ประสบการณ์ Trekking เนปาล...ครั้งแรก
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ zonier สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
นมัสเต....^__^ วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ออกไปท่องโลกกว้างกันที่ "เนปาล" ประเทศมากเสน่ห์ที่น่าหลงใหล อีกทั้งยังเป็นจัดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ในการเดินทางมาเทรคกิ้ง (Trekking) เพื่อสัมผัสกับความตื่นเต้นท้าทายที่แฝงไปด้วยการผจญภัยสุดมัน จากบันทึกการเดินทางของ คุณ zonier สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มาแชร์ประสบการณ์ Trekking เนปาลครั้งแรก พร้อมกับความประทับใจที่ได้ไปเยือน แถมยังลิสต์รายชื่อของที่ถ้าไม่เอาไปแล้วจะเสียใจ/แบกไปแล้วใจเสียกว่ามาให้พวกเราได้รู้กันด้วย ใครที่กำลังวางแผนไป Trekking เนปาล บอกเลยว่าห้ามพลาดนะ :D
+++++++++++++++++++++
สวัสดีค่ะ ^^ เราเพิ่งกลับมาจากการไป Trekking ที่เนปาลเมื่อช่วงหยุดยาวปีใหม่ที่ผ่านมานี้เอง คือกล้าดียังไงถึงไปเทรคเนปาลครั้งแรกก็ไปหน้าหนาวเลยเธอ !เราไปเส้น Gosaikunda มาค่ะ เป็นมือใหม่หัดเดินมาก ๆ ที่เลือกเส้นนี้เพราะเห็นกระทู้นี้ http://pantip.com/topic/32069979 แล้วหลงรักเลยค่ะ ตั้งใจว่าถ้าไปเนปาลจะไปที่นี่ให้ได้ แล้วก็หลอกตัวเองด้วยนะว่า เอ๊ย ! ดูเดินง่าย ๆ ดูไม่เห็นจะเหนื่อยเลย เหมาะกับมือใหม่อย่างพวกเราสุด ๆ (แต่จริง ๆ แล้วพูดเลยว่าเกือบตาย !) ประสบการณ์การเทรคของเราก็มีแค่ภูกระดึงกับเขาช้างเผือก นอกนั้นไม่เคยไปที่ไหนเลย แถมเป็นสาวออฟฟิศที่ขี้เกียจออกกำลังกายเป็นที่สุดอีกด้วย น้ำหนักก็เกินมาตรฐานสาวไทยไปหลาย (สิบ) กิโลกรัม เรียกได้ว่าทริปนี้นี่สำเร็จเพราะใจล้วน ๆ ค่ะ
ก่อนอื่นต้องขออวดรูปหน่อยเถอะ ประเทศอะไรกดรูปอะไรมาก็สวยไปหมด ขนาดคนถ่ายไม่เป็นอย่างเรา ยังชมตัวเองเลยว่าถ่ายสวยจัง 5555 ความจริงคือวิวมันสวยอะนะ กดมั่ว ๆ ก็สวยแล้ว
นี่คือจุดหมายปลายทางของเราค่ะ Gosaikunda Lake มัน Frozen ซะจนอยากไปตามหาเอลซ่าเลย
ระหว่างทางเจอเมฆสวยก็แชะมาค่ะ
ครั้งแรกกับการ Trek บนหิมะ
จริง ๆ จุดประสงค์ที่ตั้งกระทู้คืออยากจะมาเล่าให้ฟังว่าอะไรที่เราเอาไปแล้วได้ใช้ และอะไรที่เราเอาไปแล้วหนักกระเป๋าเปล่า ๆ เผื่อเพื่อน ๆ ที่มีแพลนจะไปเดินเขาจะได้มีไอเดียว่าจะแพ็กอะไรไปดีนะ แล้วก็อยากได้ไอเดียของเพื่อน ๆ รุ่นเก๋าด้วยค่ะว่าเราควรหรือไม่ควรแบกอะไรไปบ้าง มาแชร์กันเนอะ
ข้อที่อยากแนะนำข้อแรกเลย คือ สกปรกให้เป็นค่ะ แล้วชีวิตบนเขาจะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย เริ่มจากเรื่องผู้หญิง ๆ ก่อนละกันนะคะ
1. ไม่อยากจะบอกว่าเราลงทุนหั่นผมสั้นก่อนไปเลย แต่จริง ๆ เราก็ไม่ได้ไว้ผมยาวมากเท่าไรอยู่แล้ว ก็ยาวเลยบ่าเล็กน้อย แต่เป็นคนที่ต้องสระผมทุกเช้าไม่อย่างนั้นจะรู้สึกหนักหัวมาก คือก่อนไปเราก็เช็กอากาศ ดูรีวิวนู่นนี่แล้วก็เลยคิดว่าอาบน้ำสระผมนี่คงเป็นไปไม่ได้แน่ ๆ หนาวซะขนาดนั้น ตัดสั้นเลยดีกว่า กลายเป็นเด็กติ่งเลยค่ะ อันนี้ลงทุนมากไปหน่อยนะ 5555 แต่มันคุ้มมากเลยนะคะ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าผมยาว ๆ แล้วเหนียวเป็นก้อน ๆ เพราะไม่ได้สระนี่เราจะทนได้ยังไง แล้วสรุปว่าไปนัดเจอเพื่อนผู้ชายที่กาฐมาณฑุ ก็เห็นมันตัดผมใหม่มา แสดงว่าคิดเหมือนกันแน่ ๆ
ตัดผมพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
2. ครีมกันแดด...สำคัญมากกกกกกกกก ขนาดเราว่าเราโปะไปเยอะมากแล้วนะยังจมูกลอก แสบหน้า แต่เราไม่ได้ทาทุก 2 ชั่วโมง คือทาแค่เช้าแล้วก็ลากยาวเลย แล้วตอนที่ไปนี่อากาศหนาวมาก แต่เวลาเดินก็แอบเหงื่อออกเล็กน้อย แต่เวลาแดดส่องนี่ไม่รู้สึกว่าร้อนเลยนะคะ ตรงกันข้ามมันหนาวจนอยากจะตากแดดตลอดเวลา ครีมกันแดดที่เราเอาไปคือ Spectraban 60 กับ LaRoche Posay 50 ค่ะ ไม่ต้องห่วงเลยว่าหน้าจะมัน เพราะมันทั้งหนาวทั้งลม ควรจะเอาอันที่มันที่สุดในบ้านไปเลยค่ะ อ้อ...เพื่อนผู้ชายที่ไปด้วยกัน มันเอา anessa ฝาทองไป แล้วทาตลอดแทบทุก 2-3 ชั่วโมง แล้วสรุปว่ามันหน้าใสอยู่คนเดียว ไม่ลอก ไม่ดำ ส่วนสาว ๆ หน้าเหียกกลับมาทั้งคู่...แป่วววววววววว
3. อันนี้ทีเด็ด "แป้งโยคี" ถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มาก คือวันก่อนเดินทางเราลืมหาซื้อ Foot powder ก็เลยหาอะไรที่มีในบ้านนี่ล่ะ หันไปเห็นแป้งโยคีของใครไม่รู้วางอยู่ในห้องน้ำเลยเอาติดไปด้วย สรุปว่า...โอ้วพระเจ้าจอร์จมันยอดมาก ๆ โรยทุกอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย ใครที่เท้าเหงื่อออกเยอะแนะนำมาก มันจะทำให้ทำคุณแห้งสนิท ไม่ชื้นเลยแม้แต่นิด เรานี่รักเลย โรยตั้งแต่หัวที่ไม่ได้สระ ทารักแร้หลังจากอาบกระดาษเปียก ทาเท้า โรยถุงเท้า โรยรองเท้า เผื่อแผ่เพื่อนด้วย กลับมายังเหลือพอไปได้อีกทริปหนึ่งเลย แนะนำมาก ๆ ค่ะ แป้งโยคีของถูกและดีมีในโลกจริง ๆ
4. กระดาษเปียก สำคัญที่สุดสำหรับสาว ๆ เพราะจะใช้เป็นที่อาบน้ำในยามหัวค่ำที่อากาศ -10 แต่ไม่อยากจะบอกว่าขนาดแค่ใช้กระดาษเปียกเช็ดยังทรมานเลยค่ะ สั่นงัก ๆๆ เพราะเราเช็ดทั้งตัว คือหลังจากเช็ดพวกแป้งพวกครีมกันแดดออกจนหมดแล้ว เราก็เอากระดาษเปียกซ้ำอีก 2 แผ่น เท่านี้ก็สะอาดแล้วค่ะ พิสูจน์ได้โดยที่กลับมาสิวไม่ขึ้นสักเม็ด ดีใจมากกกกกกก เราใช้กระดาษเปียกแทนการอาบน้ำทั้งหมดประมาณ 8-10 แผ่น คือ หน้า 2 แผ่น เราใช้เช็ดผมด้วยค่ะเพราะตอนเดินเหงื่อเราเยอะ ถึงจะหนาวมากก็เถอะ เช็ดผม 2 แผ่น อีก 4-6 แผ่น ใช้เช็ดส่วนที่เหลือของร่างกาย อย่างที่บอกไปขนาดแค่ใช้กระดาษเปียกเช็ดยังหนาวจนสั่น ไม่อยากจะคิดว่าถ้าอาบน้ำล่ะแข็งตายแน่ ๆ ค่ะ
5. มอยส์เจอไรเซอร์ทาหน้า นี่ก็สำคัญมากนะคะ เพราะอากาศมันหนาวมาก ให้พกครีมที่หนักที่สุดในบ้านไปเลยค่ะ เอาแบบที่อยู่เมืองไทยแล้วใช้ไม่ได้นั่นแหละ เราเอาครีมวิตามิน E ไป พอเช็ดหน้าเสร็จก็โปะเข้าไปเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวหน้ามัน เพราะถ้าหน้าแห้งเนี่ยท่าทางจะแย่กว่าในสภาพอากาศแบบนี้
6. กางเกงในกระดาษ พกไปเถอะค่ะชีวิตดีแน่นอน ใช้แล้วทิ้งเลยไม่ต้องเก็บมาซักที่บ้าน
7. Bra Top Uniqlo เราใช้รุ่น airism นะคะ เพราะมันจะแห้งง่ายกว่า heat tech เวลาเหงื่อออกจะได้ไม่หนาวนาน แห้งง่ายก็อุ่นไว เดินสบายไม่อึดอัดเพราะมันไม่มีโครง ตอนกลางคืนก็ถอดมาผึ่งไว้ เช้ามาใส่ซ้ำได้อีก ไม่เหม็นค่ะ....คอนเฟิร์ม (บอกแล้วไงว่าต้องสกปรกให้เป็น)
8. ถุงเท้า 3 คู่ 100 แบบหนา อันนี้ฟลุคมาก เพื่อนเราซื้อถุงเท้า Trekking อย่างดีจากเกาหลีมาฝาก แต่วันนั้นไปเดินสยาม เจอร้านขายของหน้าลิโด ขายถุงเท้า 3 คู่ 100 บาท เลยถามถึงแบบหนา แล้วก็ซื้อมา 6 คู่ จะบอกว่าเหมือนกับที่ซื้อจากเกาหลี มันเวิร์คมาก หนา กันหนาวได้ กันรองเท้าเสียดสีได้ดีมากด้วย สรุปไม่ต้องจ่ายแพงนะคะ ซื้อแบบนี้ไปคุ้มมาก
9. ผงลาบโลโบ้ ไอเทมนี้สุดยอดจริง ๆ ตอนแรกจะเอามาม่าไป แต่เป้เต็ม เลยพกผงลาบไปซองหนึ่ง แล้วยัด ๆ ไว้ในเป้เล็ก แล้วก็ลืมมันไปเลยด้วยนะ วันที่เจอผงลาบอยู่ในซอกเป้นี่ โอ้โห ! ช่วยชีวิตค่ะขอบอก จริง ๆ อาหารบนนั้นเรากินได้นะ ไม่ได้รู้สึกแย่ ชอบด้วยซ้ำ แต่พอกินทุกวันทุกมื้อมันก็เบื่อ ผงลาบนี่เอาไปโรยได้ทุกอย่างเลย ทั้งซุป ทั้งผัดหมี่ ในรูปนี่เอาไว้โรยมันฝรั่งต้ม ชีวิตดีขึ้นมาทันทีเลย
มาต่อกันกับของที่เอาไปทำไม ? หนักเป้เปล่า ๆ ! (อันนี้คือค่อนข้างส่วนตัวนะคะ อารมณ์ล้วน ๆ เหตุผลไม่ค่อยมี 5555)
1. อันดับแรกเรายกให้ครีมทาผิวค่ะ เราเป็นคนผิวแห้งมาก ถ้าไม่ทาครีมจะแห้งจนคัน แต่ทริปนี้ไม่อยากจะบอกว่าขนาดเอาไปหลอดเล็กแล้วนะ ยังคิดว่าไม่น่าเอามาเลย ทำไมเหรอคะ...ก็มันหนาวววววววว หนาวจนเราคิดว่าช่างมันละ ยิ่งทาครีมยิ่งหนาว คือปกติเราก็ทนหนาวได้ในระดับหนึ่งนะ แต่ที่ไปมานี่มันสุด ๆ จริง ๆ กลางคืนติดลบทุกคืน แล้วกรุณาคิดถึงที่พักที่เป็นกระต๊อบหิน ฝาไม้อัด ที่ไม่ได้กันความหนาวอะไรเลย จังหวะนั้นเรายอมเลย ยอมผิวแห้งแล้วกลับมาบำรุงที่ไทยดีกว่าหนาวตาย
2. อายไลเนอร์ อันนี้ส่วนตัวเป็นคนติดอายไลเนอร์มาก ๆ ไปภูกระดึงยังขอกรีดตาก่อนเดิน ก็กะว่าไปที่นี่ยังไงฉันก็ต้องสวยก่อนล่ะ ไม่อย่างนั้นไม่มีแรงเดิน สรุปว่าเหนื่อยจนไม่มีแม้แต่แรงกรีดตา โปะครีมกันแดดเสร็จ ทาแป้ง เขียนคิ้ว ทาลิปมัน จบเลย ขนาดไม่แต่งสีสันบนหน้าเลยนะ ไกด์กับลูกหาบยังแซวกันกระจายว่ายูมัวแต่เมคอัพเลยออกช้าทุกวัน...ตึ่งงงงงงงง เพราะฉะนั้นแว่นกันแดดจึงสำคัญ นอกจากจะกันแดด กันแสงสะท้อนจากหิมะแล้ว ยังกันตาตี่ ๆ ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านด้วย
3. ช็อกโกแลตและ Cereal bar อ่านรีวิวทั้งไทย ทั้งฝรั่ง บอกให้พกช็อกโกแลตไปด้วย เราก็เอาไปเยอะเลยนะ Mars 10 แท่ง Cereal Bar อีกสิบกว่าแท่ง สรุปทั้งทริปกินไปอย่างละกัน แถมตอนซื้อ Cereal Bar ก็ไม่ได้ดูเลยว่าหยิบแบบ Low Calories มา แท่งละ 70 kcal กินเข้าไปนี่ไม่ได้รู้สึกว่ามีแรงขึ้นเลย ส่วนช็อกโกแลตเราว่าถ้าเป็นคนชอบกินพกไปก็คงได้กินแหละค่ะ แต่เราเหนื่อยเกินกว่าจะกิน เวลาหยุดพักนี่ขอแค่น้ำไม่ก็ชา แค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว ที่เหลือก็เลยเอาไปแจกไกด์แจกลูกหาบ พอดีไม่ค่อยสนับสนุนให้แจกเด็กนะคะ เขาดูน่าสงสารก็จริงแต่ยิ่งแจกเค้าก็ยิ่งเคยตัว คอยรอมาขอกับนักท่องเที่ยวอยู่เรื่อยไป จะมีที่ไหนในโลก ที่เราจะสามารถจิบชาไป แทะ Mars ไปพร้อมชมวิว Langtang Lirung ไป ?
4. อุปกรณ์กันหนาวที่ซื้อจากไทย พวกถุงมือ หมวก เสื้อฟลีซ เสื้อกันลม อยากจะบอกว่าไม่ต้องเตรียมไปเลย ไปซื้อเอาที่ทาเมล เพราะนอกจากถูกแล้วยังคุณภาพดีด้วย เราเป็นหนี้บุญคุณของเสื้อและกางเกงกันลมที่ซื้อที่นู่นเลยค่ะ ช่วยได้เยอะมาก เราเอาถุงมือ heat tech Uniqlo ไปใช้ตอนเดิน เอาไว้จับไม้เท้า สรุปว่านิ้วชี้โผล่ตั้งแต่ยังไม่ถึงจุดหมายเลย ส่วนเพื่อนเราใช้ถุงมือเนปาลอันละประมาณ 60 บาทไทย ทั้งอุ่นทั้งทน คุ้มสุด ๆ เสื้อและกางเกงกันลมตัวละ $20 (ขึ้นอยู่กับสกิลในการต่อค่ะ ซึ่งเราอ่อนมาก) ส่วนหมวกรู้สึกจะ 200 รูปีมั้งคะ ก็ 60 กว่าบาท อุ่นมากกกกกกกก
5. ผ้าบัฟ ไปซื้อที่นู่นค่ะ อันละ 100 รูปี ก็ 30 บาทไทย (บางคนอาจจะต่อได้ราคาถูกกว่านี้ด้วย) ถูกมาก เอนกประสงค์ด้วย เราซื้อกลับมาเป็นของฝากด้วยค่ะ ผ้าบัฟนี่สารพัดประโยชน์จริง ๆ ทั้งกันฝุ่น กันลม เช็ดน้ำมูกได้ด้วย อยากจะบอกว่าน้ำมูกนี่คอนโทรลไม่ได้เลยล่ะ มันหนาวมากเลยย้อยตลอดเวลา ก็เอาผ้าบัฟนี่แหละที่ทั้งปิดไว้กันอุบาทว์แล้วก็แอบเช็ดได้ด้วย
ผ้าบัฟสารพัดประโยชน์
หรือใครจะเอาหมวกแบบเราไปก็ได้นะ ซื้อที่จตุจักร ตามร้านเครื่องทหาร 120 บาท แต่เราว่าผ้ามันหนาเลยทำให้หายใจไม่ค่อยออก แล้วก็ต้องดึงออกมาทำให้หน้าเจอแดดจังๆ เลยค่ะ ผลก็คือจมูกลอกฟูฟ่องเชียว
6. น้ำหอมอันเล็ก เราอุตส่าห์พกอันเล็ก ๆ ไปนะ ก็ยังคิดว่าไม่น่าเอามาเลย เพราะไม่ได้ใช้ ไม่รู้ว่าทำไมมันไม่เหม็นเลย สงสัยมันหนาวมากมั้งคะ คิดว่าจะเอาไปดับกลิ่นซะหน่อย แต่สรุปใช้แค่วันแรกแล้วก็ไม่ได้หยิบมาใช้อีกเลย เพราะมันไม่เหม็น ไม่ว่าเหงื่อจะออกเยอะแค่ไหนก็ตาม
7. กระบอกน้ำ ให้เช็กก่อนนะคะว่าเส้นทางที่เราไปมีน้ำขายตลอดทางหรือเปล่า ถ้ามีขายตลอดกระบอกน้ำก็ไม่จำเป็นค่ะ ซื้อน้ำเป็นขวด ๆ พกเอาง่ายกว่า กระบอกนี้เราซื้อที่ทาเมล ประมาณ 150 บาท แต่อันนี้ห่วยค่ะ ลงเขามาก็ทิ้งไว้ที่นั่นเลยไม่เอากลับไทย
8. หนังสืออ่านเล่น คือเราชอบอ่านหนังสือมากนะ ว่างเป็นหยิบมาอ่าน ตอนเอาไปเล่มเดียวยังคิดเลยว่าจะพอเหรอ เพราะเราอ่านเร็ว คงแป๊บเดียวจบ...จริง ๆ พอเดินถึงที่พักก็หนาวแทบตายแล้ว แถมเหนื่อยเกินกว่าจะหยิบหนังสือมาเปิดอ่านอีก แถมเวลาช่วงเย็นหมดไปกับการผิงไฟแล้วเม้าท์กับพวกเทรคเกอร์ ไม่ก็เล่นไพ่กับไกด์และลูกหาบ หนังสือที่พกไปก็นอนตายอยู่ในซอกเป้อย่างสงบสุข
9. นาฬิกาข้อมือ วันแรก ๆ เราก็ใส่นะ แต่รู้สึกว่าไม่เห็นจะได้ดูเลย หลัง ๆ เลยเอาไปแขวนไว้ที่เป้ ซึ่งดูจะมีประโยชน์กว่า เพราะทั้งไกด์และลูกหาบมาดูกันตลอดว่ากี่โมงแล้ว
10. รองเท้าผ้าใบ เราพกรองเท้าไปเผื่ออีกคู่หนึ่ง เป็นรองเท้าวิ่ง Nike เผื่อว่าคู่ที่ใช้ลุยทุกวันมีอันเป็นไป สรุปก็เอาไปหนักเป้เปล่า ๆ เพราะไม่ได้งัดมาใช้เลย เราคิดว่าถ้าเราลงทุนกับรองเท้าดี ๆ สักคู่หนึ่งมันคุ้มนะ เราซื้อ TNF ที่เป็น GoreTex ตอนเซลล์ เหลือคู่ละ 3,000 บาทนิด ๆ ใช้คุ้มเลย อุ่นสบาย เท้าไม่เปียก ข้อเท้าไม่พลิก เล็บเท้าไม่หลุด เชียร์ให้ซื้อของดีไปเลยค่ะ คุ้มมาก
รูปนี้รองเท้าชัด ๆ ค่ะ แล้วก็เป็นรูปที่เราชอบมากที่สุด คือมันเป็นรูปที่ตอบคำถามที่ว่านี่แกจะไปลำบากทำไม ...
นึกไม่ออกแล้วค่ะ เพื่อน ๆ มีอะไรมาแชร์ก็เพิ่มมาได้นะคะ เพราะเดี๋ยวเราหรือเพื่อน ๆ คนอื่นไปอีกจะได้จัดกระเป๋าอย่างมีประสิทธิภาพ
ก่อนจบกระทู้ขออวดรูปอีกหน่อยค่ะ อย่างที่บอกเราเป็นคนธรรมดา ๆ ไม่ออกกำลังกาย ไม่ฟิต มีแค่ใจที่รักภูเขาเท่านั้น เราไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะมาไกลได้ขนาดนี้ 4,380 เมตร นี่สูงสุดในชีวิตที่เดินไปมาแล้ว ตอนกลางคืนฝ่าความหนาวออกไปมองดูดาว มันเยอะมากแบบไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ไม่นับว่าอากาศที่เจอก็โหดสุดในชีวิตเหมือนกัน โดยเฉพาะที่ Gosaikunda เดินไปถึงตอนบ่ายก็อุณหภูมิประมาณ -5 แล้ว พอพระอาทิตย์ตก โดดไป -13 เลยค่ะ หนาวจนปวดหัว ตื่นมาน้ำในขวดแข็งไปเลย เพื่อนเราวางแก้วชาร้อนไว้ ตื่นมาก็แข็งไปทั้งแก้วเช่นกัน ทริปนี้เราประทับใจที่ Lauribinayak มากที่สุด ถ้าสวรรค์มีจริง มันคือที่นี่ค่ะ ไม่อยากจะเชื่อว่าเราไปเห็นอะไรแบบนี้มาด้วยตาตัวเอง เรานี่น้ำตาซึมเพราะวิวสวยหลายรอบเลยนะ ตอนขึ้นมาถึง Lauribinayak นี่น้ำตาไหลเลย อะไรมันจะสวยขนาดนี้ เห็นไกลไปถึง Annapurna, Machapuchre และ Manaslu เลยทีเดียว ไม่นับ Ganesh Himal ที่อยู่ตรงหน้า ยาวไปถึง Tibet Range และ Langtang Lirung ที่เหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม
โต๊ะเขียนหนังสือที่วิวสวยที่สุดในโลก ที่ Lauribinayak
เห็นภาพแบบนี้ด้วยตาตัวเองแล้วน้ำตาซึมค่ะ ไม่อยากจะเชื่อว่าเดินขึ้นมาขนาดนี้ได้ยังไง
ขยี้ตา 3 รอบ ของจริงมันสวยมาก สวยจนไม่รู้จะพูดยังไง พระอาทิตย์ตกเหนือ Ganesh Himal
วิวจากที่พักคืนละ 150 บาทไทย ณ Lauribinayak
ธงมนตร์...เจอได้ตลอดทาง
ส่วนรายละเอียดการเทรคเราขอไม่อธิบายนะคะ เราไปกับ Nepal Wilderness Trekking (บอกชื่อจะผิดกฎไหมเอ่ย) ซึ่งไกด์กับทีมลูกหาบดีมาก เป็นเด็กวัยรุ่นที่เฮฮาและมีน้ำใจสุด ๆ ดูแลพวกเราดีมาก คอยลากคอยดันเวลาเราเดินบนหิมะลื่น ๆ คอยดูแลทั้งวันจนเข้านอน เวลาเดินอยู่พอใกล้ถึงไกด์จะฝากให้ลูกหาบดูแลพวกเรา ส่วนตัวไกด์ก็วิ่งไปติดต่อที่พัก คอยเตรียมเมนูอาหารให้พวกเราที่หิวโซสั่งกันมาทาน ทุกวันนี้เรายังคุยกันในเฟซบุ๊กอยู่เลยค่ะ ไปเดินไม่กี่วันก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว ทีมนี้สุดยอดจริง ๆ ค่ะ แนะนำเลย
ไกด์แอนด์เดอะแก๊งที่สร้างเสียงฮาให้พวกเราตลอดทริป
สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่อ่านรีวิวง่อย ๆ นี้จนจบนะคะ ใครมีอะไรสงสัยก็ถามได้ จะพยายามหาคำตอบมาให้นะคะ
ท้ายสุดจริง ๆ ละ อยากจะบอกว่าหิมาลัยมีมนตราจริง ๆ ค่ะ ใครไม่เชื่อต้องไปพิสูจน์ !!!!
มีหลายท่านถามเรื่องค่าใช้จ่าย เรามาบอกไว้ตรงนี้เลยละกันเนอะ
ค่าตั๋วเครื่องบิน : เราไปกับแอร์อินเดียจ่ายไป 13,xxx บาทค่ะ แต่บางทีก็มีโปรฯ การบินไทยด้วยนะ บินตรงอีกตะหาก ไม่เสียเวลา Transit ที่อินเดียเหมือนเราด้วยค่ะ แถมขากลับตกเครื่องอีกเพราะมันดีเลย์จากกาฐมาณฑุ เลยได้นอนเล่นที่เดลีเพิ่มอีกคืนหนึ่งเลย
ส่วนค่าไกด์และลูกหาบ เราอีเมลไปคุยก่อนไป ก็ได้ราคา $470 ต่อคนค่ะ ซึ่งตอนแรกเราจะไปกัน 6 คน ไป ๆ มา ๆ เหลือ 3 คน เขาก็ยังคงราคานี้อยู่ ถึงได้บอกว่าเอเจนซี่นี้น่ารักมาก ๆ ราคานี้คือรวมทุกอย่างนะคะ รับ-ส่งสนามบิน ที่พักทั้งในเมืองและบนเขา ค่าอาหารทุกมื้อ (ยกเว้นในกาฐมาณฑุ) มีถุงนอน -20 ให้ด้วย ค่าไกด์ ค่าลูกหาบ ค่า One Day Tour ที่กาฐมาณฑุกับปาทัน...เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มอีกเลย ยกเว้นค่าทิป แล้วก็พวกอุปกรณ์กันหนาว ซึ่งก็อย่างบอกว่าราคาไม่แพงเลยค่ะ อาหารมื้อที่ต้องหากินเองตอนอยู่ในเมืองก็ราคาถูกมาก แถมอร่อยมาก ๆ อีกด้วย เรารักมากเลยประเทศนี้ มีแต่ของถูกใจ
อ้อ ! อย่าลืมติดธงชาติไปด้วยนะคะ จะได้มีรูปเท่ ๆ เหมือนเพื่อนเราแบบนี้ อิอิ