ความอยากไปสัมผัส "ดอยหลวงเชียงดาว" ของแต่ละคน อาจมีที่มาหรือแรงบันดาลใจที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือน ๆ กัน นั่นคือความงดงามของความรู้สึกระหว่างทางแห่งการตะเกียกตะกายสู่ "ดอยหลวงเชียงดาว" เหมือนกับเรื่องราวของ คุณ SgokeDark สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เพราะการเที่ยวดอยหลวงเชียงดาว เป็นการเดินทางท่องเที่ยวแบบการเดินป่า ระหว่างทางนักท่องเที่ยวจะเดินผ่านป่าสน ทุ่งหญ้า และป่าดิบชื้นขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อขึ้นไปพบกับทัศนียภาพอันงดงามของทะเลหมอกรอบด้าน และต่อให้ภาพความงดงามเหล่านี้ต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหน หรือต้องนอนกลางป่าท่ามกลางสายลมหนาวที่เย็นยะเยือก ก็ไม่อาจทำให้ความปรารถนาที่มีอยู่ในตัวนักเดินทางคนนั้นสลายลงได้แม้แต่น้อย ชักอยากรู้แล้วใช่ไหมว่าอะไรที่ดึงดูดให้ดอยหลวงเชียงดาวเป็นจุดหมายปลายทางในฝัน เราลองมาดูกันเลยค่ะ
เรานัดกันวันที่ 2-5 ธันวาคม วันที่ 2 นอนบ้านระเบียงดาว วันที่ 3-5 ไปขึ้นดอย ผมก็เห็นว่าใกล้หยุดยาว น่าจะคึกคักดี เลยวางแผนไปที่อื่นก่อนค่อยวกมาเชียงดาว เริ่มจากไปแม่สอด, อุทยานแห่งชาติแม่เมย, ทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอ, น้ำตกแม่สุรินทร์, ปางอุ๋ง, บ้านรักไทย, ปาย, อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง แล้วก็มาบ้านระเบียงดาวกับดอยหลวงเชียงดาว แล้วกะไปพักฟื้นที่เชียงใหม่สักวันสองวันแล้วค่อยกลับ เอาล่ะครับได้เวลาเดินทางครับผม ^^
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
กระทู้ก่อนหน้าของผมครับ
กระทู้แรก : Backpack คนเดียวเที่ยวนครพิงค์เชียงใหม่แบบไม่มีแผนไม่มีกำหนดวันกลับ
กระทู้ที่สอง : Backpack คนเดียวลุยเดี่ยวเที่ยวทะเลตะวันออก 7 วัน 6 คืน (เกาะเสม็ด เขาแหลมหญ้า เกาะช้าง เกาะสีชัง)
กระทู้ที่สาม : Backpack หน้าฝนลุยเดี่ยวเที่ยวเมืองกาญจน์ & นครปฐม 10 วัน (ด้วยงบ 5000 บาท)
กระทู้ที่สี่ : เที่ยวลุยฝน กำแพงฯ-แม่สอด 6 วัน 1,800 บาท
กระทู้ที่ห้า : เที่ยวถ้ำ ทุ่งนา และป่าเขา ณ เนินมะปราง (แล้ววาร์ปไปทับเบิก)
กระทู้ที่หก : แบกสังขารคลานขึ้นภูกระดึง
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
อุปกรณ์บันทึกภาพความทรงจำ
กล้อง Fuji X-E1 + เลนส์ kit 18-55 f2.8-4 กับมือถือ Asus Zenfone 5 ครับ
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
(กระทู้นี้ผมพิมพ์ไว้ในเวิร์ดก่อนครับ แล้วเอามาลงทีเดียวเลย จะได้อ่านยาว ๆ กัน ^^)
นี่คือแผนที่เส้นทางการเดินทางคร่าว ๆ ของผมครับ
วันที่ 1 (27/11/58) บ้านผมอยู่อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ตอนแรกกะยิงยาวออกทางแม่สอดเลยไปนอนแม่เมย แต่ดันออกเดินทางเกือบบ่าย รถมีปัญหานิดหน่อย คืนแรกผมเลยต้องไปนอนแม่สอดก่อนครับ ไปนอนหอเพื่อน ตกเย็นก็ไปหาอะไรกินกัน เลยจัดหมูกระทะเลยแล้วกัน หิวจัด ตอนผมไปมีงานเทศกาลอาหารชนเผ่าพอดี เลยไปเดินเที่ยวกันซะหน่อย ไปกันนี่เค้าแทบจะเก็บของกันหมดอยู่แล้ว มัวกินหมูกระทะเพลิน แต่ยังมีดนตรีอยู่ เป็นคุณตำรวจเล่นเองร้องเองเลยครับ เต็มยศ เอาเค้าไม่อยู่จริง ๆ
ค่าใช้จ่ายวันแรก
น้ำมัน (บ้าน) : 80 บาท
น้ำมัน (สำรอง 5 ลิตร) : 140 บาท
น้ำมัน (ตาก) : 80 บาท
น้ำ : 15 บาท
หมูกระทะ : 190 บาท
รวม = 505 บาท
วันที่สอง (28/11/58) ผมออกจากแม่สอดประมาณ 11 โมง ใช้ทางเส้น 105 กะไปนอนอุทยานแห่งชาติแม่เมย ทางดีครับเส้นนี้ ขับเพลิน ๆ แคบบ้างกว้างบ้าง ผมขับใช้ความเร็ว 60-80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางก็ไปเจอป้ายบอกทางไปถ้ำแม่อุสุ แวะซะหน่อยละกัน ไม่ได้มากันบ่อย ๆ เสียค่าเข้า 40 บาท ต้องมีไกด์นำด้วย เพราะมันมืด ทางวกวนอีก ไกด์ก็น้อง ๆ แถวนั้นแหละครับ ค่าไกด์น้องบอกแล้วแต่จะให้
มืดจริง ๆ มองไม่เห็นอะไรเลย ต้องเดินลุยน้ำเข้าไปด้วย ระหว่างทางน้องเค้าก็จะอธิบายไปด้วยครับ แต่ผมฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ที่นี่แบ่งเป็นสามห้อง อันนี้ห้องแรกครับ
ห้องสอง ผมก็ยังฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดีอะ น้องเค้าพูดเบาซะเหลือเกิน T T
ห้องที่สามครับ ขากลับต้องมุดอุโมงค์ไปอีก
ผ่านอุโมงค์มาต้องเดินลุยน้ำต่อครับ อ้อมเขาไปอีกกว่าจะถึงอย่างนาน นึกว่าโดนหลอกซะแล้ว ผมถามตลอดทาง "ใกล้ถึงยังอะน้อง" น้องตอบ "อีกนิดเดียวครับ" นิดเดียวมานานละ แต่ก็กลับมาจนได้ พร้อมออกเดินทางสู่เป้าหมายต่อไป ตอนนี้นี่เปียกมาถึงกางเกงในละครับ ลุยน้ำมาซะขนาดนั้น
เป้าหมายต่อไป "อุทยานแห่งชาติแม่เมย" ทางขึ้นไปตัวอุทยานมันร้ายกาจมาก 11 กิโลเมตร จากปากทางเข้าจะถึงที่ทำการอุทยานอันนี้ยังพอรับได้ อีก 12 กิโลเมตร หลังจากนี้เนี่ยแหละ ถ้าใครเคยไปจะนึกภาพออกแล้วจะพูดว่า "นี่มันทางรึเนี่ยยยย !!!" สมรภูมิมอดไหม้ชัด ๆ มันเป็นถนนที่น่าจะเคยเป็นทางลาดยางมาก่อน ถนนมีแต่หลุมใหญ่ แต่ละหลุมห่างกันนิดเดียว ไม่ก็เป็นลูกรังที่กำลังปรับปรุงทาง บางช่วงเป็นทางดิน มีราดน้ำดักด้วย ขับไปได้สัก 5 กิโลเมตร มันจะถึงม่อนครูบาใสก่อนครับ อีกนิดเดียวผมกะจะไปพักรถละ ปรากฏว่าไปตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัวซะก่อน ฝุ่นตลบเลยสิครับ รถล้มทับเท้าขวาไปเต็ม ๆ ผมเช็กก่อนเลยหักไหม อ่อ !! ไม่หัก นอนนิ่ง ๆ ทำใจแป๊บหนึ่ง แล้วลุกมาเก็บของมัดของให้เรียบร้อยแล้วกัดฟันไปต่อ โคตรแสบเลยครับ คนผ่านไปผ่านมาเค้าก็ถาม "เป็นไรมากไหมครับ" ผมก็ตอบไป "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวมัดของเสร็จแล้วก็ไปต่อละครับ" จริง ๆ อะโคตรจะเจ็บเลย เลือดไหลเต็มขาเลย ผมไม่ได้ดูนะ แต่รู้สึกว่ามันเย็น ๆ เหมือนมีอะไรเหลว ๆ ไหลแถวขา ขรึมไว้ก่อน ขืนไปดูเดี๋ยวเป็นลม ผมกลัวเลือด แต่เห็นผ่านกางเกงละครับ มีอะไรแดง ๆ ซึมออกมาเยอะเหมือนกัน
พอถึงจุดชมวิวกิ่วลม ผมก็เอาของไปวางไว้แล้วไปล้างแผลในห้องน้ำก่อน ดีที่เอาอุปกรณ์ทำแผลมาด้วย อย่างแสบอย่างเจ็บอะ เดินกะเผลก ๆ ไปกางเต็นท์ แล้วนอนพักเดี๋ยวตอนเย็นต้องลงไปดูพระอาทิตย์ตกอีก ไปแถว ๆ ที่ผมล้มแหละครับที่ม่อนครูบาใส
สักสี่โมงครึ่งผมก็ขับรถลงไปม่อนครูบาใส ไปช้า ๆ เลยคราวนี้ กลัวล้มอีก ที่นี่วัวกับควายเยอะจริง ๆ ครับ ลงเร็ว ๆ มีไปชนมันบ้างอะ ยืนนิ่งกลางถนนเฉยเลย ผมก็กลัวมันจะมาขวิดซ้ำอีก คราวนี้ไม่รอดแน่นอน
ตอนผมกางเต็นท์ข้าง ๆ ผมเป็นกรุ๊ปทัวร์กลุ่มใหญ่เลยครับ พี่เค้ามาบริจาคของที่แม่สอดแล้วเลยมาเที่ยวที่แม่เมยต่อ ตอนเย็นก็มาดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน
ดูพระอาทิตย์ตกไป ถ่ายรูปไป พูดคุยกับพี่ ๆ เค้าไปด้วย รู้สึกถูกคอกัน คืนนี้พี่เค้าเลยชวนไปปาร์ตี้รอบกองไฟด้วยกัน
ลาก่อน...ม่อนครูบาใส
ขากลับผ่านน้ำตกแม่ระเมิงก่อนครับ ขึ้น-ลงรถทีอย่างลำบาก แผลมันเริ่มตึง เจ็บด้วย
กลับมาได้ก็มาทำแผลอีกรอบ บนนี้ไม่มีที่อาบน้ำนะครับ มีแต่ห้องน้ำ แต่ที่ทำการมีห้องน้ำอยู่ อีกอย่างครับผม ที่นี่ไม่มีของขาย ต้องเอามาเอง ผมกินก่อนขึ้นมาแล้ว กะว่าพรุ่งนี้ค่อยลงไปกินทีเดียวเลย
แล้วพี่เค้าก็มาชวนผมให้ไปนั่งด้วย นั่งคุยกันไปสักพัก จู่ ๆ มีแสงแถว ๆ ป่า พี่เค้าบอก "ไฟไหม้ป่าเปล่าวะ" พี่อีกคนบอกว่า "ถ้ามันจะแดงขนาดนั้นนะ มันแรงไปไหมเนี่ย" แต่ปรากฏว่าเป็นพระจันทร์ครับ ขึ้นมาอย่างกับพระอาทิตย์ขึ้น ผมเพิ่งเคยเจอ นั่งกินนั่งคุยกันไปสักพักพอเที่ยงคืนกว่า ๆ ก็แยกย้ายกันไปนอนครับ จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ครูบอกว่าตอนนอนร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แล้วก็พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าด้วย
ค่าใช้จ่ายวันที่สอง
ค่าน้ำมัน (แม่สอด) : 60 บาท
ค่าข้าว : 40 บาท
ค่าน้ำ 2 ขวด : 20 บาท
ค่าเข้าถ้ำแม่อุสุ : 40 บาท
ค่าไกด์ถ้ำแม่อุสุ : 50 บาท
ค่าเข้า+กางเต็นท์ (อุทยานแห่งชาติแม่เมย) : 50 บาท
รวม = 260 บาท
รวมสองวัน = 765 บาท
วันที่สาม (29/11/58) ผมตื่นมาตีห้าครึ่ง น้ำค้างไม่ค่อยแรง เต็นท์ไม่เปียกเท่าไร อากาศเย็น ๆ สักหกโมงครึ่งพระอาทิตย์ก็เริ่มมาละครับ ม่อนกิ่วลมเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่ขึ้นชื่อของแม่เมย ถ้าพระอาทิตย์ตกต้องที่ม่อนครูบาใส ถัดจากม่อนครูบาใสมานิดเดียวก็เป็นม่อนพูนสุดา
สักแปดโมงผมก็เก็บของเสร็จแล้วออกเดินทางต่อครับ วันนี้จะไปนอนที่ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ ขาลงนี่ค่อย ๆ ลงเลย ตั้งแต่ล้มตอนขาขึ้นรู้สึกระแวง เห็นหลุมบนถนนแล้วรู้สึกขนลุก กลัวไปหมด ไหนจะวัวควายอีก นี่ก็มองซะจังเลย ระยะทาง 24 กิโลเมตร ผมใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง เกร็งไปหมด
ถนนจากแม่เมยไปแม่สะเรียงเป็นเส้นเลียบชายแดนครับ มีด่านตลอดเส้นทาง ไม่แนะนำให้ผ่านตอนกลางคืน ถนนช่วงแรกมันก็ดีนะ ขับไปแวะถ่ายรูปไป สบาย ๆ ชิล ๆ ได้สักพักหลุมเริ่มมาอีกละ คนยิ่งกลัวหลุมอยู่ บางช่วงก็ทำทาง ลูกรังทั้งนั้น ทางก็ชันพอได้อยู่ แต่ส่วนมากทางข้างหนึ่งเป็นเขาอีกข้างจะเป็นเหว ขับช้า ๆ เพลิน ๆ มีสติก็สบาย ๆ ถ้าขับเร็ว ๆ ขับประมาท ๆ หน่อยก็เตรียมตัวสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นได้เลยครับ ผมก็เกือบไปหลายทีเหมือนกัน
ระยะทางจากแม่เมยถึงแม่อูคอ 250 กิโลเมตร ตูดชาเลยผมอะ ใช้เวลาไป 9 ชั่วโมงกว่าจะถึง ทางตั้งแต่แม่สะเรียงขึ้นไปทางดีมากครับ ขับสบายวิวสวยตลอดทาง ไม่เหมือนทางจากแม่เมยมา ฝันร้ายชัด ๆ บางช่วงกำลังทำทาง บางช่วงก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ บางช่วงเป็นทางแคบ ๆ ผ่านหมู่บ้านบ้าง ผ่านป่าบ้าง ทางมีแต่หลุมพังแล้วพังอีก ผมนึกว่ามาผิดเส้น แต่พอมาถึงเป้าหมายก็สบายใจละครับ เหลืองอร่ามเชียว ผมมาถึงก็ใกล้เย็นละ รออีกแป๊บเดียวพระอาทิตย์ก็จะตกแล้วครับ เลยหาจุดนั่งดูพระอาทิตย์ตกเลยละกัน อีกอย่างเดินมากแผลจะเปิด เลือดยังไหลอยู่เลยตอนนี้
ตกละครับ พระอาทิตย์ ณ ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ
ฟินครับคืนนี้ นอนท่ามกลางดอกบัวตอง ดีนะผมไม่แพ้ดอกไม้ ข้าง ๆ ผมมีลุงมากางเต็นท์นอนกับภรรยาครับ บอกนอนใกล้ ๆ กันจะได้ไม่เหงา คืนนี้ผมไม่ได้อาบน้ำอีกละ ผมถามห้องน้ำกับลุง ลุงแกบอกว่า "อยู่ตรงกิ่วโน้นน่ะ" กิ่วคืออะไร ??? สรุปผมหาไม่เจอครับ ไม่องไม่อาบมันละ ไปหาอะไรกินแล้วนอนเลยดีกว่า พรุ่งนี้ไปอาบที่ปางอุ๋งแทนละกัน เลยจุดชมวิวไปมีร้านขายข้าวขายขนมอยู่ครับ ราคาก็ไม่แพงมาก ผมไปซื้อมาม่ากับลูกชิ้นมากิน กินแบบเย็น ๆ แหละอร่อยไปอีกแบบดี
ค่าใช้จ่ายวันที่สาม
ค่าน้ำมัน (แม่สะเรียง) : 80 บาท
ค่าน้ำมัน (สำรอง) : 100 บาท
ค่าข้าว : 50 บาท (เช้า-กลางวันรวมเลยครับ กินตอน 11 โมง)
ค่าน้ำ 2 ขวด : 20 บาท
ค่าน้ำมัน (ขุนยวม) : 60 บาท
ค่ามาม่า+ลูกชิ้น : 60 บาท
รวม = 370 บาท
รวมสามวัน = 1,135 บาท
วันที่สี่ (30/11/58) ตื่นมาเกือบหกโมง ผมออกไปหามาม่ากินก่อนเลย มันหนาวววววววว
แล้วก็ไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้น จริง ๆ มีจุดชมวิว "ภูชี้เพ้อ" ทางขึ้นจะถึงก่อนทุ่งดอกบัวตองครับ ถ้าขามาจะมีทางเล็ก ๆ ทางขวามือขึ้นไปอยู่ เป็นทางดินค่อนข้างชัน ไกลนิดหนึ่ง แล้วก็ต้องเดินทางชันต่อไปอีก 1 กิโลเมตร แต่ผมไม่ได้ไป รถผมขึ้นไม่น่าไหว เมื่อคืนน้ำค้างแรงดินมันเปียกล้มอีกรอบไม่ไหวแน่ เก็บแรงพักร่างกายไว้ขึ้นดอยหลวงเชียงดาวดีกว่า (ก็อ้างไปเรื่อย ขี้เกียจมากกว่า)
ทุ่งดอกบัวตองยามเช้าครับ พอแปดโมงผมก็ขับรถไปอุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ครับ
สักเก้าโมงกว่าผมก็กลับไปเก็บของแล้วออกเดินทางตอน 10 โมง ถนนไปแม่ฮ่องสอนเรียบเนียบมากกกกกก แค่มันชัน ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ โค้งบ้าง เพลินดีครับเวลาขับไป ผมดูในรีวิวเค้าบอกถ้าจะไปปางอุ๋งให้ไปติดต่อที่ศูนย์ศิลปาชีพจังหวัดแม่ฮ่องสอนก่อน ผมก็ลองโทรไปไม่ติดสักรอบ ไหน ๆ ก็ผ่านเดี๋ยวค่อยแวะละกัน พอไปถึงเค้าบอกให้ไปติดต่อที่โน่นได้เลย ตอนจะไปปางอุ๋งผมใช้กูเกิลแม็พ มันบอกว่า 27 กิโลเมตร จากทางหลักเส้น 1095 ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ตอนแรกก็งง นานจังวะ พอขับขึ้นไปเข้าใจเลยครับ แทบจะหงายหลัง จะชันไปไหน ทางแคบอีก ไม่มีที่ราบให้ตูพักเลยยยยยย...
ถึงละครับ "ปางอุ๋ง" ผมหาที่กางเต็นท์แล้วนั่งกินลมชมวิวไปเรื่อย ๆ เล่นกางซะข้างล่างติดน้ำเลยผม ลืมนึกถึงขาขึ้น ขาก็เดี้ยงอีก สบาย !!! ถือว่าฝึกฝนตัวเอง
อันนี้เป็นอุปกรณ์ให้แสงสว่างกับดับกลิ่นในเต็นท์ผมครับ จากประสบการณ์ที่ผ่าน ๆ มา เต็นท์เหม็นมากกกกกก เหม็นเท้าผมเนี่ยแหละ แต่อันนี้ก็หอมเกินนนนน หอมจนแสบจมูก
มีบริการพายเรือแพด้วยครับ เที่ยวละ 150 บาท
มาแล้ววววว ดาราของที่นี่ ผมเห็นคนชอบเถียงกัน "ห่านหรือเป็ดวะ" มันหงส์ไม่ใช่รึ เล่นซะผมไม่แน่ใจตามเลยครับ
พอมืด ๆ หน่อยผมก็ไปอาบน้ำ ไม่ได้อาบมาสองวัน คันจะตายแล้วววววว ห้องน้ำอยู่เลยจุดกางเต็นท์กับร้านขายขนมไปครับ แถว ๆ ลานจอดรถ ผมทำทุกอย่างสองรอบหมดเลย สระผม อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน รอบแรกแทบไม่มีฟอง น้ำก็ไหลเอื่อย ๆ ค่อย ๆ สระไป หลับสบายละครับคืนนี้ ชื่นใจได้อาบน้ำ ^^
ที่นี่ร้านค้าข้างในมีรับชาร์จแบตนะครับ มือถือเครื่องละ 20 บาท พาวเวอร์แบงค์กับแบตกล้อง 40 บาท
ค่าใช้จ่ายวันที่สี่
ค่ามาม่า : 20 บาท
ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติแม่สุรินทร์ : 50 บาท
ข้าวกลางวัน : 40 บาท
น้ำ 2 ขวด : 20 บาท
ค่าน้ำมัน (ขุนยวม) : 60 บาท
ค่าน้ำมัน (แม่ฮ่องสอน) : 40 บาท
ค่าเข้าปางอุ๋ง : 40 บาท
ข้าวเย็น : 40 บาท
รวม = 320 บาท
รวมสี่วัน = 1,455 บาท
วันที่ห้า (1/12/58) เช้ามา เฮ้ย !! มีไอน้ำเหนือน้ำอย่างที่เค้าบอกกันจริง ๆ
เช้า ๆ คนมาก็นั่งแพกันเยอะกว่าเมื่อวานอีก เที่ยวละ 150 บาท นั่งได้ 2 คน
อันนี่เป็นมุมแถวทางเดินศึกษาธรรมชาติเลยจุดกางเต็นท์ไปอีก ผมก็หาตั้งนาน ห่างไปสักกิโลหนึ่งได้มั้งครับ
เก็บของเสร็จผมก็ไปบ้านรักไทยต่อ เพื่อนมันบอกให้ลองไปดู วิวสวยจริง ๆ ครับ เหมือนเมืองจีนเลย ร้านชาเยอะมาก เป็นหมู่บ้านรอบทะเลสาบ ผมนึกว่าอยู่ในตงง้วน ได้กลิ่นไอจอมยุทธ์หนังจีนกำลังภายใน ผมชอบเลย เช้า ๆ กับเย็น ๆ น่าจะสวย รู้อย่างนี้มานอนนี่แล้วค่อยขึ้นไปเที่ยวปางอุ๋งก็ดี มีโรงแรม เกสต์เฮ้าส์เยอะแยะ
ขับไปเรื่อย ๆ ผมเห็นป้ายทางไปหอประวัติศาสตร์บ้านรักไทย เลยลองไปดูซะหน่อย
สภาพทางครับ ผมนี่งงเลย หลงหรือเปล่าเนี่ย แทบไม่มีคน
พอไปถึง ปิดครับ น้ำตาจะไหล T T
ขับรถเล่นในหมู่บ้านสักแป๊บผมก็ตัดสินใจไปเป้าหมายต่อไปเลยละกัน "ข้าขอลาก่อน ท่านบ้านรักไทย สายน้ำไม่สิ้น ขุนเขาไม่ขาด เราคงได้พบกันใหม่ !!!"
ขาลงผมไปแวะดูน้ำตกผาเสื่อครับ ทางผ่านพอดี
หลังจากนั้นก็ไปถ้ำปลา เดินอย่างไกล นึกว่าจอดรถแล้วถึงเลย
นี่ไงครับถ้ำปลา เค้ามีป้ายบอกนะครับว่าเป็นปลาอะไร แต่ผมหาไม่เจอว่าปลามาทำอะไรกันตรงนี้ อยากรู้อันนี้มากกว่า
ทางระหว่างขับไปปาย ทางดีครับ มีทำบ้างนิดหน่อย ทางก็โค้ง ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ ชัน ๆ เป็นธรรมดา เริ่มชินละ ริมทางก็จะมีดอกบัวตองให้เห็นอยู่ประปราย
คืนนี้ผมนอนปายครับ นอนหนาวมาหลายคืนขอนอนอุ่น ๆ หน่อย ผมไปนอนห้องรวมคืนละ 200 บาท มี 8 เตียง ฝรั่งล้วน ๆ มีจีนด้วย ผมคนไทยคนเดียว
บรรยากาศแถวที่พักผม ใกล้ ๆ ถนนคนเดินเลย วันนั้นปายมีแต่ชาวต่างชาติ ถ้าไม่เห็นบ้านคนไทยผมนึกว่าอยู่เมืองนอก สงสัยเค้ารออาทิตย์หยุดยาวกัน
แล้วผมก็ไปเดินถนนคนเดินหาอะไรมากินแล้วก็นอน พรุ่งนี้จะต้องไปห้วยน้ำดังแต่เช้า
ค่าใช้จ่ายวันที่ห้า
ข้าวเช้า : 50 บาท
น้ำ 2 ขวด : 20 บาท
ค่าเข้าถ้ำปลา : 10 บาท
ไส้อั่ว (อาหารกลางวัน) : 20 บาท
ค่าห้อง : 200 บาท
ข้าว+ไก่ทอด : 80 บาท
น้ำ : 20 บาท
รวม = 400 บาท
รวมห้าวัน = 1,855 บาท
วันที่หก (2/1/58) ผมตื่นมาตีสี่ครึ่ง ล้างหน้าแปรงฟันเตรียมตัวไปอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง สามสิบกว่ากิโลเมตร อย่างหนาวอะ มืดก็มืด ป้ายที่บอกว่าถึงห้วยน้ำดังนี่ก็มีแค่ก่อนถึงทางเข้าป้ายเดียวเลย ผมขับมาอย่างนาน นึกว่าเลยมาแล้วหรือเปล่า แต่พอมาถึงก็ชื่นใจครับ ก็คุ้มค่าครับผม ^^ ทะเลหมอกมาแต่ไกลเชียว
เขานี้ป้ายบอกว่าชื่อดอยเชียงดาวไม่รู้ใช่ดอยหลวงเชียงดาวไหม ถ้าใช่วันมะรืนเจอกัน
ตอนขากลับขับไปปายหมอกลงครับ ขาวโพลนเลย
11 โมงกว่า ๆ ผมก็เช็กเอาท์แล้วขับไปอำเภอเชียงดาว ทางเส้นปาย-แม่มาลัย ตั้งแต่ห้วยน้ำดังไปเค้ากำลังทำทางครับ ยาวเลย นานเลยกว่าผมจะถึงข้างล่าง กลัวล้มอีก แต่ก็สบายหายห่วงลงมาได้อย่างปลอดภัย เสร็จแล้วก็บึ่งรถไปอำเภอเชียงดาวต่อเลย เป้าหมายต่อไปคือบ้านระเบียงดาวโฮมสเตย์ ทางชันมาก ยิ่งกว่าปางอุ๋งอีก แคบด้วย 12 กิโลเมตร ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง แต่ระหว่างทางร่มรื่นมาก เย็นจนหนาว ขับไปสั่นไป
ผมมาถึงคนแรกเลยครับ รอสมาชิกมารวมตัวกัน เรานัดกันที่นี่ ถึงห้องผมซักกางเกงก่อนเลย เอามาไม่กี่ตัว แดดกำลังออกน่าจะแห้งไว
รอได้แป๊บเดียวเพื่อนกับรุ่นน้องผมก็มากันครับ รูปไม่ได้ถ่ายเลย มัวคุยกัน แล้วก็ลงไปซื้อเสบียงเพื่อเอาไปกินบนดอย ต้องลงไปซื้อในตัวเมืองกันอีก จะโทรบอกกันที่นี่สัญญาณก็ไม่ค่อยมี ขาลงรถผมเบรกไหม้ ดีนะไปไหม้ตอนถึงทางราบพอดี ไปซื้อเสบียงกลับมาก็มืดแล้วครับ ขากลับอย่างหนาว กลางวันยังหนาวเลยกลางคืนจะเหลือรึ บ้านแถวนี้คงแทบไม่ต้องจ่ายค่าไฟกันเลยมั้งครับ เค้าบอกเย็นตลอดปี พอมาถึงที่พักโคตรหิวเลยตอนนี้ ดีนะเค้ามีข้าวให้ด้วย 2 ชุดใหญ่ ๆ ผมไม่ได้ถ่ายรูปห้องกับอาหารไว้เลยครับ หิวตาลาย อาหารอร่อยมาก น้ำพริกของเค้าอย่างเด็ด แต่เผ็ดมาก ถือว่ามาละงานนี้ หิวจัดรีบกินซัดจนจุกเลย พอกินเสร็จนั่งคุยให้อาหารย่อยสักหน่อยก็ออกไปถ่ายดาวกันครับ แล้วก็กลับมานอนเอาแรงไว้เดินขึ้นดอยพรุ่งนี้
ค่าใช้จ่ายวันที่หก
ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง : 45 บาท
ข้าวเช้า : 60 บาท
ค่าน้ำมัน (สำรอง) : 130 บาท
น้ำ 2 ขวด : 20 บาท
ข้าวกลางวัน : 50 บาท
ที่พักบ้านระเบียงดาว : 500 บาท
รวม = 810 บาท
รวมหกวัน = 2,665 บาท
วันที่เจ็ด (3/12/58) เราตื่นมาตีห้าจะมาถ่ายแสงเช้ากัน พระอาทิตย์ดันขึ้นตรงเขาพอดี เลยรอกินข้าวเช้าเลยละกัน เค้ามีข้าวต้มกับกาแฟโอวัลตินกับน้ำชาให้ด้วยครับ
เรามีสมาชิกทั้งหมด 6 ชีวิตด้วยกัน ชาย 3 หญิง 3 ผมกับเพื่อนผู้ชายอีกคนเอามอเตอร์ไซค์มา แต่อีก 4 คนนั่งรถมา เลยต้องโบกรถลงไปข้างล่างก่อนแล้วผมค่อยขี่รถลงไป
พอไปถึงที่ทำการก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ น้องผมคนที่เป็นคนชวนมันจัดการเรียบร้อยครับ หาลูกหาบไว้แล้วด้วย ค่าลูกหาบคนละ 450 บาท/คน/วัน แบกได้ 20 กิโลกรัม เราขอมาให้ช่วยแบกพวกน้ำกับอาหารครับ ส่วนของใช้ส่วนตัวแบกกันไปเองคนละ 10-15 กิโลกรัมครับ
เราเลือกไปทางเด่นหญ้าขัดกัน ระยะทางไกลกว่าแต่เดินสบาย แต่มันจะไม่สบายตอนนั่งรถไปเนี่ยแหละ มันเป็นทางขึ้นเขาสูงอย่างชัน โค้งไป โค้งมา เป็นทางแคบ ๆ ดินลูกรังด้วย คนขับก็ขับอย่างเร็ว ผมกับน้องผมเมารถเละเทะเลย กว่าจะถึงแทบหมดแรง อ่านรีวิวมาไม่เคยมีใครบอกเลยว่าทางมันโหดแท้เหลา รู้แต่ว่ามันต้องนั่งรถไปไกล ทรมานทรกรรมกว่าจะถึง นึกว่าจะไม่รอดแล้วหมดแรงตั้งแต่ต้นเกม
ค่ารถจากที่ทำการไปเด่นหญ้าขัดไป-กลับ 1,800 บาท ตอนแรกผมก็ว่าแพง แต่ถ้าได้ไปเห็นสภาพทาง ก็ต้องยอมเค้าครับ มันไม่ใช่ทางที่คนทั่วไปจะขับรถไปกันหรอก อีกทางคือ "ปางวัว" อยู่แถว ๆ ทางขึ้นไปบ้านระเบียงดาว ระยะทาง 6.5 กิโลเมตร แต่ชันโคตร ๆ
มาถึงแล้วครับ "เด่นหญ้าขัด" มาถึงก็กินข้าวกลางวันกันก่อน ผมกับน้องไปอ้วกก่อนเลย แต่ไม่มีอะไรออก เมื่อเช้ากินข้าวต้มมา มันย่อยไปหมดแล้ว กินข้าวก็กินไม่ลง คลื่นไส้ สภาพร่างกายไม่ 100% จะรอดไหมฟะ !!!
พอเที่ยงก็เริ่มออกเดินทางกัน เด่นหญ้าขัด-อ่างสลุง 8.5 กิโลเมตร
นี่คือคณะเดินทางของธอริน โอเคนชิลด์ มุ่งหน้าสู่ภูเขาโลนลี่ สังหารมังกรสม็อก เพื่อทวงคืนบ้านเกิดเอาเอเรบอร์กลับคืนมา !!! เดี๋ยว ๆ มันไม่ใช่ละครับ แรก ๆ ก็เดินชิล ๆ เดินไปถ่ายรูปไป พอเหงื่อเริ่มออกอาการเมารถคลื่นไส้ก็ค่อย ๆ หายไป สบายยยยยย ลุยครับลุย !!! ทางทางนี้มันทำให้เราตายใจครับ เดินไปเรื่อย ๆ ทางเป็นทางแคบ ๆ เขาข้างหนึ่งเหวข้างหนึ่ง
เดินไปสักพักเริ่มไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปครับ เก็บกล้องเก็บเสื้อแขนยาว เหนื่อย ร้อน เดินลุยยาวไปเรื่อย ๆ ใครชวนคุยนี่แทบไม่ได้คุยอะ หายใจไม่ทัน และแล้วเราก็มาถึงทางแยกที่เป็นจุดรวมของทางเส้นเด่นหญ้าขัดกับปางวัว จากนี้ไปมีทางเดียวแล้วครับ
เดินไปเรื่อย ๆ มีแต่หญ้ากับท้องฟ้า ทางก็โคตรจะชัน มันจะชันไปไหนวะเนี่ย เดินขึ้นแล้วก็ลง ขึ้นแล้วก็ลง อย่างงี้เมื่อไรมันจะถึง แต่วิวระหว่างทางสวยมาก แวะจอดถ่ายรูปบ่อยอยู่ครับ ถือเป็นการพักด้วย มันจะมีทางชั้นยาวก่อนถึงทางค่อนข้างราบยาว อันนี้แทบขาดใจ เดินไปตั้งนานอย่างเหนื่อย เงยหน้าขึ้นไป โน่นนนน เห็นคนยังเดินขึ้นอยู่ลิบ ๆ นี่ยังไม่ถึงอีกรึเนี่ย !!!
ระหว่างทางมีดอกไม้แปลก ๆ เยอะแยะเลยครับ ดอกนกแก้ว ดอกดงหิน (น่าจะใช่นะ ได้ยินมาแว่ว ๆ) ผมก็ถ่ายบ้างไม่ถ่ายบ้าง เหนื่อยครับ ไอ้น้องผมมันก็ชอบชวนคุยจริง หายใจอย่างเดียวยังเหนื่อยเลย ถ้าไม่ติดว่าต้องใช้ออกซิเจนก็ขี้เกียจหายใจไปด้วยแล้ว
เดินมาถึงจุดจุดหนึ่งลูกหาบบอก "อีก 2 กิโลฯ จะถึงละพี่" เอาวะไปต่อ เดินไปได้สักชั่วโมงผมก็ถามเค้าอีกว่าอีกไกลไหม เค้าบอกอีก 2 กิโลฯ ทำไมมันไม่ลดเลยวะ ผมนี่ตึ้บเลย แต่ในที่สุดก็ถึงจนได้ครับ จุดกางเต็นท์ "อ่างสลุง" นึกจะถึงก็ถึงเฉยเลย ใช้เวลาเกือบ ๆ 5 ชั่วโมง
ฟ้าอย่างสวยเลยครับ ตอนไปถึงแสงแดดสีทอง ๆ สาดยอดดอย แต่มันต้องเดินขึ้นไปอีกใช้เวลาประมาณ 40 นาที ตามที่ลูกหาบบอกนะครับ แต่ผมว่าผมใช้มากกว่านั้นนนนนน หมดแรงกันแล้ว ขอกินข้าวก่อนละกันยอดดอยไว้พรุ่งนี้ วันนี้พักฟื้นกันก่อน รูปล่างซ้ายเป็นช้อนครับ ลืมเอามากันเลยต้องอะแดปกันเอง
ประมาณเกือบ ๆ ทุ่ม พออิ่มพละกำลังเริ่มกลับมา เราตัดสินใจไปขึ้นยอดดอยกัน จะไปถ่ายดาว มืด ๆ เนี่ยแหละ ทางนี่มองไม่เห็นเลยครับ แต่รู้สึกได้เลยว่ามันไม่ใช่ทางเดินธรรมดา มีปีนด้วย หินทั้งนั้น ชั่วโมงกว่ากว่าจะถึง ปางตายเลยตอนขึ้น บอบช้ำยังไม่หายจากเมื่อกลางวัน แต่พอขึ้นไปก็หายเหนื่อย เห็นวิว 360 องศา ดาวชัดมาก สัญญาณโทรศัพท์กับ 3G จะมีที่สามแยกที่ผ่านมาแล้วก็ยอดดอยกับกิ่วลมครับ ใครอยากโทรติดต่อใครก็ต้องเดินขึ้นมาเป็นชั่วโมงแหละครับ เราอยู่กันจนสามทุ่มกว่าก็ลงไป กะไปนอนเอาแรงคิดว่าจะไปกิ่วลมดูพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้เช้า คืนนี้ไม่ได้อาบน้ำอีกแล้วครับ มันไม่มีที่ให้อาบ ผมใช้สูตรแป้งเย็นตรางูโปะเอาครับ "แป้งเย็นตรางูผมรู้คุณก็ใช้"
วันที่แปด (4/12/58) เมื่อวานตกลงว่าจะไปกิ่วลมดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า...ดันไม่ตื่น จริง ๆ ก็ตื่นนะครับแต่ไม่มีแรงลุก
แต่ก็ไปกันจนได้ ไปลองวัดเวลาดูว่าใช้เวลาเท่าไร พรุ่งนี้เช้าจะได้ขึ้นมาอีกรอบ
ขึ้นไปปุ๊บเจอหมอกครับ ขาวฟุ้งไปหมด แทบไม่เห็นอะไรเลย พี่คนที่อยู่บนนั้นบอกว่าเมื่อเช้าพระอาทิตย์โผล่มานิดหนึ่ง แป๊บเดียว แล้วก็หมอกมาเฉยเลย
แล้วเราก็ลงมากินข้าวกัน หิวโคตร บรรยากาศดีสุด ๆ กินข้าวท่ามกลางป่า ภูเขา และสายหมอก
และแล้วฝนก็ตก มันมาจากไหนฟะ หมอกเต็มไปหมดเลยครับ วันนั้นทั้งวันพวกผมไม่ได้ไปไหนเลย หลบฝนอยู่แต่ในเต็นท์ นอนเปื่อยทั้งวัน เซ็งเลย ไม่มีอะไรทำ แล้วตอนเย็นจะได้ไปดูพระอาทิตย์ตกไหมเนี่ยยยยย
นี่เป็น 7-11 บนนี้ครับ มีอาหารการกินขายพร้อม น้ำอัดลมกระป๋อง กระป๋องละ 40 บาท 3 กระป๋อง 100 บาท ขนมห่อละ 35-40 บาท น้ำเปล่านี่เด็ดสุด ขวดใหญ่ขวดละ 100 บาท หืออออออออออออออออออออออออออออ !!!
ส้วมครับส้วม เป็นส้วมหลุม ใจไม่แข็งอย่ามองลงไปเชียว เดี๋ยวมันจะออกสองทาง
นิ่งเป็นหลับขยับเป็นกินครับ กินอีกแล้ว ไม่มีอะไรทำก็กินกันอีกละฮะ
กินอยู่ดี ๆ ฝนตก ต้องเข้ามากินกันในเต็นท์ อบอุ่นเชียว 6 คน ในเต็นท์เต็นท์เดียว
อันนี้ฟองน้ำล้างจานครับ เฉพาะกิจ มันอาจจะสะอาดว่าที่เคยใช้เลยนะเนี่ย
ตกทั้งวันทั้งคืน เปื่อยเลย
ตกดึกฝนมาใหญ่เลยครับ เปียกถึงในเต็นท์ ฟลายชีทเอาไม่อยู่แล้ว อุปกรณ์กันฝนเพิ่มก็ไม่ได้เอามา ใครจะไปนึก นี่มันธันวาคมแล้วอะ ฝนมาจากไหน ในรูปรุ่นน้องผมครับ ไอ้คนที่ตอนเดินขึ้นชอบชวนคุยอะครับ เหนื่อยจะตายห่า หายใจเฉย ๆ ก็เหนื่อยแล้ว
คืนนั้นไม่มีอะไรทำเลยครับ ได้แต่รอ ๆ นอนเปียกทั้งคืน นอนก็ไม่หลับ หนาวก็หนาว เปียกก็เปียก เป็นอย่างนี้ยันตีสี่ตีห้า
ค่าใช้จ่ายวันที่เจ็ดและแปด
รถ+ลูกหาบ : 525 บาท
ไก่ย่าง : 20 บาท
น้ำ+ขนม (บนดอย) : 85 บาท
ค่ากับข้าว : 640 บาท
รวม = 1,270 บาท
รวมแปดวัน = 3,935 บาท
วันที่เก้า (5/12/58) ตื่นมาตีสี่ครึ่ง ไม่ใช่ตื่นสิ ยังไม่ค่อยจะได้นอนเลย เวลานอนเยอะนะครับแต่มันหลับไม่สนิท ทั้งหนาว ทั้งเปียก วันนี้เราจะลงกันแล้วเลยตัดสินใจขึ้นยอดดอยดีกว่า ตอนแรกกะไปกิ่วลม เอาลุยกันเลยวัยรุ่น !!! ไปตั้งแต่ตีห้า คราวนี้ใช้เวลา 40 นาที คราวที่แล้วเป็นชั่วโมง จะรีบไปไหนกันฟะ !!! ขึ้นมาได้แทบตาย หลังจากพวกผมขึ้นมาก็มีคนขึ้นมาเยอะอยู่เหมือนกันครับ
แสงมีไม่เยอะเท่าไร แต่ก็พอมีสาดให้เห็นบ้าง แค่นี้ก็ชื่นใจละครับ นึกว่าจะไม่เห็นแสงเลย พูดแล้วน้ำตาจะไหล T T
ลาก่อนยอดดอยหลวงเชียงดาว อยากกลับมาอีกสุด ๆ อยากเห็นแสงสีทอง ณ ยอดดอยสักครั้ง
ผมเพิ่งมองเห็นทางขาลง เมื่อเช้ากับวันก่อนมันมืด ก็ขึ้นมาดุ่ย ๆ เลย ขาลงแทบจะวิ่งลง พอสว่างเห็นทางชัด ๆ ผมนี่แทบจะคลานลง ตูลงไปได้ไงวะเนี่ยยยยย คราวนี้ลงจะเป็นชั่วโมง
ถึงจุดกางเต็นท์ก็กินข้าวเช้าแล้วก็เก็บของเพื่อลงดอยครับ มีอะไรก็ใส่รวมมั่วไปหมด มาม่า ปลากระป๋อง กะเพรา ผัดฉ่า หลัง ๆ น้องมันเอาข้าวโพดกันโอวัลตินใส่ให้ผมกินด้วยอะ ด้วยความหิวผมก็ซัดจนหมดเลย นี่มันมาม่าภูเขาไฟชัด ๆ
และแล้วเราก็ออกเดินทางลงดอย ขาลงก็เหนื่อยใช่ย่อยนะครับ ฝนตกทางมันลื่น
ระหว่างทางที่ลงครับ ยังมีทะเลหมอกให้เห็นนิด ๆ
เมื่อวานฝนตก ซวยเลยคราวนี้ ทางลื่นซะไม่มี ลงทางปางวัวด้วย ผมเห็นลูกหาบเค้าวิ่งลง เมพขิง ๆ ผมนี่สไลด์ไปหนึ่งดอก มอมเลย
และแล้วก็มาถึงจนได้ เลอะเทอะเลยครับ ลงมาได้ก็ใจหายเหมือนกันนะ คิดถึงข้างบน ... แหมมมมมมมม
ลงมาได้นึกว่าจะปลอดภัยหายห่วง ที่ไหนได้รถคันเดิมที่มาส่งที่เด่นหญ้าขัดครับ นึกว่า โดมินิค โทเร็ทโต มาขับ โค้งลงเขาอยู่ข้างหน้าแท้ ๆ ยังไม่เบรกเลย กว่าจะเบรกใกล้ ๆ เลย รอดจากการลงดอยมาได้จะมาตกม้าตายตอนท้ายเนี่ยแหละ
พอมาถึงที่ทำการก็ไปเช็กขยะครับ นับจำนวนขวด ส่วนขยะอื่น ๆ เราก็ต้องเอาลงมาด้วยครับ และแล้วคณะเดินทางของเราก็ต้องแยกย้ายกันครับ ผมจองห้องไว้ที่เชียงใหม่ครับ เป็นห้องนอนรวม 2 คืน คืนละ 150 บาท ห้องแอร์ด้วย แถว ๆ ท่าแพ กะนอนพักคืนหนึ่ง ไปเที่ยวอีกวันหนึ่ง ที่ห้องมีแต่ฝรั่ง ผมคนไทยคนเดียวเลย นอนกัน 6 คน ฝรั่งนี่เค้าไม่ค่อยถือเรื่องแก้ผ้ากันเนาะครับ ผมนี่ตกใจเลย ทั้งชาย ทั้งหญิง เกิดมาไม่เคยเจอคนแปลกหน้าแก้ผ้าต่อหน้าต่อตาระยะเมตรสองเมตร ตะเตือนไตสุด ๆ
เย็นนั้นผมไปกินหมูกระทะกันครับ พี่ที่ไปขึ้นดอยหลวงเชียงดาวด้วยกันเค้ามานอนในเมืองสองคน มื้อนี้บำรุงครับ (อ้างไปเรื่อย แค่อยากกินเฉย ๆ แหละครับ ^^) ตอนแรกผมกะไปเดินถนนวัวลายต่อ แต่ดันกินเกินลิมิต จุกครับ ต้องกลับที่พักแล้วนอนเลย แทบอ้วกกกกกก
ค่าใช้จ่ายวันที่เก้า
ค่าที่พัก 2 คืน : 300 บาท
หมูกระทะ : 220 บาท
รวม = 520 บาท
รวมเก้าวัน = 4,455 บาท
วันที่สิบ (6/12/58) ตื่นเช้ามาผมก็ไปขี่รถเล่นรอบคูเมืองเพื่อดูเส้นทาง เพราะผมมาทีไรก็หลง คราวนี้ต้องเอาให้จำให้ได้ แต่ก็หลงเหมือนเดิม ไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้ หิวก็หิว ไปเจอร้านข้าวเจ เลยแวะกินซะหน่อย
ทั้งหมดนี่ 40 บาท นะครับ กับข้าว 2 อย่าง แคบหมูเจอีก 1 ถุง ถูกมาก ๆ เจ๊เจ้าของร้านก็คุยอย่างมันส์ คุยไปเรื่อยเปื่อย เจ๊แนะนำที่เที่ยวให้ผมบอกขับไปอีกนิดหนึ่งแถวสี่แยกจะมีตลาดของเก่า ลองไปดูสิ ไปส่องพระก็ได้ จัดไปสิครับ !!!
เด็ดเลยครับ ชอบ ๆ ตลาดแบบนี้ ผมไม่รู้นะว่าชื่อตลาดอะไร อยู่ตรงส่วนไหนยังไม่รู้เลย รู้แต่ว่าร้านเจ๊เมื่อกี้อยู่แถวซายูริคอมเพล็กซ์ (เห็นแว่บ ๆ) แต่ผมไม่ได้ไปนะ !!! ซายูริอะ ขี่ตรงจากร้านเจ๊อีกนิดเดียวก็ถึงตลาดนี้แล้วครับ
เดินดูของไปเรื่อย ๆ หิวอีกละ อย่างหอมเลยครับไก่ทอดเจ้านี้ ซัดไป 1 ชิ้น อร่อยเหาะ
ผมได้เทปมาสองตลับครับ ของ ศุ บุญเลี้ยง กับ เฉลียง อยากได้มานาน รถยนต์ที่บ้านผมยังใช้เทปอยู่เลยครับ
เสร็จแล้วผมก็กะไปกินไอศกรีมร้าน คุณโน้ส อุดม ไปไม่ถูกหรอกครับ เปิดกูเกิลแม็พเอา ปรากฏว่าคนโคตรเยอะเลย ช่วงหยุดยาววันพ่อพอดี ผมเลยเลี้ยวกลับ ขากลับไปเห็นร้านไก่ทอด-หมูทอดเลยแวะซะหน่อย ถูกมากกกกกกก อร่อยด้วย น้ำพริกก็อร่อย ทั้งหมด 40 บาทครับ
เสร็จแล้วผมก็ไปแถวห้วยแก้วกะไปเที่ยวสวนสัตว์ เดี๋ยวต้องไปส่งเพื่อนที่สนามบินพอดี มันให้ไปรับแถว มช. ผมขี่ไปเรื่อย ๆ เห็นร้านไอศกรีมของ อ.ส.ค. เลยเข้าไปซะหน่อย พลาดเมื่อกี้ไปมาลองอันนี้ละกัน ปรากฏว่าอร่อย กลิ่นนมหอมมาก ไอศกรีม+คุกกี้ 45 บาท สบายใจเลย กินเสร็จก็ไปส่งเพื่อนที่สนามบินแล้วกลับไปนอนที่ที่พัก เริ่มง่วงครับ หนังท้องตึงหนังตามันหย่อน
เย็น ๆ ก็ไปเดินถนนคนเดินท่าแพ คราวที่แล้วผมมาถนนวัวลาย นึกว่าที่เดียวกัน วันที่ผมไปมีจัดงานวันพ่อพอดี มีการแสดงต่าง ๆ เยอะแยะเลยครับ
และแล้วก็ได้เวลาไปพิชิตถนนคนเดินประตูท่าแพ
อย่างไกลอะ คนก็โคตรแออัด บางช่วงแทบไม่ขยับ เค้าน่าจะมีป้าย "ครั้งหนึ่งในชีวิต พิชิตถนนคนเดินเชียงใหม่" ผมเดินมาถึงจุดท้ายนี่ก็เหนื่อยละ ต้องเดินกลับไปอีก รถจอดไว้อย่างไกล ตอนแรกกะเดินมา ที่พักผมอยู่ใกล้ ๆ แต่ดันไปขี่รถเล่นซะก่อน
ขากลับเจอนักร้องวงไม้เมืองด้วย สุดยอดเลยครับ ชอบมากวงนี้ ยืนฟังเพลงเค้าอยู่พักหนึ่ง เสียงเพราะจริง ๆ
แล้วผมก็พิชิตถนนคนเดินเชียงใหม่ได้ซะที คนเยอะมากกกกกกกก
ระหว่างทางที่เดินกลับในถนนคนเดิน ผมไปเจอเพื่อนพอดี มันชวนผมไปเที่ยวต่อ เอาก็เอา กลัวอะไรวัยรุ่น !!! ไปเดินแถวนิมมานเหมินทร์ซอย 1 ก่อนเลย มีงานอาร์ตอะไรไม่รู้ แล้วก็ไปนั่งจิบเบียร์กันเบา ๆ ต่อครับ
ค่าใช้จ่ายวันที่สิบ
ข้าวเช้า : 40 บาท
ไก่ทอด : 20 บาท
เทป : 40 บาท
ข้าวเหนียว+ไก่ทอด : 40 บาท
ไอศกรีม+คุกกี้ : 45 บาท
น้ำมัน : 100 บาท
เบียร์ : 100 บาท
รวม = 385 บาท
รวมสิบวัน = 4,840 บาท
วันที่สิบเอ็ด (7/12/58) เมื่อคืนนอนหอเพื่อนครับ กลัวด่าน ผมเช็กเอาท์ 8 โมงกว่า ๆ แล้วขี่รถไปกินข้าวเจร้านเดิม อร่อยเลยต้องไปซ้ำครับ เจ้าของร้านมี 2 คน เป็นพี่น้องกัน คนที่คุยสนุก ๆ เป็นคนน้อง เจ๊แกบอกว่ากลับมาคราวหน้ามากินอีกนะ แล้วแกก็ให้เบอร์โทรไว้ เผื่อผมหลงทางอีก เสร็จแล้วผมก็ยิงยาวกลับมาบ้าน ฟ้าครึ้มฝนตกตลอดทาง แต่ก็กลับมาโดยสวัสดิภาพครับผม ^^
ค่าใช้จ่ายวันที่สิบเอ็ด
ข้าวเช้า : 40 บาท
ค่าน้ำมัน (ลำปาง) : 60 บาท
ข้าวกลางวัน : 45 บาท
น้ำ : 15 บาท
รวม = 160 บาท
รวมสิบเอ็ดวัน = 5,000 บาท
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
"โลกนี้ไม่ได้อยู่ในหนังสือและแผนที่ แต่มันอยู่ข้างนอกนั่น" แกนดัล์ฟ กล่าวไว้ (ยืมมาจากหนังครับ อิอิ) ถ้าสมัยนี้ก็คงต้องเป็น "โลกนี้ไม่ได้อยู่ในหนังสือและโซเชียลเน็ตเวิร์ก แต่มันอยู่ข้างนอกนั่น" ทุกครั้งที่ผมได้ออกเดินทาง ไม่ว่าจะในระยะเวลาสั้นหรือยาว ใกล้หรือไกล มันจะทำให้ผมได้มุมมองในการใช้ชีวิต มุมมองในการมองโลกนี้เปลี่ยนไป ขอแค่เรากล้าพอที่จะก้าวเท้าออกจากห้องไปยังสถานที่ใหม่ ๆ พบปะผู้คนใหม่ ๆ ทำในสิ่งที่ไม่เคยกล้าทำ จริง ๆ ไม่ต้องเป็นอะไรใหม่ ๆ ก็ได้ ขอแค่เราออกไปเจอโลกภายนอกแล้วกลับมา ชีวิตเราก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เชื่อผมสิครับ การผจญภัยมันเรียกร้องและกำลังรอเราอยู่ อย่างน้อยก็จะมีเรื่องราวไว้เล่าให้ลูกหลานฟัง 555 เว่อร์ไปไหมเนี่ยยยยยย จบแล้วครับการเดินทางในครั้งนี้ ขอบคุณครับ ^^
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ SgokeDark สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม