ยโสธร เมืองเล็ก ๆ ในภาคอีสานที่หลายคนมองข้าม แต่กลับมีสิ่งที่น่าสนใจรอให้ไปค้นหามากมาย ทั้งวัดวาอารามเก่าแก่ ที่เที่ยวธรรมชาติ เมืองเก่าสไตล์ชิโน-โปรตุกีส อีกทั้งแลนด์มาร์กแห่งใหม่อย่างอาคารรูปทรงคางคกสุดยิ่งใหญ่
บอกเลยว่ายโสธรเขาไม่ธรรมดาจริง ๆ มีที่เที่ยวที่น่าสนใจหลากหลายแบบ และจะกลายเป็นจุดเช็กอินสุดฮิตของอีสานในไม่ช้านี้อีกด้วย แล้วจะรออะไรล่ะคะ นักเที่ยวตัวยงอย่างเราจะไม่ไปก็ดูจะบ้าเสียแล้ว งานนี้จึงต้องไปสำรวจยโสธรกันสักหน่อย ซึ่งจะมีอะไรโดดเด่น และเป็นเมืองเก๋ ๆ อย่างที่เขาว่ากันไหม ต้องไปติดตามพร้อม ๆ กันค่ะ
จุดหมายแรกที่เราต้องปักหมุดกันในยโสธรก็คือ "หมู่บ้านทำหมอนขิดบ้านศรีฐาน" ตั้งอยู่ที่ตำบลศรีฐาน อำเภอป่าติ้ว ห่างจากตัวเมืองยโสธรเพียงแค่ประมาณ 20 กิโลเมตรเท่านั้น เมื่อรถวิ่งเข้าสู่หมู่บ้าน เราจะเห็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นเป็นรูปปั้นหมอนขิดอันใหญ่ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน และเกือบทุกหลังคาเรือนจะเปิดบ้านเพื่อให้เข้าชมการทำหมอนขิดและให้เลือกซื้อของที่ระลึกกันตามชอบใจ ในราคาย่อมเยา
หมอนขิดของบ้านศรีฐานจะมีหลากหลายแบบ หลากหลายขนาดให้เลือก และไม่ได้ส่งขายแค่ในประเทศเท่านั้น แต่ยังโกอินเตอร์ไปขายในต่างประเทศอีกด้วย โดยลูกค้าหลัก ๆ ก็คือประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์ วันนี้เราโชคดีมาก ๆ ที่ได้มาดูกระบวนการผลิตหมอนขิดกันอย่างใกล้ชิด และยังได้เลือกซื้อสินค้ากันในราคาเบา ๆ ควักเงินออกไปจากกระเป๋าเท่าไรไม่อยากจะนับเลยจริง ๆ ^_^
ยังไม่ทันจะพุ่งตัวไปที่หมายต่อไปก็หิวข้าวกันเสียแล้ว มื้อนี้จึงขอจัดเต็มอาหารอร่อยเด็ดแห่งเมืองยโสธรกันเลยกับ "ร้านตุ๊ดติ่ง" (ในตัวเมืองยโสธร) เมนูห้ามพลาดก็คือลาบเป็ด เนื้อเป็ดจะนุ่ม ไม่เหนียว รสชาติจัดจ้าน กินกับข้าวเหนียวร้อน ๆ นี่หยุดยั้งกันไม่อยู่จริง ๆ ตักลาบเป็ดเข้าปากคำ ข้าวเหนียวคำ อ่อย...อร่อยยอมใจ เมนูที่น่าสนใจอื่น ๆ อาทิ อ่อมไก่, เนื้อแดดเดียว, หมูย่าง, ปลาส้มทอดกรอบ (ของขึ้นชื่อเมืองยโสธร), หมูน้ำตก, ลวกเนื้อลาย เป็นต้น
อิ่มท้องกันแล้วหนังตาเริ่มหย่อนแต่ต้องดึงให้ตึง เพราะยโสธรมีอันซีนไทยแลนด์รอเราอยู่อีกเยอะค่ะ ที่หมายต่อไปจึงมุ่งตรงไปที่ "โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้" ตำบลคำเตย อำเภอไทยเจริญ ห่างจากตัวอำเภอยโสธรประมาณ 50 กิโลเมตร เราได้ยินมาว่าที่นี่เป็นโบสถ์ไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทย งานนี้จึงต้องไปพิสูจน์ และทันทีที่มาถึงโบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้เราก็ต้องร้องว้าว !!! กับความงดงามของโบสถ์เก่าแก่แห่งนี้ ทั้งใหญ่ทั้งสวยงาม แบบนี้ก็เอาตำแหน่งอันซีนไทยแลนด์ให้ไปเลยค่ะ
โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ เป็นโบสถ์ไม้ขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 16 เมตร ยาวประมาณ 57 เมตร ใช้เสาทั้งเล็กและใหญ่จำนวนประมาณ 227 ต้น สร้างด้วยไม้หมดทั้งหลัง รวมทั้งหลังคาก็ใช้แผ่นไม้จำนวนกว่า 80,000 แผ่นมามุงอย่างสวยงาม ซึ่งรวมอายุของโบสถ์แห่งนี้ก็มีอายุมากกว่า 100 ปีแล้ว
การเที่ยวชมเมืองยโสธรของเราวันนี้เป็นการนั่งรถรางค่ะ จึงทำให้สามารถชมทิวทัศน์ของเมืองยโสธรได้อย่างรื่นรมย์ แน่นอนว่าจุดแรกเราก็ต้องไม่พลาดกับตัวเมืองเก่าสิงห์ท่า ซึ่งสามารถเดินเที่ยวชมได้แบบชิล ๆ เข้าซอยนั้น ออกซอยนี้ เซลฟี่และเช็กอินกันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะทำให้เราเห็นว่าบ้านเรือนสไตล์ยุโรป อยู่ร่วมกับบ้านเรือนเก่า ๆ แบบดั้งเดิม และศาลเจ้าสีแดงสดได้อย่างลงตัวสุด ๆ
พอถ่ายรูปเก๋ ๆ กับตึกเก่าแก่จนหนำใจก็ถึงเวลาตระเวนไหว้พระทำบุญค่ะ วัดแรกที่เราจะไปก็คือ "วัดมหาธาตุ" ซึ่งมีโบราณสถานที่สำคัญอย่างพระธาตุยโสธร (พระธาตุอานนท์) ตั้งอยู่ ตัวพระธาตุมีลักษณะศิลปะแบบลาว มีฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ละด้านกว้างยาวประมาณ 81 เมตร ก่ออิฐถือปูน มีลวดลายรอบพระธาตุอ่อนช้อยงดงาม ทางวัดจะจัดงานสมโภชพระธาตุในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี
ใครมาเที่ยววัดมหาธาตุก็สามารถที่จะกราบไหว้ขอพรพระธาตุเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และอย่าลืมเดินไปชมด้านหลังพระธาตุ เข้าไปชมภาพเขียนฝาผนังภายในอุโบสถด้วยนะคะ
ไหน ๆ ก็อยากทำบุญกันให้เต็มอิ่ม เราจึงไปเที่ยวชมกันอีกหนึ่งวัด นั่นก็คือ "วัดศรีธรรมาราม" ซึ่งเคยเป็นสถานที่จำพรรษาของหลวงปู่พวง สุขินทริโย พระเกจิอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต โดยภายในวัดจะมีพิพิธภัณฑ์พระเทพสังวรญาณ (หลวงตาพวง สุขินทริโย) ให้ได้เข้าไปกราบไหว้หลวงพ่อพระสุก และรูปเหมือนหลวงปู่พวงกันอีกด้วย
ระหว่างทางไปวัดศรีธรรมาราม ก็จะเห็นบ้านที่ทำบั้งไฟพญานาค ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของยโสธรด้วย
ที่เที่ยวยโสธรยังไม่หมดเพียงเท่านี้ค่ะ เพราะเมืองนี้เขามีสิ่งดี ๆ ซ่อนไว้อีกเพียบ พร้อมทั้งตำนานอันน่าสนใจแห่งเมืองยโสธร ที่เราได้ฟังครั้งแรกระหว่างนั่งรถรางชมเมือง โดยเขาเล่าว่า... ในครั้งที่พระพุทธเจ้าได้ถือกำเนิดเป็นพญาคันคาก ชาวบ้านต่างพากันเคารพนับถือ จนทำให้พญาแถน (เทวดาแห่งฝน) โกรธเคือง จึงแกล้งไม่ให้ฝนตกเป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนอย่างมาก พญามหาสุทรแดนอีสาน (พญานาค) จึงอาสาขึ้นไปเจรจากับพญาแถน แต่ก็ไม่เป็นผล จึงได้นำทัพของเหล่าสัตว์ต่าง ๆ ขึ้นไปรบ โดยให้สัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างมด ปลวก ผึ้ง ต่อ แตน ฯลฯ แฝงเข้าไปกับเสื้อผ้าของทหารของพญาแถนเพื่อกัดให้ตาย และทำให้กองทัพของพญาแถนเหลือทหารน้อยลง พญาคันคากจึงได้นำทัพขึ้นไปเสริมและรบกับพญาแถนจนชนะ ฝนจึงตกมาตามเดิม โดยจะต้องจุดบั้งไฟบอกกล่าวทุกปี
พอสิ้นเสียงไกด์ท้องถิ่น รถรางก็มาหยุดอยู่ริมลำน้ำทวนพอดี สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำเราตะลึงกันไปสักพัก เพราะที่นี่แหละคือแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของยโสธรและภาคอีสาน อาคารรูปทรงพญาคันคากและพญานาคขนาดมหึมา ดึงดูดให้เราเข้าไปเยี่ยมชมอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของพิพิธภัณฑ์พญาคันคาก ตัวอาคารจะสูงประมาณตึก 5 ชั้น ด้านในจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับความเป็นมาของเมืองยโสธรในรูปแบบของภาพยนตร์ 4 มิติ และบนชั้นบนสุดยังเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมาก ๆ อีกด้วย ส่วนอีกด้านของอ่างเก็บน้ำจะเป็นพิพิธภัณฑ์พญานาคขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 90 เมตร สูงประมาณ 27 เมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าเที่ยวชมได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ และบริเวณโดยรอบยังมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ที่สวยงามอีกด้วย
รูปปั้นขบวนแห่บั้งไฟ ซึ่งสอดคล้องกับตำนานพญาแถน พญาคันคาก และพญานาค
เที่ยวชมเมืองกันมาอย่างจุใจแล้วก็ได้เวลาต้องเพิ่มพลังกันอีกแล้วค่ะ มาอีสานทั้งทีต้องได้กินส้มตำแซ่บ ๆ สักมื้อ เย็นนี้จึงขอฝากท้องไว้ที่ "ร้านอาหารบ้านคุณย่า" นั่งปุ๊บสั่งส้มตำปลาร้าปั๊บ แล้วค่อยตามด้วยเมนูสุดอร่อยอื่น ๆ อาทิ ไก่ย่าง, น้ำพริกปลาทู, ปลากะพงผัดขึ้นฉ่าย, ผัดฉ่าซี่โครงอ่อน, ผัดไทยสปาเกตตีกุ้ง เป็นต้น มื้อนี้กินดีอยู่ดี ราตรีสวัสดิ์กันได้อย่างงาม ๆ เด้อ
ก่อนกลับบ้านก็ขอทำบุญกันอีกสักนิด ตื่นกันแต่ไก่โห่ เตรียมไปรอใส่บาตรบริเวณหน้าวัดสิงห์ท่า ซึ่งบรรยากาศยามเช้าในเมืองยโสธรจะเงียบสงบ ชิลสุด ๆ ชาวบ้านจะออกมารอใส่บาตรที่หน้าบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มีร้านขายกับข้าวเพิงเล็ก ๆ เพื่อให้เลือกซื้อของใส่บาตรที่หน้าวัด อากาศเย็นสบาย นาน ๆ ทีจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้ก็ขอดื่มด่ำกันให้เต็มที่หน่อย รออีกเพียงแค่อึดใจพระสงฆ์ก็เดินมาให้เราใส่บาตรกันค่ะ ซึ่งกิจกรรมตักบาตรแบบนี้จะจัดขึ้นทุกวันศุกร์ แต่ถ้าใครมาวันอื่น ๆ ก็มารอใส่บาตรกันได้เลยค่ะ ประมาณไม่เกินหกโมงครึ่ง
มีเวลาแค่ 2 วัน ก็เที่ยวยโสธรเมืองสุดชิคนี้ได้แบบเต็มเหนี่ยว ใครกำลังมองหาที่เที่ยวใหม่ ๆ บอกเลยค่ะว่ายโสธรน่าสนใจสุด ๆ ไม่มาแล้วจะหาว่าไม่บอกนะคะ :)
หมายเหตุ : อัพเดทข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2559
ขอขอบคุณ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ