เที่ยวหน้าฝน ชิล ๆ กับทริปแบ็คแพ็กนั่งรถตู้ไปเยือนเมืองแห่งธรรมชาติกาญจนบุรี พร้อมเช็กอินสถานที่ท่องเที่ยวฮิต ๆ ที่พักน่านอน
อยากไปเที่ยวกาญจนบุรีแต่ไม่มีรถ...ทำอย่างไรดี ??? คำถามนี้มีคำตอบหากคุณตามบันทึกการเดินทางของ คุณ a girl goes there* สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ไปเที่ยวกาญจนบุรีชิล ๆ แบบไม่มีรถส่วนตัว ไปทำตัวสโลว์ไลฟ์ล่องแพ นอนริมน้ำชิล ๆ กันดีกว่า รับรองว่าทริปนี้สนุกสนานไม่แพ้ใครเลยทีเดียว
"เธอ ๆ เราอยากนั่งรถไฟไปเที่ยวอะ" พูดเสร็จก็นั่งดูรีวิวพันทิปกับค้นข้อมูลว่าจะไปไหนกันดี...ที่ที่ไม่ไกล กรุงเทพฯ มาก ได้นั่งรถไฟ เที่ยวในเมืองได้แบบไม่ต้องใช้รถ มาเตะตาที่กาญจนบุรีนี่ล่ะ มีครบทุกออปชั่น
เราได้แรงบันดาลใจมาจากกระทู้นี้ด้วยค่ะ : รีวิว แบกแป้เที่ยวเมืองกาญด้วยงบ 1,700 บาท ที่ The For Rest Resort อยากไปทำตัว Slow Life ล่องแพ นอนริมน้ำชิล ๆ บ้าง แต่ไม่อยากไปแค่วันเดียวกลับน่ะสิ อยากเที่ยวที่อื่นด้วย..เลยตัดสินใจเพิ่มเป็น 3 วัน 2 คืน !
แผนคร่าว ๆ ของทริปนี้คือวันแรกขึ้นรถไฟที่สถานีธนบุรี-ตามรอยทางรถไฟสายมรณะ-กลับมา เที่ยวต่อในตัวเมือง วันที่สองต่อรถจากสถานีขนส่งไปที่ The For Rest Resort
แต่ !!! โชคชะตาก็ไม่เข้าข้างเราเท่าไร หลังจากจองที่พักเสร็จเรียบร้อยขณะที่กำลังหาตารางเวลารถไฟอยู่ ก็มีข้อมูลเด้งมาว่า "การรถไฟปิดปรับปรุงทางรถไฟช่วงสถานีหนองปลาดุก-กาญจนบุรี" ทำไม...ทำไมต้องมาปิดตอนที่เราจะไปด้วยวะแก ???
เปลี่ยนแผน ๆ จากที่เราจะนั่งรถไฟจากกรุงเทพฯ ไป เราก็ไปนั่งที่กาญจน์เลยละกัน !
ติดตามภาพเพิ่มเติมและพูดคุยกันได้ที่นี่เลยค่า (???)
Facebook : facebook.com/bebeebies
IG: bebeebies
++ แวะชมกระทู้เที่ยวทริปก่อนหน้านี้ได้นะคะ ++
TAKE ME TO JAPAN ? : เดินเล่น สะพายกล้อง ท่องญี่ปุ่น ฉบับเด็ก(เพิ่งจบ)มัธยม
SEA YOU SOON, SATTAHIP : เกาะกระแสแสมสาร พาเที่ยวสัตหีบแบบบ้านๆ ver. ไม่มีรถ
JUNE 16, 2015
EP.1 ... "สายแล้ว"
ปลุกตัวเองตั้งแต่ตี 5 ไปถึงอนุสาวรีย์ชัยประมาณ 6 โมงครึ่ง คุณเพื่อนที่ถึงก่อนโทรมาบอกว่า “คนขายตั๋วยังไม่มาเลยเธอ" ถามย้ำอีกครั้งว่าใช่ตรงเซ็นจูรี่หรือเปล่า นางบอกใช่ ไปดูอีกคิวหนึ่งตรงวงเวียน คนขายมาแล้ว ซื้อตั๋วเสร็จสรรพ เขาบอกว่าประมาณ 7 โมง รถจะมา
07.15 น. ยังไม่มีวี่แววรถเลยจ้า เสียงลือมาแล้วว่ารถเสีย กว่าจะมาคงอีกนานแน่ ๆ ไอ้เราก็ร้อนใจกลัวจะไปไม่ทันรถไฟ ไม่รอแล้ว ! โทรไปถามวินแฮปปี้ที่ฝากเพื่อนดูเมื่อเช้า
"อ๋อ รถมีออกตั้งแต่ตีห้าครึ่งแล้วนะคะ" ทำไมถึงเจ็บขนาดนี้ ??? สรุปคือคุณเธอไปดูผิดที่นี่เอง (ตรงเซ็นจูรี่จะมีอยู่สองซอย ซอยที่ติดเซ็นจูรี่เลยกับอีกซอยที่ถัดไปอีก)
ได้ตั๋วปุ๊บ รถออกปั๊บ หมดปัญหาไปไม่ทันแล้ว ^__^ ค่ารถ 120 บาทค่ะ
10 โมงนิด ๆ มาถึงสถานีขนส่งกาญจนบุรีในเวลาเฉียดฉิว ไม่มีเวลากลับไปเก็บของที่ที่พักแล้ว :< สะพายกระเป๋า กระโดดขึ้นวินมอเตอร์ไซค์แล้วไปนั่งรถไฟฟรีกัน ! จากสถานีขนส่งมาสถานีรถไฟกาญจนบุรีค่าวินคนละ 30 บาทจ้า
มาถึงสถานีแล้วก็ยื่นบัตรประชาชนรับตั๋วรถไฟฟรีเลย เราไม่ได้ไปถึงสถานีน้ำตกนะคะ ไปสุดแค่ถ้ำกระแซค่ะ จุดชมวิวที่เลื่องลืออยู่ที่นั่น แล้วก็จะได้เดินบนทางรถไฟด้วย
EP.2 ... "ระหว่างทาง"
รถไฟมาแล้ว อากาศไม่ร้อนมาก ลมพัดเย็นตลอดทาง ^__^
ระหว่างนั่งรถไฟก็จะมีคนมาขายอาหาร เครื่องดื่ม ที่ติดใจที่สุดคือนี่เลยค่ะแพนเค้ก จริง ๆ มีโดนัทด้วย อร่อยง่าย ๆ ในราคาชิ้นละ 10 บาท
แป๊บเดียวก็ถึงสะพานข้ามแม่น้ำแควแล้ว
"It’s all about the journey, not the outcome."
"ทางรถไฟสายมรณะ" ว่ากันว่าสะพานถ้ำกระแซนี้เป็นสะพานไม้ทางรถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทยค่ะ สร้างในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้เวลาสร้างเพียง 17 วันเท่านั้น เวลามีคนเดินสวนมาทีก็เสียววาบเลย อย่ามองลงไปข้างล่างเชียว !
ตรงนี้เป็นร่องรอยการระเบิดภูเขาค่ะ
นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเยอะมาก ๆ เลย
หลังจากแวะพักทานข้าวกลางวันร้านแถว ๆ สถานี รถไฟขากลับก็มาถึงแล้ว
พยายามจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในทุ่งอีเธอร์ (จริง ๆ แล้วคือไร่ 5555)
กลับมาที่สะพานข้ามแม่น้ำแควแล้วค่ะ วิวแม่น้ำสวยมาก
ได้มาอยู่ในมุมมองของคนบนรถไฟบ้างก็แปลกดี
ต่อจากนี้จะไปเก็บของที่ที่พักแล้วออกไปเที่ยวในเมืองกันค่ะ
EP. 3 ... "คนกาญจน์ใจดี"
เราลงที่สถานีสะพานข้ามแม่น้ำแควค่ะ ที่พักเราอยู่ในแถบถนนนานาชาติ ชื่อ BURE Homestay ค่ะ ราคาคืนละ 700 บาท โบกวินไป 20 บาท บอกเขาว่าถนนสิงคโปร์ก็จะเจอตึกแถวแบบนี้ (ยืมรูปในกูเกิลมานะคะ ไม่ได้ถ่ายข้างหน้ามา)
เข้าไปติดต่อก็จะเจอคุณลุงเจ้าของที่พัก เขาบอกว่าช่วงนี้เป็น Low season เลยจะเงียบ ๆ หน่อย ความประทับใจใน Service Mind ของคุณลุงที่มี 10 ให้ 100 เลยค่ะ ดูแลได้สบายใจเหมือนอยู่บ้าน เราบอกคุณลุงว่าอีกสักพักจะออกไปสุสานสัมพันธมิตร เขาก็จัดแจงนัดเวลาเรียกรถให้เลยค่ะ อยากจะขอบคุณรัว ๆ ;___;
แนะนำการเดินทาง : การเดินทางในเมืองราคาวินมอเตอร์ไซค์กับสามล้อ (แบบซาเล้ง) จะเท่า ๆ กันค่ะ ต่างกันบวกลบไม่เกิน 10 บาท บางทีถ้านั่งวินแล้วไป 2 คน เขาจะให้ซ้อน 3 ซึ่งมันค่อนข้างลำบาก แนะนำให้นั่งสามล้อดีกว่า สบายกว่า 5555555
หน้าตาห้องพักค่ะ ดูใหม่และสะอาดมาก มีโต๊ะเครื่องแป้ง ทีวีเคเบิล ไม้แขวนเสื้อผ้า และปลั๊กพอสำหรับชาร์จมือถือและกล้องแน่นอนค่ะ ห้องน้ำจะอยู่ด้านนอกนะคะ มีสบู่-แชมพูให้ หน้าห้องก็มีโซฟากับพัดลม เผื่อใครจะซื้ออะไรมานั่งทานสังสรรค์กันตอนดึก ๆ 5555
ประมาณ 4 โมงครึ่งเราก็ลงมาข้างล่าง พี่สามล้อที่นัดไว้เดินทางมาถึงแล้ว บอกเขาว่าไปสุสานสัมพันธมิตรค่ะ ห่างจากที่พักนิดเดียว
"สุสานสัมพันธมิตรดอนรัก" แห่งนี้เป็นสุสานของเชลยศึกสัมพันธมิตรที่เสียชีวิตในระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะค่ะ
ฟ้าครึ้มมาก ทำให้บรรยากาศครึ้มไปอีก
หลังจากเดินถ่ายรูปได้ไม่นานฝนก็ตก ตอนแรกว่าจะไปเดินเล่นที่ถนนปากแพรกค่ะ แต่ไม่ทันแล้ว คงต้องกลับที่พัก เลยโทรเรียกพี่สามล้อคนเดิมมารับ รอสักพักพี่เขาก็มาถึง แต่เขาบอกว่าขอติดคุณครูมาด้วยคนหนึ่งนะ เดี๋ยวพาคุณครูไปส่งงานก่อนแล้วจะพาไปส่งที่พัก คุณครูบอกว่าถ้าอย่างนั้นพาน้องเขาเที่ยวเมืองเลยสิ ! เราเลยมีโอกาสเที่ยวรอบเมืองไปด้วย ในบรรยากาศฝนตกปรอย ๆ แบบนี้ล่ะ บังเอิญคุณครูที่นั่งมาด้วยกันสอนประวัติศาสตร์พอดี เขาเลยเล่าเรื่องให้ฟังว่าเมื่อก่อนสถานที่ไหนเคยเป็นอะไรมาก่อน
ตรงนี้เป็นประตูเมืองเก่าค่ะ ... "ถ้ามากาญจนบุรีแล้วไม่ได้ผ่านประตูเมืองแสดงว่ามาไม่ถึงนะ" คุณครู กล่าว
ส่วนนี่เป็นกำแพงเมืองค่ะ คุณครูบอกว่าสมัยก่อนเนี่ย.."คนที่เกิดอยู่ในกำแพงเมืองจะเรียกว่าเด็กใน เมือง ส่วนคนที่อยู่นอกกำแพงฝั่งแม่น้ำแควจะเรียกว่าเด็กนอกเมือง" ส่วนบ้านของคุณครูอยู่ถัดจากกำแพงมานิดเดียว เลยได้เป็นเด็กในเมืองค่ะ 55555
ตรงใกล้ ๆ กำแพงจะมีไปรษณีย์หน้าเมือง เป็นที่ทำการไปรษณีย์เก่าที่ตอนนี้ปิดบริการไปแล้ว รอวันโดนปลวกแทะ...(ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ T_T)
นั่งรถไปเรื่อย ๆ ก็ผ่าน "วัดไชยชุมพลชนะสงคราม" ค่ะ คุณครูบอกว่าวัดนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ตอนที่ไทยรบกับพม่า ก่อนไปออกรบทุกครั้งจะต้องมาทำพิธีตัดไม้ข่มนามกับลอดซุ้มประตู เพื่อความเป็นสิริมงคลและให้ได้รับชัยชนะกลับมา
ซุ้มประตูเก่าในวัดค่ะ
ข้าง ๆ วัดก็จะเป็น "พิพิธภัณฑ์สงครามอักษะและเชลยศึก" ค่ะ แต่เราไม่ได้เข้าไป เนื่องจากมันเย็นมากแล้ว เขาปิดแล้ว ภายในพิพิธภัณฑ์ก็จะเป็นที่เก็บรวบรวมภาพถ่าย เครื่องมือ อาวุธสงครามในสมัย WWII
หลังจากไปส่งคุณครู พี่สามล้อก็พาขับผ่านถนนปากแพรกค่ะ ถนนนี้ก็จะมีบ้านเรือนเก่า ๆ ที่อยู่มาตั้งแต่สมัยสงครามโลก ที่นี่เป็นจุดมุ่งหมายของพรุ่งนี้ค่ะ ทัวร์รอบเมืองครั้งนี้มีค่าเสียหาย 60 บาท ฟังไม่ผิดค่ะ 60 บาทจริง ๆ พี่เขาตั้งใจพาเราไปทัวร์ แถมเล่าเรื่องให้ฟังอีก ประทับใจมาก ๆ
แถวที่พักจะมีร้านอาหารเต็มไปหมดเลย สเต๊ก หมูกระทะ ข้าวต้ม อาหารตามสั่ง คาเฟ่ เต็มที่เลย ถ้าเดินเลยเข้าไปอีกนิดจะเจอพวกบาร์ ตอนกลางคืนจะครึกครื้นมาก นักท่องเที่ยวฝรั่งก็เยอะค่ะ
EP.4 ... "ปั่นจักรยานเที่ยวเมืองเก่ากัน"
หลังจากเมื่อวานพี่สามล้อได้พาเราไปเซอร์เวย์พื้นที่ วันนี้เราก็จะไปลุยเองแล้ว ... มื้อเช้าที่ที่พักค่ะ
ก่อนจะออกเดินทางเราก็ต้องหาตัวช่วยก่อน นั่นก็คือจักรยาน !
จริง ๆ เช่ามาตั้งแต่เมื่อวานเย็นในราคา 50 บาท จำกัดเวลา 24 ชม. (ก็คือสมมุติเช่า 6 โมงเย็น ก็คืน 6 โมงเย็นอีกวันถัดไป) ช่วยแบ่งเบาภาระไปได้เยอะเลยค่ะ ถ้าเดินนี่เหนื่อยหอบแน่นอน เจ้าของกระทู้เช่าที่ร้านนี้ค่ะ เพราะมันใกล้ที่พักสุด 5555
จากนั้นเราก็ปั่นมาชมวิวตอนเช้า ๆ ที่ "สะพานข้ามแม่น้ำแคว" ค่ะ ใครอยากมาถ่ายรูปแบบไม่ถูกแย่งซีน แนะนำให้มาเช้า ๆ บอกเลยว่าไม่มีคนเลย ไปยืนแชะรูปตัวเองรัว ๆ 5555
หลังจากเดินเล่นแถวสะพานเสร็จเราก็จะปั่นยาว ๆ ไปที่ "ถนนปากแพรก" ค่ะ ถ้ามาวันเสาร์-อาทิตย์จะมีถนนคนเดินด้วยนะ (จิ้มดูแผนที่ถนนปากแพรกได้เลยค่ะ)
จุดมุ่งหมายแรกคือ "ร้านกาแฟสิทธิสังข์" ค่ะ ไปนั่งจิบกาแฟชิค ๆ ชิล ๆ ซะหน่อย ปกติเราจะชอบร้านที่โมเดิร์น ๆ นะ แต่สไตล์โบราณแบบนี้ก็สวยไปอีกแบบ
ความวินเทจที่ลงตัว
ร้านนี้มีอายุมากกว่า 90 ปีแล้ว อยู่มาตั้งแต่สมัยสงครามโลก บรรยากาศน่ารักและอบอุ่นด้วยโทนสีเหลืองกับกลิ่นกาแฟหอม ๆ ^____^
รูปครอบครัว : พี่เจ้าของร้าน (ซึ่งเป็นเหลนของคนสร้างบ้านสิทธิสังข์นี้) บอกว่าคนที่เด็กที่สุดในรูปนี้ (น่าจะเป็นคุณทวด) ปัจจุบันอายุ 93 ปีแล้วค่ะ
ส่วนนี่คือพี่เจ้าของร้านค่ะ ใจดีมาก (โดนแอบถ่าย) มาชวนคุยและเล่าประวัติของที่นี่ให้ฟังด้วย
หลังจากนั่งชิลอยู่นานสองนาน เราก็ออกไปปั่นจักรยานกัน ไปดูวิถีชีวิตชุมชนและก็บ้านสมัยสงครามโลกค่ะ บ้านแต่ละหลังที่ถูกอนุรักษ์ไว้จะมีป้ายตั้งไว้บอกชื่อบ้าน เจ้าของ สถาปัตยกรรม ฯลฯ บางบ้านก็ยังคงกิจการเดิม บางบ้านก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแล้ว ... หลังนี้โดดเด่นที่ระเบียงค่ะ
ส่วนหลังนี้ในอดีตเป็นร้านขายยาแผนโบราณ เป็นมรดกมาจาก คุณบุญผ่อง สิริเวชชะภัณฑ์ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนช่วยเชลยศึกและฝั่งสัมพันธมิตร เหมือน Schindler\'s List ของเมืองไทยเลยค่ะ
หลังนี้เคยเป็นร้านขายเพชร
หลังนี้เป็นร้านขายปืนค่ะ ปัจจุบันก็ยังขายอยู่ ไม่กล้าถ่ายหน้าร้านมาค่ะ 555
หลังนี้โดดเด่นที่กันสาดกันแดดรูปรังผึ้งค่ะ ในป้ายเขียนว่าค่าก่อสร้างสมัย 80 ปีที่แล้วประมาณ 9,000 บาท
หลังนี้เป็นโรงแรมค่ะ สร้างก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถ้าโรงแรมแห่งแรกจะเป็นโรงแรมสุมิตราคาร (ตอนนี้เป็นร้านขายสัตว์เลี้ยงไปแล้ว)
หลังนี้ชื่อบ้านศิวภาค่ะ เขาบอกว่าปู่ของเจ้าของบ้านคนปัจจุบันเป็นคนสร้างบ้านหลังนี้เอง เด่นตรงมีกลิ่นอายความเป็นจีนอยู่
หลังนี้อยู่ติดกัน ชื่อร้านศรีจำนงพาณิชย์ค่ะ เมื่อก่อนเป็นร้านขายของป่า
จริง ๆ มีอีกหลายหลังมากค่ะ ส่วนหนึ่งคือมีรถจอดบังด้านหน้า เลยถ่ายเก็บมาไม่ได้ T__T
แวะพักทานอาหารกลางวันกันค่ะ แอบเห็นร้านอาหารญี่ปุ่นเล็ก ๆ พิกัดอยู่เลยร้านกาแฟสิทธิสังข์ไปนิดหนึ่งค่ะ รสชาติดี เจ้าของร้านเป็นกันเอง ราคาไม่แพงค่ะ แคลิฟอร์เนียมากิอร่อยยยยยยย :>
หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็กลับที่พัก เก็บกระเป๋าเตรียมตัวไปล่องแพ เผื่อเวลาไว้ให้ดี ๆ นะคะ เพราะล่องแพมีรอบประมาณ 4-5 โมงเย็น
EP.5 … "สดชื่นนนนน"
หลังจากเก็บข้าวของเสร็จเราก็ไปเช็กเอาท์ค่ะ คุณลุงที่พักถามว่าจะไปไหนกันต่อ เราก็บอกว่าจะไปล่องแพแถวทองผาภูมิ คุณลุงเลยอาสาไปส่งที่สถานีขนส่งค่ะ T_T ใจดีมาก บริการเต็มร้อยจริง ๆ
มาถึงสถานีขนส่งก็มองหาป้ายนี้แล้วไปซื้อตั๋วกันเลยค่ะ คนละ 115 บาท
นั่งรถไปก็ลุ้นไป ฟ้าครึ้ม ๆ ละ ระหว่างทางฝนก็ตก ๆ หยุด ๆ บางจุดก็หนักมาก เริ่มใจไม่ค่อยดี จะได้ล่องแพไหมวันนี้ 5555555 ... บอกรถตู้ว่าลงป้ายบ้านแก่งจอค่ะ จุดสังเกตคือป้ายนี้ ถ้าถึงแล้วบอกให้จอดเลย
ลงแล้วก็โทรให้รถรีสอร์ทมารับค่ะ แต่พอดีมีอีกกลุ่มหนึ่งเขาเรียกมาพอดี เลยติดเข้าไปด้วย
ถึงแล้ววววว "The For Rest" ค่าเสียหายหัวละ 1,000 บาท รวมแพ็กเกจล่องแพและบุฟเฟ่ต์อาหารเช้า-เย็นค่ะ
แค่มองจากข้างบนก็ตื่นเต้นแล้วค่ะ น้ำใสมากกกกกกก บรรยากาศดีมาก
ลงมาเช็กอินที่เคาน์เตอร์ข้างล่างค่ะ ของเราได้ที่พักฝั่งขวามือ เดินเลยไปนิดหน่อย (Wi-Fi ที่นี่เล่นได้แค่ตรงห้องอาหารนะคะ รหัสอยู่บนเคาน์เตอร์เช็กอินเลยจ้า)
หน้าห้องพักจะมีเปลให้นอนเล่น ตากลมเย็น ๆ จ้า
บรรยากาศในห้องพักค่ะ ไม่มีตู้เย็นกับทีวีนะคะ แนะนำให้พกปลั๊กสามตามาเผื่อด้วย ในห้องมีแค่ 2 ช่อง คนที่พกทั้งมือถือทั้งกล้องนี่ต้องสลับกันตื่นมาชาร์จ 5555555555
นั่งเล่นอยู่หน้าห้องสักพักก็ถึงเวลาแล้วที่จะไปทิ้งตัวลงน้ำ...เย่ คนเยอะมาก ๆ ค่ะ จะมีพี่เจ้าหน้าที่คอยช่วยใส่เสื้อชูชีพ คนว่ายน้ำไม่เป็นก็บอกพี่เขาได้นะคะ จะมีคนดูแลตลอด
ออกเดินทางแล้ว ฮี่ ๆ
หนึ่งในพี่เจ้าหน้าที่ค่ะ จะโดดแล้วววววววว
เราฝากกล้องไว้กับพี่แก๊งหนึ่งค่ะ หลังจากนั้นก็กระโดดตูมลงน้ำไปเลย 555555555 สดชื่นมากกกกกก จะมีพี่ที่ดูแลบอกเรื่อย ๆ ว่าจุดไหนเป็นน้ำวนให้ว่ายเลี่ยงค่ะ ระยะทางจากจุดที่ล่องแพไปถึงที่พักประมาณกิโลเมตรกว่า ๆ ระหว่างนั้นฝนก็ตกหยิม ๆ อยากให้ลองดูสักครั้งจริง ๆ
ใครอยากพายเรือก็มีให้บริการนะคะ แต่คิวยาวหน่อย หรือจะใส่ชูชีพกระโดดน้ำเล่นต่อตรงหน้าที่พักก็ได้ค่ะ
ว่ายมาถึงที่พักก็มานั่งตากลมตรงห้องอาหาร จะมีพวกมาม่าและขนมกรุบกรอบขายอยู่ แต่ราคาจะสูงขึ้นนิดหนึ่ง เราเลยมากินไอศกรีมแทน
นอนเปลกันชิล ๆ เนอะ เป็นวันที่รีแลกซ์อย่างแท้จริง
ประมาณหกโมงครึ่งจะเริ่มมีอาหารบุฟเฟ่ต์มาตั้งค่ะ คนก็มาจับจองโต๊ะกัน โดยเฉพาะโต๊ะแถวริมน้ำนี่ไปไวมาก
หน้าตาของบุฟเฟ่ต์อาหารเย็นค่ะ ไม่ได้ถ่ายมาเยอะ รีบกิน 555555
แสงตอนเย็น ๆ นี่สวยมาก
บรรยากาศตอนกลางคืนค่ะ มีทั้งกีตาร์ มีทั้งคนดื่ม มีทั้งออกมานั่งเล่นหน้าห้อง หรือจะไปนั่งใช้ Wi-Fi ตรงห้องอาหารก็ได้นะ
เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้วก็ขอไปพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนนะ zzZZZ
JUNE 18, 2015
EP.6 ... "บ๊ายบายกาญจนบุรี"
ตื่นเช้ามาเจออากาศที่สดใส น้ำเชี่ยวมากค่ะตอนเช้า ฝนเพิ่งตกไปก่อนตื่น
อาหารเช้าวันนี้มีข้าวผัดผงกะหรี่กับอเมริกันเบรกฟาสต์ มีแพนเค้กด้วยนะ แต่ไปแย่งกับเขาไม่ทัน TT
หลังทานข้าวเสร็จก็เช็กเอาท์เตรียมตัวกลับ จริง ๆ ด้านบนมีสระน้ำให้บริการนะคะ แต่ไม่ได้มาเล่นเลย
ข้างหน้าจะมีคุณป้าขายรูปที่ระลึกที่แอบถ่ายเราตอนล่องแพค่ะ 55555 ใครอยากเก็บไว้ก็ซื้อได้ ให้รถที่รีสอร์ทออกมาส่งตรงศาลาหน้าซอยค่ะ จุดนี้เป็นสมาคมคนรอรถเมล์ 5555
ระหว่างรอฝนก็ดันตกค่ะ บรรยากาศอึมครึมมาก เหล่ามนุษย์ผู้รอรถเมล์ด้วยกันก็เริ่มบ่นละ จะโบกรถคนแถวนี้ไปดีไหม...แต่โชคดีค่ะ รออีกไม่นานก็มีรถเมล์ผ่านมา (คนละ 60 บาท)
ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง รถเมล์ก็มาส่งถึงสถานีขนส่งค่ะ กลับกรุงเทพฯ ด้วยวินแฮปปี้เช่นเดิม ^^
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทริปประมาณ 2,400 บาทค่ะ รายละเอียดตามนี้
ที่พัก
- BURE Homestay 700 บาท/2 = 350 บาท
- The For Rest 1,000 บาท
เดินทาง
- รถตู้กรุงเทพฯ-กาญจนบุรี 120 บาท
- วินจากสถานีขนส่ง-สถานีรถไฟ 30 บาท
- รถไฟฟรี
- วินกลับที่พัก 20 บาท
- เช่าจักรยาน 50 บาท
- สามล้อ 60+20 = 80 บาท
- รถตู้กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ 115 บาท
- รถเมล์ 60 บาท
- รถตู้กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ 120 บาท
- ค่าอาหารทั้งหมด 368 บาท
ถือว่าคุ้มมากสำหรับ 3 วัน ที่ได้นั่งทั้งรถไฟและล่องแพ เป็นทริปที่ประทับใจทั้งเมืองกาญจนบุรีและคนกาญจน์เลยค่ะ ^^ ไว้มีโอกาสจะมาอีกครั้ง
จบแล้วค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมและติดตามนะ เจอกันทริปหน้าค่ะ ^__^
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ a girl goes there* สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก Bibies Stsn