อิตาลี เมืองท่องเที่ยวสุดสวยแห่งหนึ่งในทวีปยุโรป มีนักท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อยต่างหลงใหลในความคลาสสิกสไตล์ยุโรป และเพราะด้วยความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ชวนดึงดูด ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม อาคารบ้านเรือน รวมถึงวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติที่สวยงาม เรียกได้ว่าสวยทุกตารางนิ้ว เหมือนกับที่ คุณ Jung explore สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้เผยให้เห็นความสวยงามของอิตาลี ตามจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น เมืองเวนิส (Venice), วิหาร Duomo di Milano, หอเอนเมืองปิซา (Tower of Pisa) และเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) เป็นต้น บอกเลยว่าแต่ละที่สวยงามสุดจะบรรยาย รวมถึงสัมผัสเสน่ห์ของวิถีชีวิตผู้คนที่มีชีวิตชีวาในทุกมุมมอง เริ่มอยากรู้กันแล้วใช่ไหมคะว่า อิตาลีจะสวยจริงอย่างที่ว่าหรือเปล่า ? ลองไปดูด้วยกันเลยดีกว่าค่ะ
++++++++++++++++++
Ciao รีวิวทัวร์ดม เยี่ยมชมเมืองต่าง ๆ ในอิตาลีสวัสดีค่ะเพื่อน ๆ วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การไปเที่ยวอิตาลีกับกรุ๊ปทัวร์มาฝากกันค่ะ นี่เป็นการไปเที่ยวกับทัวร์ครั้งแรกของเราเลย แอบหวั่น ๆ ได้ยินแต่คนบอกว่ามันคือทัวร์ชะโงก ไม่ได้เจาะลึกหรอก เสียเที่ยวเปล่า ๆ แต่เราก็ยังเลือกจะไปทัวร์เพราะเราไปกับพ่อแม่ ท่านเดินหลงกับเราไม่ไหวแน่ถ้าไปเอง เลยลองดูสักตั้งค่ะ เราขอไม่บอกรายละเอียดว่าทัวร์ไหนยังไงนะคะ เดี๋ยวจะเข้าข่ายโฆษณา ติดตามกันดูนะคะ ว่ามันจะชะโงกกันขนาดไหน
https://www.facebook.com/theworldasiseeitbyjung
มาที่เมืองแรกกันเลยค่ะ "เวนิส"
มาถึงตอนบ่าย 2 นะคะ ที่สนามบินเวนิส พื้นสวยมากเลยค่ะ งานวาดคือดีงาม เราก็นั่งเรือต่อมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อไปยังเกาะเวนิส เขาให้เวลาเดินอิสระประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็คิดว่าน่าจะพอไหวนะ ปรากฏว่าเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดินเล่นยังไม่ทั่วเลย เรือกอนโดลาก็ไม่ได้นั่งค่ะ เพราะกลัวไม่ทัน เลยเก็บบรรยากาศมาฝากกันได้แค่นี้นะคะ ก็ยังพอไหวนะ
เวนิส หรือเวเนเซีย แห่งแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็ก ๆ จำนวน 118 เกาะ เข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลเอเดรียติกในภาคเหนือของประเทศอิตาลี
Bridge of Sighs เป็นสะพานเก่าแก่ที่เชื่อมต่อระหว่างวังดูคาเลกับคุกเก่า เป็นเส้นทางลำเลียงนักโทษเข้าสู่ตัวคุก สร้างมาจากหินปูนสีขาว มีช่องหน้าต่างให้มองออกมาได้ เพื่อให้นักโทษได้ชมความสวยงามของท้องฟ้าและทะเลแห่งเวนิสเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต
ร้อนมาก ขอกินไอศกรีมแป๊บนะคะ
จัตุรัสซานมาร์โค (Piazza San Marco) นโปเลียน เคยกล่าวไว้ว่า จัตุรัสซานมาร์โค (St.Mark\'s Square) "เป็นห้องนั่งเล่นที่สวยที่สุดในยุโรป"
มองไปด้านข้างเราจะพบกับร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เปิดมากว่า 300 ปีแล้ว ร้าน Caffè Florian ส่วนเราไม่ได้เข้าไปนั่งชิลเลยค่ะ แบบมันรีบ เวลาน้อยจริง ๆ
บรรยากาศรอบ ๆ เมือง เราถ่ายในขณะที่เราตามหาร้านหนังสือ Libreria Acqua Alta
หลงไปรอบหนึ่งกว่าจะเจอ ดีที่เจอคนฟิลิปปินส์ที่ทำงานที่เวนิสเขาช่วยบอกทางให้ค่ะ หายากมาก ตึกมันเป็นซอกหลืบไปหมดเลย ... เจอแล้วววววววว ดีใจมาก
แล้วตกเย็นทัวร์ก็พาไปชิมสปาเกตตีหมึกดำที่เวนิสกันค่ะ
จบเมืองเวนิสอย่างสวยงาม
วันต่อมาไปดมวิหาร Duomo di Milano กันค่ะ ไกด์เขาจองตั๋วออนไลน์ให้พวกเราได้เข้าชมวิหารโดยที่ไม่ต้องรอคิวนานค่ะ แถวเข้าโบสถ์ยาวมาก
Duomo di Milano ที่เมืองนี้สร้างในสถาปัตยกรรมแบบโกธิค เป็นมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงวาติกัน มหาวิหารแห่งนี้ใช้เวลาสร้างกว่า 400 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ ด้านนอกเป็นยอดแหลม ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์และเพิ่มความอลังการกว่า 135 ยอด จึงมีชื่อเล่นว่า "มหาวิหารเม่น" มีรูปสลักหินอ่อนจากยุคต่าง ๆ ประดับอยู่กว่าสามพันรูปเลยค่ะ ด้านหน้าจะมีรูปปั้นผลงานของเลโอนาร์โด ดา วินชี อยู่ด้วยนะคะ
มิลาน (อังกฤษ : Milan) หรือมีลาโน (อิตาลี: Milano) เป็นเมืองหลักของแคว้นลอมบาร์เดียและเป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ชื่อเมืองมิลานมาจากภาษาเคลต์ คำว่า "Mid-lan" ซึ่งหมายถึงอยู่กลางที่ราบ เมืองมิลานมีชื่อเสียงในด้านแฟชั่นและศิลปะ ซึ่งมิลานถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชั่นในลักษณะเดียวกับนิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน และโรม คือเราเดินไปมารอบ ๆ เมืองเราจะเห็นเลยว่าคนที่นี่แต่งตัวดีมาก เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า สูทนี่เป๊ะปังมากเลยค่ะ บุคลิกแต่ละคนเดินไป-มายังกับนายแบบนางแบบ
เห็นรอยแหว่งตรงมือของนางฟ้าตรงมุมล่างซ้ายไหมคะ นั่นคือรอยสะเก็ดระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ดีอย่างหนึ่งคือไกด์เค้าจะคอยเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองต่าง ๆ ให้เราฟังไปด้วย ตอนเรานั่งในรถทัวร์ค่ะ
ติดกันกับ Duomo di Milano คือห้าง The Galleria Vittorio Emanuele II ตั้งตามชื่อกษัตริย์องค์แรกของอิตาลี ถือเป็นห้างที่เก่าแก่ที่สุดในโลกห้างหนึ่งเลยนะคะ เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1877 หรือร้อยกว่าปีมาแล้ว ในห้างก็เต็มไปด้วยแบรนด์เนมต่าง ๆ
ครึ่งวันเช้านี้เราไปชมหอเอนเมือง Pisa กันค่ะ
หอเอนเมืองปิซา (Tower of Pisa) ตั้งอยู่ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก และยังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย ปัจจุบันนี้หอเอนเมืองปิซาลาดเอียงลงมาประมาณ 13 องศาแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีโอกาสพังถล่มลงมาแน่นอน โดยทุก ๆ 20 ปี หอคอยแห่งนี้จะเอนลง 1 นิ้ว และมีคนทำนายว่า หอคอยแห่งนี้จะพังถล่มลงมาในปี 2200 หากยังไม่มีใครหาทางป้องกันได้ แต่เราว่ารัฐบาลอิตาลีต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้หอเอนพังลงมาแน่นอน
กาลิเลโอ กาลิเลอี เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่องแรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูก ที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่าลูกบอล 2 ลูก จะตกถึงพื้นพร้อมกัน
เราต้องนั่งรถไฟแบบโบราณเข้าไปชมหอเอนนะคะ เพราะรัฐบาลไม่ให้รถนักท่องเที่ยวคันใหญ่ ๆ เข้าไปวิ่งในบริเวณใกล้หอเอนแล้ว เพราะจะมีผลทำให้หอเอนทรุดลงไปอีกได้ ระหว่างที่เรารอรถไฟจะมีคนมาขายร่มลายสถานที่ท่องเที่ยวให้เราค่ะ แม่เราจัดไป 2 คัน 55
ระหว่างทางเดินไปหอเอนมีการแสดงพี่อินเดียด้วยนะจ๊ะนายจ๋า มาไงเนี่ย #แบบนี้ก็ได้เหรอ
เข้าไปกันเลย
รูป streetart ด้านบนที่เป็นรูปเลโอนาร์โด ดา วินชี ดำน้ำอยู่เป็นผลงานของ Blub เราชอบมากเลย น่ารักดี ไม่ถึงกับเลอะเทอะผนังเกินไป เราจะไปเจออีกเยอะ ๆ ที่เมือง Florence ค่ะ เต็มเมืองเลยมีแทบทุกมุม
ตอนบ่ายเรามาเที่ยวกันต่อที่ Florence ค่ะ
ฟลอเรนซ์ (Florence) หรือฟีเรนเซ (Firenze ในภาษาอิตาลี) เป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสคานี ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน ในยุคกลางฟลอเรนซ์เป็นศูนย์กลางทางการค้าและทางการเงิน เมื่อปี พ.ศ. 2525 ใจกลางเมืองเก่าของฟลอเรนซ์ได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของเรเนสซองส์ ที่ได้เติบโตขึ้นภายใต้อิทธิพลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ใต้การปกครองของตระกูลเมดิชี (Medici) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 รวมไปถึงกิจกรรมทางศิลปะต่าง ๆ ที่ดำเนินไปในช่วง 600 ปี เห็นได้ชัดเจนที่สุดจากสถานที่ท่องเที่ยว โบราณสถาน และอื่น ๆ ในเขตเมืองเก่าฟลอเรนซ์ . ..
ฟลอเรนซ์ สำหรับเราเป็นเมืองที่น่าสนใจมากเพราะเราชอบชื่อ ชื่อมันเก๋ดีอะ...ฟลอเรนซ์ แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ นอกจากนี้เรายังชื่นชอบ ชื่นชม และอยากรู้จักเมืองนี้มาก ๆ เพราะเป็นบ้านเกิดของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี หรือ "บิดาแห่งศิลปะร่วมสมัยของไทย" ศาสตราจารย์ศิลป์ เป็นประติมากรชาวอิตาเลียน ชื่ออิตาเลียนของท่านคือ Corrado Feroci อ.ศิลป์ ได้เข้ามารับราชการในประเทศไทยสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) และได้สร้างผลงานทางศิลปะต่าง ๆ ไว้มากมายให้แก่ประเทศของเรา เช่น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฯลฯ รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากรอีกด้วย
เราไปยังที่แรกกันเลยค่ะ มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral) หรืออาสนวิหารซานตา มาเรีย เดล ฟิโอเร (Basilica di Santa Maria del Fiore) สร้างขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ออกแบบโดยฟีลิปโป บรูเนลเลสกี ด้านหน้าโบสถ์ประดับตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาว เขียว และชมพู
เราเดินผ่านมาเจองานแสดงของ Klimt พอดีเลยแวะเข้าไปดูซะหน่อย พยายามจะอาร์ต
เข้ามานั่งปุ๊บ ดูไปดูมาเหมือนตัวเองลอยขึ้นเรื่อย ๆ เรานั่งอยู่กับแม่ แม่บอกเวียนหัว เรากับแม่เลยรีบออกมา คือมันจะมีจอซ้ายขวาเป็นภาพเคลื่อนไหวลอยขึ้นไปเรื่อย ๆ ทำให้เรารู้สึกเหมือนเราลอยไปด้วย ดูนิทรรศการภาพของ Klimt ไปด้วย ประชากรชาวไทยแบบเรากับแม่ที่ไม่คุ้นเคยกับนิทรรศการแบบนี้วิ่งออกมาแทบไม่ทัน ก่อนจะอ้วกในห้อง มึนหัวมากเลยค่า T-T
รอบ ๆ เมืองฟลอเรนซ์จะมีงาน Streetart น่ารัก ๆ อยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ น่ารักดีอะ มันไม่เลอะเทอะเกินไป มันกำลังพอดี น่ารัก ๆ
ดูงานเพิ่มเติมใน IG ของศิลปินท่านนี้ Blubuomo ได้ที่ https://www.instagram.com/lartesanuotare/ นะคะ
มาถึงจัตุรัสกลางเมือง เราก็จะพบกับรูปปั้นเต็มไปหมดเลยค่ะ
รูปปั้นเดวิดจำลอง
รูปปั้น Perseus สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1554 โดย Cellini เป็นรูปปั้นของเทพเจ้า Perseus เอาชนะศัตรูด้วยการตัดหัวของนาง Medusa เหมือนว่าสมัยนั้นทหารโรมเข้ามาฆ่าผู้คน เอาผู้หญิงไปข่มขืน ศิลปินคงต้องการให้เห็นความโหดของทหารโรม
The Rape of Sabine Woman ของ Giambologna เป็นรูปปั้นของเทวดาไล่ตามจับนางฟ้า เขาว่ากันว่ารูปปั้นนี้ศิลปินพยายามอ้างถึงเหตุการณ์สำคัญในตำนาน ที่เหล่าทหารได้รับอนุญาตจากพระราชาให้ไปฉุดสาว ๆ มาสร้างกรุงโรมให้สมบูรณ์ เนื่องจากกรุงโรมในยุคที่สร้างขึ้นใหม่เอี่ยม ยิ่งใหญ่ แต่ขาดแคลนหญิงสาว และผู้ที่จะเป็นมารดาของบุตรธิดาในอนาคต รูปปั้นนี้มีชื่อเสียงอีกด้านหนึ่งคือความสมจริงในงานปั้น เพราะเมื่อมองไปด้านหลังจะเห็นรอยบุ๋มของก้นผู้หญิงเลยจากการจับของผู้ชาย เราไปมองมาเหมือนกันค่ะ บุ๋มเลยจริง ๆ ปั้นเก่งมาก แต่ถ่ายมาไม่ทันเพราะมันย้อนแสง ดูด้านหน้าแทนแล้วกันนะคะ
เดินไปรอบ ๆ เมืองที่น่ารักแห่งนี้
เดินมาเรื่อย ๆ เราจะพบกับสะพานปอนเต เวชชิโอ (Ponte Vecchio) สะพานเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการสัญจรข้ามแม่น้ำอาร์โน โดยบนสะพานนั้นเป็นที่ตั้งของอาคารร้านค้า ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายงานศิลปะ อัญมณี และของที่ระลึกจำนวนมาก
เดินจนเมื่อยขาแล้วขอกินไอศกรีมอันเลื่องชื่อของอิตาลีสักหน่อยค่ะ รสไหนดีน้า
อร่อยมากกกกกกที่สุดเท่าที่เคยกินไอศกรีมมาเลยค่ะ ร้าน Caffe Firenze !!
ลืมบอกไป เราเดินผ่านมหาลัยของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ด้วยค่ะ แต่นี่ถ่ายรูปของมหาลัยที่ติดกันมา สวยดี
บริเวณนี้คือแถว ๆ มหาวิทยาลัยของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งเป็นชาวเมืองฟลอเรนซ์โดยกำเนิด แต่ได้เข้ามารับราชการในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 6 และได้สร้างผลงานทางศิลปะต่าง ๆ ไว้มากมาย ที่รู้จักกันอย่างเช่น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฯลฯ รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นอาจารย์สอนวิชาศิลปะที่โรงเรียนประณีตศิลปกรรม ต่อมาในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ตระหนักถึงความสำคัญของศิลปะว่าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งสาขาหนึ่งของชาติ จึงได้มีคำสั่งให้ อธิบดีกรมศิลปากร ในขณะนั้นคือพระยาอนุมานราชธน ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรและตราพระราชบัญญัติ ยกฐานะโรงเรียนศิลปากรขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ยังเป็นอาจารย์ของศิลปินไทยชื่อดังอย่าง อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี อีกด้วย ท่านทรงคุณูปการต่อวงการศิลปะไทยอย่างยิ่งยวดเลยนะคะ จึงได้รับการขนานนามให้เป็น บิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทย
วันถัดมาเราไปเยี่ยมชมเมืองซานจีมิญญาโนกันค่ะ
San Gimignano เป็นเมืองเล็ก ๆ บนเนินเขา ตั้งอยู่ในแคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี ซานจีมิญญาโนเป็นเมืองที่ยังรักษาลักษณะเมืองในยุคกลางไว้อย่างพร้อมมูล โดยเฉพาะหอคอยซึ่งจะมองเห็นได้แต่ไกล ตัวเมืองตั้งอยู่บนเนินสูงล้อมรอบด้วยกำแพงเมือง ตามลักษณะที่ยังพบในหลายเมืองและหมู่บ้านในบริเวณแคว้นทัสคานี เมืองซานจีมิญญาโนได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก World heritage site เมื่อปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) ในเรื่องของความปราดเปรื่องของมนุษย์ในด้านการก่อสร้าง สถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนบนพื้นที่เนินเขาชันมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ส่วนตัวเราชอบเมืองนี้มากเลยระหว่างเดินไป-มาเราถูกล้อมไปด้วยตึกเก่า ๆ มีความหลงยุคเบา ๆ หลุดไปอีกบรรยากาศหนึ่งเลยค่ะ
ประตูทางเข้าของเมืองโค้งสวยมากเลยค่ะ
กินไอศกรีมอีกละ แฮ่ ๆ
แล้วเราก็มาต่อกันที่เมือง Siena เป็นอีกเมืองที่เราชอบมาก น่ารักกกกกก
เซียนา เป็นเมืองที่เราชอบมาก ๆ อีกเมืองหนึ่งในทริปนี้ คือมันน่ารักดีอะ เดินเล่นตามซอกหลืบต่าง ๆ ของเมือง อีกอย่างที่เราชอบคือสถาปัตยกรรม ภายในโบสถ์ประจำเมืองที่เป็นลายขวางขาว-ดำ คือมันเป็นลายอมตะและทันสมัยมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีอะไรบรรยายเยอะนะคะ มาเดินเล่นไปในเมืองนี้ด้วยกันค่ะ
เมืองเซียนาเป็นเมืองยุคกลางที่ถือว่าเป็นคู่แข่งของเมืองฟลอเรนซ์ เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกเมืองของประเทศอิตาลี เมืองที่มีชื่อเสียงทางศิลปะและสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะบริเวณใจกลางเมืองเก่าของเมืองเซียนาซึ่งเป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ เมืองเซียนายังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปี ค.ศ. 1995
มาจุดแรกกันเลยค่ะ เปียซซา เดล คัมโป (Piazza del Campo) พื้นที่จัตุรัสหลักที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองเซียนา ทั้งยังได้รับการยอมรับว่าเป็นจัตุรัสยุคกลางที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป
ต่อมาไปกันที่ Duomo di Siena
มาดูบรรยากาศรอบ ๆ เมืองกันค่ะ น่ารักมากกกกกก เราชอบบบบบบบสุด ๆ
ปิดท้ายทริปนี้กันที่โรมและนครวาติกันนะคะ
ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม เคยได้ยินคำนี้กันไหมคะ คำนี้มีที่มาจากในสมัยยุคอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง เมืองเล็กเมืองน้อยต่าง ๆ ต้องเข้ามาติดต่อกิจการงานทั้งหลายที่กรุงโรม ดังนั้นไม่ว่าเมืองเล็กเมืองน้อยจากทุกสารทิศ เลยต้องมีถนนเชื่อมเข้ามาสู่กรุงโรม หรืออีกนัยหนึ่ง "All roads lead to Rome" หมายถึงการทำบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งมีหลายวิธีที่จะช่วยให้ไปถึงจุดมุ่งหมายเดียวกัน เราว่าโรมเป็นเมืองที่มีเสน่ห์เมืองหนึ่งเลยนะ มีเอกลักษณ์และก็รักษามันไว้ได้เป็นอย่างดี มีพิพิธภัณฑ์ซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมด ตามท้องถนน มุมถนนก็จะมีรูปปั้นสวย ๆ อยู่เต็มไปหมดเลย
Rome เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ นอกจากนี้โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอีกด้วย
มาที่แรกกันเลยค่ะ โคลอสเซียม (Colosseum) 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ และยังเป็นต้นแบบอัฒจันทร์ของสนามกีฬาทั้งหลายในยุคปัจจุบัน ทัวร์เรามีเวลาจำกัดนะคะ เราไม่ได้เข้าไปดูข้างในเลย เราเลือกที่จะเดินเข้าไปในเมือง มีบางท่านที่เลือกเข้าโคลอสเซียมก็จะไม่ได้เดินเข้าไปชมข้างในค่ะ ได้ดูแค่นี้
โคลอสเซียม เป็นอัฒจันทร์รูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทราย สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาด โดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และยังมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตกอีกด้วยนะคะ
เหมือนที่เราเคยเห็นในหนังเรื่อง Gladiator ส่วนใหญ่คนที่มาสู้รบโชว์ที่โคลอสเซียมจะเป็นทาสและเชลยสงครามโทษประหารชีวิต จักรพรรดิจะนำมาต่อสู้กันเอง เพื่อความสนุกสนาน สู้จนเหลือนักสู้ยอดฝีมือเพียงคนเดียว เพื่อแลกกับอิสรภาพกลับ คือสู้ตายอะค่ะ ไม่สู้ก็ตายอยู่ดี ทางเดียวคือสู้เพื่อเอาชีวิตรอด บางทีเขาก็จะให้สู้กับสัตว์ที่ดุร้ายบ้าง คนสมัยโบราณเขาไม่มีทีวีดูเพื่อความเพลิดเพลินเหมือนเรา ดูแบบนี้เขาคงเร้าใจกันน่าดู !!
เดินถัดมาจากโคลอสเซียมไม่ไกลเราจะเจอกับ Roman Forum บริเวณนี้เป็นบริเวณศูนย์กลางของการวิวัฒนาการของวัฒนธรรมโรมันในอดีต
ในสมัยที่โรมันเรืองอำนาจที่นี่คือศูนย์กลางด้านธุรกิจการค้า ศาสนา และการเมือง คนโรมันชอบนั่งสนทนาปัญหาบ้านเมืองกันที่นี่ คำว่า Forum จึงเป็นรากฐานของคำภาษาอังกฤษที่แปลว่าการประชุมเพื่อแสดงความคิดเห็นกันนั่นเองค่ะ
เดินต่ออีกนิดหน่อยเราก็จะพบกับอนุสาวรีย์พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเล ที่ 2 แห่งอิตาลี เป็นพระมหากษัตริย์อิตาลีพระองค์แรก หลังจากสามารถรวบรวมรัฐต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวและสถาปนาราชอาณาจักรอิตาลีได้สำเร็จ
มีรถม้าให้บริการพาชมรอบเมืองด้วยนะคะ ที่เห็นด้านหลังโบสถ์สวย ๆ นี่คือ Santa Maria di Loreto ที่สร้างมาตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 16
สถานีต่อไปบันไดสเปน หรือ The Spanish Steps ที่มาของชื่อบันไดสเปนคือเมื่อก่อนสถานทูตประเทศสเปนเคยอยู่แถวนี้ค่ะ บันไดสเปนดังขึ้นมามาก ๆ เพราะหนังเรื่อง Roman Holidays หรือโรมันรำลึก ของ Audrey Hepburn นี่เองค่ะ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://th.wikipedia.org/wiki/โรมรำลึก)
คือจริง ๆ มันก็แค่บันไดกว้าง ๆ ให้คนมานั่งพักผ่อนหย่อนใจนะคะ ด้านหน้าบันไดคือแหล่งช้อปปิ้งของแบรนด์เนมทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง
ในปี ค.ศ. 1986 McDonalds สาขาแรกในอิตาลีมาเปิดใกล้ ๆ กับบันไดสเปนนี้ค่ะ แต่มีการประท้วงต่อต้าน Fast Food ที่นี่ ทำให้เกิด Carlo Petrini ซึ่งเป็นนักชิมตัวยงและเป็นนักเคลื่อนไหวด้านอาหาร (Food activist) ก่อตั้ง International Slow Food Movement ใน 3 ปีต่อมา ลองคิดตามว่ามี McDonals ข้าง ๆ บันไดสเปนจริง ๆ ความคลาสสิกมันหายไปเลยจริง ๆ นะ คนอิตาลีเขาอนุรักษ์วิถีของเขาได้เยี่ยมไปเลยนะคะ
ระหว่างรอคณะทัวร์คนอื่น ๆ เราก็เหลือบไปด้านหลังตรงจุดนัดพบ เจอกับพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เราเลยแวบเข้าไปดูเพื่อไม่ให้เสียเวลา โดยที่ไม่รู้เลยว่าคือพิพิธภัณฑ์อะไร ตามมาดูกันค่ะ ระหว่างทางขึ้นจะมีรูปเก่า ๆ แปะอยู่ที่ฝาผนังโดยรอบ พอเข้าไปด้านในเราเจอห้องสมุดแบบโบราณที่เต็มไปด้วยหนังสือ หูย สวยคลาสสิกมาก ๆ เลยค่ะ ทั้งพิพิธภัณฑ์มีเราคนเดียวเลย
ทางเข้ามีแต่ประตูเก่า ๆ บานเดียว ยาวลึกลงไป ขึ้นบันไดวนไปตรงชั้น 2 จะเจอที่ขายตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ และร้านขายหนังสือ ขายของที่ระลึก เราก็ซื้อตั๋วเข้าไปชมค่ะ 5 ยูโร
แล้วเราก็เดินเข้าไปด้านใน พบกับห้องนอนเล็ก ๆ ผนังสีน้ำเงินตุ่น ๆ อยู่ตรงมุมขวา มีเตียงและเฟอร์นิเจอร์วางไว้เหมือนว่ายังมีคนอาศัยอยู่ เราเดินดูห้องรอบ ๆ มีจดหมายเก่า ๆ อยู่รอบไปหมด
พอเราจะออกจากห้อง เจอป้ายเขียนว่า "John Keats เสียชีวิตในห้องนี้ เมื่อปี 1821" ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที !!!!!! จะเจออะไรไหมเนี่ย มาคนเดียวจ้า ตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้จักอยู่ดีว่า John Keats คือใคร
พอเดินดูรอบ ๆ เสร็จเราก็เลยแวะกลับไปที่ร้านขายของที่ระลึก มีหนังสือบทกวีที่เป็นผลงานของ John Keats และหนังสืออื่น ๆ โปสการ์ดและของที่ระลึกมากมายวางขาย เราก็เจอกับแผ่นคำกลอน ที่เป็นผลงานของ John Keats สะดุดมากกับคำประโยคนี้ของเขา "Love is my religion, I could die for it. John Keats" สมัยก่อนโน้นเขานับถือพระเจ้ากัน พี่แกเน้นความรักเลยจ้า ประโยคนี้เป็นประโยคในจดหมายที่ John Keats เขียนถึง Fanny Brawne คู่หมั้นของเขา ในปี 1819 หรือ 200 กว่าปีมาแล้ว หูย...โรแมนติกไปอีก
จริง ๆ แล้ว John Keats เป็นคนอังกฤษแต่ต้องมาอาศัยอยู่ที่โรมเพราะป่วยเป็นวัณโรค แล้วหมอแนะนำให้มาอาศัยอยู่ในที่อากาศร้อนหน่อยจะดีกว่า แต่ในที่สุดเขาก็ไม่หายและเสียชีวิตอยู่ในห้องนอนในวัยเพียง 23 ปี ที่กลายมาเป็นในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั่นเองค่ะ
ใครผ่านมาแถวบันไดสเปนอยากชวนให้ลองแวะไปที่พิพิธภัณฑ์นี้สักหน่อยนะคะ ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ อยู่ตึกฝั่งทางขวาของบันไดสเปน
มาต่อกันที่ น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain) เป็นน้ำพุแบบบารอคที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรม มีตำนานว่าเจ้าหน้าที่โรมันพบแหล่งน้ำสะอาดราว 13 กิโลเมตรจากตัวเมือง ในช่วงสงครามที่บ้านเมืองกำลังขาดแคลนน้ำสะอาด โดยความช่วยเหลือของหญิงสาว (ภาพนี้ปรากฏอยู่ด้านหน้าของน้ำพุปัจจุบัน)
เขาว่ากันว่าหันหลังแล้วโยนเหรียญลงไปในน้ำตกนี้เพื่อให้ได้กลับมาที่โรมอีกครั้ง แต่เราไม่ได้โยนนะคะ อยากมาก็มา เก็บตังค์มา 555
กินไอศกรีมทุกวัน พูดเลย !
เราสังเกตว่าไปในทุกเมืองของอิตาลีจะมีตุ๊กตาพินอคคิโอ (Pinocchio) อยู่ตลอด ๆ เลยค่ะ นั่นเป็นเพราะว่าพินอคคิโอเป็นวรรณกรรมเยาวชนของชาวอิตาเลียนขนานแท้ ผลงานของ การ์โล กอลโลดี (Carlo Collodi) นักประพันธ์ชาวอิตาเลียน
พินอคคิโอ เป็นเรื่องราวการผจญภัยของหุ่นไม้ที่มีชีวิต กับพ่อผู้ยากจนของเขาซึ่งเป็นช่างไม้ พินอคคิโอมีลักษณะเด่นที่รู้จักกันดีก็คือเมื่อพูดโกหกจมูกของเขาจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ
ปิดท้ายทริปนี้กันที่นครรัฐวาติกัน จัดได้ว่าเป็นประเทศเอกราชหรือรัฐอิสระที่เล็กที่สุดในโลก เวลาช่างน้อยนิดได้แค่สูดดมกลิ่นของเมืองนี้ คิวเข้าไปข้างใน Vatican Museum ยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกก เลยได้แค่เดินชมรอบ ๆ ค่ะ
ในสมัยก่อนองค์สันตะปาปามีอำนาจและบารมีมาก จากศรัทธาอันแรงกล้าของผู้คนชาวยุโรปที่มีต่อประมุขทางศาสนาของพวกเขา จนทำให้องค์สันตะปาปาสามารถครอบครองดินแดนตอนกลางของอิตาลีไว้ทั้งหมด รวมเรียกว่าปาปาสเตท และมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ "วาติกัน" กลางกรุงโรม
การที่พระสันตะปาปามีอำนาจทางโลกล้นฟ้าและเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองมากเกินไปนี่เอง ทำให้กลุ่มอำนาจรัฐในยุโรปหลายแห่งจึงเริ่มที่จะต่อต้านพระองค์ เพื่อลิดรอนอำนาจของพระองค์ท่านลง
จนกระทั่งมาถึงปี ค.ศ. 1929 ในสมัยนายกอิตาลีที่ชื่อ มุสโสลินี แกเลยเสนอไปยังโป๊ปด้วยข้อเสนอ คือ รัฐบาลอิตาลียอมยกดินแดนให้เป็นประเทศ Vatican และให้เงินไปสร้างประเทศ แต่ประมุขแห่ง Vatican ต้องเป็นกลางทางการเมืองและสงคราม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Vatican จึงกลายเป็นประเทศที่สมบูรณ์แบบ มีเมืองหลวงคือกรุงวาติกัน
เนื่องจากกรุงวาติกันเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวคริสต์ทั่วโลก ทั้งยังเป็นที่ประทับขององค์สันตะปาปาหรือ โป๊ป ผู้นำสูงสุดของศาสนาคริสต์ จึงจำเป็นมากที่จะต้องมีการดูแลอารักขาอย่างดี ทางวาติกันจึงว่าจ้างทหารจากสวิตเซอร์แลนด์หรือสวิสการ์ดมาทำหน้าที่นี้ ทำไมต้องเป็นชาวสวิส นั่นเป็นเพราะชาวสวิสมีชื่อเสียงเรื่องความเก่งกาจ และโดยเฉพาะเรื่องความซื่อสัตย์ภักดีต่อผู้ว่าจ้าง และสามารถเก็บความลับทุกอย่างไว้ได้อย่างดี ทางวาติกันจึงว่าจ้างทหารสวิตเซอร์แลนด์มาประจำการอยู่ในนครรัฐวาติกัน เพื่อทำหน้าที่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวลามากกว่า 500 ปีแล้ว คุณสมบัติของสวิสการ์ดคือต้องเป็นชาวสวิสโดยกำเนิด นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก และต้องมีอายุไม่เกิน 30 ปี สูง 175 เซนติเมตรขึ้นไป
กลับละจ้า
สรุปการรีวิวทัวร์ดมของเรานะคะ มันก็ไม่ได้แย่มากขนาดนั้น เพราะถ้าเรามาเองด้วยเวลาเท่านี้ หลงไป-มาแน่นอน สบายตรงที่ไม่ต้องวางแผนอะไรมาก และได้ไปดม เอ๊ย ! ชมเมืองต่าง ๆ เยอะ หลายเมืองขนาดนี้ก็โอเคค่ะ เราพอรับได้ แต่ถ้าอยากไปเจาะลึกเดินชิล ๆ เข้าพิพิธภัณฑ์เยอะ ๆ ไปเองดีกว่าค่ะ ยังมีหลายเมืองที่เสียดาย อยากอยู่นาน ๆ กว่านี้ เลือกเอาตามอัธยาศัยค่ะ ลาไปเท่านี้นะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Jung explore สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม