริ่มเลยว่ากองหินทะลุ 1.5 กิโลเมตร อะไรประมาณนี้ เราจำระยะทางจริงไม่ได้ ฮ่า ๆ
ในที่สุดก็มาถึง เย้ ! แต่เดี๋ยวนะ น้ำขึ้นค่ะคุณผู้ชม เรามองเห็นจุดที่เป็นกองหินทะลุลิบ ๆ ทางด้านขวามือ แต่ไม่สามารถเดินไปได้ เพราะน้ำทะเลยังขึ้นอยู่ แต่น้ำทะเลตรงบริเวณนั้นใสกว่าอ่าวใหญ่ที่พักเราอีก ใจหนึ่งอยากเล่นน้ำ แต่ใจหนึ่งก็คิดว่ามันร้อนมากกกกกก เลยคิดว่าค่อยมาเล่นพรุ่งนี้เช้าดีกว่า กลับสิคะจะรออะไร เดี๋ยวบ่ายค่อยมาใหม่ก็ได้ รอน้ำลงก่อน หึหึ
จากนั้นเราก็แว้นกันมาฝากท้องที่ร้านเดิมคือ เกาะพยามซีฟู้ด ก่อนขี่เลยไปดู Blue Sky Resort ที่พักในฝันของเรา ฮือ ๆ ช่วงเช้าน้ำขึ้น บรรยากาศดี๊ดี น่ามาฮันนีมูนจริง ๆ รอก่อนนะ รอบหน้าเราจะต้องพักที่นี่ให้ได้ > <
ทีนี้เราก็เลยแว้นไปดูตรงอื่น ๆ บ้าง ไปตามถนนที่มีเนี่ยแหละ ไม่รู้ทางอะไรหรอก ไปมันเรื่อย ๆ เดินลงไปที่หาดบางจุดเป็นป่าชายเลน มีสุสานหอยสีชมพูตัวเล็กน่ารักอยู่ด้วย นั่งพักแป๊บ รู้สึกจะมีน้องหมาอยู่ทุกที่บนเกาะเลย แต่ก็ไม่เห่าไม่กัดนะ เพราะเราเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ^^
เริ่มเหนื่อยแล้วไง อากาศร้อนทำให้ชีวิตเพลียเล็กน้อย เราเลยกลับไปนอนเล่นที่ Lazy Hut ก่อนออกไปกองหินทะลุ อ่าวเขาควายช่วงบ่าย ๆ อินี่ก็เพลียตลอดจริง ๆ แต่แดดแรงมากกกกกก พูดเลย ! T^T
อร๊ายยยยย น้ำลงแล้วเธอ ! ดีใจเว่อร์ ชั้นแว้นมอเตอร์ไซค์ตากแดดมาก็เพื่อเธอเลยนะ หินทะลุ ยินดีที่ได้พบ : )
นั่นไง ! กองหินทะลุที่เราตามหา และเราก็หากันจนเจอ มันนานแค่ไหนที่คอยเธอมา...ไม่สนว่าอากาศจะร้อนเพียงใด ย่ำทรายอันแสนร้อนระอุตรงไปยังกองหินทันที คือรู้สึกปลื้มปริ่มประทับใจจุดนี้มากที่สุดบนเกาะเลย สำหรับเรานะรู้สึกว่าช่างเป็นอะไรที่ Unseen เหลือเกิน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราถึงตื่นเต้นกับกองหินนี้มาก !
แม้แดดจะร้อนแต่มีสายลมเย็นอ่อน ๆ เฮ้ออยากจะนอนอยู่ตรงนี้เลย ถ้าไม่ติดคนข้าง ๆ ที่คอยขัดตลอด ๆ
"เธอ ถ่ายรูปพอหรือยังล่ะ ไปตรงอื่นมั่งไหม" เออก็ได้จ้า พอก็ได้ เชอะ ! ยังมิวายหันมาอาลัยอาวรณ์กองหิน Unseen อีกนิด ฮ่า ๆๆ
จุดต่อไปเราคิดว่าจะไปอ่าวกวางปีปให้จงได้ เพราะเปิดอ่านรีวิวแล้วเห็นบอกว่าจอดรถไว้แล้วเดินไปก็ได้ ไม่ต้องขี่มอเตอร์ไซค์วิบากปีนป่ายขึ้นไป พอมาถึงจุดที่เขียนว่าสุดอ่าวเขาควายเหนือ เป็นป้ายภาษาอังกฤษแผ่นเล็ก ๆ ติดอยู่บนต้นไม้อะ เราก็จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ตรงนั้น เพราะเห็นว่ามีจอดอยู่แล้วสองสามคัน แล้วก็เดินไปตามป้ายลูกศรที่ชี้ไปทางอ่าวกวางปีปเลยจ้า พักหนึ่งก็มาถึงแล้ว
สวัสดีจ้า กวางปีป : )
อ่าวกวางปีปเป็นอ่าวเล็ก ๆ ที่มีที่พักอยู่แค่ที่เดียวมั้ง ไม่ได้ดูว่าที่พักชื่ออะไร แต่น่าจะสงบมากเลยทีเดียว เราสองคนมานั่งเล่นที่หาดทรายพักหนึ่งก็กลับอะ
ขากลับนี่สิ พอมาถึงมอเตอร์ไซค์ปั๊บได้ยินเสียงนกร้อง เราก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่คนข้าง ๆ รีบบอก "เธอ ๆ เงียบหน่อย ดูนั่นสิ" และชี้ขึ้นไปบนต้นไม้ นกเงือก !! คุณพระคุณเจ้า !! ในที่สุดลูกก็พบเจอนกเงือกแห่งเกาะพยาม !! ความรู้สึกแห่งความสำเร็จประเดประดังเข้ามาอย่างล้นหลาม เรารู้สึกเลยว่าการพยายามมาพยามครั้งนี้สำเร็จเสร็จสิ้นลงอย่างงดงามแล้ว...ปรบมือและรับมงกุฎ เยี่ยม !
ยืนดูนกเงือกกันอยู่พักใหญ่ก็กลับที่พัก อาบน้ำอาบท่าตั้งใจไปกินอาหารทะเลมื้อใหญ่ที่ร้านเดิม มื้อใหญ่มากจริง ๆ ต้มยำโป๊ะแตก ปลากะพงทอดราดน้ำปลา ข้าวสวย 2 จาน และเครื่องดื่ม - -" ก็งบจำกัดอะ เข้าใจบ้างสิ แต่ก็อร่อยนะ นั่งกินลมชมวิวได้ด้วย สบาย ๆ มื้อนี้ประมาณ 800 กว่าบาท เหงื่อตกเลย กลับที่พักไปทำใจแป๊บ T^T
พอถึงที่พักเราก็ลงไปเล่นน้ำทะเลที่อ่าวใหญ่หน้าที่พัก คลื่นแรงอยู่นะเออ แอบสูงนิด ๆ และก็ดูดกลับแรงด้วย นึกถึงอุบัติเหตุคลื่นดูดที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เราเลยไม่กล้าลงไปลึกมาก เล่นแค่ใกล้หาดเบา ๆ เอามือตบแปะกับน้ำ หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง หนึ่ง จบ !
พระอาทิตย์ตกดิน สะท้อนกับผิวน้ำสวยจังเลย แต่ไม่ได้เก็บภาพมาหรอกนะ มาเล่นน้ำทะเล ได้แต่บันทึกภาพที่เห็นไว้ผ่านดวงตา...ก็ยังดีเนอะ
"เธอ...ตัวเราเริ่มเปื่อยแล้วอะ ขึ้นเถอะ" เราสองคนก็จัดแจงไปอาบน้ำและตั้งใจจะมานั่งนอนเปลเล่นชิล ๆ หน้าห้อง ที่นี่เราเจอคอร์กี้น้อย 2 ตัว สีน้ำตาล เดินเล่นกันดุ๊กดิ๊ก ๆ เป็นของคู่ที่มาพักห้องเยื้อง ๆ กับเรานี่เอง พอดีเราก็เลี้ยงคอร์กี้อยู่ตัวหนึ่งเลยตื่นเต้น และได้คุยกับเจ้าของคอร์กี้ 2 ตัวนี้พักหนึ่ง ได้ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับคอร์กี้เยอะเลยค่ะ ดีจังเลย ^^
แต่ละครั้งที่ออกเดินทางเรามักจะเจอเรื่องราวที่ไม่ได้เจอในชีวิตประจำวัน คือถ้านั่งอยู่หน้าจอคอม เช้าเข้าออฟฟิศ เย็นกลับห้อง ก็คงไม่ได้เจออะไรแบบนี้แน่ ๆ สำหรับครั้งนี้ . . เราได้เจอมิตรภาพที่เกิดจากเจ้าคอร์กี้ จากคนที่ไม่รู้จักกัน ทักแชทมาในเฟซบุ๊กเพื่อที่จะอาสาไปส่งที่ท่าเรือให้ น้ำใจนี่มันกินแล้วอิ่มอกอิ่มใจจริง ๆ นะ : )
อืม...คืนนี้เราไม่ค่อยง่วงเท่าไร กว่าจะหลับก็ปาไป 4 ทุ่มแล้ว นอนฟังเสียงคลื่นซัดฝั่งเสียงดังมากอะ ดังเหมือนอยู่ใกล้ ๆ เลย อันที่จริงก็แอบกลัวนิดหนึ่งนะ T^T
เช้าวันสุดท้ายเราตื่นสายนิดหน่อย เนื่องจากเมื่อวานนั่งมอเตอร์ไซค์จนก้นระบม แถมบ่มแดดมาทั้งวัน เราเลยรีบแว้นออกไปเล่นน้ำทะเลที่อ่าวเขาควายตรงจุดกองหินทะลุ เพราะน้ำตรงนั้นใสกว่าอ่าวใหญ่อีก น่าเล่นกว่าด้วย ไปถึงก็มีรถจอดอยู่แล้วสามสี่คัน เราก็รีบตรงรี่ลงไปโดดน้ำ ตูมมมมม น้ำใสไหลเย็น สบายใจจัง แต่คลื่นก็ยังดูดกลับแรงอยู่ดี แอบกลัว (อีกแล้ว) แช่น้ำเล่นกันจนสบายใจก็กลับไปอาบน้ำ เก็บของ เตรียมเช็กเอาท์ ออกมานั่งเล่นโซน Restaurant หน้าที่พัก สั่งน้ำส้มปั่นมากินแก้วหนึ่ง สปาเกตตี และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด ทริปนี้ไม่มีอะไรรีบสักอย่าง ชีวิตดำเนินไปแบบช้า ๆ เอื่อย ๆ
ถามว่าถ้าให้เราอยู่แบบนี้สัก 5 วัน เราคงอกแตกตายเหมือนกัน คือมันนิ่งเกินไป ไม่มีเรื่องราวอะไร เหมือนตัดขาดโลกภายนอก และนี่แหละที่เราคิดว่าเป็นเสน่ห์ของพยาม : ) แต่เราขออยู่แค่ 2 คืนพอนะ พอและ บายยยยยยยพยาม
แว้นมอเตอร์ไซค์มาคืนที่ร้าน แล้วไปนั่งกินมื้อเที่ยงร้านเดิม (อีกแล้ว) เพราะใกล้ท่าเรือด้วย และต้องนั่งยาว เพราะรอขึ้นเรือรอบบ่าย 3 โมงครึ่ง
อีกแล้ว...การรอคอยที่แสนยาวนาน ไม่เคยรีบร้อนอะไรสักอย่างจริง ๆ อิ่มปุ๊บนอนหลับไป 1 ตื่นก็บ่ายสามพอดี เดินไปท่าเรือ เรือก็มาจอดอยู่แล้ว เลยขึ้นไปจับจองที่นอนต่อ เพราะอีก 2 ชั่วโมง กว่าจะถึงฝั่ง ก็บอกแล้วว่าทริปนี้ไม่มีอะไรต้องรีบ หึหึ
ลาก่อนนะ...พยาม...เราจะคิดถึงเธอ ความเป็นธรรมชาติสไตล์ชิล ๆ แดดจ้าที่มาพร้อมสายลมอ่อน ๆ ทะเลใสตามสไตล์แต่ละอ่าว มอเตอร์ไซค์วิบากพร้อมคนขับ นกเงือกและน้องหมาพาเพลิน หินทะลุที่เราปลื้มปริ่มนักหนา อ่าวแม่หม้าย อ่าวใหญ่ อ่าวเขาควาย และอ่าวกวางปีป และอื่น ๆ อีกมากมาย ครอกกกกกก . . .zzzZZ
ต่อไปนี้ เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยสรุป เฉลี่ยคนละ 4,000-4,500 บาท (ผู้เดินทางจำนวน 2 คน)
ค่ารถทัวร์ไป-กลับ สายใต้ใหม่-ระนอง โดยสมบัติทัวร์ VIP 2,768 บาท
ค่าที่พัก @Lazy Hut 2 คืน 1,600 บาท
ค่าเดินทาง บขส. ระนอง-ท่าเรือ (กระบะเหมา) 200 บาท
ค่าเรือเมล์ไป-กลับ 700 บาท
ค่าอาหารทั้งหมด 7 มื้อ 2,485 บาท (เฉลี่ยมื้อละ 355 บาท)
ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ 2 วัน+ค่าน้ำมัน 340 บาท
ค่าเดินทาง ท่าเรือ-บขส. ระนอง 30 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 8,123 บาท (เฉลี่ยคนละประมาณ 4,000 บาท)
เอ้า ! จะรอช้าอยู่ใย ไปสัมผัสมนตร์เสน่ห์แห่งเกาะพยามกันเถอะ : ) แบกเป้ไปสักใบก็พอละ..เธอ
ป.ล. ขออภัยหากมีข้อผิดพลาดนะคะ และขออภัยเช่นกันสำหรับภาษาที่ไม่ถูกหลักภาษาบางคำ เป็นไปเพื่อสร้างอรรถรสหรืออารมณ์นิดหน่อยค่ะ ^^"
ป.ล. 2 กระทู้ก่อนหน้าของเราเป็นทริปสังขละบุรีที่เขียนแบบเกร็ง ๆ มาก มานั่งอ่านเองแล้วยังแบบ เฮ้ยไร้ซึ่งอารมณ์ร่วมอย่างมาก กระทู้นี้เราเลยพยายามปรับปรุงให้ดูมีอารมณ์มากขึ้น
ขอบคุณพื้นที่กระทู้พันทิปที่เราได้แชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้
รักนะ
บายยยยยย : )
แนะนำที่ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร พร้อมคูปองส่วนลดโรงแรม เพียบ
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่ค่ะ
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ PreferPeace สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม