ชวนเที่ยวเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก อำเภอเล็ก ๆ ที่มากเสน่ห์ด้วยธรรมชาติของป่าเขาและชุมชนสุดน่ารัก พร้อมแนะนำเส้นทางท่องเที่ยวเนินมะปรางในแบบฉบับ 2 วัน 1 คืน กับจุดเช็กอินเด็ด และประสบการณ์การนอนโฮมสเตย์ ณ บ้านผารังหมี
ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลกับมนุษย์แทบจะทุกวินาที การเที่ยวพักผ่อนในช่วงวันหยุดจึงไม่ใช่แค่เพียงการพาร่างกายออกไปพบกับความผ่อนคลายเท่านั้น หากแต่ยังต้องไปในโลเคชั่นที่เพลินหูเพลินตา ถ่ายภาพออกมาสวย พออัปโหลดขึ้นโซเชียลมีเดียแล้วสามารถเรียกไลก์จากเพื่อน ๆ ได้ไม่มากก็น้อย ยิ่งถ้าได้ความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ พร้อมกับความคิดเชิงบวกกลับบ้านมาด้วยก็ถือว่าเป็นกำไรที่งามพอสมควร โจทย์เหล่านี้ทำให้นึกถึง “อำเภอเนินมะปราง” จังหวัดพิษณุโลก
เนินมะปราง...อำเภอเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยชุมชนสุดเรียบง่าย ที่มีวัฒนธรรมประเพณีเป็นเอกลักษณ์ และยังรายล้อมไปด้วยธรรมชาติของขุนเขา นาข้าว ไร่นา และสวนมะม่วงส่งออกที่ใหญ่ที่สุดอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย มีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งจุดชมวิว วัดวาอาราม และปรากฏการณ์ธรรมชาติสุดอันซีนให้ได้เที่ยวชม อีกทั้งยังเพียบพร้อมไปด้วยโฮมสเตย์มาตรฐานในทุก ๆ ชุมชน เหมาะแก่การท่องเที่ยวในรูปแบบ 2 วัน 1 คืน เหมือนดังทริปที่อยากจะนำเสนอนี้
Day 1 : บ้านผารังหมี-บ้านคลองซับรัง-บ้านมุง
จุดเริ่มต้นของการเที่ยวเนินมะปราง สามารถเริ่มได้จากหลายชุมชน แต่การมาเยือนครั้งนี้ขอเริ่มกันที่ “บ้านผารังหมี” หมู่บ้านตัวอย่างในตำบลไทรย้อย ด้วยความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน ช่วยกันผลักดันสิ่งดี ๆ ของชุมชนออกสู่สายตานักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในชุมชน วัฒนธรรมท้องถิ่น รวมทั้งผลิตภัณฑ์คุณภาพที่เกิดจากฝีมือของชาวบ้านเอง
การมาเยือนที่นี่จึงไม่ใช่เพียงแค่การถ่ายรูปสวย ๆ กับแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติสุดอันซีนเท่านั้น แต่ยังจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตชุมชน ได้ลองทำกิจกรรมสนุกสนานร่วมกับชาวบ้าน และยังจะได้กินอาหารท้องถิ่นอร่อย ๆ ด้วย นักท่องเที่ยวสามารถเลือกได้ว่าจะเที่ยวแบบวันเดย์ทริป, 2 วัน 1 คืน หรือ 3 วัน 2 คืน โดยจะมีกิจกรรมให้ทำไม่รู้เบื่อ
พับใบตองรองดอกพุด ทำขันธ์ 5 ถวายเจ้าพ่อร่มขาว
การมาเที่ยวต่างบ้านต่างเมืองก็ต้องเอาฤกษ์เอาชัยด้วยการไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท้องถิ่น “เจ้าพ่อร่มขาว” เป็นเทพที่ชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธา เชื่อกันว่าขอพรสิ่งใดก็จะสมหวัง หากผู้ที่ขอพรอยู่ในศีลในธรรมที่ดี แต่ก่อนจะไปไหว้เจ้าพ่อร่มขาวก็ต้องทำเครื่องถวายบูชา เรียกว่า ขันธ์ 5 ด้วยตัวเอง วิธีการทำไม่ยาก เพียงนำใบตองสะอาดฉีกให้กว้างประมาณ 3.5-4 นิ้ว พับเป็นกรวยเล็ก ๆ นำดอกพุดสีขาวบริสุทธิ์ใส่ให้เต็ม ตามด้วยเทียนเล่มเล็กและธูป 3 ดอก ทำให้ครบ 7 อัน จากนั้นนำไปใส่รวมในกรวยใหญ่อีกครั้ง เสร็จแล้วนำไปถวายให้กับเจ้าพ่อร่มขาวบริเวณเชิงเขา หน้าทางเข้าหมู่บ้าน อธิษฐานถึงสิ่งดี ๆ และขอให้ท่านคุ้มครองตลอดการเที่ยวครั้งนี้
ชมการทอผ้าลายพื้นถิ่นที่เดียวในโลก
ผ้าทอกับสาวชาวบ้านเป็นของคู่กัน สมัยก่อนนั้นลูกสาวบ้านไหนทอผ้าได้งามหยดย้อยจะเป็นที่หมายตาของหนุ่ม ๆ ทั้งในและนอกหมู่บ้าน พอเวลาผ่านเลย เทคโนโลยีและวัฒนธรรมสมัยใหม่เริ่มคืบคลานเข้ามา ภูมิปัญญาการทอผ้าก็เริ่มเลือนหาย แต่สำหรับบ้านผารังหมี ยังคงรักษาภูมิปัญญาเหล่านี้ไว้ได้ครบถ้วน และยังต่อยอดคิดค้นลวดลายใหม่ ๆ จนเกิดเป็นลวดลายพื้นถิ่นที่มีเพียงแห่งเดียวในโลกอย่างลายช่อมะปราง และลายมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ซึ่งชาวบ้านจะใช้ไหมประดิษฐ์ค่อย ๆ ทอทีละเส้นด้วยกี่ทอผ้าและอุปกรณ์ทอผ้าแบบโบราณ จากเส้นด้ายเส้นเล็ก ๆ สู่ผ้าทอผืนใหญ่ลวดลายบรรจงอ่อนช้อย สะท้อนอัตลักษณ์ของบ้านผารังหมีได้อย่างดี
ชมการทอเสื่อกกราชินี ทน เหนียว ลายโดดเด่น
"เสื่อผืน หมอนใบ" คำกล่าวที่สื่อถึงการโยกย้านถิ่นฐานของชาวจีนในสมัยก่อน โดยที่มีเพียงแค่เสื่อกับหมอนไว้รองนอน ซึ่งก็ได้นำมาบรรยายถึงการโยกย้ายถิ่นของคนในยุคที่ผ่านมาด้วย นั่นทำให้เห็นว่า "เสื่อ" ก็มีความสำคัญกับคนทุกยุคทุกสมัย ไม่ได้เพียงแต่จะเอามาไว้รองนอนเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปรองนั่งได้ในหลาย ๆ สถานการณ์ด้วย แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันเหลือผู้ที่สามารถทอเสื่อได้เพียงน้อยนิด หนึ่งในนั้นก็คือ “กลุ่มทอเสื่อกก บ้านผารังหมี”
เสื่อสีสันสดใสและหลากหลายลวดลาย แขวนพาดไว้ข้างกี่ทอเสื่อประยุกต์ ดูที่ลวดลายแล้ว ผู้ทอจะต้องมีความจำที่ดีในการทอพอสมควร ทำให้นึกถึงหญิงสาวสวยวัยแรกรุ่น แต่กลับไม่ใช่ หากแต่เป็นคุณยายที่อายุมากกว่า 60 ปี คุณยายเล่าให้ฟังว่าจะมีวิธีการช่วยจำด้วยการใช้ท่อพีวีซีมาตัดเพื่อขึ้นลายต่าง ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมีความเข้าใจในการทอแบบพื้นฐานเสียก่อน เพราะเมื่อทอไปแล้วต่อลายไม่ติด ก็จะสามารถแก้ไขได้ ด้วยความชำนาญที่ทำมาตั้งแต่สาว ๆ คุณยายจะใช้เวลาทอ 1 ผืน ยาว 2 เมตร เพียงแค่ 1 วันเท่านั้น
ส่วนกกที่นำมาทอนั้นก็ต้องเป็นกกราชินี เพราะมีความเหนียวและคงทนมากกว่ากกชนิดอื่น ๆ เมื่อตัดมาแล้วก็ต้องนำไปฉีก จากนั้นตากให้แห้งสนิท ก่อนนำไปย้อมสีต่าง ๆ แล้วสามารถใช้ทอเสื่อได้ตลอดทั้งปี สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับผู้สูงอายุในชุมชน
อิ่มอร่อยกับแกงอ่อมไก่และหมูย่าง อาหารอร่อยประจำถิ่น ที่กินแล้วจะไม่ลืมบ้านผารังหมี
พอพูดถึงอาหารท้องถิ่น หลาย ๆ คนก็จะคิดไปถึงอาหารจำเพาะเจาะจงที่มีเครื่องปรุงและวัตถุดิบที่กินยาก แต่สำหรับการมาเยือนบ้านผารังหมี ต้องบอกว่าให้เตรียมล้างท้องมาได้เลย เพราะที่นี่มีเมนูเด็ดไว้รอต้อนรับหลายเมนู และยังเป็นเมนูอาหารท้องถิ่นที่กินได้ทุกคน อร่อย สะอาด ถูกหลักอนามัย ได้สุขภาพ เพราะใช้วัตถุดิบปลอดสารพิษจากในชุมชน เมนูเด็ดก็คือ “แกงอ่อมไก่” ที่ทั้งวัตถุดิบ เครื่องปรุง และส่วนผลมต่าง ๆ เข้ากันได้อย่างดี มีรสชาติอร่อยกลมกล่อม เนื้อไก่เปื่อยนุ่ม เนื้อฟักหวานอ่อน มีกลิ่นผักชีฝรั่งหน่อย ๆ ไม่แรงจนเกินไป กินกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยแบบแทบจะหยุดกินไม่ได้
เมนูดีเด็ดอีกเมนูที่อยากแนะนำก็คือ “หมูย่าง” แม่ครัวจะเลือกคัดสรรเนื้อหมูคุณภาพดี มันน้อย นำหมูไปหมักเครื่องปรุงต่าง ๆ จนเนื้อหมูนุ่มและเครื่องปรุงเข้าเนื้อ จากนั้นย่างด้วยไฟแรงพอประมาณจนสุกได้ที่ จัดเสิร์ฟร้อน ๆ พร้อมกับน้ำจิ้มแจ่วมะขามเปียก จิ้มกินกับข้าวเหนียวร้อน บอกเลยว่าฟิน นอกจากนี้ก็ยังมีเมนูที่น่าสนใจอื่น ๆ อาทิ แกงจืดหมูสับ, พะแนงหมู และขนมจีนน้ำยา เป็นต้น ทั้งนี้ต้องสั่งล่วงหน้า
นั่งรถพ่วงทัวร์รอบบ้านผารังหมีและชุมชนข้างเคียง กับมุมถ่ายรูปสวย ๆ 360 องศา
ถ้าจะเที่ยวชุมชนให้สนุกอย่างแท้จริง ก็ต้องเที่ยวกันแบบช้า ๆ และได้สัมผัสกับหลากหลายมุมของชุมชน การนั่งรถพ่วงจึงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมห้ามพลาดของบ้านผารังหมี โดยจะมี พี่อาร์ต (ไกด์หมี) เป็นผู้นำเที่ยวรอบ ๆ ชุมชน พี่อาร์ตจะบรรยายถึงทุกสิ่งที่รถวิ่งผ่าน พร้อมกับมีคำถามและมุกตลก ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมพูดคุยตลอด ทำให้บรรยากาศสนุกสนานขึ้นอีกเท่าตัว
ทั้งนี้เส้นทางที่พี่อาร์ตพาไปเที่ยวชมนั้นก็จะเป็นวัดผารังหมี, ภายในหมู่บ้านบ้านผารังหมี, ธรรมชาติรอบ ๆ หมู่บ้าน และหมู่บ้านอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง นักท่องเที่ยวจะได้ทั้งไหว้พระ ทำบุญ ชมชุมชนสุดเรียบง่าย สวนมะม่วงขนาดใหญ่ แนวเทือกเขาสูง และทุ่งนากว้างที่มองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา มีมุมสวย ๆ ให้แวะถ่ายรูปไม่รู้เบื่อ อยากแวะตรงไหนก็บอกไกด์ จะไปยืนถ่ายรูป รับลมเย็น ๆ ริมท้องทุ่งนา นั่งมองพระอาทิตย์ตก ก็ทำได้ เที่ยวสบาย ๆ ในแบบที่ต้องการ
ปั้นซาลาเปานุ่มฟู สอดไส้มะม่วงกวนหวานละมุน หนึ่งเดียวในไทย
เนินมะปราง เป็นอำเภอที่มีการส่งออกมะม่วงใหญ่ที่สุดอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย จึงเป็นที่มาของขนมหวานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่าง “ซาลาเปาไส้มะม่วง” แห่งบ้านคลองซับรัง ผลิตภัณฑ์คุณภาพที่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกในชุมชน
กว่าจะมาเป็นซาลาเปาสีพาสเทลลูกน้อย ๆ พอดีอิ่มนี้ ก็ต้องมีวิธีการทำที่ละเมียดละไม เริ่มตั้งแต่การทำไส้มะม่วง ก็ต้องเลือกสรรมะม่วงสุกกำลังดี มากวนกับน้ำตาลจนเหนียวพอที่จะสามารถปั้นเป็นลูกได้ จากนั้นก็เริ่มทำแป้งซาลาเปา นำแป้งสาลีมาผสมกับน้ำตาลทราย เกลือ ผงฟู นมข้นจืด น้ำมันพืช ยีสต์ และสีธรรมชาติจากน้ำมะม่วง/น้ำใบเตย/น้ำอัญชัน/น้ำแก้วมังกร นวดแป้งให้เข้ากัน ทุบไปมาจนส่วนผสมรวมเป็นเนื้อเดียว แล้วนำแป้งไปพักไว้สัก 1 ชั่วโมง หรือข้ามคืนก็ได้
พอแป้งหมักได้ที่ก็นำมาตัดให้มีน้ำหนัก 35 กรัมพอดี แล้วยัดไส้ด้วยมะม่วงกวนที่ทำไว้ ปั้นให้กลม จับจีบใต้ฐานให้สวยงาม วางบนกระดาษไข แล้วนำไปนึ่งให้สุก เสิร์ฟร้อน ๆ กินกับน้ำมะม่วงเย็น ๆ รองท้องยามบ่ายได้ดีทีเดียว
อันซีนไทยแลนด์กับค้างคาวนับล้านออกจากถ้ำ ณ บ้านมุง
แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลต์เด่นอย่างหนึ่งของเนินมะปราง ก็คือปรากฏการณ์ของค้างคาวนับล้านบินออกจากถ้ำในยามเย็น โดยจุดที่สามารถชมได้อย่างตื่นตาตื่นใจจะอยู่บริเวณชุมชนบ้านมุง หรือใกล้กับวัดบ้านมุง ช่วงเวลาราว ๆ 18.00 น. ของทุกวัน ฝูงค้างคาวจะพากันบินออกมาจากปากถ้ำเป็นสายยาว จำนวนนับล้านตัว บินโฉบเฉี่ยวยอดเขาหินปูนรูปทรงสวยงามแปลกตา ยอดมะพร้าว เสาสัญญาณโทรศัพท์ ไหลเป็นเส้นตรงบ้าง เป็นลูกคลื่นบ้าง บางครั้งก็เป็นเกลียวสวยงาม สามารถชมได้ราว ๆ 15-20 นาที
ภูเขาหินปูนวิวสวยตระการตาจากป่าจรดผืนป่า ณ บ้านมุง
อีกหนึ่งความน่าสนใจของบ้านมุงก็คือวิวสวย ๆ ของหน้าผาเขาหินปูนสูงใหญ่ ซึ่งตั้งเรียงรายเป็นแนวยาวหลายกิโลเมตร โดยที่ตัวภูเขานั้นก็เว้าแหว่งแปลกตา มีลวดลายที่สวยงาม แซมด้วยต้นไม้เขียว ๆ พุ่มเล็กใหญ่ ซึ่งก็มีระยะที่ถนนอยู่ใกล้ ๆ กับภูเขา ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับภูเขาสวย ๆ นี้ได้อย่างใกล้ชิด บางจุดก็เป็นนาข้าว หรือไร่ข้าวโพดกว้างที่อยู่เบื้องหน้า ดูเย็นตา พาเพลินใจ กลิ่นหอม ๆ ของต้นข้าวที่พัดลอยมาตามลมหลังฝนตก ก็ทำให้สดชื่นดีทีเดียว
นอนโฮมสเตย์แบบบ้าน ๆ บรรยากาศอบอุ่น ณ บ้านผารังหมี
ถ้าใครพอมีเวลาก็อยากแนะนำให้ลองมานอนพักผ่อนโฮมสเตย์กับชาวบ้านในชุมชนกันสักคืนสองคืน เพราะนอกจากจะได้เที่ยวชมหมู่บ้านอย่างเต็มที่แล้ว ก็ยังจะได้เห็นอีกมุมมองของชุมชน ได้ลองกินอาหารท้องถิ่น และทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำ อีกทั้งยังจะได้ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชาวบ้าน เป็นการลองเดินออกมาจากคอมฟอร์ตโซน เพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ในอีกรูปแบบ
สำหรับโฮมสเตย์บ้านผารังหมี มีให้บริการทั้งหมด 8 หลัง รองรับนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 30-40 คน ซึ่งแต่ละหลังก็จะเตรียมทั้งที่นอน หมอน ผ้าห่ม และสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานต่าง ๆ ไว้ให้ ใครอยากตื่นมาใส่บาตรก็สามารถบอกเจ้าของบ้านให้เตรียมอาหารและของใส่บาตรไว้ให้ได้ ชาวบ้านน่ารัก เป็นกันเอง ดูแลราวกับคนในครอบครัว
Day 2 : บ้านผารังหมี-บ้านรักไทย
เดินขึ้นบันไดสวรรค์สู่วิวสวยหลักล้าน วัดผารังหมี
นอกจาก “หลวงพ่อเพชรมณี” แล้ว ภายในวัดผารังหมียังมีจุดที่เป็นไฮไลต์อีกหนึ่งแห่ง เมื่อเข้ามายังบริเวณวัดแล้ว จะพบกับบันไดทางขึ้นเขาอันสวยงาม ชาวบ้านเรียกกันว่าบันไดสวรรค์ ด้านล่างบริเวณหัวบันไดจะเป็นรูปปั้นพญานาค 7 เศียร ทอดหางยาวขึ้นไปยังบนภูเขา มีเกล็ดและลวดลายสวยงามอ่อนช้อย พร้อมด้วยบันไดขั้นเล็ก ๆ 96 ขั้น อันนำไปสู่ฐานพระสมเด็จองค์พระปฐมมหาจักรพรรดิ พระพุทธรูปองค์ใหญ่บนหน้าผา หน้าตักกว้าง 10 เมตร และสูงถึง 16 เมตร
เมื่อหันหน้าออกไปยังด้านหน้าของฐานพระ ก็พบกับภาพของท้องนากว้างใหญ่เขียวขจี เห็นถนนที่ตัดผ่านหมู่บ้านอยู่ลิบ ๆ ที่มีเพียงรถจักรยานยนต์คันเดียว วิ่งผ่านในยามเช้านี้เท่านั้น ยืนชมวิวได้เพียงแป๊บเดียว แสงพระอาทิตย์ก็เริ่มส่องแยงตาทางด้านซ้ายมือ ด้วยดวงอาทิตย์น้อย ๆ กำลังลอยโผล่พ้นแนวขุนเขาสู่ท้องฟ้า สายหมอกขาว ๆ ที่คลอเคลียกับเทือกเขาค่อย ๆ จางหาย แต่สายลมเย็นและอากาศอันบริสุทธิ์สดชื่นยังคงอยู่ ถ้าหากว่าไม่กลัวความร้ายกาจของรังสียูวี ก็คงได้ละเมียดละไมกับวิวอีกนานพอสมควร การมาเยือนที่นี่จึงการันตีได้เลยว่าควรมาช่วงเช้าและช่วงเย็นที่แดดร่มลมตกแล้ว
นอกจากนี้ภายในวัดก็ยังมีถ้ำพระนอน ซึ่งด้านในมีหลวงพ่อเพชรมณี พระนอนองค์ใหญ่ให้ได้ไหว้ขอพรกันด้วย โดยวิธีการขอพรให้เอาศีรษะไปแตะที่ปลายเท้าของพระนอนแล้วอธิษฐานขอพร
ต้นไม้รูปหัวใจ กับวิวสวยไม่เหมือนใคร ณ บ้านรักไทย
จุดเช็กอินแรก ๆ ที่จะนึกถึงเมื่อพูดถึงเนินมะปราง ก็คือ “จุดชมวิว ณ บ้านรักไทย” ด้วยเป็นจุดชมวิวที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจ มีต้นไม้รูปหัวใจตั้งตระหง่านอยู่ริมเขา มีวิวของอำเภอเนินมะปราง และแนวภูเขากว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา มีลมเย็น ๆ พัดมาตลอด ด้านบนของต้นไม้สามารถที่จะขึ้นไปชมวิวได้ มีชิงช้าให้นั่งถ่ายรูป หวาดเสียวนิด ๆ ให้หัวใจได้พอเต้นเบา ๆ ยิ่งถ้ามาเที่ยวช่วงหน้าหนาวก็จะมีทะเลหมอกบาง ๆ ให้ชมกันด้วย จุดชมวิวที่ว่านี้ตั้งอยู่ภายในบ้านสวนชมวิว รีสอร์ท เปิดให้เข้าเที่ยวชมทุกวัน
ระยะเวลา 2 วัน 1 คืน อาจจะยาวสำหรับบางท่าน แต่ถ้าหากได้มาเยือนเนินมะปรางด้วยตัวเอง จะรู้เลยว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก ยังมีแหล่งท่องเที่ยวสวย ๆ ภายในอำเภอเนินมะปรางอีกหลายแห่งที่รอให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยม โดยเฉพาะชุมชนน่ารัก ๆ และสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติสวย ๆ อีกทั้งสวนผลไม้ไทยอร่อย ๆ ที่สามารถไปเก็บกินกันได้ด้วยมือของตัวเอง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยววันหยุดที่เหมาะแก่การเที่ยวของทุกวัย ปรับรูปแบบเที่ยวกันได้ตามสไตล์ของตัวเอง ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินพิษณุโลกมาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ก็ได้สัมผัสกับชุมชนดี ๆ ธรรมชาติสวย ๆ กันแล้ว :)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคเหนือ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพิษณุโลก
ชุมชนบ้านผารังหมี
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคเหนือ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพิษณุโลก
ชุมชนบ้านผารังหมี