
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณฮโยริ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
เพราะการเดินทางไม่ว่าจะรูปแบบไหน ทั้งนั่งรถ ลงเรือ ขึ้นเครื่องบิน หรือโดยสารรถไฟ ก็มักทำให้เราพบเจอสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิตเสมอ จึงไม่แปลกที่ใคร ๆ ต่างก็อยากออกเดินทางทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ดังนั้น วันนี้เราจึงหยิบเอาอีกหนึ่งบันทึกการเดินทางของ คุณฮโยริ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวสุดคลาสสิก "นั่งรถไฟฟรี" ขึ้นเหนือไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าประทับใจอีกทริปหนึ่ง แต่จะสนุกสนานเฮฮาขนาดไหนนั้น ตามไปเที่ยวกันเลยจ้า







เราชวนน้องแบกเป้เที่ยวกันทั้งหมด 5 คน รวมตัวเราด้วย เราบอกกับน้องทุกคนก่อนเลยว่านั่งรถไฟฟรีนะ 555 ให้เขาทำใจกันก่อน (น้อง ๆ บอกว่าโอเคเลยค่ะพี่ หนูก็อยากเที่ยวแบบนี้เหมือนกัน) เราก็เลยโล่งใจ แผนการเที่ยวของเราคือวันที่ 1-4 พฤษภาคม 2557 เที่ยวแค่ในตัวเมืองบวกกับไหว้พระและขี่มอเตอร์ไซค์เล่นไปเรื่อย ๆ
วันแรก 1-05-57 นัดกันที่สถานีรถไฟหัวลำโพงตอน 10.30 น. เพื่อที่จะรีบจองตั๋วรถไฟฟรีกัน เมื่อพร้อมหน้ากันก็รีบวิ่งไปจองตั๋วฟรี โดยการโชว์บัตรประชาชนเพื่อแลกกับตั๋วค่ะ พวกเราได้ตั๋วเป็นรถเร็วขบวนที่ 109 กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ (รถไฟฟรี) ออกจากกรุงเทพฯ ตอน 12.45 น. ถึงเชียงใหม่ 04.05 น. ตอนที่แลกตั๋วเลยถามพี่คนที่จ่ายตั๋วว่ารถไฟจะมากี่โมงคะ พี่เขาบอกว่าสัก 11.00 น. ก็ลองเดินมาดูที่ชานชาลาได้แล้ว


จากนั้นเราก็ไปหาอะไรรองท้องกันก่อนเดินทาง 10.45 น. ก็ลองเดินมาดู และมีเสียงประกาศว่ารถไฟกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ขบวนที่ 109 จะเข้าชานชาลาแล้ว เราและน้องก็รีบเดินมองหาตู้ที่ 7 แล้วขึ้นไปจองที่กัน (ตั๋วฟรีก็บุ๊กที่ไว้ให้เรานะคะ แต่กันพลาด ^ ^) อยากจะบอกว่าขึ้นไปนั่งจองที่เป็นอะไรที่ค่อนข้างร้อนมาก เพราะว่ารถไฟยังไม่ออก อับลม และแดดค่อนข้างแรง เราก็นั่งกันบนนั้นแหละค่ะ ผลัดกับน้อง ๆ ลงไปรับลมกัน กว่าจะ 12.45 น. พี่ ๆ ป้า ๆ ลุง ๆ ก็เริ่มจะขึ้นมานั่งและจองที่กันบ้างแล้วววว





ยายคนนี้ไม่มีที่นั่งค่ะ เพราะตั๋วไม่ได้บุ๊กที่ไว้ให้ เพราะยายแกลงรังสิต เลยมาชวนน้องเราคุย (มิตรภาพนี่มีได้ทุกวัยจริง ๆ)
พอได้เวลารถไฟก็เริ่มออกจากสถานี สารภาพเลยว่าเราเหมือนเด็กมาก ดีใจที่จะได้ไปเที่ยวด้วยการนั่งรถไฟนี่แหละ เรามองหน้าน้อง ๆ แล้วเดาถูกเลยว่าน้องต้องร้อนมากแน่ ๆ เราคิดในใจว่าอีกนิดเดียวนะ เดี๋ยวแดดก็ร่มแล้ว

จากกรุงเทพฯ-อยุธยา-ลพบุรี ประมาณ 15.30 น. พ่อของเราก็มาส่งน้ำเป๊ปซี่ใส่น้ำแข็ง และพวกของกินมาให้ที่สถานีลพบุรี (พ่อเจ้าของเราอยู่ลพบุรีค่ะ) ตอนนั้นเหมือนได้กินอะไรที่ชื่นใจมาก ๆๆ เพราะแดดตอนเวลาบ่าย 3 ค่อนข้างจะแรงเป็นพิเศษ


เลยลพบุรีมาสักพักก็เข้าสู่นครสวรรค์ แดดร่มแถมลมเย็น ๆ ก็เริ่มมาแล้ว รถไฟวิ่งไปเรื่อย ๆ ก็เข้าสู่พิจิตร-พิษณุโลก หลังจากผ่านพิษณุโลกมาแล้วขอบอกเลยว่าเวลาผ่านไปไวมาก มาถึงอุตรดิตถ์-ศิลาอาสน์-เด่นชัย (คนเริ่มน้อย)-ลำปาง-ขุนตาน-ลำพูน-จนถึงปลายทางเชียงใหม่วันที่ 02-05-2557 เวลา 05.15 น. เลทไปชั่วโมงกว่า ๆ (เราไม่ได้หลับเลยเพราะว่าตื่นเต้นมากกกก และอากาศก็หนาวมากกกกก)
วันที่ 02-05-2557 ลงมาจากรถไฟก็จะมีวินรถแดงคอยมาเรียก เราก็เลยลองถามราคาไปว่าถ้าไปเที่ยวดอยสุเทพ ดอยปุย เท่าไหร่คะ เขาก็บอกว่า 5 คน 1,500 บาท (ตกคนละ 300) เราก็เลยยังไม่ตกลงอะไร แล้วไปซื้อตั๋วรถไฟขากลับก่อน (ได้กลับวันที่ 4-05-2557 รถด่วนรอบ 17.30 น. ถึง กรุงเทพ 08.35 น. ราคา 270 บาท ชั้น 3) แล้วค่อยมาเรียกรถแดงไปฝากของที่โรงแรมก่อน เราจองไว้ที่ B2 Green ตรงถนนห้วยแก้ว ลุงคิดหัวละ 40 บาท แล้วก็ฝากนามบัตรไว้ให้กับเราว่าถ้าสนใจเที่ยวโทรหาลุง เดี๋ยวลุงจะแถมพาเที่ยวที่อื่นด้วย เราก็รับมาแล้วเข้าโรงแรม บอกว่ามาฝากของ ประชาสัมพันธ์ของโรงแรมบอกว่าตอนนี้ห้องว่างอยากจะเช็กอินเลยมั้ย (06.00 น.) โดยไม่มีการชาร์จเพิ่มนะคะ เรารีบตกลงแล้วแยกย้ายกันไปอาบน้ำ แล้วโทรนัดลุงให้มารับตอน 08.00 น. ให้พาเที่ยวพระธาตุดอยสุเทพ-ดอยปุย-พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์



ที่พระธาตุดอยสุเทพ จะมีพี่ผู้ชายคนหนึ่งคอยแนะนำค่ะว่าควรทำอะไร ยังไง ดีมาก ๆ เลย ขอบคุณมากนะคะ
ก่อนจะไปดอยปุยเลยได้ถ่ายรูปกับเด็กชาวเขา แค่เรียกว่าพี่คนสวยคะ เราก็ถ่ายแล้วล่ะค่ะ



บนดอยปุยอากาศดีมากเลยค่ะ อดไม่ได้ที่จะใส่ชุดชาวเขาถ่ายรูปกับเค้าด้วย
ลงจากดอยมาประมาณเที่ยงนิด ๆ เราเลยให้ลุงพาเที่ยววัดต่อ แต่ลุงคนขับเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง ขับรถแบบเบรกรัวมากก ปาดไปปาดมา เลยตัดสินใจกับน้อง ๆ ว่ากลับที่พักเถอะไปพักกัน แล้วเย็น ๆ ค่อยออกมาเที่ยวกันเอง ก็เลยให้ลุงขับมาส่งที่โรงแรม ลุงถามว่าทำไมไม่ไปต่อล่ะ (นี่ลุงยังไม่รู้ตัวอีกเหรออออ) เราก็ไม่ได้ตอบอะไร แล้วเดินออกมาเลย
หลังจากพักผ่อนกันแล้วตกเย็นก็โทรบอกกับเจ้าหน้าที่โรงแรมว่าจะเช่ามอเตอร์ไซค์ เขาก็โทรตามให้ 3 คัน ทิ้งบัตรประชาชนไว้กับที่ร้าน แล้วพอคืนรถเขาก็เอาบัตรมาคืนให้ค่ะ พอได้มอเตอร์ไซค์แล้วก็ถึงเวลาออกแว้นกันแล้ว ตอนแรกตั้งใจจะไปขี่รถเล่นใน มช. แต่หลงทางกันแบบไม่รู้จะไปทางไหนต่อ ก็เลยตัดสินใจไปหาข้าวกินที่ถนนนิมมานฯ แทนแล้วกัน ร้านที่เลือกไว้ตั้งแต่แรกเลย คือ ร้านต๋อง นิมมานซอย 13 บรรยากาศร้านสบาย ๆ เปิดเพลงเพราะดี อาหารพื้นเมืองก็น่ากินมาก ๆ ร้านนี้เราปลื้มเลยล่ะ บิลออกมาก็ตกใจ คนละ 120 บาท ถูกมากกก

กับข้าวมีทั้งหมด 5 อย่างค่ะ แต่อดไม่ไหวเลยขอแชะภาพซะก่อน

มีเพื่อนมาทักทายซะด้วย
หลังจากมื้อหลักก็ไปหาร้านนมกินกัน มาจบที่ร้านสวนนม นิมมานซอย 6 ร้านน่ารักบรรยากาศโอเคเลยค่ะ ในระหว่างที่กินกันก็คิดอยู่ว่าจะไปไหนต่อดี สุดท้ายก็ตัดสินใจกันว่าไปเดินเล่นไนท์บาร์ซากัน ขี่รถออกมาแบบงง ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าจุดหมายหน้าตาเป็นยังไง ขับไปถามทางไปก็ถึงจุดหมายแล้วเดินเล่นแป๊บนึงค่ะ ตอนขากลับนี่โหดสุด กลับตอนห้าทุ่มกว่า ๆ เกือบขับรถออกนอกเมืองแหนะ กว่าจะมาถึงโรงแรมก็ปาไปเที่ยงคืนกว่า
ตื่นมาตอนเช้าวันที่ 3-05-57 อากาศเย็นมาก อาจเป็นเพราะว่าเมื่อคืนฝนตก 08.30 น. ก็ซิ่งกันออกมากินโจ๊กร้านสมเพชร แล้วต่อด้วยการไหว้พระวัดเชียงมั่น-อนุสาวรีย์สามกษัตริย์-วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร-วัดพันเตา-วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร

อนุสาวรีย์สามกษัตริย์

ชอบลานตรงนี้มาก ๆ




วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร


วัดพันเตา



วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร
หลังจากไหว้พระในเมืองกันเสร็จก็ขอไปแอ๊วหนุ่มเหนือที่อ่างแก้ว มช. อากาศเย็น ๆ มีแดดนิดหน่อย (มช. เป็นมหาวิทยาลัยในฝันของเราที่อยากไปอยู่ แต่ตอนนี้แก่เกินไปละ T_T)




นั่งพักถ่ายรูปกินน้ำร้านตรงข้ามอ่างไปสักแป๊บ ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาไหว้พระครูบาศรีวิชัยเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองค่ะ แวะกินก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ เดินขึ้นไปน้ำตกห้วยแก้วสักหน่อย อากาศร้อนสุด ๆ แต่น้ำเย็นมากก ประมาณบ่ายสามหน่อย ๆ ก็กลับที่พักมานอนแช่แอร์สักแป๊บ แล้วเย็น ๆ ค่อยออกมาแว้นกันใหม่
18.00 น. ได้เวลาออกเที่ยวแล้วค่ะ เราและน้อง ๆ ขี่มอเตอร์ไซค์มาตามคูเมือง จนถึงถนนคนเดินวัวลาย มีรับฝากมอเตอร์ไซค์คันละ 10 บาท ไม่ต้องกลัวหายจ้า ถนนที่นี่ขายของแฮนด์เมดทั้งสาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเงิน ของถักทอทั้งหลาย โปสการ์ด มาที่นี่ได้ของเพียบตัวเบาแบบไม่รู้ตัวเลย ถนนสายนี้จะมีเด็กน้อย ไปจนถึงลุง-ป้า มายืนเต้น-ร้องเพลงให้ฟังตลอด เพลินมากเลยค่ะ




เรากับเพื่อนเลือกมานั่งกันที่ร้าน Maldives นิมมานซอย 6 บรรยากาศดีเพลงเพราะค่ะ นั่งคุยกับเพื่อนเพลินจนเกือบตี 2 โอ้วววว รีบกลับก่อนดีกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นไม่ไหว
วันที่ 4-05-57 กว่าจะตื่นเช้านี้ก็ปาไป 09.30 น. แล้วค่ะ ต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวกันเพราะต้องเช็กเอาท์ก่อนเที่ยง พอเช็กเสร็จก็ฝากของไว้ที่ล็อบบี้แล้วก็ออกมาแว้นไปซื้อของฝากกันที่ตลาดวโรรส ซื้อเสร็จแล้วก็มาหาร้านนั่งกินข้าวกับขนมกันที่นิมมานฯ (บอกเลยว่าทริปนี้ไปไหนไม่รอดนอกจากนิมมานฯ) มาลงเอยที่ร้านกูโรตีและชาชัก ร้านนี้มีทั้งข้าวและของหวานหลายอย่างค่ะ โรตีก็มีให้เลือกหลายหลาย เราก็กินไปเยอะเหมือนกัน กลับมาบ้านต้องลดแล้วแหละ

นั่งรอเวลาไปเรื่อย ๆ ประมาณบ่าย 2 ก็กลับมาที่พัก นั่งตรงล็อบบี้รอให้ได้เวลาแล้วค่อยนั่งรถไปสถานีรถไฟ ที่โรงแรมเขามีบริการรถไปส่งที่หน้าปากซอยนะคะ เราเลยไม่ต้องเดินออกไปเอง พอถึงสถานีรถไฟถามเจ้าหน้าที่ก่อนเลยว่าขบวน 52 จะมากี่โมง พี่เขาบอกว่าเข้าชานชาลา 17.00 น. เวลาเหลืออีกเพียบ เลยซื้อโปสการ์ดเพิ่มเขียนหาเพื่อน ๆ ด้วยดีกว่า

รีบมาส่งโปสการ์ดให้เพื่อนก่อน

17.00 น. รถไฟมาแล้วจ้า ขบวน 52 โบกี้ที่ 9 รีบหาที่นั่งกันเลย รอบนี้ก็ได้นั่งคนเดียวอีกเหมือนเดิม แต่มีป้าคนหนึ่งมานั่งตรงข้ามด้วย ป้าแกมาจากพัทลุง มาหาลูกที่เชียงใหม่ค่ะ ลูกของป้าก็มาฝากฝังเรากับน้อง ๆ ว่าฝากดูแลแม่พี่ด้วยนะ แม่พี่ลงหัวลำโพง ^ ^ ได้เลยจ๊ะพี่

บ๊ายบายเชียงใหม่
พอรถไฟออกสิ่งที่เราตั้งตารอ คือ วิวข้างทาง เราพยายามที่จะเก็บบรรยากาศให้ได้มากที่สุด ขากลับเลยเก็บภาพมาได้เท่านี้ค่ะ





พอดึก ๆ เลยลำปางมาเราก็เริ่มง่วง เลยนอนเหยียดขาบนเบาะเลยจ้า หนาวก็หนาวเลยเอาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วออกมาห่มกันหนาวกันไป เพราะลืมเอาเสื้อแขนยาวมาด้วย ถึงสถานีพิษณุโลก ตอน 01.30 น. เพื่อนเราก็ใจดีมาส่งน้ำส่งขนมให้ได้กินกัน (ขอบคุณมาก ๆ นะคะ) หลังจากนั้นเราก็หลับยาวเลยจ้า มารู้สึกตัวอีกทีก็ถึงอยุธยาแล้ว ไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็ถึงสถานีบางซื่อ เราเลยลงสถานีนี้แล้วพร้อมบอกน้อง ๆ ทุกคนว่าถ้าถึงบ้านแล้วบอกพี่ด้วยนะ และขอบคุณน้อง ๆ ที่ร่วมเดินทางกับเราในครั้งนี้ เพราะค่อนข้างทรหดพอสมควร
เที่ยวครั้งนี้เราเหนื่อยมาก แต่ก็ประทับใจมาก ๆ ต้องขอบคุณน้อง ๆ ผู้ร่วมเดินทางอีกครั้งหนึ่ง ที่ทำให้เราได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการนั่งรถไฟครั้งนี้ค่ะ
^^ เวลาที่คนเหนือเขาคุยกับเราเป็นภาษาเมืองนี่น่ารักเนอะ
เราถ่ายรูปจากกล้องมือถือแล้วเอามาใส่ฟิลเตอร์ใน 360 องศานะคะ รูปเลยออกมาเป็นแบบที่เห็น

เราลืมบอกว่าเที่ยวได้เพราะสิ่งนี้ค่ะ มีบอกไว้หมดเลยว่าที่ไหนมีอะไร (ขอบคุณน้องที่ทำงานที่ให้เรายืมเซตนี้นะคะ)

มีแผนที่บอกด้วยว่าอะไรอยู่ตรงไหน แต่ก็ยังหลงทางกันอยู่ดี อิอิ

มีหลายคนถามเข้ามานะคะว่าเที่ยวครั้งนี้ใช้งบไปเท่าไหร่ เราจะแจงให้ฟังคร่าว ๆ นะ









03 05 2014






04 05 2014



รวมแล้ว 3,895 ค่ะ แต่จะมีจิปาถะอีกนิด ๆ หน่อย ๆ เสียตังค์ค่อนข้างเยอะแต่สนุกมาก ๆ เลยค่ะ ^ ^

ในที่สุดโปสการ์ดก็เดินทางมาถึงแล้วค่ะ ดีใจมาก ๆ ^ ^