วางแผนเที่ยวฝรั่งเศสควรเตรียมตัวอย่างไร มีอะไรน่าสนใจและควรรู้ก่อนเดินทางไปเที่ยวฝรั่งเศสบ้าง ไปถึงเมืองน้ำหอมทั้งทีต้องซื้ออะไรเป็นของฝาก ต้องไปเช็กอินที่ไหน ต้องกินอะไรเด็ด ๆ เรามีคำตอบให้ที่นี่
ประเทศฝรั่งเศส
เป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าท่องเที่ยว
และยังมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศไทยมาโดยตลอด
ดังจะเห็นได้จากละครบุพเพสันนิวาส
ที่มีการผูกสัมพันธไมตรีกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
และสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สำหรับใครที่กำลังจะไปเที่ยวฝรั่งเศสด้วยตัวเองครั้งแรก
ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี ลองมาอ่านเกร็ดท่องเที่ยวฝรั่งเศสเล็กน้อย ๆ ที่เรารวบรวมมาไว้ที่นี่ และยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ อีกมากมาย ไปดูกัน
นอกจากจะมีพื้นที่ใหญ่อลังการแล้ว ฝรั่งเศสก็ยังเป็นที่ตั้งของยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรปด้วย ซึ่งถ้าไม่นับยอดเขาเอลบรุส (Mount Elbrus) แห่งเทือกเขาคอเคซัส ประเทศรัสเซีย ที่ยังคลุมเครือเรื่องดินแดนอยู่นั้น ยอดเขามงบล็อง (Mont Blanc) แห่งเทือกเขาแอลป์ ประเทศฝรั่งเศส ก็เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป มีความสูงอยู่ที่ 4,807 เมตร อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเลยล่ะ
ฝรั่งเศส ได้ชื่อว่าเป็นเมืองน้ำหอมของโลก ด้วยที่นี่มีการผลิตน้ำหอมจากดอกไม้และเครื่องหอมต่าง ๆ มากที่สุดของโลก หากใครเคยไปเที่ยวปารีส จะพบกับผลิตภัณฑ์แบรนด์น้ำหอมหลากหลายชนิด นับไม่ถ้วนกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็จะมีกลิ่นหอม ๆ ลอยฟุ้งไปทั่ว แต่ถ้าหากอยากไปเที่ยวชมเมืองต้นตำรับการผลิตน้ำหอม ต้องลองไปเที่ยวเมืองกราสส์ (Grasse) กัน ที่นี่แหละที่เป็นแหล่งผลิตน้ำหอมที่แท้จริงของฝรั่งเศส มีพิพิธภัณฑ์น้ำหอม (International Perfume Museum) ให้เข้าชมด้วย
ภาพจาก Fishman64 / Shutterstock.com
เที่ยวฝรั่งเศสจะพลาดเมืองปารีสไม่ได้เลย เพราะที่นี่เป็นเมืองหลวงสุดศิวิไลซ์ของทั้งฝรั่งเศสและยุโรป ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ มีแม่น้ำแซนไหลผ่านกลางเมือง ที่นี่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่สำคัญ มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และศิลปะที่โดดเด่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น หอไอเฟล, พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์, อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส, อาร์กเดอทรียงฟ์เดอเลตวล หรือประตูชัยฝรั่งเศส, โบสถ์แซ็งต์-ชาแปล, พระราชวังลุกซ็องบูร์ และดิสนีย์แลนด์ เป็นต้น
พระราชวังแวร์ซายส์ ตั้งอยู่ในเมืองแวร์ซายส์ (Versailles) ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของกรุงปารีส ห่างจากใจกลางเมืองปารีสมาราว ๆ 17 กิโลเมตร สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1661 โดยในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส มีพื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 800 เฮกตาร์ ซึ่งมีสถาปัตยกรรมแบบบารอค-รอคโคโค สร้างด้วยหินอ่อนและวัสดุที่ดีเยี่ยม ภายในตกแต่งอย่างสวยงามหรูหราโอ่อ่า ทั้งของตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ล้วนมีการสั่งทำจากวัสดุชั้นดี วิจิตรบรรจง
ภาพจาก Alvydas Kucas / Shutterstock.com
ภาพจาก alredosaz / Shutterstock.com
โดยเฉพาะห้อง The Hall of Mirrors เป็นห้องที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ด้วยการออกแบบที่งดงามเกินบรรยาย มีหน้าต่างกระจกโค้งทั้งหมด 17 บาน ซึ่งเมื่อเปิดออกก็จะเห็นสวนแวร์ซายส์กว้างใหญ่และสวยตระการตา ภายในตกแต่งด้วยภาพวาดบนผนังสุดอลังการและโคมไฟแชนเดอร์เลีย พร้อมทั้งของตกแต่งสีเหลืองทองอร่าม และภายในห้องนี้เองที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสได้ให้คณะทูตโกษาปานจากสยามเข้าเฝ้าเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2229 (ค.ศ. 1686)
ภาพจาก Takashi Images / Shutterstock.com
สำหรับผู้ที่ถือหนังสือเดินทางประเทศไทย จะต้องดำเนินการขอวีซ่าเชงเก้น โดยยื่นคำขอวีซ่าไปที่สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส โดยยื่นผ่านตัวแทนคือบริษัท TLScontact เลขที่ 12/1 ชั้น12 อาคารสาทรซิตี้ทาวเวอร์ ถนนสาทรใต้ 175 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ
ขั้นตอนแรกผู้ที่จะเดินทางต้องเข้าไปลงทะเบียนที่ fr.tlscontact.com พอลงทะเบียนเรียบร้อยก็ล็อกอินเข้ากรอกแบบฟอร์มการยื่นขอวีซ่าให้ครบถ้วน เมื่อครบถ้วนแล้วก็เลือกนัดวันยื่นขอวีซ่าในเว็บไซต์ แล้วมาเตรียมเอกสารให้พร้อม
เอกสารวีซ่าเชงเก้นประเภทท่องเที่ยวของฝรั่งเศส ดังนี้
- แบบฟอร์มการยื่นขอวีซ่า
- พาสปอร์ต (ถ้ามีเล่มเก่าให้นำมาด้วย) พร้อมสำเนาทุกหน้าที่มีตราประทับและวีซ่า
- เอกสารการจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
- รูปถ่ายขนาด 3.5 x 4.5 เซนติเมตร 2 รูป
- ประกันภัยการเดินทางที่ออกโดยบริษัทที่ได้รับการรับรอง
- หลักฐานการจองโรงแรม
- หนังสือรับรองการทำงานตัวจริง ภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส
- สำเนาสลิปเงินเดือน 3 เดือน พร้อมฉบับแปลภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส
- สเตทเมนต์บัญชีออมทรัพย์ตัวจริงย้อนหลัง 3 เดือน
- ใบรับรองบัญชีจากธนาคารฉบับจริง
- แผนการท่องเที่ยวในประเทศฝรั่งเศส
เมื่อถึงวันนัดยื่นขอวีซ่าให้เตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อม พร้อมกับเงินค่าธรรมเนียม 80 ยูโร ประมาณ 3,027 บาท แล้วก็นำไปยื่นขอได้ที่บริษัท TLScontact พอยื่นเสร็จก็รอการพิจารณาประมาณ 7 วัน ก็จะรู้ผลว่าวีซ่าผ่านหรือไม่ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ fr.tlscontact.com
ไปเที่ยวบ้านเขา ก็ต้องรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำกันด้วยนะ อย่างฝรั่งเศสก็มีวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนบ้านเราหลายอย่างเช่นกัน เช่น การพูดคำว่า บงชูร์ (Bonjour) ก็เป็นการพูดทักทายกันของคนฝรั่งเศส, การทักทายกันของคนที่รู้จักกันนอกจากจะจับมือแล้วก็จะใช้วิธีหอมแก้มทั้งสองข้างด้วย, การนั่งแท็กซี่ ผู้โดยสารจะนั่งได้เฉพาะด้านหลังคนขับ, การกินอาหารโดยทั่วไปจะมีทั้งหมด 3 คอร์ส และการกินอาหารของคนฝรั่งเศสจะใช้มีดและส้อมเป็นปกติ เป็นต้น
ประเทศฝรั่งเศสใช้เงินสกุลยูโร เพราะฉะนั้นควรแลกเงินยูโรติดตัวไปด้วยเลย อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 1 ยูโร = 39.33 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) แต่ไม่แนะนำให้พกเยอะ เพราะอาจเกิดการสูญหายได้ พกไว้เฉพาะซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ ในซูเปอร์มาร์เกต ถ้ามีบัตรเครดิตก็ควรพกไป ทางฝั่งยุโรปนิยมใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตพอสมควร แต่ก่อนไปก็โทร. เช็กกับธนาคารที่คุณถือบัตรอยู่ก่อนว่าสามารถนำไปใช้ที่ฝรั่งเศสได้ไหม และเป็นการแจ้งให้ทางธนาคารทราบด้วยว่าเราจะเอาบัตรไปใช้ที่ฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสจะมีฤดูกาลอยู่ 4 ฤดูด้วยกัน ซึ่งแต่ละช่วงก็จะมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าใครอยากไปเห็นฝรั่งเศสในแบบไหน โดยฤดูใบไม้ผลิจะอยู่ระหว่างปลายเดือนมีนาคม-มิถุนายน ช่วงนี้จะมีดอกไม้บานสะพรั่งสวยงาม อากาศเย็นสบายกำลังดี ฤดูร้อนจะอยู่ระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน ช่วงนี้กลางวันจะยาวนานขึ้น อุณหภูมิประมาณ 20 องศาเซลเซียสขึ้นไป ส่วนฤดูใบไม้ร่วงจะเริ่มประมาณปลายเดือนกันยายน-ธันวาคม อากาศจะเย็นลง มีฝนตกเล็กน้อย และฤดูหนาวจะอยู่ระหว่างเดือนธันวาคม-มีนาคม ช่วงนี้มีหิมะ ก็ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวหนา ๆ ไปด้วย
การเดินทางท่องเที่ยวในเมืองใหญ่ ๆ ของฝรั่งเศสอย่างปารีสจะมีรถไฟฟ้าใต้ดินให้บริการ ส่วนเมืองอื่น ๆ ก็มีรถโดยสารประจำทางให้บริการ แต่ถ้าจะไปเที่ยวข้ามเมืองคนฝรั่งเศสนิยมใช้บริการรถไฟด่วน RER หรือไม่ก็ใช้บริการเครื่องบินในประเทศ ใครที่สามารถขับรถได้ ทำใบขับขี่สากลไปแล้วเช่ารถขับก็ได้ ลองคำนวนดูว่าไปกันกี่คน เมืองที่จะไปเที่ยวนั้นเดินทางลำบากมากน้อยแค่ไหน คุ้มค่ากับการเช่ารถหรือไม่
สำหรับในปารีสนั้น นักท่องเที่ยวจะเลือกใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน มีการคิดค่าโดยสารเป็นเที่ยว เที่ยวละ 1.90 ยูโร แต่ถ้าซื้อแบบเป็นแพ็ก 10 ใบ จะราคา 16.90 ยูโร ส่วนของเด็กถ้าเป็นแพ็ก 10 ใบ จะอยู่ที่ 8.45 ยูโร ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ratp.fr
ส่วนถ้าใครคำนวณดูแล้วว่าจะต้องมีการเที่ยวทั่วทั้งโซน 1-5 และเดินทางเยอะแนะนำให้ซื้อตั๋วแบบ Navigo Decouverte ซึ่งจะเป็นตั๋วรายสัปดาห์หรือรายเดือนนั่นเอง ตั๋วประเภทนี้จะสามารถใช้ได้หลายโซน ถ้าเลือกโซน 1-5 ก็จะมีสถานีดัง ๆ เช่น Airport CDG, Disneyland Paris, Chateau de Versailles และ ORY Airport (โซน 4) ราคาอยู่ที่ 22.80 ยูโร จะใช้ได้แบบอาทิตย์ชนอาทิตย์ หมายถึงถ้าซื้อวันจันทร์ก็ใช้ได้ถึงแค่วันอาทิตย์ ถ้าซื้อวันพุธก็ใช้ได้ถึงวันอาทิตย์เช่นกัน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ratp.fr
นอกจากเมืองปารีสและพระราชวังแวร์ซายส์แล้ว ฝรั่งเศสก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามน่าสนใจอีกมากมาย กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งประเทศ ซึ่งแต่ละสถานที่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ที่เที่ยวฝรั่งเศสที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น วิหารมง-แซ็ง-มีแชล (Mont-Saint-Michel), พระราชวังช็องบอร์ (Chateau de Chambord), เมืองคานส์ (Cannes) เลย์ กอร์จ ดู แวร์ดง (Les Gorges du Verdon), เมืองมาร์แซย์ (Marseille), ทุ่งลาเวนเดอร์เมืองพรอว็องส์ (Provence), ยอดเขามงบล็อง (Mont Blanc), เมืองเฟรนช์ริวีเอรา (French Riviera), หมู่บ้านชนบทเล็ก ๆ ในแคว้นอาลซัส (Alsace) และเมืองรอกามาดูร์ (Rocamadour) เป็นต้น
ถ้าอยากเที่ยวฝรั่งเศสให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ก็ต้องมาเที่ยวชมช่วงที่มีเทศกาลสำคัญ เพราะชาวเมืองจะร่วมใจกันจัดเทศกาลนั้น ๆ พร้อมทั้งเข้าร่วมเทศกาลกันอย่างคึกคัก ฝรั่งเศสก็มีเทศกาลที่น่าสนใจหลายเทสกาลเลย ไม่ว่าจะเป็น
- งานคาร์นิวัลแห่งเมืองนีซ (Carnival de Nice) จัดขึ้นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์-ต้นเดือนมีนาคม
- เทศกาลอีสเตอร์ (Easter Day) จัดขึ้นช่วงเดือนเมษายน
- เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (Cannes Film Festival)
- เทศกาลสู้วัวกระทิง (Ferias de Nimes) จัดขึ้นช่วงเดือนพฤษภาคม
- วันบัสตีย์ หรือวันชาติของฝรั่งเศส จัดขึ้นวันที่ 14 กรกฎาคม ของทุกปี
- เทศกาลลาเวนเดอร์เมืองพรอว็องส์ (Provence) จัดขึ้นช่วงเดือนกรกฎาคม
- เทศกาลวันคริสต์มาส จัดช่วงปลายเดือนธันวาคมของทุกปี
ภาพจาก anitasstudio / Shutterstock.com
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวจะสวยจับจิตจับใจแล้ว ฝรั่งเศสก็ยังมีอาหารที่หลากหลายและอร่อยระดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว ที่นี่เป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนสอนทำอาหารชื่อดังก้องโลกอย่างเลอ กอร์ดอง เบลอ (Le Cordon Bleu) สอนทำอาหารต้นตำรับแบบชาวฝรั่งเศสอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นถ้าใครได้มาเที่ยวฝรั่งเศส ก็อยากให้ได้ลองกินอาหารฝรั่งเศสกันสักหน่อย โดยเฉพาะเครป มีอร่อย ๆ เพียบเลย
เมนูอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ครัวซองต์, กิช (Quiche), บาแกตต์ (Baguette), ปาเต (Pate), ฟัวกรา (Foie gras), คร็อก-เมอซีเยอ (Croque Monsieur), ปอโตเฟอ (Pot-au-feu), Poulet Roti, แครมบรูว์เล (Creme Brulee) และซูเฟล่ (Souffle) เป็นต้น
ในเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ๆ ของฝรั่งเศสจะมีที่พักให้เลือกหลากหลายแบบ ตั้งแต่โฮสเทลไปจนถึงโรงแรมหรูหราระดับ 5 ดาว ที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินก็จะมีราคาสูงหน่อย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ดูงบประมาณในกระเป๋าจะดีที่สุด และควรหาข้อมูลแต่ละเมืองไว้ด้วยว่าโซนไหนเป็นโซนปลอดภัย อย่างในปารีส ก็จะมีการแบ่งเป็นโซน โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยมักจะพักกันในโซน 4-6 และ 13-15
ไปเที่ยวฝรั่งเศสทั้งทีก็ต้องซื้อสินค้า Made in France ติดไม้ติดมือกลับมาสักนิด ของฝากฝรั่งเศสที่น่าสนใจ เช่น ไวน์บอร์โด (Bordeaux), ไวน์หวาน (Dessert wine), เกลือเฟลอร์ เดอ เซล (Fleur de Sel), ขนมท้องถิ่นฝรั่งเศส, La Roche-Posay, Bioderma, น้ำหอมทุกยี่ห้อ โดยเฉพาะแบรนด์จากเมืองกราสส์ (Grasse), สบู่สกัดธรรมชาติ, เครื่องสำอางที่จัดอยู่ในหมวดเวชภัณฑ์, ช็อกโกแลต, แยม Bonne Maman, ชา Kusmi Tea และเทียนหอม Kerzon เป็นต้น
ภาพจาก lulu and isabelle / Shutterstock.com
หวังว่าทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่กำลังวางแผนไปเที่ยวฝรั่งเศสไม่มากก็น้อย ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผนเที่ยวฝรั่งเศสเบื้องต้นก็แล้วกัน ใครมีโอกาสไปเที่ยวก็เก็บรูปสวย ๆ มาฝากกันด้วยนะ ^^
หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก
chateauversailles.fr, museesdegrasse.com, france.fr, pagesperso-orange.fr, expatica.com, ratp.fr, ratp.fr และ parisbytrain.com
- รู้จักฝรั่งเศส
- ที่ตั้งยอดเขาสูงที่สุดในยุโรป
นอกจากจะมีพื้นที่ใหญ่อลังการแล้ว ฝรั่งเศสก็ยังเป็นที่ตั้งของยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรปด้วย ซึ่งถ้าไม่นับยอดเขาเอลบรุส (Mount Elbrus) แห่งเทือกเขาคอเคซัส ประเทศรัสเซีย ที่ยังคลุมเครือเรื่องดินแดนอยู่นั้น ยอดเขามงบล็อง (Mont Blanc) แห่งเทือกเขาแอลป์ ประเทศฝรั่งเศส ก็เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป มีความสูงอยู่ที่ 4,807 เมตร อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเลยล่ะ
- เมืองแห่งน้ำหอมของโลก
ฝรั่งเศส ได้ชื่อว่าเป็นเมืองน้ำหอมของโลก ด้วยที่นี่มีการผลิตน้ำหอมจากดอกไม้และเครื่องหอมต่าง ๆ มากที่สุดของโลก หากใครเคยไปเที่ยวปารีส จะพบกับผลิตภัณฑ์แบรนด์น้ำหอมหลากหลายชนิด นับไม่ถ้วนกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็จะมีกลิ่นหอม ๆ ลอยฟุ้งไปทั่ว แต่ถ้าหากอยากไปเที่ยวชมเมืองต้นตำรับการผลิตน้ำหอม ต้องลองไปเที่ยวเมืองกราสส์ (Grasse) กัน ที่นี่แหละที่เป็นแหล่งผลิตน้ำหอมที่แท้จริงของฝรั่งเศส มีพิพิธภัณฑ์น้ำหอม (International Perfume Museum) ให้เข้าชมด้วย
ภาพจาก Fishman64 / Shutterstock.com
- ปารีส มหานครแห่งศิลปะและแฟชั่นระดับโลก
เที่ยวฝรั่งเศสจะพลาดเมืองปารีสไม่ได้เลย เพราะที่นี่เป็นเมืองหลวงสุดศิวิไลซ์ของทั้งฝรั่งเศสและยุโรป ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ มีแม่น้ำแซนไหลผ่านกลางเมือง ที่นี่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่สำคัญ มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และศิลปะที่โดดเด่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น หอไอเฟล, พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์, อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส, อาร์กเดอทรียงฟ์เดอเลตวล หรือประตูชัยฝรั่งเศส, โบสถ์แซ็งต์-ชาแปล, พระราชวังลุกซ็องบูร์ และดิสนีย์แลนด์ เป็นต้น
- พระราชวังแวร์ซายส์ พระราชวังที่หรูหราโอ่อ่าที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
พระราชวังแวร์ซายส์ ตั้งอยู่ในเมืองแวร์ซายส์ (Versailles) ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของกรุงปารีส ห่างจากใจกลางเมืองปารีสมาราว ๆ 17 กิโลเมตร สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1661 โดยในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส มีพื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 800 เฮกตาร์ ซึ่งมีสถาปัตยกรรมแบบบารอค-รอคโคโค สร้างด้วยหินอ่อนและวัสดุที่ดีเยี่ยม ภายในตกแต่งอย่างสวยงามหรูหราโอ่อ่า ทั้งของตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ล้วนมีการสั่งทำจากวัสดุชั้นดี วิจิตรบรรจง
ภาพจาก Alvydas Kucas / Shutterstock.com
ภาพจาก alredosaz / Shutterstock.com
โดยเฉพาะห้อง The Hall of Mirrors เป็นห้องที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ด้วยการออกแบบที่งดงามเกินบรรยาย มีหน้าต่างกระจกโค้งทั้งหมด 17 บาน ซึ่งเมื่อเปิดออกก็จะเห็นสวนแวร์ซายส์กว้างใหญ่และสวยตระการตา ภายในตกแต่งด้วยภาพวาดบนผนังสุดอลังการและโคมไฟแชนเดอร์เลีย พร้อมทั้งของตกแต่งสีเหลืองทองอร่าม และภายในห้องนี้เองที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสได้ให้คณะทูตโกษาปานจากสยามเข้าเฝ้าเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2229 (ค.ศ. 1686)
ภาพจาก Takashi Images / Shutterstock.com
- เมืองแบร็สต์ (Brest) กับถนนที่ชื่อ "สยาม"
- การทำวีซ่าเชงเก้นเพื่อไปเที่ยวฝรั่งเศส
สำหรับผู้ที่ถือหนังสือเดินทางประเทศไทย จะต้องดำเนินการขอวีซ่าเชงเก้น โดยยื่นคำขอวีซ่าไปที่สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส โดยยื่นผ่านตัวแทนคือบริษัท TLScontact เลขที่ 12/1 ชั้น12 อาคารสาทรซิตี้ทาวเวอร์ ถนนสาทรใต้ 175 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ
ขั้นตอนแรกผู้ที่จะเดินทางต้องเข้าไปลงทะเบียนที่ fr.tlscontact.com พอลงทะเบียนเรียบร้อยก็ล็อกอินเข้ากรอกแบบฟอร์มการยื่นขอวีซ่าให้ครบถ้วน เมื่อครบถ้วนแล้วก็เลือกนัดวันยื่นขอวีซ่าในเว็บไซต์ แล้วมาเตรียมเอกสารให้พร้อม
เอกสารวีซ่าเชงเก้นประเภทท่องเที่ยวของฝรั่งเศส ดังนี้
- แบบฟอร์มการยื่นขอวีซ่า
- พาสปอร์ต (ถ้ามีเล่มเก่าให้นำมาด้วย) พร้อมสำเนาทุกหน้าที่มีตราประทับและวีซ่า
- เอกสารการจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
- รูปถ่ายขนาด 3.5 x 4.5 เซนติเมตร 2 รูป
- ประกันภัยการเดินทางที่ออกโดยบริษัทที่ได้รับการรับรอง
- หลักฐานการจองโรงแรม
- หนังสือรับรองการทำงานตัวจริง ภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส
- สำเนาสลิปเงินเดือน 3 เดือน พร้อมฉบับแปลภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส
- สเตทเมนต์บัญชีออมทรัพย์ตัวจริงย้อนหลัง 3 เดือน
- ใบรับรองบัญชีจากธนาคารฉบับจริง
- แผนการท่องเที่ยวในประเทศฝรั่งเศส
เมื่อถึงวันนัดยื่นขอวีซ่าให้เตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อม พร้อมกับเงินค่าธรรมเนียม 80 ยูโร ประมาณ 3,027 บาท แล้วก็นำไปยื่นขอได้ที่บริษัท TLScontact พอยื่นเสร็จก็รอการพิจารณาประมาณ 7 วัน ก็จะรู้ผลว่าวีซ่าผ่านหรือไม่ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ fr.tlscontact.com
- วัฒนธรรมของคนฝรั่งเศสที่ควรรู้
ไปเที่ยวบ้านเขา ก็ต้องรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำกันด้วยนะ อย่างฝรั่งเศสก็มีวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนบ้านเราหลายอย่างเช่นกัน เช่น การพูดคำว่า บงชูร์ (Bonjour) ก็เป็นการพูดทักทายกันของคนฝรั่งเศส, การทักทายกันของคนที่รู้จักกันนอกจากจะจับมือแล้วก็จะใช้วิธีหอมแก้มทั้งสองข้างด้วย, การนั่งแท็กซี่ ผู้โดยสารจะนั่งได้เฉพาะด้านหลังคนขับ, การกินอาหารโดยทั่วไปจะมีทั้งหมด 3 คอร์ส และการกินอาหารของคนฝรั่งเศสจะใช้มีดและส้อมเป็นปกติ เป็นต้น
- การใช้เงินในฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสใช้เงินสกุลยูโร เพราะฉะนั้นควรแลกเงินยูโรติดตัวไปด้วยเลย อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 1 ยูโร = 39.33 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) แต่ไม่แนะนำให้พกเยอะ เพราะอาจเกิดการสูญหายได้ พกไว้เฉพาะซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ ในซูเปอร์มาร์เกต ถ้ามีบัตรเครดิตก็ควรพกไป ทางฝั่งยุโรปนิยมใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตพอสมควร แต่ก่อนไปก็โทร. เช็กกับธนาคารที่คุณถือบัตรอยู่ก่อนว่าสามารถนำไปใช้ที่ฝรั่งเศสได้ไหม และเป็นการแจ้งให้ทางธนาคารทราบด้วยว่าเราจะเอาบัตรไปใช้ที่ฝรั่งเศส
- เที่ยวฝรั่งเศสช่วงไหนดี
ประเทศฝรั่งเศสจะมีฤดูกาลอยู่ 4 ฤดูด้วยกัน ซึ่งแต่ละช่วงก็จะมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าใครอยากไปเห็นฝรั่งเศสในแบบไหน โดยฤดูใบไม้ผลิจะอยู่ระหว่างปลายเดือนมีนาคม-มิถุนายน ช่วงนี้จะมีดอกไม้บานสะพรั่งสวยงาม อากาศเย็นสบายกำลังดี ฤดูร้อนจะอยู่ระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน ช่วงนี้กลางวันจะยาวนานขึ้น อุณหภูมิประมาณ 20 องศาเซลเซียสขึ้นไป ส่วนฤดูใบไม้ร่วงจะเริ่มประมาณปลายเดือนกันยายน-ธันวาคม อากาศจะเย็นลง มีฝนตกเล็กน้อย และฤดูหนาวจะอยู่ระหว่างเดือนธันวาคม-มีนาคม ช่วงนี้มีหิมะ ก็ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวหนา ๆ ไปด้วย
- การเดินทางท่องเที่ยวในฝรั่งเศส
การเดินทางท่องเที่ยวในเมืองใหญ่ ๆ ของฝรั่งเศสอย่างปารีสจะมีรถไฟฟ้าใต้ดินให้บริการ ส่วนเมืองอื่น ๆ ก็มีรถโดยสารประจำทางให้บริการ แต่ถ้าจะไปเที่ยวข้ามเมืองคนฝรั่งเศสนิยมใช้บริการรถไฟด่วน RER หรือไม่ก็ใช้บริการเครื่องบินในประเทศ ใครที่สามารถขับรถได้ ทำใบขับขี่สากลไปแล้วเช่ารถขับก็ได้ ลองคำนวนดูว่าไปกันกี่คน เมืองที่จะไปเที่ยวนั้นเดินทางลำบากมากน้อยแค่ไหน คุ้มค่ากับการเช่ารถหรือไม่
สำหรับในปารีสนั้น นักท่องเที่ยวจะเลือกใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน มีการคิดค่าโดยสารเป็นเที่ยว เที่ยวละ 1.90 ยูโร แต่ถ้าซื้อแบบเป็นแพ็ก 10 ใบ จะราคา 16.90 ยูโร ส่วนของเด็กถ้าเป็นแพ็ก 10 ใบ จะอยู่ที่ 8.45 ยูโร ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ratp.fr
ส่วนถ้าใครคำนวณดูแล้วว่าจะต้องมีการเที่ยวทั่วทั้งโซน 1-5 และเดินทางเยอะแนะนำให้ซื้อตั๋วแบบ Navigo Decouverte ซึ่งจะเป็นตั๋วรายสัปดาห์หรือรายเดือนนั่นเอง ตั๋วประเภทนี้จะสามารถใช้ได้หลายโซน ถ้าเลือกโซน 1-5 ก็จะมีสถานีดัง ๆ เช่น Airport CDG, Disneyland Paris, Chateau de Versailles และ ORY Airport (โซน 4) ราคาอยู่ที่ 22.80 ยูโร จะใช้ได้แบบอาทิตย์ชนอาทิตย์ หมายถึงถ้าซื้อวันจันทร์ก็ใช้ได้ถึงแค่วันอาทิตย์ ถ้าซื้อวันพุธก็ใช้ได้ถึงวันอาทิตย์เช่นกัน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ratp.fr
- สถานที่ท่องเที่ยวฝรั่งเศสที่เป็นแลนด์มาร์ก
นอกจากเมืองปารีสและพระราชวังแวร์ซายส์แล้ว ฝรั่งเศสก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามน่าสนใจอีกมากมาย กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งประเทศ ซึ่งแต่ละสถานที่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ที่เที่ยวฝรั่งเศสที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น วิหารมง-แซ็ง-มีแชล (Mont-Saint-Michel), พระราชวังช็องบอร์ (Chateau de Chambord), เมืองคานส์ (Cannes) เลย์ กอร์จ ดู แวร์ดง (Les Gorges du Verdon), เมืองมาร์แซย์ (Marseille), ทุ่งลาเวนเดอร์เมืองพรอว็องส์ (Provence), ยอดเขามงบล็อง (Mont Blanc), เมืองเฟรนช์ริวีเอรา (French Riviera), หมู่บ้านชนบทเล็ก ๆ ในแคว้นอาลซัส (Alsace) และเมืองรอกามาดูร์ (Rocamadour) เป็นต้น
- เทศกาลห้ามพลาดของฝรั่งเศส
ถ้าอยากเที่ยวฝรั่งเศสให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ก็ต้องมาเที่ยวชมช่วงที่มีเทศกาลสำคัญ เพราะชาวเมืองจะร่วมใจกันจัดเทศกาลนั้น ๆ พร้อมทั้งเข้าร่วมเทศกาลกันอย่างคึกคัก ฝรั่งเศสก็มีเทศกาลที่น่าสนใจหลายเทสกาลเลย ไม่ว่าจะเป็น
- งานคาร์นิวัลแห่งเมืองนีซ (Carnival de Nice) จัดขึ้นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์-ต้นเดือนมีนาคม
- เทศกาลอีสเตอร์ (Easter Day) จัดขึ้นช่วงเดือนเมษายน
- เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (Cannes Film Festival)
- เทศกาลสู้วัวกระทิง (Ferias de Nimes) จัดขึ้นช่วงเดือนพฤษภาคม
- วันบัสตีย์ หรือวันชาติของฝรั่งเศส จัดขึ้นวันที่ 14 กรกฎาคม ของทุกปี
- เทศกาลลาเวนเดอร์เมืองพรอว็องส์ (Provence) จัดขึ้นช่วงเดือนกรกฎาคม
- เทศกาลวันคริสต์มาส จัดช่วงปลายเดือนธันวาคมของทุกปี
ภาพจาก anitasstudio / Shutterstock.com
- อาหารฝรั่งเศสที่ควรลิ้มลองสักครั้ง
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวจะสวยจับจิตจับใจแล้ว ฝรั่งเศสก็ยังมีอาหารที่หลากหลายและอร่อยระดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว ที่นี่เป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนสอนทำอาหารชื่อดังก้องโลกอย่างเลอ กอร์ดอง เบลอ (Le Cordon Bleu) สอนทำอาหารต้นตำรับแบบชาวฝรั่งเศสอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นถ้าใครได้มาเที่ยวฝรั่งเศส ก็อยากให้ได้ลองกินอาหารฝรั่งเศสกันสักหน่อย โดยเฉพาะเครป มีอร่อย ๆ เพียบเลย
เมนูอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ครัวซองต์, กิช (Quiche), บาแกตต์ (Baguette), ปาเต (Pate), ฟัวกรา (Foie gras), คร็อก-เมอซีเยอ (Croque Monsieur), ปอโตเฟอ (Pot-au-feu), Poulet Roti, แครมบรูว์เล (Creme Brulee) และซูเฟล่ (Souffle) เป็นต้น
- ที่พักฝรั่งเศส
ในเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ๆ ของฝรั่งเศสจะมีที่พักให้เลือกหลากหลายแบบ ตั้งแต่โฮสเทลไปจนถึงโรงแรมหรูหราระดับ 5 ดาว ที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินก็จะมีราคาสูงหน่อย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ดูงบประมาณในกระเป๋าจะดีที่สุด และควรหาข้อมูลแต่ละเมืองไว้ด้วยว่าโซนไหนเป็นโซนปลอดภัย อย่างในปารีส ก็จะมีการแบ่งเป็นโซน โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยมักจะพักกันในโซน 4-6 และ 13-15
- ของฝากฝรั่งเศส
ไปเที่ยวฝรั่งเศสทั้งทีก็ต้องซื้อสินค้า Made in France ติดไม้ติดมือกลับมาสักนิด ของฝากฝรั่งเศสที่น่าสนใจ เช่น ไวน์บอร์โด (Bordeaux), ไวน์หวาน (Dessert wine), เกลือเฟลอร์ เดอ เซล (Fleur de Sel), ขนมท้องถิ่นฝรั่งเศส, La Roche-Posay, Bioderma, น้ำหอมทุกยี่ห้อ โดยเฉพาะแบรนด์จากเมืองกราสส์ (Grasse), สบู่สกัดธรรมชาติ, เครื่องสำอางที่จัดอยู่ในหมวดเวชภัณฑ์, ช็อกโกแลต, แยม Bonne Maman, ชา Kusmi Tea และเทียนหอม Kerzon เป็นต้น
ภาพจาก lulu and isabelle / Shutterstock.com
หวังว่าทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่กำลังวางแผนไปเที่ยวฝรั่งเศสไม่มากก็น้อย ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผนเที่ยวฝรั่งเศสเบื้องต้นก็แล้วกัน ใครมีโอกาสไปเที่ยวก็เก็บรูปสวย ๆ มาฝากกันด้วยนะ ^^
หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก
chateauversailles.fr, museesdegrasse.com, france.fr, pagesperso-orange.fr, expatica.com, ratp.fr, ratp.fr และ parisbytrain.com