วัคซีนที่จำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยวก่อนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย มีอะไรบ้าง ไปดูกัน
การท่องเที่ยวต่างประเทศ นอกจากจะเตรียมตัวเรื่องแผนการเดินทาง การท่องเที่ยว งบประมาณค่าใช้จ่าย ที่พัก และการกินอยู่แล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การวางแผนเรื่องสุขภาพ เพราะแต่ละประเทศในโลกมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่ต่างกัน การฉีดวัคซีน ถือเป็นการป้องกันโรคที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง เพราะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย อีกทั้งยังช่วยลดความรุนแรงหากต้องเผชิญกับโรคติดต่อที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุควรตรวจร่างกายและฉีดวัคซีนก่อนออกเดินทาง เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นไปตามแพลนและได้พักผ่อนอย่างแท้จริง แล้วมีวัคซีนอะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยวก่อนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ เรามีข้อมูลมาฝากกัน ดังนี้
วัคซีนที่จำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยว
ก่อนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ
ประเภทของวัคซีนที่นักท่องเที่ยวควรได้รับ ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ
- วัคซีนที่จำเป็นต้องได้รับก่อนการเดินทาง (Required vaccine) ซึ่งเป็นวัคซีนที่ทางกฎกระทรวงเขตพื้นที่ติดต่อไข้เหลือง พ.ศ. 2560 และการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคไข้เหลือง ได้ออกกฎกำหนดไว้ว่าต้องฉีด คือ วัคซีนไข้เหลือง โดยผู้ที่ต้องเดินทางไปยังประเทศหรือทวีปที่มีการระบาดของไข้เหลือง อย่างน้อย 42 ประเทศ เช่น ประเทศที่ติดทะเลทรายซาฮารา (Sub-Saharan Africa) ในแถบแอฟริกา และอเมริกาใต้ เช่น บราซิล เปรู อาร์เจนตินา จำเป็นต้องได้รับวัคซีนนี้ก่อนการเดินทางอย่างน้อย 10 วัน
-
วัคซีนที่แนะนำในกลุ่มนักเดินทางตามความเหมาะสม (Recommended vaccine for travelers) จะเป็นวัคซีนที่ฉีดตามความเหมาะสมในแต่ละบุคคล โดยแพทย์จะพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ประกอบกัน เช่น ประเทศหรือทวีปที่เดินทางไปมีความเสี่ยงต่อโรคใด เสี่ยงมากแค่ไหน กิจกรรมที่จะไปทำ เช่น ไปทำงาน ไปเรียน หรือไปท่องเที่ยว ระยะเวลาในการอยู่แต่ละประเทศ สุขภาพและโรคประจำตัวของนักเดินทางเอง เป็นต้น

วัคซีนที่จำเป็นก่อนการเดินทางหรือไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ
-
วัคซีนป้องกันโรคไทฟอยด์ (Typhoid vaccine) แนะนำสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศแถบเอเชียใต้ เช่น อินเดีย เนปาล บังกลาเทศ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการติดโรคไทฟอยด์ ควรฉีดวัคซีนก่อนเดินทางประมาณ 1 เดือน โดยฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียว และควรฉีดกระตุ้นซ้ำทุก 2 ปี
-
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies vaccine) แม้ส่วนใหญ่วัคซีนชนิดนี้จะถูกใช้หลังการสัมผัสโรค แต่สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปในพื้นที่ห่างไกล หรือประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ที่มีสัตว์เร่ร่อนจำนวนมาก และถ้าต้องอยู่ในประเทศนั้นเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน รวมถึงผู้ที่ต้องทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการสัมผัสกับสัตว์นำโรคก็ควรฉีดไว้ เพื่อลดความเสี่ยง โดยการฉีดวัคซีนแบ่งเป็น 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 2 ฉีดห่างจากเข็มแรก 7 วัน และครั้งที่ 3 หลังจากเข็มที่ 2 ประมาณ 14-21 วัน
-
วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A vaccine) เป็นโรคติดต่อโดยการกินอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อไวรัส ผู้ป่วยส่วนใหญ่โดยเฉพาะในเด็กมักจะไม่มีอาการ แต่อาการจะมีมากและอาจรุนแรงได้ในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ แนะนำสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ ได้แก่ ประเทศในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบเอเชียใต้ รวมไปถึงประเทศในทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้ ทั้งนี้ วัคซีนดังกล่าวต้องฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน โดยฉีดครั้งแรกก่อนเดินทางอย่างน้อย 2 สัปดาห์ จึงจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค
-
วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B vaccine) ไวรัสตับอักเสบบีติดต่อผ่านเลือดหรือสารคัดหลั่ง จำเป็นสำหรับผู้ที่มีกิจกรรมสุ่มเสี่ยง เช่น เพศสัมพันธ์ การฉีดยา หรือแม้กระทั่งการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้อื่น ประเทศที่มีความเสี่ยงที่แนะนำให้รับวัคซีน เช่น แอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง แนะนำให้ตรวจหาภูมิก่อนเข้ารับวัคซีน หากตรวจพบว่ายังไม่มีภูมิคุ้มกันควรรับวัคซีน ให้เข้ารับวัคซีน 3 เข็ม คือ เข็มแรกในวันที่สะดวก เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน
ในกรณีที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่ต้องเดินทางในระยะเวลาอันใกล้ สามารถฉีดแบบเร่งรัดได้ คือ ฉีดเข็มแรกในวันที่สะดวก ฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 7 วัน และฉีดเข็ม 3 ห่างจากเข็มแรก 21 วัน ซึ่งการฉีดแบบนี้จะทำให้สามารถฉีดครบ 3 เข็มได้ภายใน 3 สัปดาห์ แต่การฉีดแบบเร่งรัดนี้จำเป็นต้องมีการฉีดกระตุ้นเข็มที่ 4 เมื่อครบ 1 ปี เพื่อทำให้ภูมิคุ้มกันอยู่ได้นาน ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและบีในเข็มเดียวกัน ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาตามความเหมาะสม

-
วัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal vaccine) แนะนำสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกว่า Meningitis belt เช่น ประเทศซูดาน ไนจีเรีย เอธิโอเปีย ฯลฯ และนักเรียน-นักศึกษาไทยที่จะไปศึกษาต่อในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา ก็มีข้อกำหนดให้ต้องรับวัคซีนชนิดนี้ก่อนไป โดยเฉพาะถ้าต้องไปอยู่ในหอพัก นอกจากนี้ผู้ที่จะไปแสวงบุญที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยเป็นระเบียบที่กำหนดไว้ชัดเจนว่า ก่อนเข้าไปแสวงบุญ ทุกคนจำเป็นต้องฉีดวัคซีนนี้
-
วัคซีนป้องกันโรคอหิวาตกโรค (Cholera vaccine) เป็นวัคซีนที่ไม่แนะนำให้ใช้ในนักท่องเที่ยวทั่วไป เนื่องจากโอกาสที่จะติดเชื้ออหิวาตกโรคระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวมีน้อยมาก แต่จะแนะนำสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือเข้าไปทำงานในค่ายอพยพผู้ลี้ภัย หรือเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ทุรกันดาร เช่น ทวีปแอฟริกา เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง ปัจจุบันประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคชนิดรับประทาน 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และควรรับให้ครบก่อนเดินทางอย่างน้อย 2 สัปดาห์
-
วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine) ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่สามารถพบได้ทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศยุโรป อเมริกา แนะนำสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปในที่ชุมชนหรือในสถานที่แออัดที่มีคนเป็นจำนวนมาก เช่น ผู้ที่จะไปแสวงบุญ ผู้ที่จะไปชมกีฬา ไปเที่ยวงานเทศกาลต่าง ๆ ควรพิจารณาฉีดวัคซีนก่อนเดินทางอย่างน้อย 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยมีการสนับสนุนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีสำหรับประชาชนในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข สำหรับประชาชนทั่วไปสามารถพิจารณาฉีดได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีการเดินทางหรือไม่
-
วัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTP : Diphtheria vaccine) ผู้เดินทางทุกคนต้องได้รับวัคซีน DTP สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบ และผู้ใหญ่ เมื่อได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม คือ เข็มแรกในวันที่สะดวก เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มแรก 6 เดือนแล้ว ควรรับการฉีด dT กระตุ้นทุก 10 ปี โดยอาจพิจารณาใช้ Tdap หรือ Tdap-IPV แทน dT ได้ 1 ครั้ง ปัจจุบันเด็กไทยทุกคนต้องได้รับวัคซีนผสมระหว่างโรคคอตีบ โปลิโอ และบาดทะยัก อย่างไรก็ตาม หากเคยได้รับวัคซีนมาแล้วนานกว่า 10 ปี จะต้องได้รับการกระตุ้นใหม่ โดยเฉพาะหากต้องไปประเทศที่โรคคอตีบกำลังระบาด เช่น แอฟริกา เอเชียใต้ เป็นต้น

-
วัคซีนรวมหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR : Measles, Mumps, Rubella) หากไม่เคยได้รับวัคซีนดังกล่าว และไม่เคยมีการติดเชื้อตามธรรมชาติ (หรือไม่แน่ใจว่าเคยเป็นมาก่อนหรือไม่) ควรรับการฉีด MMR 2 เข็ม โดยเว้นระยะห่างจากเข็มแรกเป็นเวลา 1 เดือน และควรฉีดให้ครบทั้งหมดก่อนออกเดินทางประมาณ 2 สัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันก่อนฉีดวัคซีน แนะนำสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศกำลังพัฒนา
-
วัคซีนโปลิโอ (OPV, IPV) แนะนำสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศอัฟกานิสถาน อินเดีย ปากีสถาน ไนจีเรีย แอฟริกา สำหรับในคนไทยส่วนใหญ่จะได้รับวัคซีนโปลิโอตั้งแต่เด็กตามแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันของกระทรวงสาธารณสุข และเชื่อว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการได้รับวัคซีนจะอยู่ได้ตลอดชีวิต แต่หากจำเป็นต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่ระบาดของโรคโปลิโออาจพิจารณารับวัคซีนกระตุ้น 1 ครั้ง
-
วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (JE : Japanese encephalitis vaccine) โรคไข้สมองอักเสบพบมากในทวีปเอเชีย เช่น ปากีสถาน เกาหลีเหนือ และเกาะในแปซิฟิก เช่น ฟิจิ แต่ไม่พบในญี่ปุ่น เนื่องจากระบบวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ฉีดวัคซีนเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางไปอยู่หรือท่องเที่ยวเป็นเวลานานกว่า 1 เดือน โดยผู้ใหญ่ฉีด 1 เข็ม ในเด็กแนะนำให้ฉีด 2 เข็ม สำหรับคนไทยส่วนใหญ่จะได้รับวัคซีนชนิดนี้แล้ว แต่หากยังไม่เคยฉีดและต้องเดินทางไปต่างประเทศ ควรเข้ารับการฉีดวัคซีน JE แบบเร่งรัด 3 เข็ม คือ ฉีดเข็มแรกในวันที่สะดวก ฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 7 วัน และฉีดเข็ม 3 ห่างจากเข็มแรก 28 วัน หรือฉีดวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อมีชีวิตอ่อนฤทธิ์ CD-JE VaxTM 1 เข็ม ซึ่งวัคซีนดังกล่าวนิยมใช้มากขึ้นในผู้เดินทาง เนื่องจากมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง และฉีดเพียง 1 เข็ม สามารถป้องกันโรคได้นาน
-
วัคซีนโรคจากเชื้อนิวโมคอคคัส (Pnc) ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคจากเชื้อนิวโมคอคคัส 2 ชนิด คือ วัคซีนนิวโมคอคคัสแบบคอนจูเกต (PCV13) ซึ่งครอบคลุมเชื้อนิวโมคอคคัส 13 สายพันธุ์ และวัคซีนนิวโมคอคคัสแบบโพลีแซคคาไรด์ (PPSV23) ซึ่งครอบคลุมเชื้อนิวโมคอคคัส 23 สายพันธุ์ นักเดินทางที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ ควรได้รับวัคซีนนิวโมคอคคัสแบบคอนจูเกต (PCV13) 1 เข็ม และในกรณีที่ต้องการรับวัคซีนนิวโมคอคคัสแบบโพลีแซคคาไรด์ (PPSV23) ควรได้รับวัคซีนนิวโมคอคคัส 23 สายพันธุ์ 1 เข็ม และควรฉีดกระตุ้นทุก 5 ปี
-
วัคซีนป้องกันโรคไข้เหลือง เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (WHO IHR) นักท่องเที่ยวทุกคนที่จะเดินทางไปยังประเทศในแถบแอฟริกาและอเมริกาใต้ จำเป็นต้องได้รับวัคซีนไข้เหลืองก่อนการเดินทางอย่างน้อย 10 วัน และต้องถือเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนไปด้วย เพื่อการตรวจคนเข้าเมืองหรือขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศ

ผู้ใดบ้างที่ควรฉีดวัคซีนก่อนเดินทางไปต่างประเทศ
-
ทารกและเด็ก แม้จะมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ตามช่วงวัยแล้ว แต่หากต้องเดินทางไปในบริเวณที่มีโรคระบาด ผู้ปกครองควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการฉีดวัคซีนเพิ่มเติม
-
ผู้ใหญ่ ผู้ที่นิยมเดินทางอย่างประหยัด หรือเดินทางไปยังประเทศที่มีความเสี่ยง รวมถึงนิยมไปร่วมกิจกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น ไปในที่แออัด ผจญภัยในถิ่นทุรกันดาร ฯลฯ ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่เหมาะสมก่อนออกเดินทาง รวมถึงมีความระมัดระวังในการบริโภค และพยายามหลีกเลี่ยงความเสี่ยงการติดเชื้อโรคต่าง ๆ
-
ผู้สูงอายุ ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ร่างกายเสื่อมลงไปตามวัย ภูมิคุ้มกันของผู้สูงอายุก็ลดลง ทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่าย รวมถึงหากติดโรคแล้วอาจเกิดผลกระทบที่รุนแรง จึงถือเป็นกลุ่มนักเดินทางที่ควรฉีดวัคซีนก่อนออกเดินทางอย่างยิ่ง โดยควรพบแพทย์เพื่อพิจารณาฉีดวัคซีนตามความเหมาะสม
-
ผู้เดินทางเป็นประจำ โดยเฉพาะต้องโดยสารเครื่องบินเป็นเวลานาน หรือเดินทางติดต่อกันตลอดเวลา จนร่างกายต้องปรับเปลี่ยนเวลา อากาศ การบริโภค รวมถึงพักผ่อนน้อย ทำให้ร่างกายอ่อนแอ มีโอกาสรับเชื้อโรคได้ง่าย หากมีเวลาควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและวางแผนการฟื้นฟูร่างกายและฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ
-
คุณแม่ตั้งครรภ์ วัคซีนหลายชนิดปลอดภัยทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ ดังนั้น เพื่อป้องกันโรคร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง จึงควรพบแพทย์เพื่อวางแผนการฉีดวัคซีนล่วงหน้า
-
ผู้ป่วยเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ควรพบแพทย์ประจำตัวที่ทำการรักษา เพื่อปรึกษาพิจารณาวัคซีนป้องกันโรคก่อนเดินทางทุกครั้ง รวมถึงเพื่อดูอาการและความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ

ทั้งนี้ ควรพิจารณาจากเขตพื้นที่หรือฤดูกาลของสถานที่ที่กำลังจะเดินทางไป และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำในการรับวัคซีน นอกจากนี้ควรตรวจสุขภาพก่อนออกเดินทางทุกครั้ง
หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง
บทความเที่ยวต่างประเทศ Tips ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- วิธีรับมือเมื่อเจ็บป่วย ไม่สบาย หรือเกิดอุบัติเหตุขณะเที่ยวในญี่ปุ่น
- ฮาร์บิน (Harbin) เที่ยวเมืองแห่งน้ำแข็ง สัมผัสความหนาวเย็นสุดขั้วที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
- พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2025 ใครอยากชมดอกซากุระ เตรียมตัวไว้เลย
- 10 เมืองน่าเที่ยวที่ดีที่สุดแห่งปี 2025 จัดอันดับโดยเว็บไซต์ Lonely Planet
- 10 สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ จาก Google Trends ปี 2024 ที่คนไทยนิยมค้นหา
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท, โรงพยาบาลธนบุรี ราษฎร์ยินดี, โรงพยาบาลกรุงเทพขอนแก่น, โรงพยาบาลสมิติเวช, Thai Travel Clinic, โรงพยาบาลนครธน, โรงพยาบาลกรุงเทพ, กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค, กรมควบคุมโรค (1), (2)