วันนี้จะชวนเพื่อน ๆ ไปเที่ยวสังขละบุรี อำเภอเล็ก ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี ที่มีมนตร์เสน่ห์ล้นหลาม สามารถทำให้ใคร ๆ ก็อยากเดินทางไปสัมผัสความงดงามสักครั้ง ผ่านบันทึกการเดินทางของ คุณสมาชิกหมายเลข 991935 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้แบกเป้ นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ ไปเยือนสังขละบุรีหน้าฝนคนเดียวชิล ๆ พร้อมกับแบกเอาความประทับใจในช่วง 3 วัน 2 คืน ที่ได้ไปเที่ยวสังขละบุรีกลับบ้านไปเต็มกระเป๋าเลยล่ะ ^^
"เฮ้ยบ้าเปล่า มีรถทำไมขับรถไป"
"ไปเที่ยวหน้าฝนนี่จะได้เที่ยวอะไรวะ"
"ไปคนเดียวจะสนุกเหรอวะ"
ทั้งหมดคือเสียงที่เกิดขึ้นก่อนการเดินทางครั้งนี้ เมื่อตัดสินใจบอกกับคนรอบ ๆ ตัวว่า "จะ Backpack ไปสังขละบุรี โดยไม่ขับรถไป" จริง ๆ ผมเป็นคนที่เดินทางบ่อยมาก แต่ไม่เคยขาดรถยนต์ส่วนตัวเลย และนี่ก็กลายเป็นครั้งแรกของผมกับการท่องเที่ยวโดยไม่มีรถส่วนตัว กับการเดินทางไปสังขละบุรีในฤดูฝน
สวัสดีทุกคนครับ ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาที่มีความฝันอยากไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ เหมือนกับหลาย ๆ คน ผมจึงเริ่มออกเดินทางในสถานที่ต่าง ๆ บางครั้งไปคนเดียวบ้าง บางครั้งไปหลายคนบ้าง แต่สำหรับทริปนี้เป็นทริปแรกครับที่ออกเดินทางคนเดียวโดยที่ไม่ได้ใช้รถยนต์ส่วนตัว จริง ๆ แล้วการมีรถยนต์ส่วนตัวทำให้ผมไปที่ไหนก็ได้ในประเทศไทยที่ถนนไปถึง แต่มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งเวลาขับรถไปคนเดียว คือมันเหงามาก ๆ ครับ สะดวกจริง สบายจริง แต่โคตรเหงา เลยมาลองศึกษาดูว่าพวกที่เขาเที่ยวคนเดียวเนี่ยเขาพัก เขาเที่ยวกันยังไง สิ่งที่ผมคิดว่าตอบโจทย์คือการเดินทางโดยรถสาธารณะและการพักโฮสเทล และก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังจริง ๆ ครับกับทริปแรก ผมพบเจอประสบการณ์และมิตรภาพดี ๆ มากมายระหว่างการเดินทางจนลืมไปเลยว่าผมมาเที่ยวคนเดียว ไปเริ่มกันเลยมั้ยครับ ตามผมมาเลยครับ ไปเที่ยวสังขละบุรีกันกับทริปนี้..."สังขละบุรีในเงาฝน"
* ออกตัวนิดหนึ่งครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรก ผิดพลาดอ่านยากยังไงช่วยบอกกันด้วยนะครับ ^_^
สำหรับทริปนี้มีเวลา 3 วัน 2 คืน ก่อนออกเดินทางกำหนดตารางการเดินทางคร่าว ๆ ไว้แล้ว แต่ ๆๆๆ........!!! โชคชะตาก็ทำให้สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามแผนครับ แต่ก็นั่นแหละคือรสชาติการเดินทางแบบ Backpacker โดยสรุปออกมาย่อ ๆ หน้าตาการเดินทางก็เลยออกมาประหลาดอย่างที่เห็นด้านล่าง แต่บอกได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางสนุกกว่าที่ผมคิดไว้มาก
Day 1 : 3 กรกฎาคม 2558 [ออกเดินทางจากสถานีศาลายาโดยรถไฟฟรีไปกาญจนบุรี] แต่รถไฟปิดซ่อมรางเลยไปสุดได้แค่บ้านโป่ง
09.45 น. : ขึ้นรถไฟฟรีไปลงสถานีนครปฐม
10.30 น. : ต่อรถตู้จากนครปฐมไปกาญจนบุรี
12.00 น. : ต่อรถบัสแดง กาญจนบุรี ---> สังขละบุรี
17.30 น. : ถึงสังขละบุรี เข้าพักที่ OH DEE HOSTEL
Day 2 : 4 กรกฎาคม 2558
06.00-19.00 น. เที่ยวสังขละบุรี+ข้ามไปฝั่งพม่าทั้งวัน [วันแรกยังไม่ตักบาตร]
Day 3 : 5 กรกฎาคม 2558
06.00 น. ตักบาตรที่สะพานมอญ
12.30 น. ติดรถเพื่อนใหม่กลับบ้าน
ส่วนรายละเอียดนั้นตามมาเลยครับในแต่ละวันเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะสุข เศร้า เหงา พลาดยังไง ไปดูกันครับ
วันแรกของการเริ่มเดินทาง
อ่านรีวิวหลาย ๆ รีวิวเกี่ยวกับการไปสังขละบุรีมาเยอะ ถ้าจะไปให้ชิค ๆ คูล ๆ ต้องรถไฟครับ วันเดินทางผมให้แฟนไปส่งที่สถานีรถไฟศาลายา เนื่องจากแฟนผมทำงานอยู่แถวนั้น เดินไปในสถานีอย่างมั่นใจพร้อมบอกกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋วว่า "ไปสถานีน้ำตกครับ" คำตอบที่ได้คือ "ช่วงนี้เราไม่มีรถไฟไปสถานีน้ำตกเนื่องจากกำลังปิดซ่อมรางอยู่ ไปได้ไกลสุดแค่บ้านโป่งแล้วไปต่อรถเอา" โอ้โห !!! ผิดแผนตั้งแต่เริ่มเดินทางเลย แต่ไม่เป็นไรครับปัญหามีไว้แก้ เราเตรียมตัวมาไม่ดีเอง เลยบอกเจ้าหน้าที่ขายตั๋วว่างั้นผมไปลงสถานีนครปฐมแทน สาเหตุที่ไปลงที่สถานีนครปฐมเพราะว่าหนึ่งคุ้นเคย และสองผมรู้ว่าที่นั่นมีรถที่จะไปกาญจนบุรีเยอะมากเลยจัดไป
ประมาณ 09.45 น. รถไฟก็มาครับ กำมือแน่น ๆ แล้วร้อง Yes !!!!! ในใจตื่นเต้นเหมือนเด็กไม่เคยขึ้นรถไฟ เอาจริง ๆ ก็ประมาณนั้นแหละ สำหรับรถไฟไทยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของผม ครั้งแรกนี่นานมาก (นานจนจำไม่ได้แล้ว) ขึ้นรถไฟกันดีกว่าถึงแม้ว่าจะสั้น ๆ แต่ก็ตรงตามจุดประสงค์ที่ว่างไว้ คือยังไงก็ต้องได้นั่งรถไฟ
นั่งซึมซับบรรยากาศแป๊บเดียวก็เอา ฮ่า ๆ
มาถึงสถานีนครปฐม นั่งพี่วินจากสถานีรถไฟไปหน้ามหาวิทยาลัยศิลปากร หลังจากนั้นทำการต่อรถตู้จากหน้ามหาวิทยาลัยศิลปากรไปที่กาญจนบุรี ราคาจะอยู่ที่ 70 บาทครับ รถจอดที่ บขส. กาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 1-1.30 ชั่วโมงครับ มาถึงจุดสำคัญเมื่อมาถึง บขส. กาญจนบุรี ถ้าคุณมาเร็วคุณจะมี 3 ตัวเลือกในการเดินทาง
1. รถแดงแอร์
2. รถแดงพัดลม
3. รถตู้
แต่ถ้าคุณมาหลังเที่ยงคล้อยไปบ่าย คุณจะเหลือแต่รถตู้ที่หมดคันสุดท้ายประมาณ 5 โมงเย็นครับ ถ้าหาที่ขึ้นไม่เจอสอบถามจากคนแถวนั้นเลยครับ เดี๋ยวเค้าชี้บอกทางเอง สิ่งสำคัญในการเดินทางแบบ Backpack คือต้องใช้ปากเป็นเครื่องมือในการช่วยเดินทางครับ จากหลาย ๆ รีวิวบอกว่าถ้าอยากจะชิค ๆ คูล ๆ ต้องรถประจำทาง แต่สำหรับผมผู้ลองนั่งรถประจำทางแล้วขอบอกว่ารถตู้น่าจะดีกว่าครับ 3-3 ชั่วโมงครึ่งก็ถึง ถ้ารถแดง 5-6 ชั่วโมง นั่งกันเมื่อยตูดเลยทีเดียว แต่ถ้าใครชอบชิลก็จัดไปครับ สบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ ส่วนผมที่ขึ้นรถแดงเอาจริง ๆ ก็เพราะอยากลองของครับจัดไป "รถแดง !!!"
รถออกจาก บขส.กาญจนบุรี เที่ยงนิด ๆ ครับ ฉิ่งฉับทัวร์มาเรื่อย ๆ รถมาจอดที่ทองผาภูมิประมาณบ่าย 2 ครึ่ง และรถจะจอดตรงนั้นอีก 1 ชั่วโมง ต้องรอเด็กนักเรียนเลิกเรียน เพราะคันนี้เป็นรถเมล์คันสุดท้ายของวันแล้วครับ ระหว่างนั้นผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าแล้วจะถึงมืดมั้ยเนี่ย ที่พักก็ไม่ได้จอง เลยหยิบข้อมูลที่พักที่ทำไว้ขึ้นมาดู ทำข้อมูลไว้ 10 ที่ หลังจากดูเวลาและสิ่งต่าง ๆ แล้วก็เลยตัดสินใจว่าจะพักที่พักที่ใกล้ท่ารถ สะดวกหาของกิน [แอบรู้มาว่าถ้าพักลึกหาของกินลำบาก] และที่สำคัญต้องเป็นที่พักที่พอจะหาเพื่อนคุยและคนปรึกษาได้เพราะไปคนเดียว ก็มาสะดุดตาที่ "Oh dee hostel" เห็นครั้งแรกก็เฮ้ย !! สังขละมี Hostel ด้วย ลองโทรไปสอบถามดูปรากฏว่าเตียงว่าง แถมตอนนี้มีโปรฯ 1 คืน ฟรี 1 คืน เลยจัดไปครับ
15.40น. เด็กนักเรียนเลิกเรียนเราก็พร้อมเดินทางกันต่อ เดินทางกันมาเรื่อย ๆ ตอนนี้ในรถเริ่มเหลือคนน้อยลง คนที่เหลือก็เริ่มเป็นนักท่องเที่ยว เราเลยมีโอกาสพูดคุยกัน ปรากฏว่ากลุ่มน้อง ๆ ที่นั่งคุยด้วยมากัน 4 คน มี 2 คน เป็นรุ่นน้องผมเองครับ แต่รุ่นน้องไกลมาก ผมรหัส 51 น้อง 56 ห่างกัน 5 ปีครับ ฮ่า ๆ แต่อายุก็ไม่ใช่อุปสรรคผมยังคงตีเนียนแอ๊บแบ๊วต่อไป ระหว่างทางก็ชมวิวไปเรื่อยครับ คุณลุงคนขับชิลมาก ตรงไหนสวยลุงจอดรถให้ถ่ายรูปตลอด ฮ่า ๆ วิวระหว่างทางจัดว่าเด็ดครับ ใครหลับบนรถถือว่าพลาด !!!
รถก็มาถึงสังขละบุรีนั่งคุยนั่งเล่นกันสักพัก ตอนเวลา 17.40 น. โดยประมาณ ลงจากรถเสร็จ ร่ำลาน้อง ๆ ก่อนเผื่อจะไม่ได้เจอกันอีก แล้วผมก็เดินมาที่พักที่จองไว้ อย่างที่บอกไว้ด้านบนผมจองที่พักไว้ที่ Oh dee hostel ครับ เป็น Hostel แห่งเดียวในสังขละบุรี ที่พักอยู่บริเวณไปรษณีย์สังขละบุรีครับ ทำเลดี ใกล้บริเวณขนส่ง และใกล้ของกิน เจ้าของใจดีและเป็นกันเองมาก ที่โฮสเทลมีทั้งแบบห้อง Dorm และห้องเดี่ยว บรรยากาศการเข้าพักก็ชิล ๆ ครับ เหมาะสำหรับคนที่ชอบเที่ยวหนัก ๆ พักหลับสบาย ที่นอนหมอนนุ่มกำลังดีนอนสบายมาก ๆ ครับ ก่อนไปลองโทรไปสอบถามโปรโมชั่นดูก่อนได้ครับ มีโปรโมชั่นเด็ด ๆ ตลอดครับ
หลังจากเช็กอินเสร็จสอบถามพี่ ๆ ที่โฮสเทลว่าวันนี้ไปไหนก่อนได้ เพราะ 6 โมงเย็นแล้ว พี่ที่โฮสเทลแนะนำว่าไป "สะพานมอญ" เลย สวยกำลังดีแดดไม่ร้อน เอาจักรยานไปได้เลย ปั่นไปไม่ไกลครับ 5-7 นาที ก็ถึง ผมรีบเตรียมกล้องคร่อมจักรยานแล้วออกปั่นเลยปั่นไปแป๊บเดียว แล้วก็ยืนถ่ายรูปอยู่ตรงนั้นจนถึง 19.00 น. คือมันเพลินมาก บรรยากาศชิล ๆ เพราะไม่ใช่เทศกาลท่องเที่ยว แสงท้องฟ้าที่เป็นฟ้าหลังฝน ทุกอย่างลงตัว ติดอย่างเดียว ตอนนี้ยังไม่ตอบโจทย์เรื่องเหงาเพราะยังไม่รู้จะคุยกับใคร แต่ก็ทำใจไว้บ้างแล้ว เพราะการเที่ยวคนเดียวก็ต้องเจอกับอารมณ์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา
ถ่ายรูปเพลิน ๆ ได้สักพักปั่นกลับ จุดพีคมันอยู่ตรงนี้แหละ ขากลับโหดร้ายมากถึงมากที่สุด ขนาดขาผมค่อนข้างแข็งแรงเพราะผมออกกำลังกายทุกวันยังต้องลงเข็นครับ ทนมาได้สักพักก็กลับมาถึงโฮลเทล อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ น้อง ๆ ที่เจอกันบนรถแดงก็ Message มาชวนไปกินข้าวด้วยกัน จัดไปครับหมูพะโล้เสียบไม้ จัดไป 20 ไม้ >< กินเสร็จชักภาพกันสักหน่อยเป็นที่ระทึก แล้วก็โบกมือลากันเผื่อไม่ได้เจอน้อง ๆ อีก
หลังจากอิ่มหนำกับหมูพะโล้เสียบไม้ในตลาดเรียบร้อยแล้ว ก็เดินไปเซเว่นฯ เพื่อซื้อของใช้นิดหน่อย แล้วก็จัดเบียร์มา 2 กระป๋อง กะว่าถ้านอนไม่หลับจัดสัก 2 กระป๋อง คงจะหลับสบาย ฮ่า ๆ หลังจากได้เบียร์ก็เดินกลับมาที่ Hostel ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที จากเซเว่นฯ ถึงที่พัก กำลังจะขึ้นไปเก็บของบนห้อง พี่จิม เจ้าของ Hostel ก็ส่งเสียงทักทายพร้อมถามว่ามาคนเดียวพรุ่งนี้วางแผนเที่ยวหรือยัง เท่านั้นล่ะครับนั่งคุยกันยาวเลย สุดท้ายผมก็ตกลงปลงใจไป Day Tour กับกลุ่มลูกค้าอีกกลุ่มของ Hostel เพราะนั่งคำนวณแล้วถ้าเที่ยวเองคนเดียวค่าใช้จ่ายต้องสูงแน่นอน ถ้าจะไปได้ครบอย่างที่หวังไว้ คุยกันไปจิบเบียร์ไปสักพัก 2 กระป๋อง ที่ซื้อมาก็หมดลง จึงขอตัวกลับขึ้นไปนอนเพื่อเอาแรงไว้ลุยในวันรุ่งขึ้น โดยพี่จิมนัดพวกเราพร้อมเดินทางเวลา 6 โมงเช้า โดยวันพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปตลาดเช้าที่ฝั่งพม่ากันก่อนเป็นโปรแกรมแรก
วันที่สองของการเดินทางช่วงเช้า [ไปเที่ยวพม่ากัน]
เที่ยวตลาดเช้าพม่า วัดเสาร์ร้อยต้น พระธาตุอินแขวนจำลอง ช้อปเหล้าเบียร์ปลอดภาษี
ผมตื่นเวลา 05.30 น. อาบน้ำแปรงฟัน แต่งตัวเตรียมไปลุย Day Trip ของวันนี้ ลงมาที่ด้านล่างของที่พัก ทาง Hostel มีบริการกาแฟสดครับ ฟรีสำหรับผู้เข้าพัก พร้อมขนมปังปิ้ง กินเสร็จฝนดันตกครับ เราเลยต้องเลื่อนเวลาเดินทางออกไปนิดหน่อย ระหว่างมีเวลาว่างเลยถ่ายภาพของที่พักมาฝาก เผื่อใครอยากเห็นภาพประกอบ
ระหว่างทางจากสังขละบุรีไปด่านเจดีย์สามองค์ ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตรครับ นั่งกันไปเรื่อย ๆ สักพักฝนตก ผมเลยต้องเก็บกล้องเข้าในรถ ไม่มีรูปตอนไปที่ด่านเลย พี่จิมก็ไปทำเรื่องผ่านด่านให้ครับ สำหรับบุคคลใช้สำเนาบัตรประชาชน และเงิน 30 บาทครับ สำหรับรถยนต์ใช้หลักฐานคือสำเนาทะเบียนรถหรือสำเนาการเสียภาษีก็ได้ครับ ส่วนค่าใช้จ่ายไม่แน่ใจครับ ลองสอบถามตรงด่านดูอีกทีนะครับ คร่าว ๆ น่าจะไม่เกิน 100 บาท
ด่านเจดีย์สามองค์ระหว่างรอฝนหยุด
ข้ามมาถึงสิ่งแรกที่วิ่งหาเลยก็คือ "หมูพะโล้เสียบไม้ของแท้ของพม่า" จะบอกว่านอกจากหน้าตาจะน่ากินกว่าของในตลาดเมื่อวานแล้ว รสชาติยังอร่อยกว่าอีกด้วยครับ จัดไปอีก 20 ไม้ [ไม้ละ 1 บาท]
ต่อจากนั้นเราก็ไปจัดมื้อเช้าจริง ๆ กันครับ เป็นมื้อเช้าแบบพม่า
หลังจากอิ่มจากมื้อเช้ากันแล้วเราก็เดินทางไปที่ "วัดเสาร้อยต้น" กันครับ ตอนนี้เราอยู่กันในฝั่งพม่าแล้วนะครับ มาเข้าช่วงสาระความรู้กันหน่อย หลังจากที่ผมไม่ค่อยจะมีสาระ เขตที่เรานั่งกินข้าวอยู่นี่คืออำเภอพญาตองซู รัฐกะเหรี่ยง เขตประเทศพม่า พอข้ามเขตไป เวลาจะช้ากว่าเรา 30 นาที ดังนั้นถ้าไปเที่ยวควรเผื่อเวลากลับไว้ด้วยนะจ๊ะ เวลาทำการตั้งแต่ 08.00-18.00 น. หลายคนมีคำถามอีก...ถ้าไม่ไป Day Tour จากสังขละบุรี ไม่มีรถส่วนตัว แว้นมอเตอร์ไซค์ไปเองจากตัวเมืองสังขละบุรีจะข้ามไปเที่ยวได้มั้ย คำตอบคือได้ครับ และมีหลายวิธีด้วย แต่วิธีที่จะแนะนำก็คือบริเวณนั้นจะมีคนขาย Tour อยู่ครับ ราคาน่าจะอยู่ที่ 200 บาท หรือถ้าใครอยากไปแค่ตลาด ทำเรื่องผ่านด่านแล้วก็เดินไปเลยก็ได้ครับ ตลาดใกล้นิดเดียว ถ้าขี้เกียจเดินก็พี่วิน วินมอเตอร์ไซค์เยอะมาก ราคาไม่แพง แต่ต้องใช้ทักษะในการสื่อสารขั้นสูงหน่อยนะครับ เพราะพวกพี่ ๆ เค้าพูดไทยไม่ชัด แต่ถ้าคุณไปแบบผมโดยเดินทางกับพี่จิม เจ้าของโฮสเทล นอกจากเที่ยวแล้วพี่เค้ายังให้ความรู้ในสถานที่ต่าง ๆ ที่ไปดีมาก เล่นเอาคนไม่มีเนื้อหาสาระอยากแต่จะถ่ายรูปอย่างผมต้องหยุดฟังและเก็บข้อมูลกันเลยทีเดียว เอาเป็นว่าไปกับพี่จิมไม่ผิดหวังละกัน...คอนเฟิร์ม !!!!!
วัดเสาร้อยต้น อยู่ห่างจากชายแดนไทย-พม่า ด่านเจดีย์สามองค์ ประมาณ 5 กิโลเมตร ในเขตประเทศพม่า เป็นวัดเดิมที่หลวงพ่ออุตตมะเคยมาจำพรรษาและสร้างไว้ โดยเสาสร้างจากไม้แดงนับร้อยต้น
เหล่าเณรน้อยกำลังเรียนหนังสือ
เสร็จจากวัดเสาร้อยต้นเราก็ไปกันต่อที่ "เจดีย์ชเวดากองจําลอง" ข้างบนสามารถชมวิวกันได้ครับ ถ้าวันฟ้าเปิดคงจะสวยน่าดู แต่วันนี้ก็สวยในแบบของมัน สวยแบบในฤดูฝน
เราเดินทางกันต่อไปที่ "วัดตองไว" ครับ ที่วัดนี้มีพระธาตุอินแขวนจำลองอยู่ วิวสวยอีกเช่นเคยครับ แอบเสียดายที่ฟ้าปิด
ข้อมูลเพิ่มเติม
ที่วัดตองไวทุก ๆ วันอาทิตย์จะมีการสอนธรรมะให้กับเด็ก ๆ เนื่องจากว่าแถวนี้ยาเสพติดเยอะและหาง่าย ทางผู้ปกครองจึงรวมตัวกันโดยออกทุนกันเองเพื่อจัดการเรียนการสอนธรรมะขึ้น เพื่อไม่ให้เด็กน้อยมีเวลาว่างมากเกินไป ผมไปดูอยู่สักพักก็น่ารักดี เหมือนบ้านเราสมัยก่อนที่มีการสอนธรรมะกันทุกวันหยุด แต่นี่เด็กเยอะมาก น่าจะมากันหมดทั้งหมู่บ้านเลย ใครใจดีและไปถึงก่อน 10 โมงเช้าก็ซื้อพวกขนมปังที่เป็นลัง ๆ ไปฝากน้องได้ครับ เพราะผู้ปกครองต้องรวมเงินกันและออกค่าของกินกันเอง สัปดาห์หนึ่ง ๆ ก็หลายบาทอยู่ครับ
เสร็จจากจุดนี้เราก็กลับเข้าไปที่ตลาดอีกรอบครับ เพื่อแวะร้านค้าปลอดภาษี บอกได้คำเดียวว่าที่นี่จะกลายเป็นสวรรค์ของนักดื่มกันเลยทีเดียว ผมจัดมาเพียบ ก็มันถูกจริง ๆ น่ะเออ ฮ่า ๆ หลังจากได้เบียร์แล้วเราก็เดินทางกลับกันมาที่โฮสเทล จริง ๆ เราต้องมีโปรแกรมกันต่ออีกนิดหน่อย แต่เนื่องจากฝนตกเราเลยตกลงกันว่ากลับไปนอนพักที่โฮสเทลก่อนดีกว่า เดี๋ยวบ่ายค่อยว่ากัน
วันที่สองของการเดินทางช่วงบ่าย
ไปเที่ยวฝั่งมอญ ร่องเรือชมวัดจมน้ำ [ที่ตอนนั้นไม่จมน้ำ] เดินเล่นชิล ๆ ที่สะพานมอญ
หลังจากกลับมาพักเอาแรงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราชาวคณะ [ไปคนเดียวนะ แต่ไปมั่วเป็นชาวคณะเค้าเฉย] ก็ออกเดินทางกันไปฝั่งมอญครับ โดยเราเริ่มต้นกันที่ “วัดวังก์วิเวการาม” หรือวัดหลวงพ่ออุตตมะ เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะร่วมกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ ได้ร่วมกันสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2496 ครับ แวะชมวัดและสักการะรูปปั้นของหลวงพ่ออุตตมะกันสักหน่อยครับ เพื่อความเป็นสิริมงคล
หลังจากนั้นขับรถออกมาอีกนิดเดียวเพื่อไปชมความงามและสักการะเจดีย์พุทธคยากันครับ
1 วัด 300 บาท
3 วัด 500 บาท
นั่งได้สูงสุดประมาณ 6 คนครับ แต่ถ้าต่อรองกันดี ๆ อาจจะเหลือ 400 บาท ก็ได้นะ เห็นน้อง ๆ ที่เจอบนรถแดงไปต่อมาได้ด้วยล่ะ ป่ะ ๆๆ ไปนั่งเรือกันเรือออกแล้ว
วัดแรกที่เรือพาเราไปแวะคือ "วัดศรีสุวรรณ" พี่จิมเล่าให้ฟังว่าถ้าปีไหนไม่แล้งจริงจะไม่สามารถเข้าไปชมในโบสถ์ได้ครับ และปีนี้ก็แล้งจริงครับ สามารถเข้าไปดูข้างในได้เลย แต่สิ่งที่ทำให้ผมดีใจมากกว่าได้เห็นวัดจมน้ำก็คือฟ้าเปิดครับ ไม่น่าเชื่อฝนตกมาทั้งวัน ฟ้าเป็นใจให้เราได้ถ่ายรูปจนได้ ^__^
ไปต่อที่วัดที่สองกันครับ ผมจำชื่อวัดไม่ได้แต่ทราบมาว่าเป็นวัดเดียวที่ไม่จมน้ำครับ แต่จะอยู่กลางเกาะในเขื่อน เดินทางเข้า-ออกด้วยเรือเท่านั้นครับ
หลังจากนั้นเราก็ไปต่อกันวัดสุดท้ายซึ่งเป็นไฮไลท์ของการนั่งเรือชมวัดจมน้ำครับ ก็คือ "วัดวังก์วิเวการามเก่า" นั่นเอง แต่อย่างที่บอกครับ ช่วงที่ผมไปวัดไม่จมน้ำแต่ก็ได้อารมณ์ของภาพอีกอารมณ์หนึ่งมาแทน
หลังจากถ่ายรูปกันหนำใจแล้วก็ได้เวลากลับครับ ระหว่างทางกลับพระอาทิตย์กำลังเริ่มตก คืออารมณ์มันใช่มาก นั่งในเรือที่กำลังแล่นชมพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า
และแล้วก็นั่งเรือกลับมาถึงสะพานมอญ ยังมีแสงเหลืออยู่เลยเดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยครับ บรรยากาศสวย ๆ แบบนี้ อยู่ดี ๆ อารมณ์ศิลปินก็เข้าสิงประมาณว่าตัวเองเป็นพระเอกมิวสิค เดินอยู่บนสะพานมอญ [โถ่ ๆๆๆๆ !!!!!] จริง ๆ ไม่ใช่อะไรครับ เวลาไปที่ไหนที่สวย ๆ ผมมักคิดถึงคนที่ผมรักและเป็นห่วงเสมอ อยากให้เค้ามาเห็นภาพเดียวกับผม อยากให้ได้รับความสุขแบบที่ผมได้รับ นั่นล่ะผมถึงได้ตั้งใจถ่ายรูปทุกทริปที่ไปเที่ยว เพราะอย่างน้อยถ้าเราไม่มีโอกาสได้พาเค้ามา ปล่อยให้รูปภาพเหล่านี้เล่าเรื่องให้เค้าเหล่านั้นฟังก็ยังดี ^___^
เดินถ่ายรูปไปมาก็ไปเจอน้อง ๆ กลุ่มเดิมอีกครั้ง น้อง ๆ ก็น่ารักกลัวผมเหงา ชวนผมไปกินข้าวเย็นเป็นวันที่สอง หลังจากกินอิ่มก็เดินทางกลับที่พัก จังหวะที่กำลังจะเดินขึ้นไปเอาของไปเก็บ เสียงของพี่จิมเจ้าของโฮสเทลก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมคำเชื้อเชิญให้มานั่งเล่นนั่งคุยกัน คุยกันไปคุยกันมา สุดท้ายก็เป็นแบบในภาพนี้ล่ะครับ ฮ่า ๆ
หลังจากดื่มไปนิดหน่อยผมก็ขอตัวเอาของขึ้นไปเก็บบนห้อง พร้อมเช็กดูว่าวันนี้มีรูมเมทหรือเปล่า เพราะถ้ามีรูมเมทคงไม่ดื่มต่อ เกรงใจรูมเมทเดี๋ยวจะเหม็นกลิ่นแอลกอฮอล์ แต่ !!!!!! คืนนี้ไม่มีรูมเมท ฮ่าๆๆๆๆๆ สุดท้ายคืนนั้นจัดหนักกันถึงขั้นผมต้องไปนอนอยู่ในห้องน้ำของโฮสเทลสักพักเลย เลยพิสูจน์แล้วว่าห้องน้ำสะอาดจริง ๆ ฮ่า ๆ
และแล้วคืนนั้นผมก็ได้รถกลับบ้านโดยบังเอิญ โดยโจ๊กคนขวามือในภาพ อนุญาตให้ติดรถไปได้
เพราะโจ๊กต้องขับรถผ่านอำเภอนครชัยศรี บ้านผมอยู่แล้ว ขอบคุณมาก ๆ ครับโจ๊ก เก๋ด้วยนะครับ
วันที่ 3 เตรียมโบกมือลาสังขละบุรี
หลังจากเมื่อคืนจัดหนักไปมาก แต่ ๆ ผมก็ตื่นเช้าได้เสมอถ้าเป็นการมาเที่ยว ตื่นมา 6 โมงเช้า เจอน้อง 2 คนที่มาจากหาดใหญ่และพี่สาวคนหนึ่งที่มาจากชลบุรี เราทั้งหมดจึงเดินไปพร้อมกันที่สะพานมอญเพื่อไปตักบาตรตอนเช้ากันครับ
และที่ขาดไปได้ พี่เย็น คนที่เราเห็นตามภาพบ่อย ๆ แกบอกว่าเป็นเด็กปั้นแก ฮ่า ๆ
หลังจากเสร็จก็เดินข้ามสะพานมอญกลับมา โบกพี่วินกลับที่พักในราคา 20 บาท ตอนแรกกะไว้ว่าจะนอน ๆ นั่ง ๆ อยู่โฮสเทลจนกว่าโจ๊กจะกลับ โจ๊กบอกว่าจะออกประมาณ 11 โมง ปรากฏว่าพี่จิมชวนไปเดินเล่นฝั่งพม่าอีกครั้ง เพราะมีเวลาเหลือ ๆ กว่าจะ 11โมง จริง ๆ วันนี้แกมีลูกค้าคนเดียว จะไปกันสองคนก็คงจะเหงา ๆ ผมเลยถือโอกาสไปเที่ยวพม่าอีกรอบ [ไปฟรีไม่ไปได้ไง ฮ่า ๆ] หลังจากกลับมาจากฝั่งพม่า ก็เช็กเอาท์เตรียมโบกมือลาสังขละบุรี
ลาก่อนสังขละบุรี...เป็นการเดินทางคนเดียวโดยไม่มีรถส่วนตัวครั้งแรกของผมที่มีคุณค่ามาก ๆ ลาก่อนสังขละในเงาฝน
รายละเอียดค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ดังนี้
1. One Day Trip [เที่ยวพม่า เที่ยวฝั่งมอญ นั่งเรือชมวัด] 600 บาท
2. ค่าที่พัก 2 วันที่ OH DEE HOSTEL ห้อง Dorm 590 บาท
3. ค่ารถตู้ นครปฐม-กาญจนบุรี 70 บาท
4. รถบัสแดง 130 บาท ส่วนขากลับนั้นฟรี ติดรถโจ๊กกลับมา
5. วินมอเตอร์ไซค์สังขละบุรี 20 บาท
6. ค่ากินเนื่องจากเน้นกินง่าย กินข้าวจานเดียวและเซเว่นฯ เป็นส่วนใหญ่ จึงตกอยู่ที่มื้อละ 70x7 = 490บาท
7. ค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ อีก 100 บาท ส่วนค่าแอลกอฮอล์ไม่ได้คิด ฮ่าๆ (ตัดออกไม่นับ)
คร่าว ๆ จะอยู่ที่ 1,900 บาท ตีว่าถ้าคุณกำเงินไปสัก 2,000-2,500 บาท อยู่ได้สบายมาก ๆ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 991935 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม