
1 ปีที่ผ่านมากับการแบกเป้ลุยเดี่ยว เที่ยวไม่มีแผน เล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือ 12 ประเทศ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอมขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ The Walking Backpack สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม, เฟซบุ๊ก The Walking Backpack, thewalkingbackpack.com และ Instagram punpuapipat
ใคร ๆ มักคิดว่าการเดินทางคือการพักผ่อน ได้ไปท่องเที่ยวให้สนุกสนาน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง แต่วันนี้เราได้หยิบเอาอีกหนึ่งบันทึกการเดินทางของ คุณ The Walking Backpack สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม กับ1 ปีที่ผ่านมาในการแบกเป้ลุยเดี่ยว เที่ยวไม่มีแผน พร้อมเล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือ 12 ประเทศ [The Walking Backpack] มาฝากกัน เพราะเราเชื่อว่าหากคุณได้อ่านจบแล้วจะรู้ว่า ในการเดินทางไปท่องเที่ยวมันมีอะไรมากกว่าการได้ไปเที่ยว อาจเพราะการออกไปพบเจอโลกกว้างในแต่ละครั้ง มีอะไรมากมายซุกซ่อนอยู่ในนั้นอีกเพียบ ขึ้นอยู่ที่ว่าคุณจะมองมันจากมุมไหน อีกทั้งบันทึกการเดินทางนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครที่กำลังอยากค้นหาความต้องการจริง ๆ ของตัวเอง ^^ เอาล่ะ...ลองไปชมกันเคยค่ะ






แนะนำตัวนิดนะครับ
สวัสดีครับผมชื่อปั้น ปัจจุบันเป็นนักเรียนวิศวะปี 4 ที่ประเทศสิงคโปร์ ผมหลงใหลการท่องเที่ยวเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ หลาย ๆ คนเลยอาจจะเคยได้อ่านกระทู้เดินทางปีที่แล้วของผม เป็นกระทู้เปลี่ยนชีวิตเลยละครับ หรืออาจจะรู้จักผมในนาม ปั้น The Walking Backpack บนเฟซบุ๊ก (ผมทำเพจเกี่ยวกับการเดินทาง www.facebook.com/TheWalkingBackpack) วันนี้ผมจะขอมาเล่าเรื่องการเดินทางต่อจากกระทู้ปีที่แล้ว หลังจากอีก 1 ปีที่ผ่านไป ผมได้ไปไหน เรียนรู้อะไรจากการเดินทาง ประสบการณ์บ้า ๆ เพื่อนใหม่ที่ได้เจอ และการเป็นนักเดินทางอย่างจริงจัง หลังจากมีคนให้ความสนใจเพจเฟซบุ๊กของผม
ขอเล่าย้อนไปนิดหนึ่งครับ
เมื่อสองปีที่แล้วผมเริ่มออกเดินทางคนเดียว เพราะว่าเพื่อน ๆ ไม่ว่างไปเที่ยวด้วย ความกลัวในการเดินทางครั้งแรก คือ กลัวว่าจะรอดไหม จะปลอดภัยไหม จะมีที่นอนไหม และที่สำคัญสุดจะต้องกินข้าวคนด้วยไหม ความกลัวเหล่านั้นก็ได้ถูกกำจัดทิ้งไปหลังจากที่ผมออกเดินทางครั้งแรก เพราะผมได้ไปเจอเพื่อนร่วมทางที่น่ารัก เป็นกันเอง ตลอดการเดินทางผมมีความสุขมากแทบไม่ต้องกินข้าวคนเดียวเลย ค่อนข้างปลอดภัย มีเหงาบ้างแต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง
ผมหลงรักการแบ็คแพ็กคนเดียวตั้งแต่ทริปแรกที่ไปมาเลเซีย จากนั้นมาผมก็ชอบการเดินทางคนเดียวตลอด บางคนอาจจะบอกว่าการไปเที่ยวคนเดียว แปลก ติสแตก พึ่งเลิกกับแฟนมาแน่ ๆ แต่ผมว่าไม่นะครับ ผมชอบความอิสระในการเดินทางคนเดียว อยากหยุดที่ไหนก็หยุด อยากพักก็พัก อยากทำอะไร ด้วยเหตุนี้การเดินทางของผมจึงไม่แทบจะไปมีแผนเลย ไม่มีการจองที่พัก ไปตายเอาดาบหน้า ค่ำไหน นอนนั้น ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติมากที่สุด เดินทางไปตามใจ สิ้นปีที่แล้ว ผมโพสต์เรื่องราวของผมบนพันทิป บนกระทู้นี้ : http://pantip.com/topic/31398537
ปรากฏว่ามีคนสนใจเรื่องราวของผมมากมายมหาศาล คนกดไลค์เพจเพิ่มจาก 700 เป็น 30,000 ไลค์ IG จากเล่น ๆ กับเพื่อนกัน 300 คน มีคนมาฟอลโลเป็นหมื่น ในเวลาไม่กี่วัน ผมก็อึ้ง ๆ มึน ๆ ไปหลายวันเหมือนกัน ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็ยังเดินทางเรื่อย ๆ เหมือนเดิม แต่ผมเริ่มจริงจังกับการเล่าเรื่องราวการเดินทางผ่านตัวหนังสือมากขึ้น ตั้งใจเขียนมากขึ้น จนมีโอกาสได้มาเขียนพ็อกเกตบุ๊ก
หนึ่งปีที่ผ่านมาไปไหนมาบ้าง
ปีที่ผ่านมาผมยังมีหน้าที่หลักเป็นนักเรียนเหมือนเดิม ผมต้องไปฝึกงานที่บริษัทวิศวะแห่งหนึ่งเป็นเวลา 6 เดือน และเรียนอีกเทอมหนึ่ง ผมเลยมีเวลาเฉพาะช่วงปิดเทอมยาวและช่วงลาหยุดงาน เอาไปเดินทางครับ โดยผมเดินทางไปทั้งหมด 12 ประเทศ แบ่งเป็น 3 ทริป
1.) Euro Trip : เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี ออสเตรีย เยอรมนี เช็ก ฮังการี
2.) อินโดนีเชีย (Yogakatra, Surabaya, Bali)
3.) มาเลเซียและสิงคโปร์
ผมว่า 3 ทริปก็เป็นจำนวนวันหยุดที่เราทุก ๆ คนพอจะหาเวลา หาวันลาหยุดกันมาได้ อาจจะไม่ต้องยาวมากเหมือนผม แต่ขอให้วางแผนเพื่อเราทุกคนจะได้มีโอกาสได้ไปเดินทางดูโลก
ถ้าใครสนใจติดตามการเดินทางของผมก็ตามกันได้ที่



และวิดีโอเจ๋ง ๆ หลาย ๆ อันที่นี่ครับ

กระทู้นี้ผมขอเขียนสไตล์เดิม เล่าเรื่องผ่านภาพนะครับใคร
1. รูปภาพมันเก็บมาฝากกันได้ แต่ประสบการณต้องออกไปลุยด้วยตัวเอง
เริ่มต้นปีด้วยทริปไล่ล่าภูเขาไฟที่เกาะ Java ครับ ผมไปทั้งหมด 3 ภูเขาไฟ Merapi, Bromo, Kawa Ijen แต่ที่นี่คงเป็นไฮไลท์ ภาพนี้ผมถ่ายตอนที่ผมเดินสำรวจปล่องภูเขาไฟ Bromo เป็นภาพถ่ายความเสี่ยงสูง ไม่มีอะไรกันผมพัดตกลงไปให้ปล่องภูเขาไฟเลย มันเป็นโซนที่ไม่ค่อยมีคนเดินไป วิวที่จุดนั้นสวยเกินคำบรรยายใด ๆ แม้ผมจะเก็บภาพนี้มาฝากทุกคนได้ แต่ไม่มีความพูดใด ๆ ที่สามารถอธิบายความรู้สึกตอนที่ยื่นอยู่ตรงนั้นได้ กลิ่นซัลเฟอร์จากปล่องภูเขาไฟมันเป็นยังไง ความเสียวลื่นตกปล่องภูเขามันเป็นยังไง ธรรมชาติมันแสนยิ่งใหญ่ รูปภาพมันเก็บมาฝากกันได้ แต่ประสบการณ์ต้องออกไปลุยด้วยตัวเองครับ
Java, Indonesia

2. ทริปที่สองของปี คือ ทริปมหากาพย์เดินทางรอบยุโรป 47 วัน ด้วยรถไฟ
โดยเริ่มต้นที่เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี ออสเตรีย เยอรมนี เช็ก ฮังการี มันคือทริปแห่งความบ้าระห่ำ โดยสิ่งที่ผมมีติดไปด้วย คือ เป้สองใบ กล้อง เต็นท์ และถุงนอน โดยผมใช้วิธีประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการนอนกางเต็นท์ตาม Campsite รอบ ๆ ยุโรป ไม่ต้องจองที่พัก ทำให้ผมเดินทางได้ตามใจอยาก
เป็นทริปที่สุดขั้วทั่วยุโรปมาก ทุก ๆ วันมันคือการผจญภัยลุ้นระทึก หัวใจแทบวายตลอดเวลา ลุ้นว่าวันนี้จะมีที่นอนไหม จะได้กินอะไร เจอกับใคร เพื่อนที่เจอจะชวนไปไหน ทุก ๆ วันจะได้เจอสถาปัตยกรรมระดับโลก เมืองที่สวยที่สุดในโลก อะดรีนาลินสูบฉีดทุกวัน จนผม overdrive ไปเลย ภาพนี้ผมถ่ายตอนที่เดินเล่นคนเดียวอยู่ริมแม่น้ำแซนในปารีส เป็นเมืองที่สวยจริง ๆ แต่ปารีสภายใต้ความสวยนั้น ก็เป็นเมืองที่มีปัญหามากมายหลาย ๆ อย่างสิ่งที่ผมคาดไว้ ก็ไม่เป็นเหมือนสิ่งที่ไปพบเจอ แต่ต้องยอมรับเลยนะครับว่า การเดินทางเป็นเวลาเกือบ 50 วัน เป็นช่วงเวลาที่นานมาก พละกำลังในการเดินทางค่อย ๆ หมดไปในแต่ละวัน ตอนที่เครื่องบินขากลับผมลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผมบอกกับตัวเองว่า
"นี่มันคงเป็นหนึ่งประสบการณ์ที่เยี่ยมที่สุดที่ชีวิตนายจะมีได้แล้วล่ะปั้น"
"แต่ถ้าให้ไปทำอีกรอบ ให้ตายยังไงกูก็ไม่ไปแล้วโว้ยยยยย"
Paris, France

3. โชคดีและโชคร้ายที่ผสม ๆ กันไป
ภาพนี้ผมถ่ายที่ริมแม่น้ำ IJ เมืองอัมสเตอร์ดัม ถ้าพูดถึงความโชคดี ภาพนี้คือโชคดีที่สุดตลอดทั้งปีแล้ว มันจะมีสักกี่ครั้งที่เราเดินทางอยู่แล้วเจอรุ้งเต็มวง และที่สำคัญเรามีกล้องเก็บภาพเอาไว้ แต่ตลอดปีที่ผ่านมาผมเจอโชคร้าย ๆ ระหว่างการเดินทางเยอะมาก โทรศัพท์โดนขโมยที่บาร์เซโลนา กระเป๋าตังค์หายที่บาหลี ฟิลเตอร์เลนส์ตกทะเลที่อิตาลี เกือบโดนปล้นในเบลเยียม นอนพื้น 1 คืนในสเปนเพราะไม่มีที่นอน แต่ท่ามกลางความซวยเหล่านี้ ผมก็เจอคนดี ๆ เพื่อนน่ารัก ๆ ตลอดการเดินทาง และที่สำคัญได้ประสบการณ์ดีกลับมาอีกเพียบ ทุกครั้งที่ผมเจอความซวย โชคร้าย ๆ ผมจะพยายามนึกถึงรุ้งเส้นนี้ครับและบอกตัวเองว่า โชคดีมันกำลังรอเราอยู่ เพราะในทุกโชคร้ายจะมีโชคดีปนมาเสมอ
Amsterdam, Netherland

4. ทำไม่ต้องหันหลังถ่ายรูป
คำตอบหล่อ ๆ เลยนะครับ คือ....ผมอยากเป็นแค่ส่วนประกอบของรูปภาพ แต่ไม่ใช้องค์ประกอบหลัก ผมอยากให้ความสนใจอยู่ที่สถานที่ ไม่ใช่รูปร่าง หน้าตา หรือเสื้อผ้าของผม แต่คำตอบจริงๆ อะเหรอครับ..... เวลาเดินทางหน้าตาผมแย่มาก ๆๆ หนวดไม่เคยโกน ผมไม่เคยหวี หันมาเดี๋ยวคนคิดว่านี่คือเพจผีท่องโลก
Yogyakarta, Indonesia

5. ไปเที่ยวคนเดียว ใครถ่ายรูปให้ ???
ในทุกการเดินทางผมจะมีกล้อง Canon 70D กับขาตั้งกล้องติดไปด้วย (ช่วงหลัง ๆ อุปกรณ์เริ่มเยอะขึ้นมากกว่านี้) ทุกรูปที่ผมจะตั้งเวลาถ่ายเองทั้งหมดนะครับ (ยกเว้นรูปใต้น้ำ) แต่ละรูปจะมีเทคนิคการถ่ายที่ต่างกันไป และมีการ Post-process ใน Photoshop ครับ สำหรับผมผมมองว่ารูปเหล่านี้คืองานศิลปะ ผมจะใส่จินตนาการเข้าไปอย่างเต็มที่ ทุกสถานที่ที่ผมไป ผมมองว่ามันคือโอกาสในการสร้างสรรค์ภาพถ่ายที่น่าสนใจ อย่างเช่นรูปนี้ที่ผมค่อนข้างภูมิใจ ถ่ายที่เมืองปราก ประเทศเช็ก บริเวณ Old Town Square สำหรับผมรูปถ่ายการเดินทาง คือ งานศิลปะสร้างสรรค์บนท้องถนนครับ
Prague, Czech Republic

ใครชอบรูปสวย ๆ แบบนี้ติดตามกันได้ที่นี่เลยนะครับ


6. เรียนอยู่ไปเอาเงินที่ไหนเที่ยว
อันนี้น่าจะเป็นคำถามที่ผมโดนถามมากที่สุด ปีนี้ 80% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นเงินของผมเองครับ โดยผมมีเงินเก็บมาจากการเขียนหนังสือ การฝึกงาน การทำงาน PR ในเพจของผม การทำงานอื่น เช่น ถ่ายรูป (ปีนี้ใครให้ผมทำอะไรผมทำหมดครับ) และเบี้ยเลี้ยงจากทุนการศึกษาของผม ส่วนที่เหลือมีผู้สนับสนุนการเดินทางที่น่ารักที่สุดอย่างคุณแม่ในยามฉุกเฉิน อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะอธิบาย ก็คือ การเดินทางมันไม่ได้แพงเหมือนที่ทุกคิด ในเมืองไทยนี้ถูกที่สุด 4 วัน สัก 3-4 พันก็อยู่ ในอาเซียน 4 วัน 4-5 พันบาท ก็ไปได้ ผมไปยุโรปทั้งทริปนี้ 47 วัน ผมใช้เงินไปประมาณ 1 แสนบาท และทริปอินโดนีเซีย 10 วัน ผมใช้เงินไปเกือบ ๆ 1 หมื่นบาท การเดินทางมันไม่ได้แพงขนาดนั้นครับ เพียงแค่คุณประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ไปเที่ยวผับคืนหนึ่งก็หลายพันละ ไม่กี่อาทิตย์ก็มีตังค์ไปเที่ยวแล้วครับ
Paris, France

7. อัมสเตอร์ดัมที่รัก
ปีที่ผ่านมาถ้าถามผมว่าเมืองไหน คือ เมืองที่ผมชอบที่สุด ผมว่าก็คงต้องเป็นอัมสเตอร์ดัม เมืองสวย น่ารัก คลองรอบ ๆ เมืองทำให้ที่นี่น่าอยู่มาก ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุขกับการปั่นจักรยานทั้งวัน แต่ที่สำคัญสุดคือแนวความคิดของคนเมืองนี้ เป็นเมืองที่มีความคิดอิสระ (Liberal) มากครับ เปิดรับไอเดียทุกอย่าง พร้อมที่จะสนุกเฮฮา มีคนจากทั่วทุกมุมโลกมาอาศัยอยู่ที่นี่
Amsterdam, Netherland


8. เมืองกัญชา
และสำหรับแบ็คแพ็กเกอร์ทุกคนในโลก อัมสเตอร์ดัมคือเมืองแห่งกัญชา ตอนแรกผมก็ตื่นเต้นมาก ชีวิตนี้ผมไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัสว่ากัญชามันเป็นยังไง ที่อัมสเตอร์ดัมนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกมาร่วมตัวกันที่นี่เพื่อสิ่งนี้ โดยมีร้านขายถูกกฎหมายอยู่ทั้งเมือง ไหน ๆ ก็มาถึงที่ละ มันก็ต้องลองหน่อยวะ ว่าแล้วผมก็เลยไปซื้อมาหนึ่งมวน แล้วรีบปั่นจักรยานกลับที่กางเต็นท์ กะว่าจะลองหน้าเต็นท์นั้นล่ะปลอดภัยสุด ๆๆ ละ บังเอิญข้าง ๆ เต็นท์มีวัยรุ่นดัตช์นั่งสูบกันอยู่ ผมลองไปจอยด้วย
"This is your first time ?" เด็กดัตช์ถามผม
"Yeah, in Thailand, I would go to jail for this !!!" ผมตอบไปว่ามีกัญชาเมืองไทยติดคุกหัวโตเลย
"Enjoy man, you will love it !"
เด็กดัตช์ก็จุดกัญชาให้ผม และลองสูดเข้าไปหนึ่งปื้ด...
ปรากฏว่า.....อ้อก ๆๆๆๆ สำลักกระจาย ไอค๊อก ๆ แค๊ก ๆ ผมอายมาก ทำไมเราอ่อนแบบนี้ 555555.........(จริง ๆ แล้วบุหรี่ผมยังสูบไม่เป็นเลย)
"What the hell is this, man ? Taste so bad" ผมถามเด็กดัตช์
"Welcome to Amsterdam !" ยิ้มตอบโคตรกวนเลย
คืนนั้นผมสูดไอ้กัญชาเจ้าปัญหาไปครั้งเดียว หลับยาวทั้งคืนเลย.....

ร้านบนถนนเหล่านี้ล่ะครับ คือ Coffee Shop ที่รัฐบาลอนุญาตให้ขายกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย

9. เมืองสุดผิดหวัง
ปารีส ปารีสที่สุดคลาสสิก ปารีสที่ผมคิดว่ามันจะสุดโรแมนติก แต่พอไปจริง ๆ นี้มันเมืองอะไรวะ รถไฟใต้ดินเหม็นฉี่โคตร ๆ เลย ทุกอย่างวุ่นวายยุ่งเหยิงมาก บ้าไปแล้ว และค่อนข้างอันตราย นี่อาจจะเป็นเพราะผมตั้งความหวังกับเมืองนี้มากจนเกินไป จะทำให้ผมผิดหวัง มุมสวย ๆ โรแมนติกมันก็พอมีนะครับ และปารีสก็ยังมีศิลปะมากมายให้ชื่นชมกัน แต่ผมมองว่านักท่องเที่ยวมันเต็มเมืองนี้จริง ๆ ไปไหนมาไหนมีแต่คนจีน ใครที่คิดจะมา Honeymoon ที่นี่ลองคิดใหม่นะครับ
Paris, France

10. ความอันตรายในการเดินทาง
ตลอดทั้งปีผมซวยหลายรอบมากกับโทรศัพท์หาย กระเป๋าตังค์หาย และอีกมากมาย แต่ไม่มีครั้งไหนที่จะซวยเท่ากับตอนที่ถ่ายรูปนี้ที่เมืองบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมแล้วครับ ผมรอถ่ายรูปนี้จนดึกมาก ๆ พอผมเดินกลับผมเจอกับพี่มืดคนหนึ่ง ทั้งถนนไม่มีคนเลยนอกจากพี่มืด คิดในใจ...งานนี้ซวยแล้วกู !!
"You You ! You Have Money ?"...พี่มืดตะโกนถาม
"No No No Money" ผมนี้กลัวแทบเป็นใบ้
"You Have Cigarette ??".... มันยังไม่ยอมอีกครับ
ผมเลยตัดสินใจ เอาวะโยนเหรียญยูโรลงพื้น แล้ววิ่งใส่เกียร์หมาหนีไปเลย วิ่งแบบไม่คิดชีวิต ล้มไม่ต้องลุก โชคดีวันนั้นรอดมาได้ แต่คราวหน้าอาจจะไม่โชคดีแบบนี้ เวลาไปไหนมาไหนดึก ๆ ก็ต้องระวังครับ
Brussels, Belgium

11. สถานที่ที่หลอนที่สุดของปี
ถ้าพูดถึงสถานที่สุดหลอนของปีนี้ที่ผมบ้าไปมา คงหนีไม่พ้นที่นี่ Speed Park ที่นี่คือสวนสนุกร้างตั้งอยู่กลางกรุงเบอร์ลิน ถูกปิดมาเกือบสิบปีแล้ว วิธีเข้าไปนี่ก็ลำบากมาก คุณจะต้องเดินไปเป็นกิโลจากสถานีรถไฟและปีนรั้ว !!!! ใช่แล้วครับต้องแอบปีนรั้วเอาไปข้างใน โดยข้างในน่ากลัวมาก เงียบเป็นป่าช้า แล้วผมก็ดันบ้าอยากเข้าไปถ่ายรูปตอนกลางคืน โคตรน่ากลัวเลย เกือบออกมาไม่ได้เพราะหลงทาง หาที่ปีนรั้วไม่เจอ
Berlin, Germany

การเข้าไปในสวนสนุกร้างแห่งนี้ เป็นอีกครั้งที่ผมบอกกับตัวเองว่า...ไม่น่าเข้าไปเลยกู

12. ทำไมต้องเดินทางคนเดียว
ในชีวิตของเรา เราแทบจะไม่มีอิสระอย่างแท้จริงเลย เวลาจะทำอะไร กินอะไร ไปไหน เราต้องคิดถึงผู้อื่นเสมอ ผูกชีวิตไว้กับครอบครัว เพื่อน ผมว่าคนไทยเป็นโรคนี้นะครับ โรคกินข้าวคนเดียวไม่ได้ อยู่คนเดียวแล้วรู้สึกเหงาอึดอัด แต่เวลาที่ผมเดินทางคนเดียว ผมเป็นตัวเองที่สุด อิสระสุด ๆ จะทำอะไรก็ได้ เห็นอะไรน่าสนใจก็หยุด เหนื่อยก็พัก ปลดปล่อยตัวเอง ทุก ๆ ปีแล้วหาเวลาให้ตัวเองเดินทางคนเดียวสักสองสามครั้ง ใช้ชีวิตตามใจตัวเองบ้าง ในช่วงเวลานี้คุณจะได้มีโอกาสคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต บางครั้งเรารีบใช้ชีวิตมากเกินไป รีบทำทุกอย่างจนลืมคิดไปว่า นั่นคือสิ่งที่เราต้องการในชีวิตหรือเปล่า
Yogyakarta, Indonesia

13. คุณค่าของทุกทริป
หนึ่งสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการเดินทางตลอดทั้งปีนะครับ คุณค่าของทุกทริปไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ระยะทาง จำนวนเงินที่เราจ่ายไป การไปเที่ยวสถานที่ใกล้ ๆ ในเมืองไทย อาจจะให้อะไร สอนอะไรเรามากกว่าการเดินทางไปไกล ๆ เสียเงินแพง ๆ ไปยุโรป แต่พอไปถึงไปแล้วเอาแต่ถ่ายรูปตัวเอง นั่งเล่นโทรศัพท์
ทุก ๆ ที่ ทุกเมืองมีเรื่องราวน่าสนใจเสมอ มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะเปิดตา เปิดใจ สังเกตรับรู้มันหรือไม่ ทริปนี้ที่ผมไปอินโดนีเซียมา 10 วัน ผมได้เจอกับคุณลุงชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ แดนเนียล ลุงเป็นคนที่เจ๋งมาก คือ คุณลุงพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก แต่แกเดินทางด้วย Photo Book มันคือสมุดเล่มหนึ่งที่มีรูปภาพของ โรงแรม แท็กซี่ อาหาร และทุกอย่างที่ต้องใช้ในการเดินทาง และเวลาที่ลุงแดนเนียลอยากได้อะไร ลุงก็จิ้มหนังสือเล่มนี้เอาครับ เล่มเดียวไปมาทั่วโลกกกกกกกก !!!!!
Probolinggo, Indonesia

บนปล่องภูเขาไฟโบรโม เวลาที่ลมพัดควันซัลเฟอร์มาทางเรา เราจะต้องรีบวิ่งหลบทันที่ ไม่อย่างนั้นอาจสำลักควันหายใจไม่ออกได้

นี่คืออีกภูเขาไฟอีกหนึ่งที่ครับ ชื่อว่า Kawa Ijen เป็นทะเลสาบบนปล่องภูเขาไฟ ทะเลสาบนี้เป็นกรดอย่างรุนแรงนะครับ ลงไปว่ายเปื่อยตายแน่

ก่อนผมกลับจากอินโดนีเซีย ผมมีเวลาว่าง 3 วัน ผมเลยบอกให้พี่คนขับสองแถวส่งผมลงบนหาดไหนก็ได้ในบาหลี ที่มีที่ดำน้ำสวย ๆ พี่แกทิ้งผมลงริมถนนแล้วบอกผมให้เดินไปอีกหนึ่งกิโลเมตร มาถึงหาดนี้ชื่อ Pemuteran เป็นหาดที่เงียบมาก ไม่มีคนเลย ตลอดสองวันผมไม่ทำอะไรเลยนอกจากดำน้ำและนอนเล่นบนชายหาด

14. หลายครั้งที่การเดินทางทุลักทุเลมากครับ
เช่นครั้งนี้ที่ผมต้องโบกรถ คนที่บาหลีบอกผมว่ารถบัสไม่มีวิ่งวันอาทิตย์ แต่จะมีรถมินิบัสสีแดงโบกได้ตามถนน บางครั้งเขาก็จอด บางครั้งก็ไม่ ผมเลยถามเขาว่าจะรู้ได้ยังไงว่ารถบัสสีแดงคันไหน พี่คนบาหลีตอบผมประมาณนี้
"เดี๋ยวมันมา นายก็จะรู้เอง"
พอรถบัสแดงมาถึงผมรู้เลยว่ามันคันนี้ บนหลังคามีผู้ชายนั่งอยู่ 3 คน มีซุ้มไก่ มีหมายื่นหัวออกมา ข้างในรถขนาด 10 ที่นั่ง อัดก็อยู่ข้างในอีกเกือบ 20 คน ผมต้องโหนที่ประตูเอา....แต่บนรถนะครับทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุขตลอดทาง ประสบการณ์แบบนี้ล่ะครับที่สอนเราว่าความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินในกระเป๋า
Bali, Indonesia

15. รูปที่ถ่ายยากที่สุดของปี
รูปนี้เป็นรูปที่ผมภูมิใจมาก ถ่ายยากที่สุดของทั้งปีละ ถ้าใครเคยไป Brussels นะครับจัตุรัส Grand place กลางเมืองเป็นจัตุรัสที่สวยงามมาก ๆ แต่การจะเก็บภาพของทั้งจัตุรัสไว้ในภาพใบเดียวเป็นเรื่องยากมาก ๆ แต่ด้วยความพยายามลองผิดลองถูก ผมใช้เทคนิค Panorama เอาภาพ 9 ภาพ มาต่อกันจนได้มาเป็นภาพนี้
Brussels, Belgium

16. ทริปใกล้บ้าน
ทริปนี้เป็นทริปสั้น ๆ แค่ 4 วันครับ โดยมีเป้าหมายเป็นการไปตามหาไร่ชาแสนสวยบน Cameron Highland เหมือนเดิมครับคือผมไม่มีการจองอะไร (ยกเว้นที่พักในเมืองที่มั่นใจว่าจะไปแน่นอน ผมขี้เกียจไปเดินหา 555) แต่ทริปนี้มีน้องชายของผมไปด้วย มันบอกว่าเห็นพี่ชายไปเที่ยวเยอะละ เลยขอไปบ้าง
ช่วงที่ผ่านมาผมโคตรรดีใจเลยเวลาเพื่อนสนิทหลาย ๆ คน หรือแม้กระทั่งเพื่อน ๆ ที่รู้จักกันในเพจ เริ่มออกไปเดินทางผจญภัยด้วยตัวเอง หลายคนกลับมาเล่าว่าชอบมากได้เรียนรู้อะไรดี ๆ ผมไม่ขอเอาความดีอะไรทั้งนั้น 555 ผมว่าทุกคนมีวิธีการเดินทางที่แตกต่างกัน บางคนชอบไปคนเดียว บางคนชอบไปกับเพื่อนสนิท อันนี้ไม่สำคัญครับ ขอให้ได้ไปก็พอ ไปเรียนรู้บทเรียนอันยิ่งใหญ่ที่โลกจะสอนเรา
Cameron Highland, Malaysia

ผมกับน้องชายเดินไป 5 กิโลเมตร เพื่อถ่ายรูปนี้ ขากลับโชคดีเจอคุณลุงคนไทยคนหนึ่งขับรถกลับมาส่ง คนไทยไม่ทิ้งกันจริง ๆ ครับ

และแถมของแปลกเมืองมะละกา
Malacca, Malaysia


17. บ้านเราผมก็ไปนะครับ
ปักษ์ใต้บ้านเราเนี่ย ทะเลสวยสุดในโลกแล้ว ทริปนี้เป็นทริปที่ผมไปกระบี่กับเพื่อนและครอบครัว
Krabi, Thailand


18. การสัมผัสชีวิตบนสองล้อ
หนึ่งสิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดเลยนะครับ คือ ชะโงกทัวร์ คือผมไม่ชอบมาก ๆ กับการไปแค่ถ่ายรูป ดู 10 นาทีแล้วไปที่อื่นต่อ ผมว่าการเดินทางที่ดีเราควรให้เวลากับเมือง ๆ นี้ ใช้ชีวิตแบบคนท้องถิ่น กินสิ่งที่เขากิน และสำหรับผมไม่มีวิธีไหนแล้วที่จะดีไปกว่าการสำรวจเมือง ๆ หนึ่งด้วยจักรยาน เราได้สูดกลิ่นเข้าไปเต็ม ๆ ปอด ได้ยินเสียงบนถนน ถ้าเป็นไปได้ผมอยากขึ้นจักรยานเที่ยวรอบโลกไปเลย
Amsterdam Nord, Netherland


19. การพยายามค้นพบตัวเองผ่านการเดินทาง
ความพยายามที่จะค้นพบตัวเองของผมเริ่มต้นตอนที่ผมไปบวชพระตอนปี 1 ผมเรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา แต่ผมไม่ได้ค้นพบตัวเองมากเท่าไร ต่อมาผมก็ตั้งเป้าหมายว่าผมจะพยายามค้นพบตัวเองผ่านการเดินทาง
ผ่านมาสองปีผมยังไม่มีโมเม้นท์ตรัสรู้แบบที่รู้สึกว่า "ใช่แล้ว นี่ละเว้ยเป้าหมายชีวิตกู กูจะไปเป็น......" แต่ทุก ๆ ครั้งที่ผมเดินทาง ผมจะเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น รู้ว่าตัวเองชอบอาชีพประมาณนี้ งานแบบนี้ ชีวิตแบบนี้ คนแบบนี้ และที่สำคัญกว่าคือผมเรียนรู้ว่า ผมไม่ชอบอะไร ไม่ชอบคนแบบไหน ไม่ชอบชีวิตแบบไหน ผมว่าชีวิตมันไม่มีหรอครับ วินาทีที่แบบอยู่ดี ๆ ก็คิดออกเฉยเลยว่าชีวิตต้องการอะไร แบบยูเรก้าโมเม้นท์ แต่ผมว่าชีวิต คือ ขั้นตอนการค่อย ๆ เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้นทีละนิดทีละน้อย ค่อย ๆ เข้าใจว่าตัวเองชอบไม่ชอบอะไร ผมว่านี่ละครับ คือ วิธีค้นพบตัวเองผ่านการเดินทาง
Bali, Indonesia

20. การปีนเขาที่โหดที่สุดของปี
การปีนภูเขาไฟ Merapi ที่ Solo เกาะจาวา เป็นสิ่งบ้าคลั่งที่สุดในปีนี้แล้ว มีหัวหน้าไกด์สองคน เราเริ่มปีนตอนเที่ยงคืน โดยเราจะถึงยอดเขาตอนพระอาทิตย์ขึ้นพอดี ทุกอย่างมืดมาก ผมลื่นข้อเท้าพลิกหลายรอบมาก เดินแทบไม่ไหว หนาวมาก โดยช่วง 120 เมตร สุดท้ายเป็นทางชัน 70 องศา คือพูดง่ายใช้มือปีนป่ายกันขึ้นไป พอเหลืออีก 50 เมตร คือเห็นยอดเขาละ ตะคริวแ-ดร-กขาผม !!!!!!!!!!!!!! มันจะมาแ-ดร-กอะไรตอนนี้ แต่เพื่อนอเมริกันผมคนที่ขึ้นไปถึงยอดแล้วมันตะโกนลงมาว่า
"Pun ! The view up here is the most ing amazing thing I’ve ever seen in my life. YOU HAVE TO SEE IT"
คำตะโกนของเพื่อนคนนี้ละครับ เป็นแรงผลักดันผมขึ้นไป
Solo, Indonesia

ระหว่างทางครับ วิวกลางคืนสวย ๆ ของ Yogyakarta กับวิญญาณนักเดินทางคนหนึ่ง รูปนี้ใช้เทคนิค Light Painting ด้วยให้เพื่อนช่วยครับ

วิวจากทางเดินลงที่สวยจนต้องกระโดด

21. Culture vs Party
ในหมู่แบ็คแพ็กเกอร์ทั่วโลกนะครับ ผมว่าน่าจะแบ่งได้สองประเภท คือ
1. พวก Culture คือ ผู้ที่ชอบศิลปะ วัฒนธรรม เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ อยากเจอเพื่อนดี ๆ สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญที่สุดคือประสบการณ์ พวกอยากมีประสบการณ์พิเศษที่จะลืมไม่ลง ซึ่งแบ็คแพ็กเกอร์ส่วนนี้จะเป็นกลุ่มน้อย
2. ส่วนอีกพวกหนึ่ง คือ พวก Party กลุ่มนี้ก็คือเน้นความสนุกสุดเหวี่ยง ดื่มหนักทุกคืน บางที่เวลาไปเมืองไหน ยังแทบไม่ได้เห็นเมืองนั้นเลยเพราะกลางวัน Hangover หลับทั้งวันซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มใหญ่ ส่วนตัวผมแล้วผมจะพยายามทำตัวและหาเพื่อนแบบกลุ่ม Culture ให้มากที่สุด บางครั้งก็มีไปสนุกบ้างแต่ไม่หนักเกินไป ผมว่าคนไทยมองแบ็คแพ็กเกอร์ทุกคนว่าเป็นเหมือนกลุ่มที่สอง ก็คือต้องปาร์ตี้ ต้องดื่มหนัก ซึ่งมันก็คงเป็นเพราะฝรั่งที่เขามาเที่ยวในบ้านเราตามถนนข้าวสารเป็นอย่างงั้นจริง ๆ แต่ผมก็อยากจะบอกว่า แบ็คแพ็กเกอร์ก็มีหลายประเภทเหมือนกับคนทุกกลุ่มในสังคมนะครับ มีทั้งดีทั้งไม่ดีขึ้นอยู่กับบุคคล
Yogyakatra, Indonesia

22. ใครว่าใต้น้ำผมไม่หันหลังถ่ายรูป ผมถ่ายท่าเดิมทุกที่ครับ

23. การเดินทางก็เหมือนชีวิต
หลายครั้งสิ่งไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้น เรารับมือไม่ทัน เราล้มหัวคะมำ ก็ใช้สองมือของเรานั้นยันตัวเองเอาไว้ เมื่อเจออุปสรรคที่ตั้งบังหน้าเรา ก็ขอให้ใช้สองเท้ากระโดดข้ามไป แล้วถ้าเดินเหนื่อยเมื่อยจนไปต่อไม่ไหว ก็ใช้ตูดนุ่ม ๆ ของเรานั่งพักดูวิวอยู่ข้างทาง
Somewhere along the road
Java, Indonesia

24. เคาท์ดาวน์ 5 วิวที่สวยที่สุดที่ไปเห็นมาในปีนี้










25. เพื่อน ๆ ร่วมทาง
สิ่งหนึ่งที่นักเดินทางทุกคนตามหาเหมือนกันนะครับ ก็คือ เพื่อน ๆ ร่วมทาง แม้ว่าผมจะเดินทางคนเดียว แต่แทบจะตลอดทุกทริปผมจะเจอเพื่อนใหม่ ๆ เจ๋ง ๆ อยู่ตลอดเวลา ทุกคนมีเรื่องน่าสนใจสุด ๆ แม้จะเป็นมิตรภาพช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เราก็สนิทกันอย่างไม่น่าเชื่อ และมียังโอกาสได้เจอกันอีกหลาย ๆ รอบ
1. คนดัตช์ช่างน่ารัก
ผมเจอกับโลล่า(คนที่สองจากซ้ายมือ) สาวชาวดัตช์ที่ถนนข้าวสาร 555 เรื่องจริงครับ ผมเดินเล่นอยู่กับเพื่อนอีกคนที่ข้าวสาร แล้วเราเจอกัน เลยกลายมาเป็นเพื่อนกัน พอผมไปเนเธอร์แลนด์ครั้งนี้ โลล่าเลยชวนผมไปเชียร์บอลโลก หลังจากที่ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ชนะเราก็ฉลองกันยกใหญ่จนกลายมาเป็นภาพนี้

2. เพื่อนปีนเขา
อเล็กเป็นเพื่อนชาวแคนาเดียนของผม เขาเป็นนักเรียนดนตรีครับ แต่ว่ารู้สึกว่าสิ่งที่เรียนอยู่ไม่ใช่ตัวตนเองเขา เขาเลยมาออกเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง ผมเจอกับอเล็กตอนที่เขาไปปีนภูเขาไฟ Merapi ผมก็ได้อเล็กเนี่ยละครับที่ช่วยฉุดลากผมจะขึ้นไปถึงยอดเขาได้ ล่าสุดอเล็กก็ตัดสินใจว่าเขาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและเปลี่ยนไปเรียนเกี่ยวกับสาขานี้
ทุก ๆ คนที่ออกเดินทางจะต้องมีจุดหักเหของชีวิต หรือสตอรี่อะไรบางอย่างที่ทำให้เขาออกเดินทาง แต่ละคนมีเรื่องน่าสนใจมากครับ ใครชอบเรื่องแบบนี้ก็ไปติดตามที่เพจผมได้ครับ

เรื่องราวชีวิตผ่านภาพถ่าย
หลาย ๆ ครั้งไม่ว่าผมจะพยายามเขียนเรื่องให้ดีขนาดไหน ผมก็ไม่สามารถเล่าเรื่องได้ดีเท่ากับภาพถ่าย ทั้งหมดนี้คือภาพเล่าเรื่องที่ผมชอบที่สุดของปี
1. อิสรภาพ

2. "All I want to be is Robin Van Persie" ความฝันของเด็กน้อยคนนี้

3. ผาดโผนในบาหลี

4. ผืนน้ำคือสนามเด็กเล่น

5. ผมตามไม่ทันแล้วพี่

ช่วงปีที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสทำวีดีโอสนุก ๆ ไอเดียเริ่มมาจากการที่ผมนั่งอ่านหนังสือสอบอยู่ แล้วผมคิดขึ้นมากว่าถ้าลองปั่นจักรยานรอบเกาะสิงคโปร์สักรอบหนึ่งภายในหนึ่งวันมันจะเป็นยังไงนะ สอบเสร็จผมก็เลยออกไปทำดู จึงกลายมาเป็นเจ้านี่ครับ
และคลิปนี้เป็นทริปเที่ยวยุโรป
การเป็นนักเขียน
ทุกวันนี้เวลามีคนเรียกผมว่านักเขียน ผมจะยังรู้สึกไม่ค่อยคุ้น แปลก ๆ ผมไม่เคยมีความคิด ความฝันจะมาเป็นนักเขียนเลยนะครับ ผมชอบเดินทาง ชอบเล่าเรื่อง ชอบถ่ายรูป จากเรื่องราวสั้น ๆ สนุก ๆ บนเพจ ตอนนี้มันก็กลายมาเป็นหนังสือจับต้องได้แล้ว ตอนผมเห็นหนังสือตัวเองในร้านหนังสือ น้ำตาซึม ไม่เคยเชื่อว่าชีวิตจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ต้องขอบคุณทุกคนมาก ๆ ครับที่สนับสนุน The Walking Backpack แชร์เรื่องราวต่าง ๆ จนมาถึงวันนี้
ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปยังไงบาง ก็เปลี่ยนเยอะพอควรครับ หนึ่งคือผมจะต้องคิดทุกวันว่าวันนี้จะเขียนอะไรดี เล่าเรื่องไหน วางแผนว่าจะต้องทำอะไรต่อไป คือทักษะ skill set ที่ใช้ในการเดินทางกับการเป็นนักเขียนนั้นมันคนละเรื่องกันเลย ผมก็ต้องค่อย ๆ เรียนรู้ ตั้งแต่กระทู้สิ้นปีที่แล้วผมยังแทบไม่ได้หยุดทำงานเลย ทำงานเพจแทบทุกวัน อีกหนึ่งสิ่งที่ผมได้เรียนรู้นะครับ คือ ชีวิตมันคือการวิ่งมาราธอนจริง ๆ คนที่เก่งวิ่งได้เร็วอาจจะชนะวิ่งร้อยเมตร แต่ถ้าอยากประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอ ขยันหมั่นเพียร เรียนรู้จากความผิดพลาดและทำครั้งต่อไปให้ดี ฟังดูมันอาจจะคลีเช่ ใคร ๆ ก็พูดแบบนี้ แต่มันเป็นเรื่องจริง จะทำอะไรสำเร็จไม่มีทางลัดครับ
ส่วนหนังสือเล่มสองนะครับ ผมขออนุญาตเรียนให้จบก่อน ตอนนี้อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยไล่ตามงานผมอยู่ เดี๋ยวผมจะเรียนไม่จบเอาครับ 555 แต่เดี๋ยวเรียนจบเมื่อไร มีเล่มใหม่ออกมาให้อ่านกันแน่นอนครับ

ส่วนใครที่อ่านแล้วอยากติดตามเรื่องราวการเดินทางของผม เวลาผมเล่าในเพจเรื่องราวจะสนุกละเอียดกว่าในกระทู้พันทิปครับ ติดตามกันได้ที่นี่เลยนะครับ



และหนังสือ The Walking Backpack ออกเดินแล้ว อย่าหันหลังกลับ หาซื้อกันได้ตามร้านหนังสือนะครับ

การเป็นนักเดินทาง
ผมขอส่งท้ายกระทู้นี้ด้วยข้อความภาพนี้นะครับ ผมเชื่อว่าทุกคนที่อ่านกระทู้นี้อยู่ชอบและหลงใหลในการเดินทาง ทุกคนมีความฝันที่จะไปเดินทางรอบโลกเหมือนผม ตลอดสองปีที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้อะไรมากมายการจากการเดินทาง ได้พบผู้คน ได้มีโอกาสมาเขียนหนังสือ เป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อน ผมเชื่อว่าทุกคนมีวิธีการเดินทางที่แตกต่างกัน ชอบอะไร ๆ ต่างกัน วิธีการเดินทางของผมอาจจะไม่เหมาะกับคุณ สิ่งที่ผมเห็นอาจจะไม่เหมือนกับที่คุณเห็น แม้เราไปที่เดียวกันเราทุกคนมีวิธีการมองโลกที่ต่างกัน แต่หนึ่งสิ่งที่ผมมั่นใจ คือ คุณจะต้องได้อะไรดี ๆ จากการเดินทางแน่นอน ไม่ต้องกลัวนะครับว่าไม่มีเงินเดินทางไปที่ไกล ๆ เริ่มใกล้ ๆ ที่บ้านเรานี่ละครับ ทุก ๆ ที่ใกล้ไกลมีสิ่งน่าสนใจเสมอ ไม่มีใครแก่เกินจะเดินทางนะครับ หาเวลาให้กับตัวเอง เอาเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป้แล้วก้าวออกจากบ้านคุณครับ ไม่ว่าเด็กมัธยม เด็กจบใหม่ หรือผู้ใหญ่ใกล้เกษียณ ถ้าไม่มีแรงเดินก็นั่งรถเข็นครับ...โลกรอเราอยู่


