ถ้าไปเที่ยวเกาหลีใต้เราจะไปทำอะไร ?
เป็นคำถามที่เราถามตัวเองอยู่หลายครั้งตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ใคร ๆ ก็บอกว่าเกาหลีใต้ไม่มีอะไรน่าสนใจ มีแต่ความทันสมัย โบราณสถานเก่าแก่ก็ไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แล้วเราจะไปทำไม หลังจากที่เคยไปฮ่องกงมาแล้วไม่ค่อยประทับใจ เราก็พยายามเลี่ยงประเทศที่มีความเป็นเมืองจ๋ามากเป็นพิเศษ
แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็อยู่ที่ราคาตั๋วเครื่องบิน เมื่อเราใช้แต้ม Big Shot ของแอร์เอเชียแลกมาได้ในราคาไป-กลับไม่ถึงสี่พันบาท....ถูกมาก (อยากใส่ ก สักร้อยตัว) บินไปเยี่ยมเพื่อนและเดินเล่นชิล ๆ สัก 3-4 วัน ก็คงไม่เป็นไร
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของรีวิวกึ่งบันทึกการเดินทางตอนนี้
“See Saw S E O U L ฉันมาทำอะไรที่นี่ ?”
แล้วเกาหลีใต้มีอะไร (วะ)
เป็นคำถามที่ยังวนอยู่ในหัวเรื่อย ๆ ตั้งแต่วันที่จองตั๋วจนกระทั่งวันเดินทาง ทริปนี้เราแทบไม่ได้วางแผนอะไรเลย นอกจากการเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองและแผนเที่ยววันแรกแบบคร่าว ๆ ส่วนที่พักเพื่อนก็จัดการจองให้ แต่อย่างน้อยทริปนี้ก็อุ่นใจเพราะมีเพื่อนรออยู่ที่นู่น ยิ่งใกล้วันเดินทางข่าวการแพร่ระบาดของไวรัส MERS ก็ดูน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแรกเรายอมรับว่ากังวลเหมือนกัน แต่เพื่อนก็ยืนยันว่าคนที่นู่นยังใช้ชีวิตกันปกติ การระบาดยังจำกัดอยู่แค่ในโรงพยาบาล ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่สื่อไทยนำเสนอ เราก็เลยมั่นใจขึ้น แต่ก็เตรียมหน้ากากอนามัยกับเจลล้างมือติดไปด้วย
เราไปถึงสนามบินก่อนเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง และทำเว็บเช็กอินมาก่อนก็เลยไม่ต้องต่อแถวเหมือนคนอื่น ๆ คืนนั้นไฟลท์ XJ700 ของแอร์เอเชียน่าจะเป็นไฟลท์สุดท้ายแล้ว สนามบินดอนเมืองตอนดึก ๆ ค่อนข้างเงียบเหงา เพราะร้านค้าส่วนใหญ่จะปิดประมาณเที่ยงคืน การเดินทางไฟลท์กลางคืนเป็นอะไรที่ง่วงมาก เราอุตส่าห์เลือกที่นั่งริมหน้าต่างเพราะตั้งใจจะตื่นมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น แต่ปรากฏว่าถ่ายไปได้ไม่กี่รูปก็รู้สึกตัวอีกทีตอนที่ล้อเครื่องบินสัมผัสรันเวย์ที่สนามบินอินชอนแล้ว
ทริปนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราเดินทางคนเดียว และเกาหลีใต้ก็มีชื่อเสียงเรื่องความเข้มงวดของการตรวจคนเข้าเมือง เราก็เลยอดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะถูกส่งตัวกลับหรือเปล่า แม้จะยังงง ๆ ว่ามาทำอะไรที่นี่ แต่การถูกส่งตัวกลับตั้งแต่มาถึงคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
ยินดีต้อนรับสู่ประเทศเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการ
เราผ่าน ตม. มาอย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องตอบคำถามอะไรเลย เอกสารการทำงานที่เตรียมมาก็ไม่ต้องใช้ จากสนามบินอินชอนเราเข้าเมืองโดยใช้รถไฟ Airport Railroad หรือ AREX ทางเดินไปยัง Incheon Airport Station สังเกตง่าย ๆ จะมีป้ายตัวอักษรสีเหลืองบอกทางเป็นระยะ ระหว่างทางจะมีร้าน 7-Eleven ซึ่งเราสามารถซื้อบัตร T-Money ได้ที่นี่ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราเกิดอาการช็อกกับภาษาอังกฤษสำเนียงเกาหลี เราถามพนักงานในร้านว่าสามารถเติมเงินในบัตรได้เลยหรือเปล่า พนักงานพูดมาประโยคหนึ่งยาวมาก แต่เราฟังออกแค่คำเดียวจริง ๆ “Machine” เป็นอันเข้าใจตรงกันว่าเราต้องไปเติมเงินที่เครื่องอัตโนมัติหน้าสถานีรถไฟ
เราเลือกนั่งรถไฟ Airport Railroad แบบ Commuter ซึ่งจอดทุกสถานี เพราะเทียบเวลาแล้วไม่ต่างจากแบบ Express เท่าไร มีขบวนรถบ่อยกว่า ประหยัดกว่า และที่สำคัญสามารถจ่ายด้วยบัตร T-Money ได้ด้วย สถานีปลายทางของ Airport Railroad จะอยู่ที่ Seoul Station
พอถึง Seoul Station เราต้องต่อรถไฟเพื่อเอากระเป๋าไปเก็บที่ที่พักเสียก่อน ตอนนี้เราเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมใคร ๆ ถึงเลือกใช้ Airport Bus มากกว่า ขนาดเราเปลี่ยนสายแค่ต่อเดียวยังเดินลากกระเป๋าซะเหนื่อย สถานีจะกว้างไปไหน แถมยังหลงอีกต่างหาก เดินตามป้ายอยู่ดี ๆ ขึ้นมาโผล่บนดินได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่เราโชคดีที่มีเพื่อนช่วยบอกทางก็เลยไม่เสียเวลามาก แค่ถ่ายรูปส่งไปก็รู้เลยว่าอยู่ส่วนไหนของสถานี
ที่พักของเราอยู่แถวมหาวิทยาลัย Hankuk University of Foreign Studies ราคาก็เลยสบายกระเป๋า ประหยัดได้เยอะมาก ตอนที่เราไปถึงเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาอังกฤษได้ไม่อยู่ มีแต่ป้าที่พูดเกาหลีแบบ Native Speaker คือเราไม่ได้ภาษาเกาหลีเลยนอกจาก “อันยองฮาเซโย”
$#%&^*M>$&N%@#?
มันเป็นเวลา 30 นาที ที่ยาวนานแล้วก็มึนมาก คนหนึ่งพูดเกาหลี อีกคนหนึ่งพูดอังกฤษ ที่เหลือก็ภาษามือล้วน ๆ (ที่จริงถ้าเราพูดภาษาไทยไปก็น่าจะไม่มีผลอะไร) เพื่อนเราอุตส่าห์พิมพ์ข้อความภาษาเกาหลีส่งมาว่าถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้โทรไป จะช่วยแปลให้ แต่ป้าก็ไม่สนใจ คือหน้าเรายังงงไม่พอหรืออะไรก็ไม่รู้
ป้าพาเราไปดูห้องพัก ห้องครัว และที่ทิ้งขยะ ก่อนจะให้เราเลือกว่าจะเอาห้องแบบไหนระหว่างห้องน้ำในตัวกับห้องน้ำรวม หลายคนคงสงสัยว่าแล้วจะบอกถูกได้ยังไงในเมื่อพูดกันละภาษา เรื่องนี้ต้องยกนิ้วให้ป้าจริง ๆ รูปวาดสี่เหลี่ยมซ้อนกันสองอันกับสี่เหลี่ยมอันเดียว อยากได้ห้องแบบไหนก็ชี้ได้เลย
เราเลือกห้องพักแบบที่มีสี่เหลี่ยมซ้อนกันราคาคืนละ 15,000 วอน หรือ 450 บาท หลังจากนั้นป้าก็สอนวิธีตั้งรหัสเปิด-ปิดประตู ถึงวันนี้เราก็ยังงง ๆ ว่าตอนนั้นเข้าใจไปได้ยังไง
4 ชั่วโมงแรกที่เกาหลีใต้ บอกเลยว่าเหนื่อยมาก แต่ก็ต้องขอบคุณป้าที่อดทนกับเราจริง ๆ ไม่มีเหวี่ยงวีนอะไรเลย ทั้งที่พูดอะไรมาเราก็ทำหน้างงตลอด จำได้ว่าพูด Sorry ไปนับครั้งไม่ถ้วน
มื้อแรกที่โซลเราเลือกร้านอาหารแถว ๆ ที่พัก เพราะว่าหิวมาก และหลังจากที่เล็งแล้วว่าร้านนี้มีรูปให้ชี้ได้ชัวร์ เราก็รีบเข้าไปสั่งอาหารทันทีเพราะถ้าต้องสั่งเป็นภาษาเกาหลีอีก วันนั้นคงจะไม่ได้กินแน่ ๆ ด้วยความที่มีความรู้เรื่องเกาหลีน้อยมาก เมนูที่เราสั่งก็เลยเป็นข้าวยำเกาหลีหรือ Bibimbap อาหารเกาหลีเพียงไม่กี่อย่างที่เรารู้จักเบสิกสุด ๆ แต่รสชาติก็พอใช้ได้ ร้านนี้เป็นร้านแฟรนไชส์ที่มีอยู่หลายสาขาชื่อว่า Sinpo Woori Mandoo
ตามแผนคร่าว ๆ วันแรกเราจะไปพระราชวัง Gyeongbokgung กับหมู่บ้าน Bukchon Hanok ซึ่งเราจะต้องไปเปลี่ยนรถไฟเป็นสายสีส้มที่สถานี Jongno 3-ga และแน่นอนว่าเรานั่งเลย เพราะมัวแต่โซเชียลอยู่ มารู้ตัวอีกทีก็ถึงสถานี City Hall แล้ว
ไม่เป็นไร...ยังพอมีเวลา (มั้ง) เรานั่งรถไฟย้อนกลับไปหนึ่งสถานีแล้วก็เดินออกไปด้วยความมั่นใจ แต่ทำไมสถานีเล็กจัง ? คือเราลงผิดสถานีอีกแล้ว สำหรับมือใหม่อย่างเราวิธีที่ง่ายที่สุดเวลานั่งรถไฟที่โซลก็คือดูที่ป้าย (จะมีชื่อสถานีถัดไปเป็นภาษาอังกฤษด้วย) เพราะเสียงประกาศค่อนข้างเบา แล้วคนบนรถไฟก็ไม่ได้นั่งกันเงียบ ๆ เหมือนที่ญี่ปุ่นซะด้วย และถ้าคิดจะฟังเสียงอย่างเดียวก็ต้องแน่ใจว่าสามารถแยกความต่างของชื่อสถานีที่ออกเสียงคล้าย ๆ กันได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่เราแน่ ๆ
เราไปถึงพระราชวัง Gyeongbokgung ตอนบ่ายสามโมง ทันพิธีเปลี่ยนเวรยามของทหารที่ประตู Gwanghwamun พอดี เราตั้งใจมากที่จะมาถ่ายรูปที่นี่ เพราะคิดว่าทหารในเครื่องแบบโบราณจะทำให้อินกับอะไรที่เป็นเกาหลีขึ้นมาบ้าง แล้วเราก็อินจริง ๆ ตามประสาคนที่ชอบชุดประจำชาติ ถ้าไปเที่ยวไหนแล้วไม่ได้ถ่ายรูปอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศนั้น ๆ เหมือนไปไม่ถึงยังไงก็ไม่รู้
วันแรกเรามีเวลาเที่ยวค่อนข้างน้อย เพราะกว่าจะออกจากสนามบินและเอากระเป๋าไปเก็บที่ที่พักก็หมดไปครึ่งวันแล้ว เราก็เลยไม่เข้าไปชมด้านในของพระราชวัง แต่เลือกไปเดินเล่นที่หมู่บ้าน Bukchon Hanok แทน
เราเดินออกไปทางประตูด้านซ้ายของพระราชวัง ก่อนจะเดินเลียบกำแพงไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นแดดร้อนมาก จะเดินไปไหนก็ไม่รู้ ตามรีวิวที่เคยอ่านเจอบอกว่าให้เดินตัด National Museum of Modern and Contemporary Art (MMCA) และถนน Samcheong-dong ไปจะมีอาสาสมัคร Tourist Information
หลังจากเดินไปได้สักพัก เราตัดสินใจถามทางกับเจ้าหน้าที่ซึ่งน่าจะเป็นของพระราชวังว่า หมู่บ้าน Bukchon Hanok ไปทางไหน แต่การออกเสียงของเราคงจะดีเกินไปเลยไม่ได้คำตอบ แถมยังได้หน้าเหวี่ยง ๆ กลับมาด้วย เราไม่คิดมาก่อนจริง ๆ ว่าการมาเที่ยวเกาหลีใต้แบบไม่ได้เตรียมตัวจะเหนื่อยขนาดนี้
เรามาทำอะไรที่นี่ ? ร้อนก็ร้อน พูดอะไรกับใครก็ไม่รู้เรื่อง ตอนแรกเราลังเลว่าจะไปต่อดีหรือเปล่า แต่ก็มาถึงขนาดนี้แล้วเดินไปอีกนิดคงไม่เป็นไร แล้วเราก็เจออาสาสมัคร Tourist Information จริง ๆ ด้วย น้องเขาให้ไกด์บุ๊กเรามาหนึ่งเล่ม พร้อมกับอธิบายรายละเอียดเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดเจน เฮ้อ ! อย่างนี้ค่อยยิ้มได้หน่อย
เราขอไม่พูดถึงประวัติของหมู่บ้าน Bukchon Hanok เพราะว่าไม่มีความรู้จริง ๆ เราจำได้แค่ว่าคำว่า Bukchon มีความหมายว่าหมู่บ้านทางตอนเหนือ ตามตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านที่อยู่ทางทิศเหนือของอะไรสักอย่าง แต่ที่เราได้เห็นมาก็คือย่านนี้มีร้านเก๋ ๆ ฮิป ๆ น่านั่งเยอะมาก
เฟซบุ๊ก That\'s why I love to travel
ถ้าอากาศจะร้อนขนาดนี้ ขอนั่งพักชิล ๆ สักครึ่งชั่วโมงก็แล้วกัน
เราสั่งน้ำแข็งไสหรือ Bingsu มากิน ตอนที่จ่ายเงินเราแอบตกใจเล็กน้อย น้ำแข็งไสจานละ 300 กว่าบาท แพงกว่าข้าวยำที่เรากินไปเมื่อกลางวันเกือบ 2 เท่า แต่พอเห็นขนาดจานเท่านั้นแหละใหญ่มาก กว่าจะกินหมดก็แทบแย่ เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่าบางร้านจะทำเมนูสำหรับ 2 คนเท่านั้น
ตอนที่เราออกจากร้านก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว แดดร่มลมตกค่อยเหมาะกับการเดินเล่นขึ้นมาหน่อย จริง ๆ แล้วย่านนี้มีอะไรให้ถ่ายรูปเยอะมาก ถ้าเรามีเวลามากกว่านี้ก็คงจะดี ไว้ค่อยกลับมาแก้ตัวใหม่ รอบหน้าจะมาช่วงที่อากาศเย็น ๆ เดินเล่นให้ฟินกันไปเลย
ทางเดินขึ้นไปยังโซนไฮไลท์ของหมู่บ้าน Bukchon Hanok จะเป็นบันไดแคบ ๆ ที่เราจะเดินเลยได้ง่ายมาก จุดสังเกตก็คือร้าน Ogada ถ้าเดินตามไกด์บุ๊กที่อาสาสมัคร Tourist Information ให้มา รับรองว่าไม่มีทางหลงแน่ ๆ มีแต่เหนื่อย เพราะต้องเดินขึ้นเนิน
เรามัวแต่เดินตามแผนที่จนลืมไปว่าที่หมู่บ้าน Bukchon Hanok จะมีจุดถ่ายรูปที่เป็นแลนด์มาร์กอยู่หลายจุด ถ้าเทียบความคิดก่อนมากับภาพที่ได้เห็นกับตา เราว่าที่นี่มีอะไรน่าสนใจมากกว่าที่คิดไว้ อารมณ์บ้านเก่า ไม่ว่าจะเป็นไม้หรือว่าปูนยังไงก็ดูคลาสสิก
โซล...เป็นเมืองโรแมนติก
เป็นสิ่งที่เราคิดหลังจากที่ได้ใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่นี่ โดยเฉพาะหมู่บ้าน Bukchon Hanok ย่านเก่าแก่ที่แฝงไปด้วยร้านรวงที่ทันสมัย สวย เก๋ และมีดีไซน์ ถ้าใครชอบเดินเล่นแบบชิล ๆ เราว่าที่นี่น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี
เราปิดท้ายวันแรกที่โซลด้วยการไปกินข้าวกับเพื่อนแถว ๆ สถานี Yeoksam ใกล้กับย่าน Gangnam อยากจะบอกว่าตอนที่ได้เจอเพื่อน ดีใจมาก เพราะเราไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ และทำหน้ามึนเวลาฟังภาษาเกาหลีอีกต่อไปแล้ว
มันเป็นความโชคดีที่มีเพื่อนอยู่ที่นู่น เพราะเราได้ไปร้านที่คนเกาหลีเขาไปกันจริง ๆ ไม่ใช่ตามจากรีวิว ได้ไปเห็นบรรยากาศแฮงก์เอาท์แบบเบา ๆ ของหนุ่มสาวออฟฟิศที่นู่น ที่สำคัญยังได้รู้จักเพื่อนเกาหลีเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน
เพื่อนเราเล่าให้ฟังว่าวัฒนธรรมของคนเกาหลี เวลาพบปะสังสรรค์กันจะไม่ค่อยจบที่ร้านที่ 1 แต่จะมีไปต่อที่ร้าน 2, 3 และ 4 ไปเรื่อย ๆ บางครั้งอาจจะยาวไปถึงร้านที่ 6 คืนนั้นเราก็เลยโชคดีได้ไปถึง 2 ร้าน (แต่อีกมุมหนึ่งอาจจะต้องบอกว่าโชคดีที่ได้ไปแค่ 2 ร้าน เพราะว่าง่วงมาก)
ถ้าไม่นับเรื่องการสื่อสาร วันแรกที่โซลของเราดีกว่าที่คิดไว้มาก สถานที่ท่องเที่ยวที่เราไปก็สวยงาม มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะแยะไปหมด ส่วนอาหารก็ถูกปาก รสชาติไม่ต่างจากอาหารไทย จริง ๆ แล้วเกาหลีใต้ก็มีอะไรดีเหมือนกันนะ
เช้าวันที่สองที่โซล
มีฝนตกเล็กน้อย แต่โชคดีที่มันหยุดก่อนที่พวกเราจะออกไปข้างนอก เช้าวันนี้เราฝากท้องไว้ที่ร้านใกล้ ๆ ที่พักเหมือนเดิม แต่มื้อนี้เราต้องขอบคุณเพื่อนเรามาก ๆ ที่ช่วยแปลเมนูให้ทีละรายการ เพราะมันมีแต่ภาษาเกาหลี ซาบซึ้งสุด ๆ แต่สุดท้ายเรากลับเลือกเมนูธรรมดาอย่างหมูผัดกิมจิ (ซะอย่างนั้น)
“ปีนเขา” น่าจะเป็นกิจกรรมที่มีคนไทยจำนวนน้อยมากนึกถึงเมื่อพูดถึงโซล ด้วยความที่เราไม่ค่อยชอบเที่ยวในเมืองเท่าไร เพื่อนเราก็เลยพยายามจัดโปรแกรมให้ถูกใจเรามากที่สุด ไปเที่ยวป่า เที่ยวเขา ชมธรรมชาติน่าจะใช่แนวเรามากกว่าเดินช้อปปิ้งอยู่ในเมือง
ภูเขาที่เราจะไปชื่อว่า Dobongsan อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Bukhansan ทางตอนเหนือของกรุงโซล การเดินทางไปก็สะดวกมาก ๆ จากสถานี Hankuk University of Foreign Studies เรานั่งรถไฟสายสีน้ำเงินไปแค่ 9 สถานี ต่อเดียวก็ถึงสถานี Dobongsan เลย พอออกจากสถานีเราเจอเพื่อนร่วมทางเยอะมาก แต่ละคนก็แต่งตัวกันมาอย่างกับจะไปปีนยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ส่วนเราก็เสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ พร้อมกับสะพายกล้องอีกหนึ่งตัว ระหว่างทางเราสัมผัสได้ว่ามีคนมองด้วยสายตาแปลก ๆ อยู่ตลอด แต่ขอบอกว่าถึงจะไปปีนเขาสาว ๆ เกาหลีก็แต่งหน้าแน่นมากนะจ๊ะ
ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของเกาหลีใต้เป็นภูเขาและที่ราบสูงถึงร้อยละ 70 ทำให้มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอยู่เป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งรอบ ๆ เมืองหลวงอย่างกรุงโซล การปีนเขาก็เลยเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ชาวเกาหลีนิยมทำในวันหยุด ตลอดทางจากสถานีรถไฟไปจนถึงทางเข้าอุทยาน เราจะเห็นร้านขายชุดและอุปกรณ์การปีนเขาเต็มไปหมด
Dobongsan เป็นภูเขาที่มีหลายยอด สำหรับยอดเขาที่พวกเราจะปีนขึ้นไปเป็นยอดที่สูงสุดชื่อว่า Jaunbong ที่ระดับความสูง 739.5 เมตร จากระดับน้ำทะเล
จากประสบการณ์การปีนเขาอันน้อยนิดของเรา เราจะคุ้นเคยกับเส้นทางที่มีแค่เส้นเดียวจากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดสูงสุด แต่ที่ Dobongsan เราสามารถเลือกเดินได้หลายเส้นทาง และระหว่างทางจะมีแผนที่บอกทางเป็นระยะทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางได้ตลอด
ช่วงแรกของการเดินก็เหมือนกับภูกระดึงหรือภูสอยดาวที่เราเคยไป เป็นทางลาดบ้าง ทางชันบ้าง บางช่วงอาจจะเป็นบันไดที่เราเห็นทีไรก็ใจสั่นทุกที แต่ช่วงสุดท้ายที่ใกล้ถึงยอดเขาระดับความยากจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพราะเป็นโขดหินล้วน ๆ เหนื่อยมาก กำลังขาก็เริ่มล้า แต่เส้นทางกลับยากขึ้น นี่สินะที่เรียกกันว่าการ “ปีน” เขา
จุดที่ใกล้ถึงยอดเขาเราจะต้องเกาะราวเหล็กขึ้นไปเพราะทางค่อนข้างแคบและชัน ตอนที่ถึงตรงนี้เรามีแรงขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่อะไรนอกจากจะต้องเดินเรียงหนึ่ง ถ้าหยุดเดินระหว่างทางคงโดนคนที่ตามหลังมาประณามแน่ ๆ
See Saw S E O U L จากมุมสูง
ในที่สุดพวกเราก็มาถึงจุดสูงสุดของภูเขา Dobongsan จนได้ ด้วยเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ไม่เร็ว...แต่ก็ไม่ได้แย่ (อันนี้เข้าข้างตัวเอง) สำหรับคนที่แทบไม่ได้ออกกำลังกายมาก่อน แต่อาจจะต้องแยกเพื่อนเราไว้อีกกลุ่มหนึ่ง เพราะรายนั้นเดินเร็วมาก
พื้นที่บริเวณยอดเขา Jaunbong จะแคบและชัน สามารถยืนได้แค่ 20-30 คนเท่านั้น พวกเราก็เลยใช้เวลาอยู่บนนั้นแค่ช่วงสั้น ๆ แต่มันก็เป็นอะไรที่ประทับใจมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เราได้มีโอกาสได้ยืนอยู่บนยอดเขาแบบนี้ แถมครั้งแรกก็ได้โกอินเตอร์ซะด้วยสิ อ้อ...เกือบลืมบอกไป บนยอดเขามีป้ายเตือนด้วยว่า “มีคนเคยตกเขาเสียชีวิตเมื่อปี 2009”
ตอนที่เดินลงจากเขาพวกเราเปลี่ยนเส้นทางไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งมีขั้นบันไดเยอะมาก นับว่าเป็นโชคดีของเราจริง ๆ ที่ตอนขึ้นไม่ได้ใช้เส้นทางนี้ ไม่อย่างนั้นเราอาจจะยอมแพ้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ก็ได้ บางคนอาจจะคิดว่ามีบันไดก็ดีแล้วน่าจะเดินง่าย แต่เรากลับมองว่ามันเดินลำบาก เพราะไม่สามารถกำหนดระยะการก้าวขาได้เอง
ความรู้ใหม่ที่เราได้จากการปีนเขาที่เกาหลีใต้ ก็คือคนเกาหลีนิยมกินแตงกวาระหว่างปีนเขา เพราะเชื่อว่าจะช่วยชดเชยการสูญเสียน้ำในร่างกาย เนื่องจากแตงกวามีน้ำเยอะ ระหว่างทางเราเห็นคนเกาหลีกินแตงกวากันจริงจังมาก บางทีเราก็สงสัยนะว่าตลอดทางแต่ละคนกินแตงกวากันไปคนละกี่ลูก
ก่อนกลับพวกเราแวะหาอะไรกินแถว ๆ สถานีรถไฟ ร้านนี้เพื่อนเราการันตีความอร่อย เพราะเส้นบะหมี่ทำด้วยมือ ระหว่างที่นั่งอยู่ในร้านเราจะได้ยินเสียงนวดแป้งเป็นระยะ มื้อนี้เราได้ลองชิมจัมปง (ก๋วยเตี๋ยวทะเล) กับจาจังมยอน (หมี่ซอสดำ) ตอนแรกเราคิดว่าจัมปงจะรสชาติเหมือนต้มยำ แต่จริง ๆ แล้วจืดเหมือนก๋วยเตี๋ยวมากกว่า ส่วนจาจังมยอนที่สีดูไม่น่ากิน แต่พอชิมแล้วบอกเลยว่าอร่อยมาก
ระหว่างทางที่เดินไปสถานีรถไฟจะมีร้านอาหารและร้านขายอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการปีนเขาเยอะมาก ประมาณว่าปีนเขาเสร็จแล้วอยากจะหาอุปกรณ์เพิ่มเติมสำหรับทริปต่อไป หรือจะปาร์ตี้กับเพื่อนที่เพิ่งลงจากเขาพร้อมกันก็สามารถทำได้เลย
หลังจากพักจนหายเหนื่อยแล้วตอนเย็นเพื่อนเราก็พาไปเดินเล่นแถวประตู Dongdaemun หรือประตูใหญ่ทางทิศตะวันออกของกรุงโซล ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์โชซอน พร้อมกับเล่าประวัติให้ฟังอย่างละเอียด แต่ถามว่าตอนนี้จำได้หรือเปล่า...เราบอกเลยว่าไม่ได้
จากประตู Dongdaemun พวกเราเดินต่อมาเรื่อย ๆ จนถึง Dongdaemun Design Plaza (DDP) หลังจากไปชมธรรมชาติมาเกือบทั้งวันแล้ว คราวนี้เราจะมาดูงานดีไซน์เก๋ ๆ กันบ้าง แต่ก่อนที่จะเข้าไปในตัวอาคารเราก็มาหยุดอยู่ที่ ROSE LED GARDEN ซะก่อน
ด้านในอาคารที่เราเข้าไปดูเป็นโซนที่จัดแสดงผลงานด้านการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ มีร้านขายสินค้าที่เป็นงานดีไซน์ต่าง ๆ ถ้าเป็นเมืองไทยเราว่าอารมณ์น่าจะคล้ายกับหอศิลป์กรุงเทพฯ (อันนี้เดาเอา เพราะเราก็ไม่เคยไปเหมือนกัน)
ROSE LED GARDEN จะสวยงามที่สุดก็ตอนที่ไร้แสงอาทิตย์ เพราะดวงไฟเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในกุหลาบแต่ละดอกจะได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ ตอนที่เราออกมาด้านนอกอาคารอีกครั้งดอกกุหลาบไฟก็แข่งกันบานสะพรั่งแล้ว
วันที่สองที่โซลน่าจะเป็น “วันเดินแห่งชาติ” อีกวันหนึ่งของเรา ตอนที่ลงมาจากเขาสถิติการเดินของเราอยู่ที่ 17 กิโลเมตร แต่เราก็ยัง (ต้อง) เดินต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อนเราพาเราเดินเลียบคลอง Cheonggyecheon ตั้งแต่ Dongdaemun ไปจนถึง Myeongdong แต่อย่างที่บอกตั้งแต่แรกว่าเราไม่เน้นช้อปปิ้ง พวกเราก็เลยไปกินน้ำแข็งไสที่ร้าน O\'sulloc Tea House แล้วก็เดินดูสถานที่สำคัญกลางกรุงโซลยามค่ำคืนแทน สำหรับเราการเดินเล่นช่วงกลางคืนเป็นอะไรลงที่ตัวมาก เพราะอากาศไม่ร้อน
พวกเราไล่เดินจากคลอง Cheonggyecheon จัตุรัส Gwanghwamun ไปจนถึง City Hall ก่อนจะปิดท้ายด้วยการซื้อของฝากที่ Myeongdong ตอนสี่ทุ่มกว่า เรียกว่าพอไปถึงตลาดก็แทบวายแล้ว
ภารกิจท่องกรุงโซลวันที่สองของเราจบลงด้วยการทำลายสถิติการเดินตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาอย่างถล่มทลาย ระยะทาง 31.34 กิโลเมตร กับ 42,961 ก้าว ไม่อยากจะคิดถึงตอนที่ตื่นเช้ามาเลยจริง ๆ
จริง ๆ แล้วทริปนี้ไปเก็บตัวนักกีฬา ?
รุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ยแซวหลังจากที่รู้ว่าเราจะไปปั่นจักรยานที่นอกเมือง จะว่าไปเราก็เริ่มสงสัยเหมือนกันว่าตัวเองกำลังเข้าคอร์สอะไรอยู่หรือเปล่า แต่อีกมุมหนึ่งก็ถือว่าโชคดีที่ได้มาเห็นและรู้จักเกาหลีใต้ในแบบที่ไม่เหมือนใคร เพราะหนทางวันนี้อาจจะอีกยาวไกล พวกเราก็เลยต้องเติมพลังกันให้เต็มที่เสียก่อน มื้อนี้เป็นหนึ่งในเมนูที่เราชอบมากที่สุดของทริปนี้ “แฮจังกุก” หรือซุปกระดูกหมู เพื่อนเราบอกว่าคนเกาหลีนิยมกินแก้เมา คล้าย ๆ กับที่คนไทยชอบไปกินข้าวมันไก่หลังจากเที่ยวกลางคืน แต่พอดีร้านนี้เปิด 24 ชั่วโมง ก็เลยเป็นอาหารเช้าของพวกเราซะอย่างนั้น
จุดที่พวกเราจะไปปั่นจักรยานชื่อว่า Dumulmeori เป็นบริเวณที่แม่น้ำสองสายคือ Bukhangang (แม่น้ำฮันสายเหนือ) และ Namhangang (แม่น้ำฮันสายใต้) มาบรรจบกันเป็นแม่น้ำฮันที่ไหลผ่านกรุงโซล จากสถานี Hankuk University of Foreign Studies พวกเรานั่งรถไฟสายสีน้ำเงินไปเปลี่ยนเป็นสายสีเขียวอ่อน (Jungang Line) ที่สถานี Hoegi ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะถึงสถานี Yangsu จากสถานีรถไฟไป Dumulmeori จะประมาณ 2 กิโลเมตร ระหว่างทางเราจะผ่านชุมชนเล็ก ๆ เหมือนต่างจังหวัดบ้านเรา วิวสองข้างทางก็มองผ่าน ๆ แล้วนึกว่าอยู่เชียงใหม่มากกว่าเกาหลีใต้ซะอีก
ความน่าสนใจของ Dumulmeori นอกจากจะเป็นจุดที่แม่น้ำสองสายมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำฮันแล้ว ที่นี่ยังมีต้นเซลโคว่า (Zelkova) ต้นไม้เก่าแก่ที่มีอายุกว่า 400 ปีด้วย สำหรับคนที่ไม่ชอบอะไรที่เรียบง่ายที่นี่อาจจะดูธรรมดา แต่ถ้าใครที่รักธรรมชาติแล้วก็ชอบการปั่นจักรยานน่าจะถูกใจกับบรรยากาศริมแม่น้ำแบบนี้
ถ้าอุตส่าห์นั่งรถไฟออกมาไกลถึงนอกเมืองแล้วปั่นจักรยานแค่ 4-5 กิโลเมตร ก็คงจะธรรมดาไปหน่อย ขากลับพวกเราปั่นย้อนไปทางเดิม แต่ไม่ได้กลับไปที่สถานี Yangsu จุดหมายต่อไปของพวกเราคือสถานีรถไฟเก่า Nungnae
นอกจากการปีนเขาแล้ว คนเกาหลีก็จริงจังกับการปั่นจักรยานมาก ทุกคนมาแบบจัดเต็มอีกแล้ว เรารู้สึกว่าคนที่นี่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับกิจกรรมในวันหยุด ตอนที่นั่งรถไฟมาเราเห็นคนแต่งตัวสำหรับไปทำกิจกรรมกลางแจ้งเยอะมาก ทางที่พวกเราจะปั่นไปสถานีรถไฟ Nungnae เป็นทางที่สร้างขึ้นมาสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ เราบอกได้สั้น ๆ เลยว่าอิจฉาคนเกาหลีมากที่รัฐเห็นความสำคัญของการปั่นจักรยานขนาดนี้ มีการจัดสรรพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน ขนาดกลางกรุงโซลก็ยังมีพื้นที่สำหรับปั่นจักรยานอยู่หลายแห่ง
อีกไกลแค่ไหน ถึงจะใกล้...เราไม่รู้ว่าตัวเองปั่นมาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แต่ว่าช่วง 2 กิโลเมตร สุดท้ายก่อนจะถึงสถานีรถไฟ Nungnae กำลังขาเริ่มไม่ไหวแบบจริงจัง แล้วเราก็เพิ่งค้นพบว่าจักรยานแม่บ้านที่เช่ามาสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ แล้วที่ผ่านมาคืออะไร สถานีรถไฟ Nungnae เป็นสถานีรถไฟเก่าที่ถูกเปลี่ยนมาเป็นจุดพักของเหล่าบรรดานักปั่น ที่นี่จะมีน้ำดื่มและอาหารขายด้วย
ตลอดเส้นทางที่ปั่นจักรยานมีจุดให้เราได้แวะถ่ายรูปเยอะเหมือนกัน ที่นี่จะออกแนวธรรมชาติ มีแม่น้ำกับภูเขาเป็นฉากหลัง แต่ว่าต้องระวังคนที่ปั่นตามหลังมาดี ๆ เพราะคนส่วนใหญ่จะปั่นค่อนข้างเร็ว ไม่ต้วมเตี้ยมเหมือนจักรยานแม่บ้านอย่างเรา
ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ Yangsu จะมีร้านอาหารและร้านกาแฟอยู่หลายร้านเหมือนกัน พวกเราก็เลยไปนั่งพักที่ร้าน 7gram Café ก่อนกลับโซล เราชอบสไตล์การตกแต่งของร้านนี้ ที่เอาไม้มาเป็นองค์ประกอบหลัก สีพื้นมีแค่สีดำกับน้ำตาล แล้วเล่นลวดลายด้วยตัวอักษรสีขาว
มีคนเคยบอกว่าถ้าอยากเห็นวิถีชีวิตจริง ๆ ของคนท้องถิ่นที่ประเทศนั้น ๆ ให้ไปเดินตลาด เพื่อนเราก็เลยพาไปเดินตลาดผักและผลไม้ที่สถานี Cheongnyangni บรรยากาศก็คล้าย ๆ กับตลาดที่เมืองไทย แต่ขนาดของผลไม้ที่เกาหลีใต้จะใหญ่กว่า แต่ที่เราประทับใจมากที่สุดก็คือลีลาการเรียกลูกค้าของแต่ละร้าน ดุเดือดเผ็ดมันมาก ๆ โดยเฉพาะร้านขายแตงโมที่มีการตะโกนราคารับ-ส่งกันไป-มาระหว่างสองร้านด้วย ... แปดพันวอนครับ แปดพันวอน !
เมื่อก่อนตอนที่อ่านรีวิวเราเคยสงสัยว่าทำไมใคร ๆ ที่ไปเกาหลีใต้จะต้องไปเที่ยวตามมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย มหาวิทยาลัยที่เราไปมาชื่อว่า Kyung Hee University กับ Hankuk University of Foreign Studies ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่พักของเราทั้งคู่
แถว ๆ มหาวิทยาลัย Kyung Hee University มีร้านหมี่เย็นร้านหนึ่งอร่อยมาก นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราเคยสงสัย หมี่เย็น ๆ มันอร่อยตรงไหน เห็นเพื่อนเราโพสต์รูปบ่อยมาก แต่พอได้ลองเท่านั้นแหละ อร่อยแล้วก็ชื่นใจสุด ๆ จริง ๆ แล้วร้านนี้เป็นแฟรนไชส์ชื่อว่า Yuksam Naengmyeon เมนูที่พวกเราสั่งก็คือ Mul Naengmyeon แบบน้ำ กับ Bibim Naengmyeon ที่เป็นซอสคลุก เสิร์ฟพร้อมกับหมูย่าง
ทริปนี้เวลาน้อยก็เลยต้องใช้สอยอย่างประหยัด ... เราปิดท้ายทริปเกาเหลีใต้ครั้งแรกด้วยการไปดูพระอาทิตย์ตกที่ภูเขานัมซาน หรือที่ตั้งของโซลทาวเวอร์ พวกเรานั่งรถไฟไปลงที่สถานี Dongguk University แล้วก็ต่อรถบัสหมายเลข 5 ขึ้นไปข้างบน ตอนที่กำลังจะถึงลานจอดรถพวกเราลุ้นกันแทบแย่ว่าจะทันพระอาทิตย์ตกหรือเปล่า พอลงจากรถได้ก็เลยวิ่งกันเต็มที่เพื่อไปจุดชมวิวด้านล่าง แต่สุดท้ายก็ทันเวลาพอดิบพอดี
โซล...เป็นเมืองโรแมนติก
บางที่อาจจะไม่เหมาะกับคนโสดเท่าไร อย่างที่โซลทาวเวอร์เป็นต้น เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่คู่รัก บรรยากาศตอนเย็น ๆ แล้วมีแค่เธอกับฉัน เอ๊ย ! อิจฉาสุด ๆ ตอนที่ไปเดินแถวคลอง Cheonggyecheon ก็อารมณ์ประมาณนี้เลย เราไม่ได้ขึ้นไปชมด้านบนของโซลทาวเวอร์ เพราะคิดว่าวิวคงไม่ต่างกัน ที่สำคัญมันต้องจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อนเราก็เลยพาเราเดินลงจากภูเขานัมซานไปขึ้นรถไฟที่ Myeongdong คือเดินอีกแล้ว ! อยู่เกาหลีใต้แค่ 3 วัน เดินจะครบร้อยกิโลเมตรแล้วมั้งเนี่ย
ถ้ามาเกาหลีแล้วไม่ได้กินหมูย่างเกาหลีก็เหมือนจะขาดอะไรไป เพื่อนเราก็เลยจัดให้ตามที่เราขอ ร้านที่พวกเราไปเป็นร้านธรรมดา ๆ แถวที่พัก คือจะบอกว่าทริปนี้กินไม่หรูแต่ก็ถูกปากทุกมื้อ ข้อดีอย่างหนึ่งของการพักใกล้มหาวิทยาลัยก็คือของกินเยอะมาก
ราว ๆ เที่ยงคืนทริปเกาหลีใต้ของเราก็จบลงอย่างไม่เป็นทางการที่ร้านนั่งเล่นเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง ก่อนที่เรากับเพื่อนจะแยกย้ายกัน เพราะวันรุ่งขึ้นเราต้องเตรียมตัวไปสนามบินแต่เช้า
เรามาทำอะไรที่นี่ ?
เป็นคำถามที่เราย้อนกลับไปถามตัวเองอีกครั้งหลังจากทริปสั้น ๆ ที่เกาหลีใต้ของเราจบลง ก่อนมาใคร ๆ ก็บอกว่าเกาหลีใต้ไม่มีอะไร และนั่นก็เป็นประโยคที่เราท่องซ้ำ ๆ มานานกว่า 2 ปี จริง ๆ แล้วเราอยากจะบอกว่า เราไม่มีทางรู้เลยว่าที่เกาหลีใต้มีอะไรน่าสนใจบ้างจนกว่าเราจะได้มาเห็นและสัมผัสด้วยตัวเอง บางครั้งภาพที่ผ่านสายตาของคนอื่นอาจจะเป็นคนละมุมกับที่เรามองเห็นก็ได้ อยู่ที่ว่าเราเลือกจะมองมุมไหน สำหรับเราเกาหลีใต้มีอะไรน่าสนใจมากกว่าที่คิดไว้เยอะมาก แต่ทริปนี้จะไม่ผ่านไปได้ด้วยดีถ้าเราไม่มีคนนำทางที่ดี เพื่อนเราพยายามบอกมาตลอดว่าเกาหลีใต้อาจจะไม่ใช่แบบที่เราคิดก็ได้ แต่เราก็บ่ายเบี่ยงมาเรื่อย ๆ คงจะไม่มีคำไหนที่ดีไปกว่า “ขอบคุณ” อีกครั้ง สัญญาว่าไปคราวหน้าจะออกกำลังกายไปล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณปลาทูตัวกลม สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม, เฟซบุ๊ก That\'s why I love to travel