รีวิวประสบการณ์การเดินขึ้นสู่ลานสน แห่งอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อตามหาทุ่งดอกหงอนนาค ภูสอยดาวที่กำลังบานสะพรั่งรับสายฝน บอกเล่าตั้งแต่การเตรียมตัว เส้นทางขึ้นสู่ภูสอยดาว การเดินทางไปยังภูสอยดาวฉบับ 2017
ถือเป็นความโชคดีมาก ๆ
ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุโขทัย
ได้เชิญชวนทีมงานของเราไปสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวภูสอยดาว 2017
ซึ่งปีนี้เจ้าหน้าที่บอกว่าดอกหงอนนาคบริเวณลานสนสวยงามกว่าปีก่อนอีกค่ะ
และจากการที่เราได้ขึ้นไปพิชิตลานสนมา
ก็ต้องบอกว่าสวยงามตามท้องเรื่องแบบสุด ๆ
วันนี้เราจึงจะมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการเตรียมตัวเที่ยวภูสอยดาว พร้อมทั้งเรื่องราวระหว่างทางว่าเส้นทางเป็นอย่างไร ลำบากมากน้อยแค่ไหน
บรรยากาศทุ่งดอกหงอนนาค บนลานสนสวยงามคุ้มค่าต่อการเดินเท้าขึ้นเขากว่า 4
ชั่วโมงหรือไม่ มาดูไปพร้อม ๆ กันได้เลย
รู้จักภูสอยดาว
ก่อนที่จะเดินทางไปเที่ยวภูสอยดาว เรามาทำความรู้จักกับที่นี่กันสักนิดก่อนดีกว่าค่ะ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ครอบคลุมพื้นที่อยู่ 2 จังหวัดด้วยกัน คือตำบลม่วงเจ็ดต้น ตำบลนาขุม ตำบลบ้านโคก อำเภอบ้านโคก อำเภอห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และตำบลบ่อภาค อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก โดยเราจะต้องติดต่อการขึ้นไปยังลานสนที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ที่ตำบลห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ของภูสอยดาวก็คือ "ทุ่งดอกหงอนนาค" บริเวณลานสน ที่จะบานสะพรั่งในทุก ๆ หน้าฝน รวมทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวสวย ๆ ให้ชมระหว่างทางมากมาย อาทิ น้ำตกภูสอยดาว, น้ำตกสายทิพย์, หลักกิโลเมตรประเทศไทย-ลาว และจุดชมพระอาทิตย์ตกดิน ฯลฯ ส่วนถ้าใครมีแรงเหลือมากพอก็สามารถเดินต่อขึ้นไปพิชิตยอด 2,102 จุดสูงสุดของอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวได้ด้วยเช่นกัน
สำหรับเส้นทางพิชิตลานสน ภูสอยดาว นักท่องเที่ยวจะต้องเดินเท้าเข้าป่าเป็นระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ใช้เวลาราว ๆ 4-5 ชั่วโมง แล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคนค่ะ โดยเส้นทางก็จะผ่านลำธาร เดินขึ้นเขาสูงชันบ้างบางจุด แบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 เนิน เริ่มจากเนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง และเนินมรณะ
หลายคนเข้าใจว่าภูสอยดาวเที่ยวได้แค่เฉพาะหน้าฝน ซึ่งอันที่จริงแล้วที่นี่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี หน้าหนาวอากาศจะเย็นมาก มีทะเลหมอกและทะเลดาวสวย ๆ ให้ชมเพียบ แต่ถ้าใครอยากเห็นดอกหงอนนาคบานเต็มผืนป่าก็ต้องมาเที่ยวหน้าฝนค่ะ ช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม-ตุลาคมของทุกปี
การเตรียมร่างกายก่อนพิชิตลานสน ภูสอยดาว หลายคนถามมาว่าเส้นทางภูสอยดาวโหดไหม ถ้าสำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบท่องเที่ยวแบบผจญภัย ไม่ได้ออกกำลังกายมากนัก ก็ต้องตอบว่าโหดพอสมควรค่ะ (บางคนยังไม่พ้นเนินส่งญาติก็ถอดใจกันแล้ว) เพราะจะต้องเดินขึ้นเขาตลอด บางช่วงก็ชันและลื่นมาก ยิ่งถ้าฝนตกก็จะยิ่งเฉอะแฉะ เพิ่มความยากเข้าไปอีกเท่าตัว
แต่สำหรับทริปนี้เราโชคดีมาก ๆ ที่ฝนไม่ตก เส้นทางไม่ลื่น ฟ้าปิด (แต่ถ่ายรูปออกมามันก็จะอึมครึมเล็กน้อย) มีเมฆหมอกตลอดทาง อากาศเย็นสบายกำลังดี เดินได้เรื่อย ๆ ไม่เหนื่อยและร้อนหรือหนาวฝนจนเกินไป
สิ่งที่แนะนำก่อนการเดินทางก็คือควรออกกำลังกายประเภทคาร์ดิโอไปก่อนสัก 3-5 วัน เน้นช่วงขาได้ยิ่งดี และระมัดระวังอย่าให้ไม่สบายก่อนการเดินทาง เตรียมร่างกายประมาณนี้ก็สามารถเดินขึ้นลานสน ภูสอยดาว ได้แบบสบาย ๆ ^^
การจัดกระเป๋า สำหรับการขึ้นภูสอยดาว สำหรับทริปนี้เรานำกระเป๋าใบเล็กใส่กระเป๋าเดินทางไปเพิ่มประมาณ 3 ใบค่ะ โดยจะแบ่งเป็นเป้ใส่สัมภาระให้ลูกหาบแบกขึ้นไปให้ มีกระเป๋ากันน้ำใส่กล้องสำหรับพกติดตัว และเป้สะพายหลังใส่สัมภาระเล็กน้อยพกติดตัวตอนเดินขึ้นเขา
ในเป้ที่ให้ลูกหาบแบกขึ้นไปให้มีอะไรบ้าง ? ของเราจะมีพวกเสื้อผ้า อาหารแห้งไว้กินตอนเย็นและมื้อเช้า (ขนมและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเล็กน้อย เพราะทางทีมงาน ททท. สุโขทัย เตรียมไว้ให้แล้ว) น้ำดื่ม (ไว้ล้างหน้าสำหรับคนแพ้น้ำ) รองเท้าแตะ ของอาบน้ำ แบตเตอรี่สำรอง ทิชชูเปียก ทิชชูธรรมดา และเครื่องสำอาง ใครที่ไปเที่ยวเองควรเตรียมยาต่าง ๆ และถุงดำไปด้วยนะคะ (ทริปเรา ททท. สุโขทัย เตรียมให้ ขอบคุณค่ะ ^^ ) อ๊ะ ๆ อีกสิ่งที่สำคัญมาก ๆ แต่เราลืมก็คือไฟฉาย จำเป็นมาก ๆ เพราะด้านบนไม่มีไฟฟ้า
ของที่พกติดตัวระหว่างเดินขึ้นเขาล่ะควรมีอะไรบ้าง ? เราจะแบ่งเป็นเป้ 2 ใบค่ะ เป้ใบแรกจะใส่กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์ กระเป๋าเงิน และของจำพวกที่เปียกไม่ได้ ส่วนเป้สะพายหลังอีกใบจะใส่น้ำดื่ม 3 ขวด (เรากินน้ำดื่มเยอะ) ยาดม แผ่นพลาสเตอร์ยา แบตเตอรี่สำรอง เสื้อกันฝน ทิชชู (เช็ดแล้วเก็บมาทิ้งข้างล่างนะคะ หาถุงพลาสติกใบเล็ก ๆ ไว้ใส่ขยะกระจุกกระจิก) อาหารกลางวัน ฯลฯ
เสื้อผ้าสำหรับการเดินป่า แนะนำให้ใส่ขายาวจะดีที่สุด จะได้ไม่โดนทากดูดเลือดหรือตัวคุ่นกัด เป็นสีสันนิด ๆ ก็ได้ค่ะ ยุงจะได้ไม่มาตอมและกัดคันยิบ ๆ เหมือนเรา T^T รองเท้าก็เป็นรองเท้าผ้าใบเดินสบาย ที่มีดอกยางหนืด ๆ ย้ำ ! ว่าต้องหนืด ! เพราะพื้นลื่นมาก (ใส่ ก ไก่สิบตัว) ไม่แนะนำสตั๊ดดอยนะคะ อาจจะกัดเท้าได้
การเดินทาง ภูสอยดาว
ในการเดินทางไปพิชิตลานสน ภูดอยดาว ครั้งนี้ เราใช้บริการสายการบินบางกอกแอร์เวย์สมาลงที่จังหวัดสุโขทัยค่ะ แล้วเดินทางต่อด้วยรถตู้ที่ ททท. สุโขทัย จัดเตรียมไว้ให้ มานอนค้างที่อำเภอน้ำปาด 1 คืน พอวันรุ่งขึ้นก็ค่อยเดินขึ้นภูสอยดาว แต่เท่าที่สอบถามนักท่องเที่ยวท่านอื่น ๆ ก็ยังมีวิธีเดินทางให้เลือกอีกมากมาย แต่ที่นิยมกันมากที่สุดก็คือการนั่งเครื่องบินมาลงที่พิษณุโลก แล้วเช่าเหมารถมาส่งที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ราคาเช่าเหมารถไป-กลับ จะอยู่ประมาณ 2,000-3,500 บาท สามารถต่อรองและสอบถามจากผู้ประกอบการได้เลยค่ะ
เตรียมตัวพร้อม ก็เริ่มออกเดินทางสู่ภูสอยดาว
เช้าวันรุ่งขึ้นเราออกจากที่พักในอำเภอน้ำปาดตั้งแต่ประมาณ 06.30 น. เมื่อคืนฝนตก เดาว่าเส้นทางน่าจะลื่นระดับหนึ่ง แต่คงไม่มากนัก เพราะช่วงเช้ามีแดดออกแล้ว จากรีสอร์ทเดินทางไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวจะใช้เวลาราว ๆ 1-1.30 ชั่วโมง เพราะเส้นทางคดเคี้ยวและเป็นเส้นทางเรียบริมเขา ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่
สิ่งแรกที่เราทำเมื่อมาถึงที่นี่ก็คือการจัดเตรียมข้าวของที่จะให้ลูกหาบแบกขึ้นไปค่ะ กิโลกรัมละ 30 บาทเท่านั้น แล้วก็จ่ายค่าธรรมเนียม และค่าเต็นท์ รวมทั้งค่าอาหารบนดอย มีชาบูดอยบริการด้วยนะคะ สั่งได้เลยจากข้างล่าง ราคาอยู่ที่ 399 บาท สำหรับ 2-3 คน ควรเตรียมทั้งอาหารเย็นและอาหารเช้าอีกวันให้พร้อมค่ะ เพราะด้านบนไม่มีร้านค้า ให้ลูกหาบแบกขึ้นไปให้เลย
รายละเอียดค่าเต็นท์ ค่าอาหาร และอุปกรณ์ต่าง ๆ
อ้อ...บริเวณที่ทำการอุทยานและบนลานสน ภูสอยดาว มีคลื่นโทรศัพท์แค่ 2 ค่าย ค่ะ คือทรูมูฟและเอไอเอส ใครใช้ค่ายอื่น อาจจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก 2 วันนะคะ
กินข้าวเช้าที่อุทยาน เตรียมความพร้อมด้วยข้าวผัดกะเพราไข่ดาว
กินข้าวเช้าเรียบร้อย ก็เข้าห้องน้ำ แล้วนั่งรถอีแต๊ก (หรืออีแต๋น ไม่แน่ใจค่ะ) ไปยังน้ำตกภูสอยดาว เพราะเส้นทางเดินสู่ลานสน จะเริ่มที่นี่ค่ะ
เมื่อพร้อมแล้วก็...ลุย !
เราเริ่มเดินประมาณ 10.00 น. ช่วงแรกของการเดินขึ้นลานสน ภูสอยดาว จะเป็นเส้นทางเรียบริมน้ำตก ลัดเลาะไปตามไหล่เขาเรื่อย ๆ มีเดินขึ้นเนินบ้าง ลงเนินบ้าง ชันมากน้อยแตกต่างกันไป สลับกับพื้นดินราบเล็กน้อย มีความเฉอะแฉะน้อยถึงมาก เรียกเหงื่อได้ท่วมตัวเลยทีเดียวค่ะ
ช่วงต่อมาเรายกให้เป็นการเตรียมตัวก่อนขึ้นเนินส่งญาติแล้วกันค่ะ 555+ เพราะเริ่มชันแล้ว ต้องไต่ปีนบันได 2 ช่วงสั้น ๆ แต่ก็หอบค่ะ หอบมากด้วย แต่มันต้องสู้ ดอกหงอนนาครอเราอยู่ ฮึบ !
คราวนี้ก็ของจริงแล้วกับการเริ่มต้นสู่เนินแรก "เนินส่งญาติ" เนินแห่งป่าไผ่ร่มรื่น แต่ทางไม่เรียบลื่นเลยค่ะ มันชันมาก เป็นการเดินขึ้นเขาอย่างเดียว มีบางช่วงเป็นบันไดเหล็ก บางช่วงก็เป็นขั้นบันไดดิน สลับกันไป ต้องระมัดระวังการลื่นล้มแบบสุด ๆ เทคนิคที่เราใช้เดินขึ้นเขาครั้งนี้ก็คือก้าวสั้น ๆ โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ค่อย ๆ เดิน อย่ามองขึ้นสูง (เพราะจะตัดกำลังใจเรามาก ฮือ) แต่ละก้าวตั้งสติและต้องมั่นใจว่ามันจะไม่ลื่น แล้วค่อยทิ้งน้ำหนักตัวเดินไต่ขึ้นไป หายใจตลอด มันจะเหนื่อยน้อยลง และทำให้เราเดินได้แบบเรื่อย ๆ
พอพ้นเนินส่งญาติมาจะเป็นลานนั่งพักค่ะ ใครไม่ไหวนั่งพักตรงนี้ก่อนที่จะไปต่อก็ได้ ส่วนเราคิดว่ายังไหว ก็เลยเดินเรื่อย ๆ ไปยัง "เนินปราบเซียน" ซึ่งเนินนี้จะเป็นเส้นทางเดินขึ้นเขาสลับกับทางราบเรียบ มีดอกไม้ป่า เห็ดป่าให้เดินชมตลอดทาง
ลูกหาบเดินตามหลังมาเรื่อย ๆ แข็งแรงมาก นี่ก็หาบมา 20 กว่ากิโล
แถ่น แท้น ... และแล้วเราก็เดินขึ้นมาถึงเนินป่าก่อ เวลา ณ ขณะนี้ประมาณ 13.00 น. พอดีค่ะ ก็แวะพักทานข้าวกลางวันกันแป๊บหนึ่ง แต่บอกตรง ๆ ว่ากินไม่ค่อยลงเท่าไร ไม่หิวเลย หรือมันเหนื่อยจนกินไม่ลงก็ไม่รู้ 555
มามะ มาเหนื่อยกันในเฮือก (ใกล้) สุดท้าย เดินต่อไปยัง "เนินเสือโคร่ง" ช่วงระหว่างนี้ไม่หนักหนาเท่าไรนะคะ เป็นเส้นทางราบเรียบสลับกับเนินเตี้ย ๆ บ้าง ไม่ชัน แต่ระวังทากดูดเลือด เราโดนกัดแถว ๆ นี้นี่แหละ (ทั้งทริปเราโดนอยู่คนเดียว ทำไม ?) ดีดออกแทบไม่ทัน
และแล้วด่านสุดท้ายก็มาถึง จุดที่ต้องเสียทั้งเหงื่อและน้ำตา กับ "เนินมรณะ" เนินที่โหดที่สุดของเส้นทางนี้ มีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร แต่เป็น 1 กิโลเมตร ที่เหนื่อยแทบขาดใจจริง ๆ เพราะมันจะเป็นทางขึ้นเขาอย่างเดียวเลยค่ะ ความชันก็ราว ๆ 70 องศาตลอดเส้นทาง
มีจุดให้แวะพักริมทางสูดอากาศหน่อย ๆ แต่วิวมันดีมาก บางช่วงฟ้าเปิดจะเห็นเป็นยอดเขาน้อยใหญ่ด้านล่าง มีเมฆหมอกบาง ๆ สามารถย้อมใจให้ฮึดเดินขึ้นไปยังลานสนได้อย่างดีทีเดียว
โอ้โห...พอเดินขึ้นมาถึงบริเวณป้ายผู้พิชิตลานสน ภูสอยดาว ต้องบอกว่าหายเหนื่อยเลย ใจมันว้าวมาก สายหมอกกับอากาศเย็น ๆ มันรู้สึกดีแบบบอกไม่ถูกเลยทีเดียว มองดูนาฬิกา เวลาตอนนั้นราว ๆ 14.30 น. รวมเวลาเดินทั้งหมดก็ประมาณ 4.30 ชั่วโมงค่ะ
ยังว้าวไม่สะใจ หันมองไปข้างหน้าที่ลานสน โอ้แม่เจ้า ! ดอกหงอนนาคสีม่วงกำลังบานสะพรั่งรอเราอยู่เต็มเลย หันไปทางไหนก็มีแต่ดอกหงอนนาค แต่ละดอกมีน้ำค้างค้างอยู่นิด ๆ สายหมอกลอยละล่องบางเบา อากาศหนาวหน่อย ๆ สูดเข้าไปนี่สดชื่นแบบสุด ๆ หูย...ฟินอะ ! คุ้มค่ากับการเดินขึ้นเขามากค่ะทุกคน
หลังจากนั้นก็เดินถ่ายรูปบ้าบอไปเรื่อยเลยค่ะ ดอกไหน ช่อไหนก็สวยไปหมด อะไรที่มันอยู่ถูกที่ถูกเวลา ก็มักจะงดงามแบบนี้นี่แหละ
หลังจากที่ถ่ายรูปกับดอกหงอนนาคจนหนำใจ ก็สำนึกขึ้นมาได้ว่าทั้งตัวนั้นมีแต่เหงื่อท่วม กลิ่นเน่าเริ่มลอยมาตามลมแล้ว ควรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หอมฟุ้งนะตัวเธอ ก็เลยเดินไปยังลานกางเต็นท์ แล้วความจริงอันโหดร้ายก็ปรากฏขึ้น ลูกหาบยังมาไม่ถึงค่ะ ฮือ...ร้องไห้ในใจอยู่สักพัก ก็ตั้งสติได้ งั้นฆ่าเวลาด้วยการไปเก็บภาพน้ำตกสายทิพย์ก่อนดีกว่า เผื่อพรุ่งนี้เหนื่อยเดินไปไม่ไหว จะได้มีภาพสำรองไว้ ฟิตค่ะ เราฟิต (กางเกงก็ฟิตหนักมากเช่นกัน)
จากจุดกางเต็นท์เดินย้อนมาเล็กน้อย จะเห็นทางลงไปน้ำตก พอเห็นทางเท่านั้นแหละ เหมือนโดนหลอกมายังไงก็ไม่รู้ ไหนบอกหนูว่ามันเดินสบาย ๆ ไง ? คือมันชันกว่าเนินมรณะอีกนะเนี่ย แต่ก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว เดี๋ยวเสียฟอร์ม ก็เลยค่อย ๆ ไถก้น จับต้นหญ้าลงไปเรื่อย ๆ (ไม่อยากจะคิดถึงตอนเดินขึ้นเลย Y^Y) ช่วงไม่ยาวมากค่ะ แต่ชันมาก
แต่พอลงมาถึงตัวน้ำตกแล้วมันหายเหนื่อยเลย สวยมาก ! มีทั้งมอสส์และต้นไม้อื่น ๆ ขึ้นเขียวขจี และมีดอกไม้ป่าเล็ก ๆ สีสันสดใสอยู่รอบ ๆ น้ำตก มีทางเดินลงไปเรื่อย ๆ เราเจอกับใบเมเปิลสีแดงด้วย ตื่นเต้นกว่าถูกหวยอีก ฮ่า ๆๆ
อยากฝากไว้สักนิดค่ะ...ใครที่จะลงมาชมน้ำตกต้องระมัดระวังมาก ๆ นะคะ เพราะทางชันและลื่นมากจริง ๆ ตรงน้ำตกถ้ามีน้ำเยอะ ๆ อย่าไปยืนเชียว เพราะเป็นหน้าผาลึก จะลื่นและตกลงไปได้ค่ะ ส่วนขาขึ้นน้ำตกไม่ต้องบรรยายละเนอะ เอาเป็นว่าเหนื่อยพอ ๆ กับเนินมรณะเลยละกัน
พอกลับมาถึงลานกางเต็นท์อีกครั้ง ทุกคนในทริปเดินทางมาถึงแล้วค่ะ แต่ลูกหาบก็ยังไม่มา เลยเดินเล่นถ่ายรูปต่ออีกสักหน่อย เพราะดอกหงอนนาคจะบานหลังจาก 10 โมงเช้าเป็นต้นไป ซึ่งเช้าวันรุ่งขึ้นเราจะต้องเดินทางกลับแล้ว ก็อาจจะไม่ได้เห็นดอกหงอนนาคบานอีกรอบค่ะ โน้ตไว้เลยนะคะว่าดอกหงอนนาคบานตั้งแต่ 10.00 น. บางคนมาถึงเย็นย่ำแล้วกลับเช้าอีกวัน อาจจะพลาดได้
หลังจากที่ลูกหาบเดินทางมาถึง ก็นัดเวลากินข้าวเย็น แล้วแยกย้ายเอาสัมภาระไปเก็บในเต็นท์ พร้อมกับอาบน้ำพักผ่อน แต่ความจริงที่โหดร้ายอีกข้อก็ปรากฏ คือเราต้องตักน้ำจากลำธารมาอาบกันที่ห้องน้ำ นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ แต่ความสำคัญมันอยู่ตรงที่น้ำเย็นเจี๊ยบ ! โอ๊ย หนาวสุดขั้วหัวใจไปเลย ตัดสินใจไม่อาบค่ะ ใช้กระดาษทิชชูเปียกทั้งแพ็กนั่นแหละเช็ดตัว สบาย :)
เต็นท์ของอุทยานจะมีหลังคาคลุม ไม่ต้องกลัวเปียก
ภายในเต็นท์กว้างขวาง
และแล้วเวลาที่เรารอคอยก็มาถึงอาหารเย็นนั่นเอง ระหว่างรอเจ้าหน้าที่จัดแจงอาหารก็แอบต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินไปนิดหน่อย ใครที่ไม่ได้สั่งอาหารอย่างชาบูดอยกับทางอุทยาน เขามีให้เช่าพวกอุปกรณ์ทำอาหารค่ะ แต่ต้องติดต่อมาจากข้างล่าง วางแผนดี ๆ นะคะ ยิ่งช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาวนักท่องเที่ยวจะเยอะมาก อาจจะไม่เพียงพอ จะได้หาแผนสำรองได้ทันท่วงที
เมนูมื้อเย็นของเราอิ่มหมีพีมันมาก ๆ เป็นชาบูดอยที่อร่อยสุด ๆ มีทั้งผัก เนื้อสัตว์ และเครื่องต่าง ๆ แบบครบเซต อิ่มอร่อยนอนกางพุงกางสบายแล้วคืนนี้
เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเท่าไรค่ะ อากาศหนาวมาก เพราะฝนตก ๆ หยุด ๆ ตลอดทั้งคืน ใครจะมาเที่ยวหน้าหนาว เตรียมเสื้อกันหนาวให้ดีนะคะ อากาศจะเย็นมากกว่านี้แน่นอน
หลังจากกินข้าวเช้าเรียบร้อย เรานัดกันไปชมหลักกั้นเขตแดนระหว่างดินแดนไทย-ลาว เราต้องเดินไปทางด้านหลังของจุดกางเต็นท์ ผ่านลำห้วยนิดหน่อย เจ้าหน้าที่บอกว่าให้เดินตามทางไปเรื่อย ๆ ก็จะถึงหลักกิโลเมตร เราก็เดินถ่ายภาพตามทางมาเรื่อย ๆ ค่ะ แต่ด้วยความที่หมอกเยอะมาก มองไม่เห็นทาง ไม่เห็นสัญลักษณ์อะไรเลย เดินนำทีมมาก่อนแค่ 3 คน เดินเรื่อย ๆ ก็หาไม่เจอสักที ถอดใจกำลังจะเดินย้อนกลับ คนอื่น ๆ ในทริปก็เดินตามมาพอดี มีคนบอกให้เดินต่อไปอีกจะเจอ ก็เลยพากันเดินไปอีกระยะค่ะ ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว
หลักเขตแดนนี้เป็นจุดแสดงกั้นอาณาเขตดินแดนไทย-ลาว เราสามารถเที่ยวได้ 2 แผ่นดินในทริปเดียวเลย (ห้ามเดินเข้ามาทางฝั่งลาวนะคะ ใครมาเที่ยวที่นี่ก็อย่าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปนะคะ)
สำหรับเส้นทางมาชมหลักเขตแดนไทย-ลาวนี้สามารถเดินวนไปยังลานกางเต็นท์ได้ค่ะ เดินตามเส้นทางไปเรื่อย ๆ ได้เลย ทางฝั่งนี้เราแอบเห็นต้นดอกกระดุมเงินด้วย และยังมีชะง่อนผา รวมทั้งจุดชมวิวสวย ๆ ให้ถ่ายรูปคู่กับวิวเพียบ เซลฟี่กันยาว ๆ ไป
ดอกหงอนนาคเริ่มบานแล้ว ได้รูปมานิดหน่อยเช้านี้ ^^
และแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับค่ะ กลับทางไหน ก็ทางเดิมที่เดินมานั่นแหละ 555+ เก็บสัมภาระให้เรียบร้อย อย่าลืมเก็บข้าวของให้หมดเด้อ และที่สำคัญอย่าลืมขยะกลับไปทิ้งข้างล่างด้วยนะคะ
ลงมาถึงข้างล่างก็ต้องเล่นน้ำตก :)
เราเดินลงมาตอน 10 โมงนิด ๆ ถึงน้ำตกภูสอยดาวประมาณบ่ายโมง รวมใช้เวลาเดินลงราว ๆ 3 ชั่วโมงค่ะ ตอนเดินลงเขาขากลับ เตรียมเบรกเท้าไว้ให้ดี ๆ นะทุกคน ไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ เดิน ขามันจะสั่นหน่อย ๆ ปล่อยมันสั่นไป แค่ไม่ล้มพับหรือลื่นไถลลงป่าข้างทางเป็นพอ :) แล้วไปเช็กอินที่ลานสน ภูสอยดาว ด้วยกันนะคะ ^_^
ส่วนถ้าใครอยากเติมพลัง ช่วงนี้สามารถไปอิ่มอร่อยกับทุเรียนพันธุ์หลง-หลิน แห่งบ้านหัวดง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ กันได้นะคะ อยากบอกว่ามันหวานหอม อร่อยมาก ๆ นี่ไม่ได้ยั่วนะ
แต่ถ้าใครอยากกินจริง ๆ แต่ไม่สามารถเดินทางไปยังตลาดบ้านหัวดงได้ ร้านแม่ลูกหมี เขาก็มีบริการส่งให้ด้วยค่ะ เบอร์โทรศัพท์ 08 2410 1456
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุโขทัย,
park.dnp.go.th