เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ p-orbital สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม, www.piriyaphoto.com และ เฟซบุ๊ก Piriya Photography
ภาพของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของ "แสงเหนือ" หรือ "แสงออโรร่า" (Aurora Borealis) ซึ่งเป็นแสงสีเขียวที่พาดผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางท้องฟ้าที่ใสดุจคริสตัล มองเห็นดาวนับล้านดวง สวยงามตระการตา เสมือนจิตรกรรมบนฟากฟ้า ทำให้กลายเป็นเป้าหมายของนักเดินทางจากทั่วสารทิศ ที่อยากไปเห็นภาพแบบนี้ด้วยตาด้วยเองสักครั้ง แต่การจะได้เห็นภาพแบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เพราะต้องพึ่งพิงปัจจัยรอบด้าน เพราะฉะนั้น จึงต้องศึกษาข้อมูลให้ชัดเจน และก่อนที่จะได้มีโอกาสไปเห็นภาพแสงเหนือด้วยตาตัวเอง ก็ลองตามบันทึกการเดินทางของ คุณ p-orbital สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ไปถ่ายภาพความงามเหล่านั้นมาให้เราชมกันก่อนดีกว่าค่ะ
สวัสดีครับ
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมในพันทิปเลย ขอฝากเนื้อฝากตัวครับ ผมชื่อพีครับ ตอนนี้เรียนอยู่ที่อเมริกา รักการถ่ายรูปธรรมชาติ Landscape เข้าเส้น ส่วนใหญ่ก็จะเที่ยวอยู่แถว ๆ ฝั่งตะวันตกของอเมริกานี่แหละครับ
แต่ในกระทู้นี้จะขอเดินทางข้ามทวีปสักหน่อย
ผมเชื่อว่าหลายคนเมื่อได้เห็นภาพแสงเหนือหรือออโรร่า (Aurora Borealis) แล้วก็คงคิดเหมือนกันว่า อยากไปเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตา และมันก็เป็นความตั้งใจของผมเช่นกันครับ อยากไปชมม่านแสงเหนือเต้นระบำบนท้องฟ้า เป็นปรากฏการณ์ที่ผมว่ามันเป็นที่สุดของที่สุดแล้ว
การได้เห็นแสงเหนือนั้นไม่ง่ายเลย ต้องอาศัยหลายปัจจัย ทั้งเรื่องที่ตั้ง สภาพอากาศ และระดับสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน และไอซ์แลนด์ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ผมตั้งใจว่าจะต้องไปเยือนให้ได้ นอกเหนือไปจากตำแหน่งละติจูดซึ่งอยู่สูงมากเพียงพอที่จะเห็นแสงเหนือได้แล้ว ไอซ์แลนด์ยังมีสภาพภูมิประเทศที่สวยงาม มีภูเขาสวย ๆ ธารน้ำแข็ง และเมื่อมีธารน้ำแข็งเยอะมาก เมื่อน้ำแข็งละลาย ก็ต่อให้เกิดน้ำตกอีกมากมาย
ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่ฟังดูแล้วหนาว จริง ๆ แล้วมันไม่หนาวเลยครับ ด้วยเหตุผลที่ไอซ์แลนด์เป็นเกาะกลางมหาสมุทรแอตแลนติก มีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่านในช่วงเวลาที่ผมไปในปลายเดือนตุลาคม อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ประมาณ -5 ถึง 5 องศาเซลเซียส หน้าหนาวที่เมืองใหญ่อย่างนิวยอร์กหรือแม้แต่นอร์เวย์ยังน่าจะหนาวกว่าด้วยซ้ำไป
ทันทีที่เครื่องบินล้อแตะพื้น และนัดพบกับเพื่อน ๆ ที่มาสมทบจากเมืองไทยและออสเตรเลียกันเป็นที่เรียบร้อย พวกผมก็มุ่งหน้าไปทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ขับรถราว ๆ สามชั่วโมงเศษ สู่ภูเขาที่เป็นเป้าหมายของช่างภาพจากทั่วสารทิศ นั่นคือ Kirkjufell นั่นเองครับ
โลเคชั่นนี่เป็นเป้าหมายหลักของผมที่จะมาเก็บแสงเหนือ เพราะมีทั้งฉากหน้า ภูเขา ครบถ้วนสมบูรณ์ ผมขับไปกลับที่นี่อยู่สองรอบ นั่งรอแสงเหนืออยู่สี่วัน เสียดายที่ยังไม่บรรลุเป้าหมายครับ
อุปสรรคหลัก ๆ ที่ผมพบเจอ คือ อากาศปิด เมฆมากครับ และนี่ก็เป็นแสงเหนือที่ดีที่สุดที่ผมได้มาจาก Kirkjufell ครับ
ช่วงปี 2013-2014 นี้เป็นปีทองของการถ่ายแสงเหนือนะครับ เพราะว่า solar activity มันขึ้นระดับสูงสุด และจะลดลงไปเรื่อย ๆ อีก 11 ปี ถึงจะขึ้นมาอีกครั้ง และจะเห็นแสงเหนือมากเหมือนช่วงนี้ ช่วงหน้าหนาวจนถึงเดือนมีนาคมปีหน้า เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะคว้าสำหรับฤดูกาล 2013-2014 นี้ครับ (ฟังดูเหมือนฤดูกาลฟุตบอล ฮา ๆๆๆ)
แม้ไม่ได้แสงเหนือแต่ความสวยงามของ Kirkjufell ก็สวยงามมากครับ และตำแหน่งของน้ำตกที่ช่างวางตัวได้พอเหมาะพอเจาะ เหมือนธรรมชาติรู้ใจตากล้องมาก ๆ ขอแนะนำว่าหากได้มา Iceland แล้วห้ามพลาดครับ
เป็นจุดที่ผมสามารถแวะและชื่นชมวิวทิวทัศน์ตรงหน้าได้ทั้งวันเลย
หลังจากนั้นผมก็เริ่มลงใต้ครับ ประเทศไอซ์แลนด์จะมีถนนสายหลัก คือ ถนนหมายเลข 1 ที่วนรอบเกาะทั้งเกาะ หรือที่เรียกกันว่า Ring Road ถนนเส้นนี้ลาดยางตลอดเส้น ยกเว้นบางช่วงทางตะวันออกเฉียงเหนือครับ
หากได้มาไอซ์แลนด์แล้วขอแนะนำทางใต้ครับ จุดสวย ๆ เยอะมาก น้ำตกเยอะมากถึงมาก มีให้แวะตลอดทาง บางอันที่ไม่มีชื่อก็ดูสวยแล้ว แต่อันที่มีชื่อนี่สวยกว่า
Skogafoss เป็นน้ำตกยักษ์ อยู่ริมถนน ด้วยทำเลที่ตั้งแล้วพอจะถ่ายแสงเหนือได้ครับ เพราะทิศทางที่เราชมน้ำตกจะหันหน้าไปทางเหนือพอดี
ภาพ Portrait ของผมเอง มีฉากหลังเป็นม่านน้ำตก ใครมาก็ต้องเก็บชอตนี้ครับ
Vik จะมีกองหินกลางทะเลที่เชื่อกันว่าเป็นตัว Troll ที่ถูกสาบให้กลายเป็นหิน
Svartifoss น้ำตกที่มีแท่งหินลาวาอยู่ด้านหลัง
Seljalandsfoss น้ำตกนี้ผมอ่านชื่อยังไงก็อ่านไม่ถูก อย่าง Skogafoss พออ่านง่าย ตรงไปตรงมาว่าสโกกาฟอส บอกชื่อแล้วคนไอซ์แลนด์รู้เรื่อง แต่ Seljalandsfoss นี่ผมขอยอมแพ้ครับ
หากได้มาไอซ์แลนด์แล้วถ้าไม่พบปะพระเอกของที่นี่ ก็คงจะมาไม่ถึงครับ ที่นี่เลี้ยงม้ากันแพร่หลายมาก ม้าจะขาสั้นหน่อย แต่ผมม้ามันเท่เอามาก ๆ เลย นอกจากม้าก็มีแกะครับ คงเป็นสัตว์ไม่กี่ชนิดที่ทนหนาวได้
วิวข้างทางของที่นี่ก็สวยครับ ขับรถชมวิวเพลิน ๆ ถ้าแวะทุกที่สงสัยจะขับไปไม่ถึงไหน เพราะสวยจนอยากจะแวะทุกสิบนาทีเลยทีเดียว เนื่องจากละติจูดของไอซ์แลนด์อยู่สูง เมื่อเข้าช่วงหน้าหนาวพระอาทิตย์จะทำมุมเฉียงตลอดวัน ทำให้แสงสวยตลอดวันเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นตอนเที่ยงแสงก็ยังเหมือนเวลาเช้าอยู่
สำหรับการถ่ายแสงเหนือ ผมแพลนไว้หลายสถานที่มาก ๆ แต่สุดท้ายภาพที่ดีที่สุดได้มาจากบ้านร้าง ซึ่งหาเจอระหว่างทางโดยบังเอิญ ตอนนั้นขับรถอยู่แล้วพระอาทิตย์กำลังจะตก เลยเล็งวิวข้างทางไว้ก่อน
ตอนจังหวะที่แสงเหนือแรงมาก ๆ คืนนั้น ในบริเวณที่ผมอยู่มีแค่ทางตอนเหนือของเมือง Rekjavik เท่านั้นที่ฟ้าเปิด ทำให้ผมต้องมุ่งตรงไปที่บ้านร้างนี้อย่างเดียวครับ และในคืนนั้นผมก็ได้เห็นแสงเหนือมันเต้นระบำบนท้องฟ้าจริง ๆ
สำหรับการถ่ายแสงเหนือ ผมขอแนะนำกระทู้ของคุณ Sept ครับ อธิบายไว้ละเอียดมาก ๆ
แนะนำวิธีตามถ่ายแสงเหนือ aurora + บันทึกการเดินทางไอซ์แลนด์
ผมเองก็เขียน blog เกี่ยวกับการถ่ายภาพไว้ด้วยครับ
www.piriyaphoto.com/web/aurorashooting
นอกไปจาก Kirkjufell แล้ว ภาพอีกภาพหนึ่งที่ทำให้ผมอยากมาไอซ์แลนด์มาก ๆ ก็คือ ภาพชายหาดน้ำแข็งนี่แหละครับ หาดนี้อยู่ติดกับ Jökulsárlón ซึ่งเป็นทะเลสาบที่เป็นปลายทางของธารน้ำแข็งหลายสายจากอุทยานแห่งชาติ Vatnajökull เมื่อก้อนน้ำแข็งเหล่านี้เคลื่อนตัวออกทะเล ก้อนน้ำแข็งบางส่วนก็จะถูกซัดเข้าฝั่ง ภาพที่เห็นดูเป็นเอกลักษณ์มาก ๆ ครับ ชายหาดสีดำ ต้นกำเนิดจากหินลาวา และยังมีก้อนน้ำแข็งมากมาย ผมนึกคิดในใจมันช่างดู contrast ดีมาก ๆ เพราะภาพในหัวของผม เวลานึกถึงชายหาดจะนึกถึงอากาศร้อน ๆ และน้ำแข็งเย็น ๆ มันก็มาตัดกับความเป็นชายหาดได้อย่างลงตัวครับ
พวกผมตัดสินใจไม่ขับรถวนรอบเกาะครับ เพราะทางตอนเหนือมีจุดท่องเที่ยวน้อยกว่าทางตอนใต้ กลัวไม่คุ้มเวลาขับรถที่ต้องขับนานกว่ามาก
จาก Jökulsárlón ก็เลยตีรถย้อนกลับมาทางเมืองหลวง เพื่อแวะเที่ยว Golden Circle ต่อครับ ในคืนนั้นก็ได้เห็นแสงเหนือสมใจอีกครั้งที่น้ำตก Öxarárfoss อุทยานแห่งชาติ Þingvellir
Hvítserkur กองหินประหลาดอีกอันหนึ่ง อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ขับรถจากเมืองหลวงประมาณ 4 ชั่วโมง ก็ถือว่าไม่ไกลมาก รูปร่างเหมือนไดโนเสาร์เลย พยายามหาจังหวะไปช่วงน้ำลงนะครับ จะเห็นก้อนหินเล็ก ๆ เรียงรายเป็นฉากหน้าด้วย สวยมาก ๆ
ธารน้ำแข็งทางตอนใต้ครับ ถ่ายจากเมือง Skaftafell ธารน้ำแข็งกว้างใหญ่นี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Vatnajökull เช่นกัน
ที่เมืองนี้หากมาในหน้าหนาว ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม จะมีทัวร์พาชมถ้ำน้ำแข็งด้วยครับ แต่พวกผมมาเร็วไปหน่อย อากาศยังไม่เย็นพอที่จะเข้าไปในถ้ำได้อย่างปลอดภัยครับ
วิวจากข้างทางครับ เพื่อนขับรถ เราก็ถ่ายรูป ฮา ๆๆ
เบ็ดเสร็จแล้วตลอดระยะเวลาสิบกว่าวัน ผมใช้เงินในไอซ์แลนด์ไป 25,000 บาท หากรวมตั๋วเครื่องบินจากไทยมายุโรปประมาณ 30,000 บาท และจากยุโรปเข้าไอซ์แลนด์อีกหนึ่งหมื่น ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 65,000 บาท ผมเที่ยวในช่วง low season ค่าใช้จ่ายอาจจะไม่สูงเท่าช่วงหน้าร้อนครับ
ผมเน้นกินและนอนแบบประหยัด ทำกับข้าวกินเอง ถ้ากินข้างนอก ราคาเริ่มต้นที่มื้อละ 15,000 โครน หรือประมาณ 500 บาทครับ ฉะนั้น หากเน้นเที่ยวอย่างประหยัดแล้ว ไม่ถึงแสนแน่นอนครับ
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ ทุก like และทุกกำลังใจในกระทู้แรกของผมครับ ^ ^
สามารถติดตามผลงานภาพถ่ายของผมได้ที่เว็บไซต์ของผมเอง และ facebook ครับ
www.piriyaphoto.com
www.facebook.com/piriyaphoto
ไว้พบกันกระทู้หน้ากับภาพจาก Patagonia ครับ
สวัสดีครับ
พี