x close

World Heritage Sites 2019 มรดกโลกแห่งใหม่ที่น่าไปสัมผัสสักครั้ง

          เริ่มประกาศแล้ว รายชื่อ World Heritage Sites 2019 มรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ที่ได้มีการพิจารณาตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน - 10 กรกฎาคม 2562 ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน มาพร้อมกับ #43whc ทั้งนี้ เมืองพุกาม ประเทศเมียนมา และทุ่งไหหิน เมืองเชียงขวาง ประเทศลาว ขึ้นแท่นมรดกโลกแล้ว
          เป็นอีกหนึ่งอีเวนต์ที่คนทั่วโลกต่างตั้งตารอลุ้น กับการประกาศขึ้นทะเบียนสถานที่สำคัญต่าง ๆ ทั่วโลกให้เป็นแหล่งมรดกโลก (World Heritage Sites) ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) หรือยูเนสโก (UNESCO) และการพิจารณาครั้งที่ 43 ก็กำลังดำเนินอยู่ ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ได้มีการพิจารณามาตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2562 และจะสิ้นสุดการพิจารณาในวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ซึ่งในการพิจารณาครั้งนี้มีการเสนอรายชื่อเข้ามาทั้งหมด 35 แห่งทั่วโลก และระหว่างนี้ก็มีการประกาศรายชื่อออกมาแล้วราว ๆ 30 แห่งค่ะ โดยรายชื่อของมรดกโลก 2019 มีดังต่อไปนี้
แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม

1. Ancient ferrous metallurgy sites of Burkina Faso ประเทศบูร์กินาฟาโซ

          แหล่งอารยธรรมโบราณซึ่งกระจายตัวอยู่ในหลาย ๆ จังหวัดของประเทศบูร์กินาฟาโซ ซึ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งบอกว่ามีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ก่อนสามัญศักราช แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของการผลิตเหล็กในบูร์กินาฟาโซ โดยปัจจุบันยังคงเหลือให้เห็นเตาเผาเหล็กธรรมชาติ

2. Archaeological Ruins of Liangzhu City ประเทศจีน

          ซากเมืองโบราณเหลียงจู่ ตั้งอยู่ริมคุ้งแม่น้ำแยงซีเกียง ในเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน เป็นเมืองโบราณที่เพิ่งถูกค้นพบ และจากหลักฐานต่าง ๆ ก็แสดงให้เห็นว่าเมืองแห่งนี้มีมามากกว่า 5,000 ปีเลยทีเดียว (ช่วง 3,300-2,300 ปีก่อนสามัญศักราช)

3. Babylon ประเทศอิรัก

          อาณาจักรสำคัญในยุคเมโสโปเตเมีย ซึ่งอยู่ระหว่าง 626-539 ปีก่อนสามัญศักราช ปัจจุบันตั้งอยู่ห่างจากเมืองแบกแดดไปทางตอนใต้ราว ๆ 85 กิโลเมตร ซึ่งมีทั้งกำแพงเมือง ประตูเมือง พระราชวัง และสถานที่สำคัญทางศาสนา
World Heritage Sites 2019

4. เมืองพุกาม ประเทศเมียนมา

          เมืองโบราณและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเมียนมา สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงราว ๆ คริสต์ศตวรรษที่ 11-13 ได้ฉายาว่าเมืองแห่งเจดีย์สี่พันองค์ ด้วยมีเจดีย์และวัดวาอารามต่าง ๆ ตั้งอยู่โดยรอบหลายพันองค์ กลายเป็นทะเลเจดีย์ที่มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามและน่าศรัทธา
World Heritage Sites 2019

5. Budj Bim Cultural Landscape ประเทศออสเตรเลีย

          พื้นที่ทางวัฒนธรรมของชาว Gunditjmara ชาวพื้นเมืองหนึ่งในกลุ่มของชนเผ่าอะบอริจิน ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวก็มีทั้งภูเขาไฟ (Budj Bim Volcano) และทะเลสาบ (Tae Rak) และยังมีภูมิปัญญาที่น่ายกย่องอย่างเรื่องของการจัดการน้ำ และการสร้างที่ดักปลาไหล มีมามากกว่า 6,000 ปีแล้ว

6. Churches of the Pskov School of Architecture ประเทศรัสเซีย

          ตั้งอยู่ในเมือง Pskov ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศรัสเซีย เป็นกลุ่มคริสตสถานโบราณ อันประกอบด้วยโบสถ์ มหาวิหาร อาราม ป้อมปราการ และอาคาร ซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องของสถาปัตยกรรม สร้างโดย Pskov School of Architecture ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 12 โดยได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมของจักรวรรดิไบแซนไทน์และนอฟโกรอด
World Heritage Sites 2019

7. Dilmun Burial Mounds ประเทศบาห์เรน

          โบราณสถานแห่งยุค Dilmun หรือราว ๆ ช่วง 2,050-1,750 ปีก่อนสามัญศักราช โดยพื้นที่สำคัญก็คือ สุสานโบราณ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศบาห์เรน โดยมีหลุมฝังศพกระจายตัวอยู่ทั่วไปรวมแล้วมากกว่า 11,774 หลุม ถือว่าเป็นหลุมฝังศพในยุคโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

8. Erzgebirge/Krusnohori Mining Region ประเทศเช็กเกียและประเทศเยอรมนี

          เป็นพื้นที่แหล่งแร่ที่สำคัญ ครอบคุลมพื้นที่บริเวณชายแดนทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเยอรมนีกับทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเช็กเกีย มีความรุ่งเรืองอย่างมากในช่วงปี 1460-1560 ด้วยที่นี่มีแร่เงินซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการนำไปพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ และต่อมาก็มีแร่ดีบุก จนกระทั่งในศตวรรษที่ 19 ที่นี่ได้กลายเป็นแหล่งผลิตยูเรเนียมรายใหญ่ของโลก ผู้มาเยือนก็จะได้เห็นภูมิทัศน์ของเหมืองแร่เก่าที่มีการสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12-20

9. Historic Centre of Sheki with the Khan’s Palace ประเทศอาเซอร์ไบจาน

          พระราชวังเก่าแก่และพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ของเมือง Sheki ตั้งอยู่บริเวณเชิงเทือกเขาคอเคซัส โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม สร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 ประกอบไปด้วยพระราชวัง, สุเหร่า, โบสถ์, โรงแรม และหมู่บ้านโบราณ
World Heritage Sites 2019

10. เมืองชัยปุระ รัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย

          หรือเมืองจัยเปอร์ (Jaipur) เป็นเมืองเก่าแก่และมีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรม ถูกก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1727 โดย Sawai Jai Singh II. Unlike โดยสถานที่สำคัญต่าง ๆ นั้นจะมีสถาปัตยกรรมแบบ Vedic ไม่ว่าจะเป็นพระราชวัง, ป้อมปราการ, ประตูเมือง และอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการทาสีทั่วทั้งเมืองให้เป็นสีชมพู เพื่อต้อนรับเจ้าชายแห่งเวลส์ที่เสด็จมาเยือนในปี ค.ศ. 1876 เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เมืองชัยปุระน่าเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย
World Heritage Sites 2019

11. Jodrell Bank Observatory สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ

          ตั้งอยู่ภายใน University of Manchester ที่เมือง Macclesfield ประเทศอังกฤษ เป็นหอดูดาวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก สร้างขึ้นในปี 1945 โดย Bernard Lovell เริ่มแรกนั้นใช้ในการทำวิจัยเกี่ยวกับการตรวจจับรังสีคอสมิกด้วยเสียงสะท้อนจากเรดาร์ แม้ว่าจะสร้างมายาวนานแล้ว แต่ก็ยังคงใช้งานอยู่ รวมไปถึงกล้องโทรทรรศน์และอาคารต่าง ๆ ก็ยังเปิดใช้งานได้ ซึ่งปัจจุบันก็มีส่วนในการศึกษาเกี่ยวกับดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในสาขาต่าง ๆ ด้วย

12. Krzemionki Prehistoric Striped Flint Mining Region ประเทศโปแลนด์

          เป็นภูมิภาคที่สำคัญของการทำเหมืองแร่ ตั้งอยู่บนภูเขาในจังหวัดชเวียงทอคชิสเกีย Swietokrzyskie โดยมีลักษณะเป็นเหมืองแร่โบราณในยุค Krzemionki หรือราว ๆ ช่วงยุคหินใหม่ถึงยุคสัมฤทธิ์ (ช่วง 3900-1600 ปีก่อนสามัญศักราช) ที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการทำลายหินเหล็กไฟ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในการทำขวาน นอกจากนี้ยังมีโบราณวัตถุอีกกว่า 4,000 ชิ้นที่พบในบริเวณเดียวกันด้วย

13. Landscape for Breeding and Training of Ceremonial Carriage Horses at Kladruby nad Labem ประเทศเช็กเกีย

          ตั้งอยู่ในชุมชน Kladruby nad Labem ในเขต Pardubice ทางตะวันออกของกรุงปราก ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1579 เพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกม้าและผสมม้าพันธุ์ Kladruber ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เก่าแก่และหายากมากที่สุดในโลก และโรงม้าแห่งนี้ก็ผสมพันธุ์ม้านี้มายาวนานมากกว่า 400 ปี โดยม้าพันธุ์ดังกล่าวจะถูกใช้ในงานพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค (Habsburg Imperial)
World Heritage Sites 2019

ภาพจาก Pecold / Shutterstock.com

14. Le Colline del Prosecco di Conegliano e Valdobbiadene ประเทศอิตาลี

          ตั้งอยู่ทางภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี เป็นพื้นที่ผลิตไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ประกอบไปด้วย ไร่องุ่น, โรงบ่มไวน์, เนินเขา Hogback, ไร่องุ่นแบบนาขั้นบันไดที่เรียกว่า Ciglioni, หมู่บ้านเล็ก ๆ, ฟาร์ม และวิวทิวทัศน์ที่งดงาม

15. Megalithic Jar Sites in Xiengkhuang – Plain of Jars ประเทศลาว

          ทุ่งไหหิน โบราณสถานอันโดดเด่นในเมืองเชียงขวาง ประเทศลาว มีลักษณะเป็นทุ่งกว้างใหญ่ ซึ่งมีไหหินขนาดน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วไปราว ๆ 2,100 ไห สันนิษฐานว่ามีมาหลายพันปีแล้ว
World Heritage Sites 2019

16. Mozu-Furuichi Kofun Group: Mounded Tombs of Ancient Japan ประเทศญี่ปุ่น

          ตั้งอยู่ในเมืองซาไก จังหวัดโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เป็นสุสานหินขนาดใหญ่ สร้างมาในช่วงระหว่างศตวรษที่ 3-6 หรือราว ๆ ยุคโคฟุง โดยมีรูปลักษณ์ที่สวยงามแปลกตา หากมองจากมุมสูงจะเห็นเป็นรูปทรงรูกุญแจ ด้านในมีหลุมฝังศพหลงเหลืออยู่ราว ๆ 50 หลุม นอกจากนี้ก็ยังพบโบราณวัตถุอื่น ๆ อยู่ด้วย

17. Ombilin Coal Mining Heritage of Sawahlunto ประเทศอินโดนีเซีย

          ตั้งอยู่ในเมือง Sawahlunto จังหวัดสุมาตราตะวันตก บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เป็นเหมืองแร่เก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 โดยรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถือว่าเป็นเหมืองแร่ที่มีกระบวนการทำเหมืองแร่ถ่านหินที่มีประสิทธิภาพอย่างมากในสมัยนั้น แรงงานก็จะเป็นผู้คนในท้องถิ่นและนักโทษชาวดัตช์

18. Risco Caido and the Sacred Mountains of Gran Canaria Cultural Landscape ประเทศสเปน

          ตั้งอยู่บนเกาะ Gran Canaria และ Risco Caido ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ใกล้กับซาฮาราตะวันตก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความปกครองของประเทศสเปน ที่นี่โดดเด่นด้วยภูมิประเทศของภูเขาที่สวยงามแปลกตา มีลักษณะหุบเหว อันเกิดจากการก่อตัวของภูเขาไฟในอดีตที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ และยังปรากฏหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการอยู่อาศัยของคนยุคโบราณ 

19. Royal Building of Mafra-Palace, Basilica, Convent, Cerco Garden and Hunting Park (Tapada) ประเทศโปรตุเกส

          อยู่ห่างจากกรุงลิสบอนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว ๆ 30 กิโลเมตร สร้างโดย John V of Portugal ในปี ค.ศ. 1711 โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามในสไตล์โรมันและอิตาเลียนบารอค ประกอบไปด้วยอาคารพระราชวัง, โบสถ์หลวง, อาราม, ห้องสมุด, สวน, และสวนล่าสัตว์
World Heritage Sites 2019

20. Sanctuary of Bom Jesus do Monte in Braga ประเทศโปรตุเกส

          ตั้งอยู่บนภูเขา Mount Espinho ที่เมืองบรากา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสเตียนเยรูซาเลม สร้างมามากกว่า 600 ปี มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามแปลกตา สร้างในสไตล์บารอค โดดเด่นด้วยบันไดรูปทรงซิกแซกไปมาที่ดูเป็นระเบียบงามตา เมื่อขึ้นมาเที่ยวชมด้านบน ยังสามารถชมวิวเมืองบรากามุมสูงได้อย่างสวยงามด้วย
World Heritage Sites 2019

21. Seowon, Korean Neo-Confucian Academies ประเทศเกาหลีใต้

          สถาบันการศึกษาเก่าแก่ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โชซอน (ประมาณศตวรรษที่ 15-19) ซึ่งมีลักษณะเป็นโรงเรียนส่วนตัว ที่เน้นการเรียนการสอนเกี่ยวกับวิชาการตามแบบฉบับขงจื้อสมัยใหม่ โดยมีทั้งหมด 9 แห่งด้วยกันที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ได้แก่
 
  • Sosu-seowon (เมือง Yeongju จังหวัดคย็องซังเหนือ)
  • Byeongsan-seowon (เมืองอันดง จังหวัดคย็องซังเหนือ)
  • Dosan-seowon (เมืองอันดง จังหวัดคย็องซังเหนือ)
  • Oksan-seowon (เมืองคย็องจู จังหวัดคย็องซังเหนือ)
  • Dodong-seowon (เขต Dalseong จังหวัดแทกู)
  • Piram-seowon (เขต Jangseong จังหวัดช็อลลาใต้)
  • Namgye-sewon (เขต Hamyang จังหวัดคย็องซังใต้)
  • Museong-seowon (เมืองจุงอัพ จังหวัดชุงช็องเหนือ)
  • Donam-seowon (เมืองนอนซาน จังหวัดชุงช็องใต้)
World Heritage Sites 2019

22. The 20th-Century Architecture of Frank Lloyd Wright ประเทศสหรัฐอเมริกา

          อาคารและตึกต่าง ๆ ที่ถูกออกแบบโดย แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ (Frank Lloyd Wright) สถาปนิกชื่อก้องโลกในสมัยศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีแนวทางการออกแบบที่โดดเด่น เน้นให้สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เข้ากับบริบทของสิ่งแวดล้อมโดยรอบ อาคารที่อยู่ในรายชื่อมรดกโลกมีทั้งหมด 8 แห่ง ได้แก่ Fallingwater รัฐเพนซิลเวเนีย, Solomon R. Guggenheim Museum รัฐนิวยอร์ก, Taliesin West รัฐแอริโซนา, Unity Temple รัฐอิลลินอยส์, Frederick C. Robie House รัฐอิลลินอยส์, Taliesin รัฐวิสคอนซิน, Hollyhock House รัฐแคลิฟอร์เนีย และ Herbert and Katherine Jacobs House รัฐวิสคอนซิน
World Heritage Sites 2019

ภาพจาก Sean Pavone / Shutterstock.com

23. Water Management System of Augsburg ประเทศเยอรมนี

          ระบบการจัดการน้ำของเมืองออกสบูร์ก ประเทศเยอรมนี ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ประกอบไปด้วยคลองต่าง ๆ, หอเครื่องจักรสูบน้ำ, ระบบน้ำพุ, สถานีไฟฟ้าพลังน้ำ และนวัตกรรมต่าง ๆ อันเกิดจากระบบการจัดการน้ำ เป็นการนำพลังงานน้ำมาใช้ในทางวิศวกรรม

24. Writing-on-Stone / Aisinai pi ประเทศแคนาดา

          ตั้งอยู่ที่เมืองเอเดน รัฐแอลเบอร์ตา ใกล้กับชายแดนรัฐมอนแทนา ประเทศสหรัฐอเมริกา มีลักษณะเป็นหุบเขาหินทรายบริเวณใกล้กับแม่น้ำ Milk ซึ่งมีรูปร่างสวยงามแปลกตา ที่เรียกว่า hoodoo โดยมีสิ่งที่สำคัญอยู่ก็คือ ภาพเขียนโบราณของชาวแบล็กฟุต (Blackfoot) ที่มีมาตั้งแต่ 1800 ปีก่อนสามัญศักราช
แหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ

25. French Austral Lands and Seas ประเทศฝรั่งเศส

          หมู่เกาะและท้องทะเลทางตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งอยู่ในเขตการปกครองของประเทศฝรั่งเศส ประกอบไปด้วย หมู่เกาะโครเซตต์, หมู่เกาะแกร์เกแลน, เกาะเซนต์พอล เกาะอัมสเตอร์ดัม และเกาะเล็กเกาะน้อยอีกกว่า 60 เกาะทางฝั่งแอนตาร์กติก ครอบคลุมพื้นที่ราว ๆ 67 ล้านเฮกเตอร์ โดยเป็นแหล่งที่หลบพักอาศัยที่สำคัญของนกทะเลและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในบริเวณท้องทะเลแถบนี้ โดยเฉพาะเพนกวินราชา (King penguin) และนกอัลบาทรอสจมูกเหลือง และด้วยความที่อยู่ห่างไกลจากดินแดนแผ่นดินใหญ่ ทำให้พื้นที่เหล่านี้ควรได้รับการอนุรักษ์เพื่อการศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางชีวภาพและภูมิประเทศ

26. Hyrcanian Forests ประเทศอิหร่าน

          ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทางใต้ของทะเลแคสเปียนของประเทศอิหร่าน ทอดยาวไปตลอดชายฝั่งทะเลมากกว่า 850 กิโลเมตร โดยป่าไม้บริเวณนี้มีอายุมากถึง 25-50 ล้านปี มีความหลากหลายทางชีวภาพ มีพืชพรรณนานาชนิด และมีนกในเขตป่าอบอุ่น สัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมนานาชนิด รวมถึงเสือดาวเปอร์เซียอันโด่งดัง และยังมีทัศนียภาพที่สวยงาม

27. Migratory Bird Sanctuaries along the Coast of Yellow Sea-Bohai Gulf of China (Phase I) ประเทศจีน

          ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลเหลืองในมณฑลเจียงซู ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ของ Jiangsu Dafeng National Nature Reserve, โซน Dongsha Experimental และบริเวณตอนกลางของ Jiangsu Yancheng National Nature Reserve มีลักษณะเป็นเขตอนุรักษ์นกอพยพ โดยบริเวณดังกล่าวจะเป็นหาดโคลนขนาดกว้างใหญ่ มีทั้งหนองน้ำและสันดอน จึงทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นแหล่งอนุบาลของปลาและสัตว์น้ำเปลือกแข็งหลากหลายชนิด อันนำพาให้มีนกสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่อพยพไป-มาในพื้นที่ทางเอเชียตะวันออกและออสเตรเลียเข้ามาพักอาศัย กลายเป็นสถานที่ชุมนุมของนกขนาดใหญ่

28. Vatnajokull National Park - dynamic nature of fire and ice ประเทศไอซ์แลนด์

          ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะไอซ์แลนด์ มีลักษณะเป็นพื้นที่ภูเขาไฟ ครอบคลุมพื้นที่ราว ๆ 1,400,000 เฮกตาร์ หรือราว ๆ 14% ของเกาะไอซ์แลนด์ มีภูเขาไฟอยู่ 10 ลูก ซึ่ง 8 ใน 10 ลูกนี้เป็นภูเขาไฟกึ่งธารน้ำแข็ง ซึ่งทำให้ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และยังมีภูมิทัศน์ที่สวยงามน่าเที่ยวชม
World Heritage Sites 2019

แหล่งมรดกโลกแบบผสมผสาน
ระหว่างวัฒนธรรม และธรรมชาติ

29. Paraty and Ilha Grande-Culture and Biodiversity ประเทศบราซิล

          Paraty เป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่บริเวณริมชายฝั่งทะเลแอตแลนติกใต้ทางตะวันตกของเมืองริโอ เดอ จาเนโร ส่วน Ilha Grande เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่อยู่นอกชายฝั่งใกล้กับเมืองริโอ เดอ จาเนโร โดยเมือง Paraty นั้นเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน อาคารบ้านเรือนสวยงามน่าเที่ยวพักผ่อน  และ Ilha Grande ก็เป็นเกาะที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญครบถ้วนทั้ง 5 ประการ มีสัตว์ป่าหายากที่กำลังถูกคุกคาม เช่น เสือจากัวร์, แพกการีปากขาว และลิงขนแมงมุม
World Heritage Sites 2019

30. Natural and Cultural Heritage of the Ohrid region ประเทศมาซิโดเนียเหนือ และประเทศแอลเบเนีย

          เมืองโอครีด ตั้งอยู่ริมทะเลสาบโอครีด ในประเทศมาซิโดเนียเหนือ เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีบ้านเรือนและอาคารที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามเป็นเอกลักษณ์ มีโบสถ์ที่สร้างมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 6 ทั้งนี้ก็ได้รวมพื้นที่บางส่วนของ Lin Peninsula และแถบชายฝั่งที่เชื่อมต่อคาบสมุทรกับชายแดนของมาซิโดเนียเหนือ

          ทั้งนี้การพิจารณายังไม่สิ้นสุด เราจะอัปเดตให้ได้ชมกันเรื่อย ๆ นะคะ ถึงแม้ว่าปีนี้จะยังไม่มีประเทศไทย แต่เราก็สามารถไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ ๆ อย่างเมียนมา และลาวกันได้ ใครชอบเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม บอกเลยว่าไม่ควรพลาดจริง ๆ ส่วนถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวที่อื่น ๆ ก็เก็บภาพสวย ๆ มาฝากกันบ้างนะ :)
 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
whc.unesco.org, jodrellbank.manchester.ac.uk, Cultural Heritage Administration of Korea, wassersystem-augsburg.de, vatnajokulsthjodgardur.is

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
World Heritage Sites 2019 มรดกโลกแห่งใหม่ที่น่าไปสัมผัสสักครั้ง อัปเดตล่าสุด 11 กรกฎาคม 2562 เวลา 17:57:10 33,549 อ่าน
TOP